- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
- ๑๐๙
- ๑๑๐
- ๑๑๑
- ๑๑๒
- ๑๑๓
- ๑๑๔
- ๑๑๕
- ๑๑๖
- ๑๑๗
- ๑๑๘
- ๑๑๙
- ๑๒๐
๒๔
เวลาวันนั้นบู๊สงเดินออกไปเที่ยวเล่นตามแถวตลาด บู๊ตัวหนึงเห็นก็จำได้จึงร้องว่า บู๊โตวเถาครูทหารมาอยู่เมืองนี้มีความสุขสบายดีหรือ บู๊สงได้ยินมีผู้ร้องเรียกถามก็เหลียวไปดูเห็นบู๊ตัวหนึงพี่ชายยืนอยู่หน้าโรงจำได้ตรงเข้าไปคุกเข่าคำนับ แล้วถามว่าเหตุไฉนพี่จึงมาอยู่ที่เมืองนี้ บู๊ตัวหนึงบอกว่าตั้งแต่เจ้าหนีไปก็ไม่เห็นฝากหนังสือมา พี่ต้องไปทนทุกขเวทนาแทนเจ้าอยู่ช้านาน ชายผู้นั้นไม่ตายจึงพ้นจากโทษ แล้วเศรษฐีที่เมืองเซงหัวกุ้ยยกหญิงสาวใช้ให้เป็นภรรยาคนหนึ่งชื่อนางพัวกิมเหลียน ๆ เห็นรูปร่างพี่ไม่ดีก็ไม่รักใคร่เที่ยวคบหากับผู้อื่น พี่จะว่ากล่าวนางพัวกิมเหลียนก็ไม่กลัวเกรงกลับด่าว่า จึงมาอยู่เสียที่เมืองเอียงก๊กกุ้ย ได้ยินข่าวเล่าลือว่าเจ้าตีเสือตายผู้รักษาเมืองตั้งให้เป็นครูทหารพี่มีความยินดีนัก พูดแล้วก็พาบู๊สงไปในโรงเรียกนางพัวกิมเหลียนออกมาเก็บของที่ขายเข้าไว้เสียก่อน นางพัวกิมเหลียนถามว่าเหตุผลประการใดจึงเลิกค้าขายเสียแต่วัน บู๊ตัวหนึงว่าวันนี้น้องเรามาจึงไม่ค้าขายพามาให้รู้จักกันกับเจ้า ชื่อบู๊สงที่ตีเสือตาย ณ ตำบลเก็งเอียงก๋งได้เป็นขุนนางนายทหาร นางพัวกิมเหลียนได้ฟังก็ยินดีจึงพูดว่าเมื่อวันตีเสือตาย ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่าเขาแห่น้องมาก็ชวนชาวบ้านไปดูไม่ทัน วันนี้ได้มาพบก็ดีแล้ว เชิญเข้าไปข้างในพูดจาสนทนากันให้สบาย บู๊สงเห็นพี่สะใภ้ไถ่ถามคำนับแล้วนั่งสนทนากันอยู่ นางพัวกิมเหลียนจึงบอกกับสามีว่า เจ้าจงไปจัดหาสุรากับสิ่งของมาเลี้ยงน้องโดยเร็วเถิด บู๊ตัวหนึงก็รีบไป นางพัวกิมเหลียนเห็นลักษณะรูปร่างบู๊สงดีก็มีความเสน่หารักใคร่ จึงคิดว่าถ้าแม้นเราได้กับบู๊สงเห็นจะดีกว่ามาได้คนเช่นนี้ก็คิดเสียใจนัก คิดแล้วจึงพูดกับบู๊สงว่า เดิมทีอยู่ ณ เมืองเซงหัวกุ้ยคนข่มเหงจึงได้พากันมาอยู่เมืองนี้ ถ้าแม้นน้องอยู่ก็เห็นจะไม่มีผู้ใดย่ำยีได้ น้องไปอยู่ที่ไหน มาเมืองนี้ได้กี่วัน บู๊สงบอกว่าเดิมไปอยู่เมืองซองจิวได้ปีเศษ หมายจะไปเยี่ยมเยือนพี่ มาเป็นครูทหารอยู่เมืองนี้ได้ประมาณสิบวัน เดินมาเที่ยวเล่นก็บังเอิญได้พบพี่เข้าก็มีความยินดีนัก พอบู๊ตัวหนึงจัดหาสุรากับสิ่งของมาชวนกันกินโต๊ะเสพสุราทั้งสามคน นางพัวกิมเหลียนจึงถามบู๊สงว่า เดี๋ยวนี้น้องสำนักอาศัยอยู่ที่ใด จงมาอยู่ด้วยกันเถิดเราจะอุปถัมภ์ปฏิบัติเอง บู๊สงว่าอยู่ที่หน้าบ้านผู้รักษาเมืองจะใช้สอยสิ่งใดพวกทหารมาคอยปฏิบัติอยู่คนหนึ่ง พี่จะให้มาอยู่ที่นี่ก็ดีดอกน้องจะมาอยู่ด้วย บู๊ตัวหนึงกับนางพัวกิมเหลียนได้ฟังก็ยินดี ครั้นกินโต๊ะเสพสุราแล้วบู๊สงจึงบอกว่าจะไปเก็บรวบรวมสิ่งของก็ออกจากโรงตรงมายังที่พัก แล้วเข้าไปแจ้งกับผู้รักษาเมืองว่า ข้าพเจ้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่งร่วมบิดามารดาเดียวกัน ค้าขายอยู่ที่ตลาดข้าพเจ้าจะลาท่านไปอยู่กับพี่ชาย ถ้าเวลาเช้าเย็นจะมารับราชการในท่านมิให้ขาดได้ ผู้รักษาเมืองก็ยอมให้ไป บู๊สงคำนับลามารวบรวมทรัพย์สิ่งของพร้อมแล้วก็ให้ทหารขนมาที่โรง บู๊ตัวหนึงกับนางพัวกิมเหลียนเห็นบู๊สงขนของมาก็ยินดี ช่วยกันจัดที่ให้อยู่ตามสบาย บู๊สงเอาเงินให้บู๊ตัวหนึงไปค้าขาย ถึงเวลาเช้าเย็นก็เข้าไปรับราชการอยู่ที่บ้านผู้รักษาเมืองเป็นนิตย์มิได้ขาด ครั้นรุ่งขึ้นเช้าบู๊ตัวหนึงก็ไปขายของ นางพัวกิมเหลียนมีใจรักใคร่บู๊สงยิ่งนัก แต่พูดจาเลียบเคียงหลายครั้งบู๊สงเป็นคนซื่อมิได้ระแวงความโต้ตอบตามตรง เวลาวันนั้นบู๊สงไปรับราชการแต่เช้าจะกลับมารับประทานอาหารที่บ้าน นางพัวกิมเหลียนจัดซื้อสิ่งของวานชาวบ้านมาต้มแกงไว้คอยท่า พอบู๊สงกลับมานางพัวกิมเหลียนก็ออกไปต้อนรับเป็นอันดี แล้วเรียกให้บู๊สงกินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน บู๊สงเห็นพี่สะใภ้ต้อนรับตามธรรมเนียมก็กินโต๊ะเสพสุราด้วย นางพัวกิมเหลียนรินสุราส่งให้แล้วพูดเป็นกลมารยาต่างๆ บู๊สงก็นิ่งเสีย นางพัวกิมเหลียนมีความวิตกไม่แจ้งว่าบู๊สงจะคิดประการใด ความที่เสน่หารักใคร่ยิ่งทวีมากขึ้น จับปั้นสุรามารินใส่ถ้วยแล้วดื่มเสียครึ่งหนึ่งจึงส่งถ้วยสุรามาบอกว่าวันสำคัญ ถ้ารักกันจริงจงดื่มสุราในถ้วยนี้เถิด บู๊สงก็โกรธเทสุราเสียแล้วพูดว่า คนอะไรเช่นนี้ไม่มีความอาย เราเป็นชายชาติทหาร สัตย์ซื่อต่อฟ้าและดิน ปรารถนาจะตั้งตัวให้ชื่อเสียงปรากฏต่อไป มิใช่สัตว์เดรัจฉาน จะมาทำการดั่งนี้หาควรไม่ เรานับถือว่าเป็นพี่สะใภ้อย่ามารบกวนเลย นางพัวกิมเหลียนเห็นบู๊สงโกรธก็เสียใจหน้าผิดปกติ นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า เรามีความรักใคร่เหมือนกับน้องร่วมไส้ จึงได้ปฏิบัติพูดหยอกล้อก็สำคัญว่าจริง เรามิใช่คนเช่นนั้นดอก แล้วเอาสิ่งของที่รับประทานมาเก็บไว้ บู๊สงก็ไม่ตอบประการใดเข้าไปนอนอยู่ในห้องของตัวประมาณครู่หนึ่ง บู๊ตัวหนึงไปค้าขายกลับมาเรียกให้ภรรยาเปิดประตูรับ นางพัวกิมเหลียนนั้นเสียใจนั่งร้องไห้อยู่ ครั้นได้ยินเสียงเรียกก็ออกไปเปิดประตู บู๊ตัวหนึงเข้ามาเห็นภรรยาร้องไห้ไม่แจ้งว่าเหตุผลประการใด จึงถามว่าเจ้าร้องไห้ด้วยเหตุไรผู้ใดมาข่มเหงหรือ นางพัวกิมเหลียนแกล้งใส่ความว่าจะมีผู้ใดมาข่มเหงได้ มีแต่บู๊สงน้องชายมาพูดจาแทะโลมเกี้ยวพี่สะใภ้มีธรรมเนียมอันใด บู๊ตัวหนึงได้ฟังก็ไม่โต้ตอบประการใดแต่ใจนั้นไม่เชื่อ เดินมาดูเห็นบู๊สงนอนนิ่งอยู่จึงถามว่า น้องกลับมารับประทานอาหารแล้วหรือ ถ้ายังจะได้รับประทานด้วยกัน บู๊สงนอนตรึกตรองไม่สบายใจ ได้ฟังพี่ชายถามก็นิ่งเสียแล้วลุกขึ้นเดินออกจากโรงไป บู๊ตัวหนึงร้องเรียกก็ไม่มา จึงถามภรรยาว่าเหตุผลประการใด นางพัวกิมเหลียนว่าจะกลับมาทำไมอีกเล่า เรารักใคร่ว่าเป็นน้องของสามีจัดโต๊ะและสุรามาให้ อุตส่าห์ปฏิบัติทุกอย่างยังพูดจาแทะโลมให้มีความอายมากเจ้าเรียกจึงไม่กลับมา บู๊ตัวหนึงก็ไม่ว่าประการใดนั่งนิ่งอยู่
ฝ่ายบู๊สงครั้นออกจากโรงตรงมาเรียกทหารที่สำหรับใช้ไปเก็บสิ่งของๆ ตน บู๊ตัวหนึงเห็นก็ห้ามไว้ว่าจะไปไหน บู๊สงได้ฟังพี่ชายถามดังนั้นด้วยเป็นการไม่ดี จะบอกให้รู้ก็ไม่ควร จึงตอบว่า พี่อย่าห้ามเลยแล้วให้ทหารขนของกลับไปที่สำนักตามเดิม บู๊ตัวหนึงไม่รู้ว่าเหตุการณ์อย่างไรก็มีความวิตกยืนดูอยู่ นางพัวกิมเหลียนเห็นบู๊สงขนของไปก็ทำเป็นบ่นว่า เรามีความยินดีคิดว่าพี่น้องมีวาสนาเป็นขุนนางจะได้พึ่งบ้าง กลับมาคิดประทุษร้าย ไปเสียก็ดีดอกถ้าอยู่ก็คงจะวุ่นวายกัน บู๊ตัวหนึงจึงตอบว่า เดิมเจ้าให้มาอยู่ด้วยยังมินานเท่าใดก็ไปเสียดังนี้ คนทั้งหลายจะมิหัวเราะหรือ ให้กลับมาอยู่ตามเดิมดีกว่า นางพัวกิมเหลียนว่า ถ้าจะให้บู๊สงมาอยู่อีกก็ทำหนังสือหย่าให้เราก่อนจึงมาอยู่ด้วยกันเถิด บู๊ตัวหนึงได้ฟังภรรยาพูดดังนั้นก็นิ่งเสียแต่ในใจไม่สบาย คิดจะไปถามให้รู้ความแต่นางพัวกิมเหลียนห้ามไว้ บู๊ตัวหนึงไม่อาจจะไปก็อุตส่าห์ทำของขายอยู่ทุกวัน
ฝ่ายผู้รักษาเมืองเอียงก๊กกุ้ยมาว่าราชการได้อยู่ประมาณสองปีเศษ คิดถึงญาติอยู่ที่ตังเกียเมืองหลวง จะให้เอาเงินทองสิ่งของไปให้ก็กลัวโจรผู้ร้ายตามทางจะแย่งชิง จึงรำลึกขึ้นได้ว่าบู๊สงที่เป็นครูทหารใจสัตย์ซื่อฝีมือเข้มแข็ง ควรจะคุมสิ่งของไปได้ จึงให้หาบู๊สงมาแล้วพูดว่า เรามีพี่น้องอยู่ ณ เมืองตังเกียคนหนึ่ง จะให้คุมสิ่งของไปให้ก็ไม่เห็นมีผู้ใดเลย และหนทางที่จะไปนั้นโจรผู้ร้ายชุกชุมนัก เห็นอยู่แต่เจ้าคนเดียว จงช่วยสงเคราะห์ไปสักครั้งหนึ่งเถิด กลับมาจะบำเหน็จรางวัลให้ตามสมควร บู๊สงว่าพระคุณท่านชุบเลี้ยงเป็นที่สุดอยู่แล้วอย่าว่าแต่การเท่านี้เลย ถึงยิ่งกว่านี้ก็จะรับอาสาไป ซึ่งตังเกียเมืองหลวงนั้นข้าพเจ้าอยากจะใคร่เที่ยวชมเล่นสักครั้งหนึ่งอยู่แล้ว ท่านจงจัดเตรียมไว้ให้พร้อมเถิด แล้วบู๊สงคำนับลากลับมาที่อยู่ เอาเงินให้คนใช้ไปซื้อสิ่งของกับสุราแล้วกลับไปหาบู๊ตัวหนึง
ขณะนั้นพอบู๊ตัวหนึงไปขายของกลับมาโรง เห็นบู๊สงมาก็ยินดีเรียกเข้าไปข้างใน บู๊สงให้ทหารจัดสิ่งของจะกินโต๊ะเสพสุรากับพี่ชาย
ฝ่ายนางพัวกิมเหลียนเห็นบู๊สงมา จึงคิดว่าเหตุผลประการใดจึงกลับมาอีกหรือรำลึกถึงเราดอกกระมัง คิดดังนั้นก็เข้าไปในห้องแต่งตัวออกมาพูดกับบู๊สงว่า ตั้งแต่น้องไปไม่เห็นมาบ้างเลย ให้พี่ชายของเจ้าไปเที่ยวตามหาก็ไม่พบ บู๊สงเห็นพี่สะใภ้มาพูดด้วยก็คลายโกรธจึงว่า น้องมีธุระอยู่สิ่งหนึ่งจะมาบอกให้รู้ นางพัวกิมเหลียนก็เรียกบู๊สงกับบู๊ตัวหนึงเข้าไปข้างใน ทหารจัดโต๊ะและสุราไว้พร้อม บู๊สงเรียกให้พี่ทั้งสองกินโต๊ะเสพสุราแล้วจึงพูดว่า เวลาพรุ่งนี้ผู้รักษาเมืองจะให้คุมทรัพย์สิ่งของเข้าไปในเมืองหลวง ประมาณห้าสิบวันจะกลับมา ถ้าพี่จะไปค้าขายจงกลับมาแต่วันแล้วอย่าได้คบเพื่อนฝูงเที่ยวเสพสุรา เวลาเย็นก็ปิดประตูบ้านเสีย ถ้ามีผู้ใดมาว่ากล่าวข่มเหงก็อดโทโสไว้คอยน้องกลับมาก่อน พูดดังนั้นแล้วก็รินสุราส่งให้บู๊ตัวหนึงแล้วพูดว่า ถ้าพี่เชื่อจงเสพสุราถ้วยนี้เสียเถิด บู๊ตัวหนึงรับถ้วยสุรามาดื่มจนสิ้นแล้วพูดว่า พี่จะเชื่อฟังทุกอย่าง บู๊สงเอาถ้วยมารินสุราส่งให้นางพัวกิมเหลียนแล้วว่า บัดนี้มีราชการจะลาพี่ทั้งสองไป ซึ่งพี่ชายของน้องเป็นคนโง่เขลาไม่รู้จักการอันควรมิควร พี่เป็นคนเฉลียวฉลาดรู้การงานทุกอย่าง น้องขอฝากพี่ชายด้วยเถิด ทุกวันนี้ถ้าในบ้านเรือนปกติเรียบร้อยดี คนนอกก็ไม่มีผู้ใดดูหมิ่นข่มเหงได้ พี่เป็นคนเข้าใจจัดการให้ดี เชิญเสพสุราถ้วยนี้เสียเถิด นางพัวกิมเหลียนได้ฟังก็โกรธนักไม่รับถ้วยสุรา กลับด่าบู๊ตัวหนึงว่า คงจะเอาความเท็จไปเที่ยวนินทาบอกแก่ผู้ใดเป็นมั่นคง บู๊สงจึงได้มาว่าดังนี้ ตัวเราไม่มีราคีสิ่งใดเลย ช่างมาพูดเปรียบเทียบเอาได้เรารู้อยู่ดอก บู๊สงได้ฟังก็หัวเราะแล้วตอบว่า กลัวแต่ปากกับใจจะไม่ตรงกัน นางพัวกิมเหลียนยิ่งโกรธมากขึ้น ลุกขึ้นกระทืบเท้าเดินออกมาบ่นว่า เดิมเมื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากันก็ไม่ได้ยินว่ามีญาติพี่น้อง เดี๋ยวนี้มีพี่น้องมาตั้งตัวเป็นใหญ่ จะเท็จจริงหรืออย่างไรก็ไม่รู้ มาว่ากล่าวดังนี้เราแค้นนัก เดินร้องไห้ออกมานั่งอยู่หน้าโรง บู๊สงกับบู๊ตัวหนึงได้ยินนางพัวกิมเหลียนเดินบ่นออกมาก็ไม่พูดประการใด ชวนกันกินโต๊ะเสพสุราแล้วบู๊สงก็ลาพี่ชายจะกลับมา บู๊ตัวหนึงเห็นน้องจะจากไปก็ร้องไห้แล้วสั่งว่า เจ้าจงรีบกลับมาโดยเร็วอย่าได้นอนใจ บู๊สงเห็นพี่ชายร้องไห้ก็มีความสงสารกลัวผู้คนจะข่มเหง จึงพูดว่าถ้าน้องไปแล้วพี่อย่าได้ค้าขายเลย เงินทองจะใช้สอยมากน้อยเท่าไรจะส่งมาให้ซื้อหารับประทาน จงอยู่รักษาบ้านเรือนเถิด พูดแล้วก็ออกจากโรงกลับไปที่สำนัก ครั้นรุ่งขึ้นเช้าผู้รักษาเมืองจัดหาเงินทองทรัพย์สิ่งของบรรทุกเกวียน จัดคนใช้ที่สนิทสี่คนกับหนังสือฉบับหนึ่งมอบให้บู๊สงรับหนังสือคำนับลา ชวนคนทั้งสี่คุมเกวียนออกจากเมืองเอียงก๊กกุ้ยตรงไปตังเกียเมืองหลวง
ฝ่ายบู๊ตัวหนึงตั้งแต่บู๊สงไปภรรยาด่าอยู่หลายวัน บู๊ตัวหนึงก็นิ่งเฉยเสีย อุตส่าห์ทำของขายได้เล็กน้อยก็กลับมาแต่วัน ปิดประตูลั่นดานตามคำบู๊สงสั่ง นางพัวกิมเหลียนเฝ้าแต่บ่นด่า ว่าปิดประตูเสียดังนี้กลัวผีหรือกลัวสิ่งใด บู๊สงว่าอย่างไรก็เชื่อทุกสิ่ง บู๊ตัวหนึงจึงตอบว่าน้องเราสั่งสอนนั้นเปรียบเหมือนทองคำควรจะต้องจำไว้ นางพัวกิมเหลียนได้ฟังก็โกรธ บ่นด่าอยู่ทุกวันทุกเวลา บู๊ตัวหนึงก็นิ่งเสียสู้อดใจไม่โต้ตอบประการใด อุตส่าห์ทำของขาย ได้เวลาก็กลับมาบ้าน อยู่นานมานางพัวกิมเหลียนก็คลายด่าค่อยปกติดีขึ้น
อยู่มาวันหนึ่ง บู๊ตัวหนึงหาบสิ่งของไปขาย ครั้นได้เวลานางพัวกิมเหลียนเปิดประตูออกมาคอยท่า มือถือราวผ้าจะเอาไปตากที่ถนน พอชายผู้หนึ่งเดินมา ราวผ้าที่นางพัวกิมเหลียนถือหลุดจากมือถูกศีรษะชายผู้นั้น ชายผู้นั้นก็โกรธ ครั้นเหลียวมาดูเห็นนางมีรูปร่างงดงามก็ยืนคลำศีรษะหัวเราะอยู่ นางพัวกิมเหลียนเห็นดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าถือไม้ราวหลุดมือไปถูกท่านเจ็บหรือเปล่า ขอโทษเสียเถิด ชายผู้นั้นว่า ถูกเล็กน้อยไม่เป็นไรดอกแล้วยืนพิเคราะห์ดูอยู่ นางพัวกิมเหลียนเห็นชายผู้นั้นรูปร่างดีนุ่งห่มเป็นคนมีสกุลก็ยืนใช้หางตาดู
ฝ่ายยายเห็งโผตั้งโรงอยู่ใกล้กัน ครั้นเห็นนางพัวกิมเหลียนทำราวผ้าไปถูกชายผู้นั้นแล้วยืนใช้หางตาอยู่กับนางพัวกิมเหลียน ยายเห็งโผก็พูดสัพยอกหยอกล้อเล่นว่า ใครให้ท่านเดินมาทางนี้ น่าที่จะต้องตีเสียให้เข็ด ชายผู้นั้นกับนางพัวกิมเหลียนเหลียวไปดูเห็นยายเห็งโผก็หัวเราะ นางพัวกิมเหลียนอายกลับเข้าไปในโรง ชายผู้นั้นแซ่ไซบุนชื่อเข่ง เดิมปู่และบิดามั่งมีทรัพย์สิน ครั้นปู่และบิดาตายก็ยากจน ไซบุนเข่งอุตส่าห์ตั้งตัวมั่งมีทรัพย์ขึ้นแล้ว ก็เที่ยวคบหาตามบรรดาขุนนางกรมการ ราษฎรชาวบ้านต่างมีความเกรงกลัวไซบุนเข่งทุกคน ไซบุนเข่งอยากจะใคร่ฝึกหัดเพลงอาวุธต่างๆ ครั้นเวลาว่างก็ซักซ้อมฝีมืออยู่เป็นนิตย์มิได้ขาด เวลาวันนั้นไซบุนเข่งเดินมาเที่ยวเล่น นางพัวกิมเหลียนทำราวผ้าถูก ไซบุนเข่งเห็นนางพัวกิมเหลียนรูปร่างงามดีก็มีใจรักใคร่ ครั้นนางพัวกิมเหลียนเข้าไปในโรงแล้ว ไซบุนเข่งเดินเข้าไปในโรงยายเห็งโผ ด้วยชอบพอรู้จักคุ้นเคยมาแต่ก่อน ยายเห็งโผเชิญเข้าไปนั่งสนทนากันแล้วจัดหาน้ำชามาให้รับประทาน ไซบุนเข่งจึงถามว่า ตั้งแต่เรามารับประทานน้ำชาเป็นหนี้อยู่มากน้อยเท่าไร ยายเห็งโผว่าซึ่งท่านมารับประทานน้ำชาบ้างเล็กน้อยหาเป็นไรไม่ เชิญท่านรับประทานให้สบายเถิด ไซบุนเข่งก็ยินดีถามยายเห็งโผว่า หญิงที่ทำราวผ้าถูกเราอยู่ที่โรงใกล้กันนี้ ภรรยาของผู้ใดหรือ ยายเห็งโผตอบว่าหญิงนั้นเป็นภรรยาคนที่หาบของขายอยู่ตามตลาด ไซบุนเข่งว่าชายที่หาบของเที่ยวขายรูปร่างก็ดี ช่างสมที่เป็นสามีภรรยากัน ยายเห็งโผว่าไม่ใช่คนนั้นดอก คนที่หาบขนมเปียขายนั้นต่างหาก ไซบุนเข่งว่าน่าเสียดายนักหนา รูปร่างงดงามมาเป็นภรรยาคนต่ำเตี้ยดังนี้ เปรียบเหมือนเนื้อแพะอย่างดี มาตกอยู่ในปากสุนัขไม่ควรเลย ยายเห็งโผตอบว่า การอันนี้สุดแต่วาสนาแต่งให้จึงได้เป็นคู่กัน ไซบุนเข่งได้ฟังยังไม่พูดเรื่องนั้นแกล้งถามว่า บุตรของยายไปข้างไหน ยายเห็งโผว่า บุตรข้าพเจ้าเที่ยวคบเพื่อนทำให้เกิดความอยู่เนืองๆ ห้ามปรามเท่าใดก็ไม่เชื่อฟัง บัดนี้ตามพวกเพื่อนไปเที่ยวยังไม่กลับมา ไซบุนเข่งว่า บุตรของยายนั้นให้มาอยู่กับเราเถิด จะสั่งสอนอุปถัมภ์ให้ดี ยายเห็งโผว่า ขอบใจท่านนักหนา ถัากลับมาแล้วจะให้ไปอยู่กับท่าน ไซบุนเข่งลาออกจากโรงเดินไปได้ครู่หนึ่งก็กลับมานั่งอยู่หน้าโรงยายเห็งโผ เฝ้าแต่มองดูโรงนางพัวกิมเหลียนมิได้ขาด ยายเห็งโผเห็นไซบุนเข่งกลับมาจึงถามว่า ท่านกลับมาอีกจะรับประทานน้ำลูกผลไม้ให้ชื่นใจหรือ ไซบุนเข่งว่า เราอยากจะรับประทานอยู่หลายวันแล้ว ยายเห็งโผก็จัดหานํ้าผลไม้มาให้ไซบุนเข่ง ๆ รับนํ้าผลไม้แล้วสรรเสริญว่ายายเห็งโผช่างทำผลไม้บ๊วยดีนัก ในโรงยังมีบ๊วยอยู่บ้างหรือไม่ บ๊วยนั้นแปลว่าเป็นผู้ชักสื่อ ยายเห็งโผหูตึงได้ยินเป็นไซบุนเข่งถามว่า ผู้ชักสื่อดีในโรงมีอยู่บ้างหรือไม่ จึงตอบว่าข้าพเจ้าเป็นเถ้าแก่ชักสื่อจริง แต่จะเอามาเก็บไว้ในโรงทำไม ไซบุนเข่งเห็นได้ช่องจึงพูดว่า ยายช่วยเป็นเถ้าแก่ว่ากล่าวหญิงให้เราสักคนหนึ่งจะได้หรือไม่ ยายเห็งโผว่า บุตรภรรยาท่านมีถมไปข้าพเจ้ารับธุระไม่ได้ ไซบุนเข่งว่า บุตรภรรยามีมากก็จริง แต่หาชอบใจไม่ ยายช่วยชักสื่อให้ได้เราจะสมนาคุณ ยายเห็งโผได้ฟังและดูกิริยาก็รู้ชัดว่า ไซบุนเข่งรักนางพัวกิมเหลียนพูดจาเลียบเคียงจะให้ชักสื่อ จำจะทรมานให้เวียนเดินไปมาจนอ่อนใจจึงจะคิดอ่านพูดจาให้ ไซบุนเข่งเวียนเดินมองดูอยู่ที่หน้าบ้านนางพัวกิมเหลียนจนเวลาเย็นไม่เห็นเปิดประตูก็กลับไปบ้าน แต่ใจนั้นผูกพันอยู่ด้วยความรัก ครั้นรุ่งขึ้นเช้าก็ออกจากบ้านมายืนคอยดูอยู่อีกที่หน้าโรงยายเห็งโผ ๆ ก็จัดน้ำชามาให้ไซบุนเข่งรับประทานแล้วหยิบเงินให้ยายเห็งโผตำลึงหนึ่งเป็นค่านํ้าชา ยายเห็งโผก็มีความยินดีรับไว้พูดว่า ค่านํ้าชาเล็กน้อยท่านให้เงินเป็นนักหนามิเหลือเกินไปหรือ ไซบุนเข่งว่าไม่เป็นไรเราให้แก่ยายดอก ยายเห็งโผเป็นคนโลภ ครั้นได้เงินก็ยินดีพูดว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านเวียนเดินไปมาคงจะมีข้อความสิ่งใดอยู่ในใจสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ ไซบุนเข่งว่าเหตุไฉนจึงรู้ว่าเราไม่สบาย ถ้าทายถูกจะให้เงินห้าตำลึง ยายเห็งโผว่า ข้าพเจ้าดูก็รู้แยบคาย เปรียบเหมือนคนที่ค้าขายจะขาดทุนมีกำไร ถ้าไปถึงเห็นหน้าผู้ซื้อก็แจ้งว่ามีกำไรและขาดทุน ซึ่งความของท่านเรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ต้องทายหลายคำ ท่านรักใคร่นางคนนั้นมิใช่หรือ ไซบุนเข่งว่ายายช่างดูแม่นยำนัก เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะสมความปรารถนา ยายเห็งโผว่า ข้าพเจ้าขายน้ำชามาเป็นปีเศษ เงินทองก็ไม่พอใช้สอยซื้อหารับประทาน ข้าพเจ้าจึงเป็นเถ้าแก่ชักสื่อพอได้สินจ้างเลี้ยงชีวิตมาหาไม่ก็อดตายเสียนานแล้ว ไซบุนเข่งจึงพูดว่า ถ้าชักสื่อรายนี้ให้ได้สมความปรารถนาจะให้เงินสิบตำลึง ยายเห็งโผก็ยินดีตอบว่า การนี้ก็ยากอยู่ด้วยมีสามีแล้ว ถ้าแม้นท่านรักจริงจะให้ได้ดังปรารถนา แต่ต้องประพฤติการห้าอย่างตามคำข้าพเจ้า ไซบุนเข่งถามว่า การห้าอย่างนั้นคืออะไรบ้าง ยายเห็งโผว่า ที่หนึ่ง ต้องแต่งตัวนุ่งห่มให้งดงามเหมือนกับพัวอาน ที่สอง ถ้าถึงทีคับแค้นสำคัญก็ต้องมุดต้องคลาน อย่าถือว่าเป็นผู้ดีมั่งมีทรัพย์สินนั้นไม่ได้ ที่สาม จะใช้สอยเงินทองมากน้อยเท่าไรอย่าได้เสียดาย ทีสี่ ถึงเขาจะด่าว่าเจ็บปวดประการใดก็อย่าโกรธ ที่ห้า ให้หมั่นเพียรไปมาอย่าเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ถ้าประพฤติการณ์ห้าอย่างนี้ได้จึงจะสมความปรารถนา ไซบุนเข่งว่า เราไม่งามเหมือนพัวอานก็จริงแต่คล้ายคลึงกัน ที่สองว่า เข้าที่อับจนให้มุดคลานนั้นก็ได้ ที่สาม เงินทองสิ่งของก็มีใช้มิได้ขัดสน ที่สี่นั้น ถึงจะทุบตีสักเท่าใดก็ไม่โกรธ ที่ห้า เราก็อุตส่าห์เพียรมาก็เห็นอยู่ด้วยกัน ซึ่งการห้าอย่างนั้นเราประพฤติตามได้ทั้งสิ้น จงช่วยเมตตาให้สมความปรารถนาเถิด ยายเห็งโผก็ยินดีจึงว่า เมื่อท่านเชื่อฟังข้าพเจ้าคงสมคิด แต่เวลาวันนี้จวนเย็นแล้ว เชิญท่านกลับไปบ้านก่อนเถิด ไซบุนเข่งจึงอ้อนวอนว่า เมตตาแล้วจงอย่าให้เนิ่นช้า แม้นจะต้องการเงินทองมากน้อยสักเท่าไร จะเอามาให้ ยายเห็งโผว่า ข้าพเจ้ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ได้ทดลองมาหลายครั้งก็สมความคิด ด้วยหญิงนั้นเป็นช่างเย็บช่างปักฝีมือดี ท่านจงไปจัดซื้อแพรและสำลีมาให้ ข้าพเจ้าจะไปนั่งเล่นที่บ้านหญิงนั้น ทำเป็นพูดจาว่าท่านให้แพรกับสำลีมาไว้ ข้าพเจ้าจะไปจ้างหาช่างตัดเสื้อใส่กันหนาว แม้นนิ่งเสียก็เห็นจะไม่ได้การ ถ้าหญิงนั้นว่าอย่าต้องจ้างช่างอื่นเลยรับจะทำให้ การที่คิดไว้ก็เห็นจะสำเร็จ ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวให้มาทำที่นี่ก็คงสมความคิด ข้าพเจ้าจะพูดจาเลียบเคียงไว้ รุ่งขึ้นวันที่สามท่านแต่งตัวมาให้งดงามมาที่โรงทำเป็นร้องถาม ข้าพเจ้าจะออกไปเชิญเข้ามา ถ้าหญิงนั้นทำงานไม่กลับไปบ้าน ท่านจงหยิบเงินให้ข้าพเจ้าไปซื้อสิ่งของกับสุรา ท่านอยู่ข้างในพูดจาเกลี้ยกล่อมให้ดีคงสำเร็จความปรารถนา ไซบุนเข่งได้ฟังก็ดีใจถามว่าเมื่อไรจะจัดการ ยายเห็งโผว่า เวลาวันนี้ข้าพเจ้าจะไปพูดจาถามไถ่ดู เห็นสามีเขายังไม่กลับมา ท่านจงไปจัดหาสิ่งของมาให้โดยเร็วเถิด ไซบุนเข่งก็กลับไปเอาเงินให้คนใช้จัดซื้อแพรกับสำลีมาให้ยายเห็งโผตามคำสั่งทุกประการ ยายเห็งโผรับแพรและสำลีไว้แล้วก็ตรงไปที่โรง ร้องเรียกนางพัวกุมเหลียนเปิดประตูรับเข้าไป นางถามว่ามีธุระสิ่งใด ยายเห็งโผว่า ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ด้วยท่านผู้มีคุณของข้าพเจ้าให้แพรกับสำลีมาตัดเสื้อจะได้ใส่กันหนาว หาช่างมาตัดก็พูดเนิ่นช้าไป จะหาช่างใหม่ไม่แจ้งว่าวันใดดี จึงมาถามดู เจ้ารู้อยู่บ้างหรือไม่ นางพัวกิมเหลียนว่า วันคืนไม่สำคัญ ถ้าหาช่างไม่ได้ข้าพเจ้าจะตัดเย็บให้เอง แต่จะให้ฝีมือประณีตเรียบร้อยนั้นมิอาจทำได้ ยายเห็งโผว่า ไม่ติเตียนดอก ถ้าเมตตาจะทำให้แล้วเชิญไปที่บ้านข้าพเจ้าในเวลาพรุ่งนี้เถิด นางพัวกิมเหลียนว่าที่บ้านยายผู้คนไปมามาก เห็นท่าจะมิดีงาม ยายเห็งโผว่า ไม่เป็นไรเข้าไปทำเสียข้างในก็ไม่มีผู้ใดเห็น พูดกันแน่นอนแล้วยายเห็งโผก็กลับมา ครั้นเวลาเช้าบู๊ตัวหนึงไปค้าขาย ยายเห็งโผก็ให้นางพัวกิมเหลียนมาตัดเย็บเสื้อที่โรงของนาง ถึงเวลากลางวันก็จัดหาสิ่งของกับสุรามาเลี้ยงเป็นอันดี พอได้เวลานางพัวกิมเหลียนก็กลับมาโรงตน บู๊ตัวหนึงไปขายของกลับมาเห็นภรรยาหน้าแดงจึงถามว่าไปไหนมา นางพัวกิมเหลียนบอกว่า ยายเห็งโผวานไปตัดเย็บเสื้อที่โรงของนาง เวลากลางวันจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยง บู๊ตัวหนึงจึงพูดว่า อย่าไปรับประทานของผู้อื่นแต่ข้างเดียว วันนี้เจ้าคิดเอาเงินไปซื้อเลี้ยงเขาบ้าง ครั้นรุ่งขึ้นเช้าบู๊ตัวหนึงก็ไปค้าขาย นางพัวกิมเหลียนไปเย็บเสื้อที่โรงยายเห็งโผ พอเวลากลางวัน นางจึงเอาเงินให้ยายเห็งโผไปซื้อสุรากับสิ่งของมาเลี้ยงกัน เสร็จแล้วพอได้เวลาก็กลับ ครั้นรุ่งขึ้นวันที่สาม บู๊ตัวหนึงก็ไปค้าขายตามเคย ยายเห็งโผก็ไปเรียกนางพัวกิมเหลียนมาเย็บเสื้อที่โรงของนางเหมือนกับทุกวัน
ฝ่ายไซบุนเข่งครั้นถึงวันที่สามถ้วนคำรบก็ยินดี พอได้เวลาก็แต่งตัวใหม่งดงาม เอาเงินติดมาบ้างเล็กน้อย ตรงมาถึงหน้าโรงร้องถามว่า ยายเห็งโผอยู่หรือไปไหนไม่เห็นหน้าเลย ยายเห็งโผจำได้ว่าเสียงไซบุนเข่งแต่ทำเป็นพูดว่าผู้ใดหนอมาถามหา ครั้นเห็นไซบุนเข่งจึงเชิญเข้าไปข้างในแล้วพูดว่า ท่านมาวันนี้ดีทีเดียวจำเพาะพบกันซึ่งท่านเป็นผู้ออกเงินซื้อแพรให้ข้าพเจ้าตัดเสื้อ ข้างภรรยาบู๊ตัวหนึงออกแรงตัดเย็บให้ เป็นบุญของข้าพเจ้านักหนา ชักนำให้ท่านทั้งสองมาอุปถัมภ์ พูดดังนั้นแล้วก็บอกกับนางพัวกิมเหลียนว่า ท่านผู้นี้เป็นเจ้าบุญนายคุณของเราใจโอบอ้อมอารีมั่งมีทรัพย์สิน เจ้าจงรู้จักไว้เถิดนานไปข้างหน้าจะได้พึ่งท่าน นางพัวกิมเหลียนได้ฟังดังนั้นยังไม่ทันโต้ตอบ ไซบุนเข่งก็ตรงเข้าไปคำนับแล้วชมว่าฝีมือดีนักหนา นางพัวกิมเหลียนก็คำนับตามธรรมเนียมแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าจะฝึกหัดยังไม่ชำนิชำนาญ ท่านอย่าได้ติเตียนเลย ยายเห็งโผเห็นนางพัวกิมเหลียนพูดจากับไซบุนเข่งก็มีความยินดี นึกว่าการอันนี้คงสมปรารถนา แล้วจัดนํ้าชามาให้ไซบุนเข่งกับนางพัวกิมเหลียนรับประทาน ไซบุนเข่งทำเป็นถามยายเห็งโผว่า หญิงคนนี้เป็นภรรยาของผู้ใดไม่เคยเห็นเลย ยายเห็งโผว่า จำไม่ได้หรือที่ถือราวผ้าถูกศีรษะท่าน ไซบุนเข่งแกล้งพูดว่าข้าพเจ้าจำไม่ได้ นางพัวกิมเหลียนก็หัวเราะแล้วว่า ข้าพเจ้าถือราวผ้าหลุดมือไปมิได้แกล้งท่านอย่าถือโทษเลย ไซบุนเข่งว่า ถูกนิดหน่อยไม่เป็นไร ถึงจะเจ็บป่วยประการใดก็ไม่ถือโทษโกรธดอก พูดแล้วก็ชำเลืองดู นางพัวกิมเหลียนเห็นรูปร่างลักษณะไซบุนเข่งงดงามนุ่งห่มล้วนแต่ของดีก็มีใจรักใคร่ ชายหางตาดูแล้วก้มหน้าเย็บเสื้อไป ยายเห็งโผเห็นนางพัวกิมเหลียนทำท่วงทีชอบกล ก็รู้ว่ามีใจรักไซบุนเข่ง จึงชักนำให้คนทั้งสองพูดจากันอยู่ จวนเวลากลางวันไซบุนเข่งหยิบเงินส่งให้ยายเห็งโผไปจัดซื้อสิ่งของแล้ว ไซบุนเข่งพูดจาสรรเสริญต่างๆ แล้วถามว่าอายุได้เท่าไร นางพัวกิมเหลียนบอกว่าอายุยี่สิบสามปี ไซบุนเข่งว่า เราแก่กว่าห้าปีแต่ท่านนี้รู้ขนบธรรมเนียมการงานทั้งปวงทุกอย่าง นางพัวกิมเหลียนว่า ตัวท่านเปรียบเหมือนฟ้า ข้าพเจ้าเหมือนดิน จะมาเปรียบเทียบกันไม่ควรเลย พอพูดดังนั้นยายเห็งโผก็กลับมาจัดหาสิ่งของพร้อม เชิญให้ไซบุนเข่งกับนางพัวกิมเหลียนกินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน ไซบุนเข่งก็รินสุราส่งให้แล้วพูดว่า อย่าอับอายเลย นางพัวกิมเหลียนรับถ้วยสุรามารับประทาน ด้วยมีใจรักใคร่แล้วก้มหน้านิ่งอยู่ ยายเห็งโผเห็นได้ทีก็ทำเป็นว่ายังไม่ทันอะไรสุราก็หมด ข้าพเจ้าจะไปซื้ออีก พูดแล้วก็เดินออกมาจากโรงเห็นนางพัวกิมเหลียนยังนั่งอยู่ก็ยินดี ปิดประตูเสียแล้วก็เดินไป ไซบุนเข่งพูดจากับนางพัวกิมเหลียน แกล้งทำให้ตะเกียบตก ก้มลงหยิบจับเอาเท้านางพัวกิมเหลียนแล้วพูดจาแทะโลมด้วยความเสน่หารักใคร่ เมื่อทั้งสองคนมีใจปรารถนาตรงกันก็ได้เสียกันในเวลาวันนั้นเอง
ฝ่ายยายเห็งโผแสร้งไปซื้อสุราเสียช้านาน กลับมาเปิดประตูเข้าไปเห็นไซบุนเข่งกับนางพัวกิมเหลียนออกมาจากห้องข้างในก็ทำเป็นโกรธพูดว่า เหตุไฉนทั้งสองคนจึงมากระทำการไม่ดี จะไปบอกกับบู๊ตัวหนึงให้รู้แล้วก็เดินไป นางพัวกิมเหลียนยุดมือไว้อ้อนวอนว่าอย่าวุ่นวายไปเลย ไซบุนเข่งช่วยกันวอนว่าอย่าให้อื้ออึงไป ยายเห็งโผจึงพูดกับนางพัวกิมเหลียนว่า ถ้าไม่ให้ไปบอกก็ต้องเชื่อฟังคำข้าพเจ้า นางพัวกิมเหลียนว่ายายว่ากล่าวสิ่งใดจะทำตามคำทุกอย่าง ยายเห็งโผว่า ตั้งแต่วันนี้ไปจงมาที่โรงข้าพเจ้าให้ทุกวัน ถ้าไม่มาวันใดก็จะบอกบู๊ตัวหนึงรู้ นางพัวกิมเหลียนก็รับคำตามสัญญา พอจวนเวลานางพัวกิมเหลียนก็กลับไปบ้าน ยายเห็งโผจึงพูดกับไซบุนเข่งว่า อุบายของข้าพเจ้านี้ดีนักหนาอยู่มิใช่หรือ ไซบุนเข่งว่าดีจริงหาที่เปรียบมิได้จะรางวัลให้สมควร พูดแล้วก็กลับไปจัดเงินทองสิ่งของมาให้ยายเห็งโผตามสัญญา นางพัวกิมเหลียนกับไซบุนเข่งก็มาที่โรงยายเห็งโผทุกวันมิได้ขาด ครั้นอยู่มาประมาณสิบห้าวัน ความนั้นแพร่งพรายไปชาวบ้านใกล้เคียงก็รู้ทั้งสิ้น แต่บู๊ตัวหนึงผู้สามีหารู้ไม่ว่าภรรยาตนบังอาจกระทำความชั่ว ยังมีชายผู้หนึ่งชื่อฮุนกอ อายุได้สิบหกปี เดิมบิดาเป็นทหารทำราชการ ณ เมืองหุนจิว ครั้นบิดาชราออกราชการแล้ว พากันมาตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ เมืองก๊กอุ้ย ฮุนกออุตส่าห์ขายผลไม้ต่างๆ มาเลี้ยงบิดาอยู่ทุกวัน ไซบุนเข่งเห็นฮุนกอเฉลียวฉลาดกตัญญูต่อบิดาก็ให้เงินทำทุนค้าขาย ฮุนกอซื้อผลไม้สิ่งใดดีก็เอามาขายให้ไซบุนเข่งทุกคราวไป
เวลาวันหนึ่ง ฮุนกอได้ผลไม้อย่างดีหวังจะเอามาขายไซบุนเข่งก็ไม่พบ มีผู้บอกว่าถ้าจะหาไซบุนเข่งก็ไปที่โรงขายน้ำชาชองยายเห็งโผ บัดนี้ไซบุนเข่งรักใคร่กับภรรยาบู๊ตัวหนึง ถ้าไปที่นั่นคงจะพบ ฮุนกอได้ฟังก็หาบผลไม้ตรงมาถึงโรงน้ำชา ยายเห็งโผถามว่า เจ้ามาหาผู้ใดหรือ ฮุนกอบอกว่า ข้าพเจ้าหาบผลไม้มาจะขายให้ไซบุนเข่ง ยายเห็งโผว่า ไซบุนเข่งไม่ได้มาอยู่ที่นี่ ฮุนกอว่าอย่าปิดบังเลยเรารู้อยู่ดอก พูดแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน ยายเห็งโผยึดไว้ไม่ให้เข้าไป ฮุนกอว่า ไซบุนเข่งอยู่ในห้อง เราจะเอาผลไม้ไปขาย ถ้าไม่ให้เข้าไปเราจะไปบอกบู๊ตัวหนึง ยายเห็งโผแจ้งว่าฮุนกอรู้ความก็โกรธ ตรงเข้าทุบตีแล้วไล่ออกจากโรงไป