๗๙

ฝ่ายกอกิวได้แจ้งว่ากองทัพเรือเสียแก่พวกโจรก็มีความเสียใจนักจึงปรึกษาแก่นายทหารว่ากองทัพเรือแตกพวกโจรครั้งนี้ก็เพราะนายทหารของเรามีความประมาทจึงเสียที ซึ่งจะทำการศึกต่อไปเห็นไม่ตลอด เราคิดว่าค่ำวันนี้จะล่าทัพถอยไปตั้งกองต่อเรือรบอยู่เมืองจีจิว ถ้าการสำเร็จเราจึงยกมาทำต่อครั้งหลัง นายทหารทั้งปวงได้ฟังก็เห็นชอบด้วย กอกิวจึงสั่งทหารให้รวบรวมเครื่องศัสตราวุธและเสบียงเตรียมการไว้พร้อม ครั้นเวลาพลบกอกิวให้ทหารกองเพลิงตีเกราะและม้าล่ออื้ออึงกว่าทุกวันและกอกิวทำทั้งนี้หวังมิให้ซ้องกั๋งรู้ว่าจะล่าทัพ กอกิวจึงให้ผ่อนเสบียงอาหารคนเจ็บป่วยไปก่อนแล้วยกกองทัพตามไปข้างหลัง

เมื่อกอกิวล่าทัพไปนั้น โงวหยงดูอยู่บนหอรบเห็นกองทัพกอกิวทำผิดปกติก็เข้าใจว่าจะหนี จึงรีบลงมาจากหอรบให้ทหารจุดประทัดตีกลองและม้าล่อเสียงสนั่น กอกิวได้ยินเสียงม้าล่อและกลองก็ตกใจจึงเร่งเดินทัพไปโดยเร็ว ทหารโจรยกตามมาทัน กอกิวก็ขับทหารออกสู้รบเป็นสามารถ ทหารโจรชำนาญในขบวนรบไล่ฆ่าฟันทหารเมืองตังเกียตายลงหลายพัน เก็บได้เครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก แล้วก็กลับมาแจ้งความให้ซ้องกั๋งฟังทุกประการ ซ้องกั๋งได้แจ้งก็มีความยินดีจึงให้ยกข้ามไปค่ายเขาเนียซัวเปาะ

ขณะนั้นอวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิด ลุยเหงก็พาตัวตังซิหยงกับเครื่องศัสตราวุธเข้าไปให้ซ้องกั๋ง ๆ จึงให้เอาตัวตังซิหยงไปจำไว้ แล้วปูนบำเหน็จนายทหารโดยสมควรแก่ความชอบ

ฝ่ายกอกิวกับทหารพากันมาถึงเมืองจีจิวแล้วก็พักอยู่ในเก๋ง จึงเกณฑ์เจ้าเมืองกรมการต่อเรือและฝึกหัดทหารให้ชำนาญในขบวนรบ เวลาวันหนึ่งกอกิวออกว่าการอยู่หน้าเก๋งผู้รักษาเมืองและนายทหารก็ไปประชุมพร้อมกัน กอกิวจึงถามขุนนางทั้งปวงว่า กองทัพโจรมีอำนาจได้ชัยชนะก็เพราะสติปัญญาโงวหยงผู้เดียว ถ้าเราได้ตัวโงวหยงมาไว้ หรือคิดอ่านฆ่าเสียได้แล้ว ซ้องกั๋งกับทหารก็จะอยู่ในเงื้อมมือเราเป็นมั่นคง

ซือเกียเจ้าเมืองไทหงวนตอบว่า ซึ่งท่านจะคิดอุบายเกลี้ยกล่อมและฆ่าโงวหยงนั้นป่วยการเพราะโงวหยงคนนี้มีสติปัญญามากนัก ท่านจงคิดอ่านหาผู้อื่นที่มีสติปัญญามาคิดการศึกสู้กับโงวหยงจึงจะควร กอกิวถามว่าท่านยังเห็นผู้ใดมีสติปัญญาบ้าง ซือเกียบอกว่าบุ้นฮวนเจียงมีสติปัญญาได้ร่ำเรียนตำราพิชัยสงคราม รู้ฤกษ์บนฤกษ์ล่าง ถ้าท่านได้มาไว้แล้วการศึกคงสำเร็จ กอกิวจึงว่าเรากับบุ้นฮวนเจียงยังไม่รู้จักคุ้นเคยกัน ถึงจะมีหนังสือแต่งคนไปเกลี้ยกล่อมที่ไหนจะมา ครั้นเราจะไปหาเองก็ไม่ได้ด้วยติดราชการ จะคิดฉันใดจึงจะได้ตัวบุ้นฮวนเจียงมา ซือเกียตอบว่า บุ้นฮวนเจียงกับข้าพเจ้าเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็ก แล้วก็ได้เรียนหนังสืออาจารย์เดียวกัน ถ้าข้าพเจ้ามีหนังสือไปชักชวนก็เห็นจะเข้ามาทำราชการอยู่ด้วยท่าน กอกิวได้ฟังมีความยินดีนัก จึงให้เสมียนเขียนหนังสือแล้วจัดเงินห้าร้อยตำลึงกับแพรสีต่างๆ ยี่สิบไม้ให้คนใช้คุมไปให้บุ้นฮวนเจียง คนใช้รับหนังสือและสิ่งของแล้วคำนับลาไปตามสั่ง

เวลาวันหนึ่ง ซ้องกั๋งกับพี่น้องเหล่านั้นประชุมกันอยู่หน้าค่าย ทหารกองสอดแนมไปแจ้งความว่ากอกิวล่าทัพไปตั้งกองฝึกหัดทหารและต่อเรือรบอยู่เมืองจีจิวแล้วจะยกมาอีก ซ้องกั๋งได้แจ้งจึงปรึกษาโงวหยงว่าเราจะละให้กอกิวต่อเรือจะยกมาทำร้ายเรานั้นจะต้องสู้รบจนสิ้นฝีมือหนักแรงทหาร เราคิดจะยกไปรบยั่วศึกไว้อย่าให้กอกิวทำการใหญ่ได้ถนัดท่านจะเห็นประการใด โงวหยงตอบว่าซึ่งท่านคิดนั้นชอบแล้ว ซ้องกั๋งจึงแบ่งทหารให้อยู่รักษาค่ายพอสมควร แล้วก็จัดกองทัพเป็นขบวนยกมาเมืองจีจิว ทหารกองตระเวนก็ไปแจ้งแก่กอกิวให้ทราบทุกประการ กอกิวได้แจ้งจึงเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินเป็นสามารถแล้วจัดทหารเตรียมไว้สำหรับจะได้สู้กับทหารโจร

ฝ่ายซ้องกั๋งยกกองทัพมาใกล้เชิงกำแพงเมืองจีจิว ก็หยุดพักทหารอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จึงใช้ทหารไปร้องด่าว่าไอ้กอกิวรับอาสาเจ้าแผ่นดินมาแล้วทำไมหนีมาอยู่ในเมืองจีจิวเล่า บัดนี้นายเรายกทัพมาถึงแล้วจงออกมาคำนับเสียโดยดีจึงจะปล่อยให้กลับไปหาบุตรภรรยา ณ เมืองตังเกีย ทหารหน้าที่ได้ยินก็ไปแจ้งแก่กอกิวให้ทราบ กอกิวได้ฟังมีความโกรธจึงขึ้นม้าพาทหารมาประชุมอยู่ประตูเมือง แล้วสั่งให้ฮั่นซุนป๊อคุมทหารเปิดประตูออกมาร้องว่า ไอ้พวกกบฏนี้ทะนงตัวนัก เราจะตัดเอาศีรษะไปให้ท่านแม่ทัพจงได้ ว่าแล้วขับม้าตรงเข้ามา ซ้องกั๋งจึงให้อูเอียนเจียกขับม้าออกรบ ทหารทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันประมาณห้าสิบเพลงมิได้เสียทีแก่กัน

อูเอียนเจียกจึงคิดว่าทหารคนนี้มีฝีมือเข้มแข็งนัก จะหักด้วยกำลังเห็นจะไม่ได้ คิดแล้วทำอุบายชักม้าหนี ฮั่นซุนป๊อก็ขับม้าตามมาจนถึงชายน้ำทันกันเข้า ฮั่นซุนป๊อก็เอาง้าวแทงเลยไปในหว่างรักแร้ข้างซ้าย อูเอียนเจียกก็เอาแขนหนีบไว้ได้ จึงชักกระบองออกจะตีฮั่นซุนป๊อเอามือรับจับกระบองไว้ได้ นายทหารทั้งสองต่างฉุดชิงอาวุธกันตกจากหลังม้าก็ยังไม่วาง อูเอียนเจียกก็กระชากกระบองและง้าวด้วยกำลังแรง ฮั่นซุนป๊อยั้งตัวไม่ทันพากันล้มกลิ้งลงน้ำอาวุธก็หลุดจากมือ นายทหารทั้งสองก็ว่ายนํ้าปลํ้ากันอยู่

ขณะนั้นเตียเช็งคุมทหารจะมาช่วย พอแลเห็นอูเอียนเจียกกับฮั่นซุนป๊อลงไปปลํ้ากันอยู่ในน้ำ เตียเช็งจึงให้ทหารประดาน้ำลงไปจับตัวฮั่นซุนป๊อมัดขึ้นมาแล้วอูเอียนเจียกก็ตามขึ้นมาด้วย เตียเช็งจึงเอาง้าวและม้าของทหารเลวให้แก่อูเอียนเจียกรีบกลับไปค่าย แต่เตียเช็งกับทหารประมาณห้าพันคุมตัวฮั่นซุนป๊อไปยังหาถึงไม่ พอพบบ้วนเตียนคุมกองทัพมาตีสกัดหน้าไว้ เตียเช็งก็ขับม้าเข้ารบได้ประมาณห้าเพลง เตียเช็งชักม้าทำหนี บ้วนเตียนสำคัญว่าแพ้ก็ขับม้าไล่ตามไป เตียเช็งเหลียวหลังชายตาดูเห็นได้ทีก็เอาศิลาขว้างไปถูกแสกหน้าโลหิตไหล บ้วนเตียนเสียทีก็ชักม้าหนี เตียเช็งขับม้าไล่ตามไปเต็มกำลัง เมื่อเตียเช็งไล่บ้วนเตียนไปนั้น มิได้พิจารณาข้างซ้ายและขวามุ่งเขม้นหมายจะฆ่าบ้วนเตียนให้ได้

ขณะนั้นเตียไคคุมทหารจะมาช่วยบ้วนเตียน แลเห็นเตียเช็งขับม้าไล่บ้วนเตียนมา เตียไคก็ชักม้าพาทหารหลบเข้าอยู่ในชายไม้ พอเตียเช็งขับม้ามาถึง เตียไคเอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกตาม้าข้างขวา ม้าตกใจกระโดดสลัดเตียเช็งพลัดตกจากหลังม้านั้นวิ่งหนีไปด้วยกำลังเจ็บ เตียไคขับทหารเข้ารุมรบหวังจะจับเตียเช็งก็เข้าสู้รบเป็นสามารถ บ้วนเตียนเห็นดังนั้นก็ชักม้ากลับมาช่วยรบ เตียเช็งก็ควงทวนป้องกันอาวุธไว้ ครั้นจะใช้ก้อนศิลาวิเศษก็ไม่ได้ด้วยมือไม่ว่างแต่รบป้องกันตัวอยู่ประมาณยี่สิบเพลงเห็นเหลือกำลังนักจึงวิ่งหนีไป เตียไค บ้วนเตียนขยับจะชักม้าไปตาม พอฉินเหม็ง กวนเส็งขับม้าพาทหารเข้าตีสกัดหน้าไว้ นายทหารและทหารเลวเข้าต่อสู้กันเป็นอลหม่าน เตียเช็งเห็นพวกของตัวมาช่วยมีความยินดี จึงวิ่งกลับมารบโดยกำลังแข็งแรง แย่งชิงเอาตัวฮั่นซุนป๊อคืนมาได้ แต่รบขับเคี่ยวกันอยู่ประมาณสามโมงเศษ ทหารโจรมีกำลังชำนาญในขบวนรบก็ฆ่าฟันทหารตังเกียตายลงมาก บ้วนเตียน เตียไคนั้นถอยกำลังเห็นจะสู้ไม่ได้ก็ชวนกันขับม้าพาทหารหนีกลับเข้าเมืองจีจิว เตียเช็ง ฉินเหม็ง กวนเส็งก็พากันมายังที่ชุมนุมแล้วเอาตัวฮั่นซุนป๊อเข้าไปให้ซ้องกั๋ง ๆ สั่งให้เลิกกองทัพกลับไปเขาเนียซัวเปาะ ครั้นถึงก็ให้ทหารแก้มัดฮั่นซุนป๊อ และถอดเครื่องจำตังซิหยงที่กองทัพเรือจับมาได้แต่ครั้งก่อนนั้นออกมาแล้วให้นั่งที่สมควร

ซ้องกั๋งจึงว่าขออภัยเสียเถิดท่านทั้งสองอย่ามีความพยาบาทแก่เราเลย ฮั่นซุนป๊อ ตังซิหยงตอบว่าข้าพเจ้าเป็นข้าศึกท่านจับได้ไม่ฆ่านั้นคุณของท่านหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าไม่คิดร้ายแก่ท่านต่อไป ซ้องกั๋งตอบว่าเราไม่ทำอันตรายท่านจะได้หมายประโยชน์ในสิ่งอื่นนั้นหามิได้ หวังเอาพระเดชพระคุณพระเจ้าซ้องฮุยจงเป็นที่พึ่ง และซึ่งเรามาตั้งอยู่ตำบลเขาเนียซัวเปาะนี้ มิได้คิดประทุษร้ายแย่งชิงเอาราชสมบัติตั้งตัวเป็นใหญ่ คิดจะเข้าไปทำราชการฉลองพระเดชพระคุณมิได้ขาด แต่หาช่องโอกาสมิได้ ฮั่นซุนป๊อว่าครั้งก่อนก็ได้มีหนังสือรับสั่งให้หาแล้วทำไมท่านจึงไม่เข้าไปเล่า ซ้องกั๋งตอบว่าเราพี่น้องทั้งร้อยแปดคนได้สาบานกันไว้ว่าจะยากจนมีทุกข์สุขประการใดไม่ทิ้งกัน เมื่อมีหนังสือรับสั่งโปรดให้ข้าหลวงสามคนถือมานั้นมีความสงสัยอยู่หลายข้อ ประการหนึ่งผู้เป็นข้าหลวงถือหนังสือไว้ยศเกินวาสนา พี่น้องของเราได้ฟังหนังสือและเห็นกิริยาของข้าหลวงผิดปกติก็มีความสงสัยว่าเป็นอุบายของกังฉินจึงห้ามไว้ การเป็นเช่นนี้เราถึงไม่ได้เข้าไป

ฮั่นซุนป๊อจึงว่า ขุนนางในเมืองตังเกียเป็นกังฉินนั้นมาก ที่เป็นคนตงฉินนั้นน้อยนัก ถึงพระมหากษัตริย์จะตั้งอยู่ในยุติธรรมก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้ด้วยคนกังฉินคอยทูลยุยง และเมื่อมีหนังสือมาถึงท่านก็เป็นแต่รับสั่ง ข้อความในหนังสือจะดีร้ายประการใดไม่ทรงทราบจึงไม่สำเร็จ ซึ่งท่านสมัครจะเข้าไปทำราชการนั้นไม่ยากดอก ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าขุนนางและราษฎรในเมืองตังเกียและหัวเมืองไม่เป็นอันทำมาหากินได้ความเดือดร้อนเพราะต้องเกณฑ์มาในกองทัพ ประการหนึ่งพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จออกว่าราชการเวลาใดมิได้ตรัสด้วยราชการอื่นเลย เป็นกังวลแต่เรื่องท่าน ถ้าข้าพเจ้าได้กลับเข้าไปในเมืองตังเกียแล้วจะแจ้งความแก่ขุนนางผู้ใหญ่ที่เป็นตงฉินให้กราบทูล ถ้าทรงทราบแล้วก็จะดีพระทัยสิ้นวิตก ถึงขุนนางและราษฎรก็มีความยินดีด้วยไม่ต้องเกณฑ์ไปการทัพ คงจะกราบทูลให้มีหนังสือมาเกลี้ยกล่อมท่าน ซ้องกั๋งได้ฟังก็มีความยินดีสั่งคนใช้ให้ยกโต๊ะและสุรามาเลี้ยง ครั้นอิ่มหนำสำราญแล้วซ้องกั๋งจึงให้ทหารมาส่ง ฮั่นซุนป๊อ ตังซิหยงก็คำนับลามาขึ้นม้าพากันตรงไปเมืองจีจิว

ฝ่ายกอกิวตั้งแต่ทหารของตัวเสียทีแก่พวกโจรก็ไม่มีความสุข คิดตรึกตรองการที่จะเอาชัยชนะให้จงได้ จึงถามซือเกียว่าเมื่อไรบุ้นฮวนเจียงจะมาถึง ซือเกียยังไม่ทันตอบ พอฮั่นซุนป๊อ ตังซิหยงเข้าไปคำนับแจ้งความที่ได้พูดกับซ้องกั๋งให้ทราบทุกประการ กอกิวได้ฟังมีความโกรธตวาดว่าเจ้ากลับใจไปเข้าเป็นพวกกบฏ แล้วยังมีหน้ามาสรรเสริญไอ้ซ้องกั๋งให้เราฟังอีกเล่า เราจะต้องทำโทษเจ้าตามอาญาศึก ว่าแล้วสั่งทหารให้เอาตัวฮั่นซุนป๊อ ตังซิหยงไปตัดศีรษะเสียบประจานไว้หน้าเมือง ทหารทั้งปวงจึงห้ามว่าฮั่นซุนป๊อ ตังซิหยงไปทำศึกเสียที ท่านให้ทำโทษนั้นถูกแล้ว แต่ข้อที่ว่าเอาใจไปเผื่อแผ่แก่ข้าศึกนั้นเห็นจะไม่เป็น ประการหนึ่งท่านกับซ้องกั๋งก็ยังจะคิดทำการศึกต่อไปอีก จะมาฆ่าฟันทหารผู้มีฝีมือเสียนั้นไม่ชอบ ข้าพเจ้าขอชีวิตคนทั้งสองไว้ให้ทำการแก้ตัวครั้งหนึ่งก่อน กอกิวตอบว่าท่านทั้งปวงขอชีวิตมันไว้เราก็จะยอม แต่จะให้คงที่ทำราชการอยู่นั้นไม่ได้ต้องถอดจากที่แล้วขับเสียจากกองทัพ พวกนายทหารจึงว่าข้าพเจ้าขอชีวิตไว้หวังจะได้อยู่ช่วยราชการ ซึ่งท่านจะให้ขับไล่ไปนั้นทหารทั้งปวงก็จะเสียน้ำใจ กอกิวจึงว่า ทหารเหมือนกับภรรยา ธรรมดาภรรยานั้นถ้าตกไปอยู่ในเงื้อมมือชายอื่นแล้ว ท่านทั้งปวงจะมีความสงสัยหรือไม่ หรือจะรับกลับมาเลี้ยงอยู่กินด้วยกันเป็นปกติตามเดิม นายทหารทั้งปวงได้ฟังก็นิ่งอยู่ กอกิวจึงให้ถอดฮั่นซุนป๊อ ตังซิหยงออกจากที่ขุนนางนายทหารแล้วให้ขับเสียจากกองทัพ ฮั่นซุนป๊อ ตังซิหยงก็กลับมายังเมืองตังเกีย แล้วไปแจ้งความแก่แต้กือตงขุนนางผู้ใหญ่ให้ทราบทุกประการ

แต้กือตงถามฮั่นซุนป๊อว่า ท่านพิเคราะห์ดูกิริยาซ้องกั๋งเห็นว่าจะเข้ามาสามิภักดิ์โดยสุจริตแน่แล้วหรือ ฮั่นซุนป๊อว่าซ้องกั๋งเป็นคนสุจริตจะพูดจาสิ่งใดก็ยั่งยืนจึงมีคนนับถือสมัครอยู่ด้วยเป็นอันมาก แต้กือตงพูดว่าแต่เราผู้เดียวเห็นจะคิดไปไม่ตลอด ก็พาตัวฮั่นซุนป๊อไปหาอือชิมแล้วเล่าความให้ฟัง อือชิมจึงว่าความเรื่องซ้องกั๋งนี้ เป็นพนักงานของพวกขุนนางกังฉินจัดแจง เราจะชิงเอามากราบทูลนั้นถ้าทรงเชื่อก็ดีอยู่ ถ้าหากไม่เชื่อแล้วซัวเกียก็จะทูลซ้ำเติมเราให้ได้ความผิด จะต้องไปปรึกษาซัวเกียเสียก่อนด้วยเป็นที่อุปราช พูดแล้วก็พากันมา ณ บ้านซัวเกียเล่าความให้ฟังทุกประการ

ซัวเกียจึงว่า ซึ่งซ้องกั๋งจะสมัครเข้ามาเป็นข้าราชการนั้นเรามีความยินดีด้วยสิ้นธุระราชการไปเรื่องหนึ่ง เวลาพรุ่งนี้เราจะกราบทูลให้ แต้กือตง อือชิม ฮั่นซุนป๊อ คำนับลากลับไปที่อยู่ ครั้นรุ่งเช้าพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จออกว่าราชการ ซัวเกีย แต้กือตง อือชิมก็เข้าไปเฝ้า ซัวเกียจึงกราบทูลความตามฮั่นซุนป๊อมาบอกให้ทราบทุกประการ พระเจ้าซ้องฮุยจงตรัสว่า ครั้งก่อนเราได้มีหนังสือให้หาตัวก็ไม่เข้ามา กลับทุบตีผู้ถือหนังสือได้ความอัปยศ และท่านทั้งปวงจะให้เรามีหนังสือไปอีกนั้น ถ้าการเป็นเหมือนครั้งก่อนแล้วมิได้ความอัปยศอีกหรือ แต้กือตงทูลว่า หนังสือนั้นครั้งก่อนกล่าวความแข็งแรงและไม่โปรดยกโทษให้ การจึงผันแปรไปต่างๆ ครั้งนี้ ถ้ามีหนังสือแต่งข้าหลวงไปว่ากล่าวโดยดี เห็นจะเข้ามาฉลองพระเดชพระคุณเป็นมั่นคง พระเจ้าซ้องฮุยจงก็โปรดให้มีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมตามคำแต้กือตงกราบทูลแล้วตรัสว่า กอกิวก็ใช้คนมาเกลี้ยกล่อมบุ้นฮวนเจียงจะเอาไปเป็นที่ปรึกษาก็ยังไม่ได้ ท่านจงหาตัวบุ้นฮวนเจียงเข้ามาแล้วแต่งให้เป็นข้าหลวงถือหนังสือไปเถิด สั่งแล้วก็เสด็จขึ้น ขุนนางเจ้าพนักงานก็มาทำตามรับสั่ง

ฝ่ายงู่ปังฮี้ครั้นต่อเรือรบใหญ่น้อยได้สองพันห้าร้อยลำเสร็จแล้ว จึงมาแจ้งแก่กอกิวให้ทราบทุกประการ กอกิวก็มีความยินดีจึงสั่งทหารให้เอาสายโซ่ร้อยเรือเทียบกันเป็นคู่ ๆ บนปากเรือนั้นให้ทอดกระดานตรึงเหล็กให้แน่นหนา ทหารก็ไปทำการตามสั่งแล้วถอยเรือออกมาจอดอยู่หน้าเมืองจีจิว กอกิวจึงให้ทหารลงฝึกหัดเพลงอาวุธให้ชำนาญในเชิงเรือ คอยท่าบุ้นฮวนเจียงมาถึงจึงจะยกไปทำศึกอีก กองสอดแนมก็ไปแจ้งแก่ซ้องกั๋งและโงวหยงให้ทราบทุกประการ

ซ้องกั๋งจึงถามโงวหยงว่ากอกิวจะยกมาครั้งนี้ท่านจะคิดอ่านประการใด โงวหยงตอบว่าถ้ากองทัพเรือยกมาถึงเวลาใด ข้าพเจ้าจะคิดอุบายเอาเพลิงเผาเสีย ซ้องกั๋งจึงว่าจะคิดทำประการใดก็แล้วแต่ท่านจะเห็นควรเถิด โงวหยงจึงสั่งเล่าตงจัดเรือเล็กห้าร้อยลำ ในเรือนั้นให้บรรจุฟางและหญ้าโรยดินประสิวราดน้ำมันยางล่ามชนวนให้ตลอดลำ จะได้จุดเป็นเชื้อเพลิง เกณฑ์ทหารประดาน้ำอยู่ลำละคน แล้วให้ถอยไปซุ่มอยู่ที่สองฟาก ให้ฉินเหม็ง อูเอียนเจียกคุมทหารนายละห้าพันไปซุ่มอยู่คนละฟากน้ำ ถ้าเห็นว่ากองทัพไล่กองล่อเข้ามาตรงเรือเชื้อเพลิงแล้วให้เอาเกาทัณฑ์ยิงกราดไว้อย่าให้ถอยขึ้นลงได้ อนึ่งพุ่มไม้ป่าละเมาะริมน้ำทั้งสองฟากนั้น ทำธงยี่ห้อปักไว้เป็นสำคัญ ให้ทหารถือม้าล่อและกลองประจำธงอยู่กองละเก้าคนสิบคน ถ้าได้ยินเสียงประทัดบนยอดเขาแล้ว จงตีกลองและม้าล่อจุดประทัดรับการต่อไป ทหารประดาน้ำพายเรือเชื้อเพลิงตรงเข้าไปหากองทัพเรือเอาเพลิงจุดขึ้นแล้วลงนํ้าดำหนีมาถ้าเห็นเพลิงไหม้เรือรบขึ้นแล้วจึงให้ทหารกองฉินเหม็ง อูเอียนเจียกเอาหม้อดินดำนํ้าทิ้งลงไปในเรือ ถ้าข้าศึกหนีเพลิงลงน้ำจะขึ้นบกก็ให้กองลวงตีม้าล่อให้อื้ออึงไว้ แล้วสั่งให้ทหารปลูกศาลเทพารักษ์ดาดเพดานปักราชวัตธูปเทียนบูชาเครื่องบวงสรวงไว้ให้พร้อมสำหรับกงซุนสินจะอ่านมนต์เรียกฝนและลม ถ้าเห็นเมฆตั้งอากาศมืดลมพัดกล้าให้เลงจิ้นตีกลองใหญ่และม้าล่อเป็นสำคัญ แต่กองบกนั้นให้เอียจี้ ลิมชอง จูตงคุมทหารไปซุ่มคอยสกัดตีกองทัพกอกิวไว้อย่าให้ยกมาได้ นายทหารก็มาเตรียมการคอยท่าอยู่ตามสั่ง

ฝ่ายกอกิวฝึกหัดทหารชำนาญแล้วจึงปรึกษาซือเกียว่ากองทัพบกและเรือพร้อมแล้ว บุ้นฮ้วนเจียงก็ยังไม่มาจะคอยท่าอยู่ก็เปลืองเสบียงอาหารป่วยการเปล่า ประการหนึ่งซ้องกั๋งจะหมิ่นประมาทว่าเรากลัวฝีมือจำจะยกไปสู้รบกว่าบุ้นฮวนเจียงจะมาถึง ท่านจะเห็นประการใด ซือเกียตอบว่าซึ่งท่านคิดนั้นควรแล้ว กอกิวจึงให้เล่ามั่งเหล็งเป็นทัพหน้า งู่ปังฮี้ ตังซิเอ็งเป็นทัพหนุนรีบยกกองทัพเรือล่วงหน้าไปก่อน แล้วกอกิวจึงจะยกทัพบกหนุนตามไป เล่ามั่งเหล็ง งู่ปังฮี้ ตังซิเอ็ง คำนับลามาคัดทหารยกไปตามสั่ง

ขณะนั้นกองทัพเรือที่ยกมานั้น กองสอดแนมก็ไปแจ้งแก่โงวหยงทุกประการ โงวหยงจึงบอกกงซุนสินให้ตั้งพิธี กงซุนสินก็อาบน้ำชำระกายนุ่งห่มเหมือนหลวงจีน เข้านั่งชักประคำอ่านมนต์อยู่ในโรงพิธี

ฝ่ายเล่ามั่งเหล็ง งู่ปังฮี้ ตังซิเอ็งยกกองทัพมาใกล้จะถึงเขาเนียซัวเปาะจึงให้หยุดกองทัพลงไว้คอยฟังทหารโจรจะคิดประการใด ทองอุย ทองเม้งเห็นกองทัพเรือเมืองตังเกียไม่เข้ามาสมคิด จึงชวนกันลงเรือตกเบ็ดคนละลำพายตรงไปหากองทัพหน้า แล้วลุกขึ้นเต้นรำตบมือหัวเราะกวักมือเรียก เล่ามั่งเหล็งเห็นก็มีความโกรธจึงให้ทหารให้ตีกรรเชียงเรือไล่เข้ามา ทัพหนุนก็ยกตาม ทองอุย ทองเม้งพายเรือหนีล่อมาห่าง ๆ พอพ้นลูกเกาทัณฑ์จนถึงเรือเชื้อเพลิง ทองอุย ทองเม้งจึงรอเรือแล้วทำหลอกหลอนต่างๆ เล่ามั่งเหล็งจึงให้ทหารเกาทัณฑ์ระดมยิงมาเป็นอันมาก ทองอุย ทองเม้งจึงกระโดดลงในน้ำเอาเรือเป็นโล่บังลูกเกาทัณฑ์ไว้ เล่ามั่งเหล็งก็เร่งทหารให้ตีกรรเชียงรีบเข้าไปไม่ใคร่ไหวด้วยเรือนั้นใหญ่ตรึงเหล็กพืดเทียบกันถึงสองลำ

ฝ่ายกงซุนสินนั่งชักประคำอ่านมนต์ขอลมอยู่ประสองยามเศษ ด้วยเดชะอำนาจคาถาบันดาลให้เมฆตั้งขึ้นมืดคลุ้มเหมือนฝนจะตก บัดเดี๋ยวลมพายุใหญ่ก็พัดมา เลงจิ้นก็จุดประทัดตีม้าล่อและกลองสัญญาขึ้น ทหารกองลวงก็ตีรับกันเสียงสนั่น เล่ามั่งเหล็ง งู่ปังฮี้ ตังซิเอ็งได้ยินเสียงประทัดม้าล่อและกลองก็ตกใจไม่รู้ว่ากองทัพโจรจะยกมาทางไหน แลเห็นแต่ธงประจำทัพหักรายอยู่ตามพุ่มไม้ริมฝั่ง สำคัญว่ากองทัพซุ่มคอยสกัดอยู่มาก จึงสั่งทหารให้ถอยหลัง ฉินเหม็ง อูเอียนเจียกก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์สกัดหน้าและหลังไว้ลูกเกาทัณฑ์ติดเนื่องกันเหมือนห่าฝน ทหารที่ตีกรรเชียงเรือไม่อาจประจำอยู่ได้เรือก็ร่นปะทะติดกันไม่เป็นระยะ

ขณะนั้นทหารโจรพายเรือเชื้อเพลิงตรงเข้ามาใกล้เอาเพลิงจุดชนวนแล้วโดดลงน้ำ เสือกเชื้อเพลิงเข้าไปชิดเรือแล้วดำน้ำหนีมาขึ้นฝั่ง ทหารในเรือเห็นเพลิงลอยเข้ามาใกล้ก็จับกรรเชียงและถ่อจะค้ำไฟออกให้ห่าง ทหารโจรเอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกทหารล้มลงเชื้อเพลิงก็ติดไหม้ข้างเรือขึ้น ฉินเหม็ง อูเอียนเจียกจึงให้ทหารเอาหม้อดินดำทิ้งลงในเรือ เพลิงก็ติดดินดำขึ้น ทหารในเรือจะช่วยกันดับก็ไม่ได้ เพลิงนั้นติดไหม้เรือเป็นหลายลำ เล่ามั่งเหล็ง งู่ปังฮี้ ตังซิเอ็งก็พาทหารหนีเพลิงจะว่ายน้ำขึ้นบก ทหารกองลวงก็ระดมตีม้าล่อและกลองหนักขึ้นแล้วก็เอาเกาทัณฑ์ยิงต้านไว้ พวกทหารเมืองตังเกียตกใจกลัวไม่อาจขึ้นไปได้ ทองอุย ทองเม้ง เตียหวย ลี้จุนก็พาทหารประดาน้ำลงไล่ฆ่าฟันชาวเมืองตังเกียตายเป็นอันมาก เตียหวย จับตัวงู่ปังฮี้ ลี้จุนจับเล่ามั่งเหล็งได้แต่ตังซิเอ็งนั้นหนีไป ทหารโจรฆ่าทหารเมืองตังเกียจมน้ำตายประมาณสองหมื่น ที่หนีขึ้นบกได้ก็ไปเมืองจีจิว ทหารโจรได้เรือรบและเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก เตียหวย ลี้จุนจึงปรึกษากันว่าแต่ก่อนพวกเราจับทหารชาวเมืองตังเกียได้ครั้งใด ซ้องกั๋งผู้พี่ก็ปล่อยเสียทุกครั้ง และซึ่งเราจับได้ เล่ามั่งเหล็ง งู่ปังฮี้ครั้งนี้เอาตัวไปให้ซ้องกั๋งก็จะปล่อยเสียอีก อย่าจับเป็นไปเลย เอาแต่ศีรษะไปให้เถิด ปรึกษากันแล้วก็เอากระบี่ตัดศีรษะเล่ามั่งเหล็ง งู่ปังฮี้แล้วก็นำเอาไปให้ซ้องกั๋ง โงวหยง ๆ จึงให้เอาศีรษะนายทหารทั้งสองข้ามฟากไปเสียบประจานไว้ที่หน้าค่ายเก่า

ฝ่ายกอกิวคุมทหารเดินทัพมาถึงทางที่เอียจี้ ลิมชอง จูตงคุมทหารซุ่มอยู่นั้น พอม้าใช้มาแจ้งว่ากองทัพเรือเสียทีแก่พวกโจรแล้ว กอกิวได้ฟังมีความเสียใจสิ้นสติจนอาวุธหลุดจากมือ นิ่งตะลึงอยู่เป็นครู่ ครั้นได้สติแล้วก็ให้ทหารตีกลองสัญญาหยุดกองทัพลงไว้ จึงปรึกษาซือเกียว่าเราเสียกองทัพเรือคราวนี้เหมือนเสียแขนขวา ซึ่งจะยกกองทัพไปอีกนั้นก็เห็นจะเสียที จำจะถอยทัพกลับไปยังเมืองจีจิวก่อน คอยท่าบุ้นฮวนเจียงมาถึงจึงคิดแก้แค้นให้ถึงขนาด ซือเกียว่าท่านจะกลับนั้นชอบแล้ว กอกิวจึงบอกทหารให้กลับทัพพอพวกทหารบ่ายหน้าจะกลับ ก็ได้ยินเสียงประทัดและม้าล่อที่ในป่าทั้งสองข้างทางเห็นพวกโจรขับม้าโอบตีตัดกลางออกมา กอกิวจึงให้อ้องหวนออกรบกับซกเถียวได้ประมาณห้าเพลง อ้องหวนทานกำลังมิได้ขับม้าหนีมาหากองทัพใหญ่ เอียจี้ ลิมชอง จูตง ซกเถียวก็ขับม้าพาทหารระดมตีกระหนาบหน้าหลังเป็นสามารถ ทหารกอกิวต้านทานมิได้ก็แตก ทหารโจรไล่ฆ่าฟันทหารเมืองตังเกียตายลงประมาณสองพันเศษ ทหารที่มีฝีมือก็ช่วยรบป้องกันพากอกิวหนีมายังเมืองจีจิว เอียจี้ ลิมชอง จูตง ซกเถียวก็เลิกกองทัพกลับมาค่าย เอาเครื่องศัสตราวุธและศีรษะทหารเมืองตังเกียให้แก่ซ้องกั๋งแล้วแจ้งความมาให้ทราบทุกประการ ซ้องกั๋งมีความยินดีสั่งคนใช้ให้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงแล้วปูนบำเหน็จนายทหารโดยสมควร

ฝ่ายกอกิวตั้งแต่เสียเรือรบและทหารมิได้มีความสุข ไม่ออกว่าการงานหลายเวลา พอทหารเข้าไปแจ้งว่าบุ้นฮวนเจียงถือหนังสือรับสั่งมาเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋ง กอกิวได้แจ้งจึงขึ้นม้าพาทหารออกไปรับข้าหลวงเข้ามา ณ เก๋งที่พัก กอกิวบอกบุ้นฮวนเจียงว่าเราจะไปหาท่านถึงบ้านก็ไปไม่ได้ด้วยการศึกยังรบติดพันกันอยู่ จึงให้คนใช้คุมสิ่งของคำนับไป เชิญท่านผู้มีปัญญามาปราบปรามซ้องกั๋งและพรรคพวกผู้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินเราตั้งใจคอยอยู่ทุกเวลา ซึ่งท่านมาถึงวันนี้เรามีความยินดีนัก เหมือนเทพยดานำเอาดวงแก้วอันวิเศษมาให้การสิ่งใดที่เราคิดไว้คงสำเร็จในคราวนี้เป็นแน่

บุ้นฮวนเจียงตอบว่าการศึกที่จะติดต่อไปขอให้งดไว้ก่อนเชิญท่านคิดการดีกันเสียก่อน กอกิวจึงถามว่าไอ้ซ้องกั๋งกับโงวหยงเผาเรือฆ่าทหาร เก็บสิ่งของเครื่องศัสตราวุธซึ่งเป็นของหลวงไว้เป็นอันมาก เรามีความแค้นและอายยิ่งนักท่านจะให้เป็นไมตรีกับมันกระไรได้ บุ้นฮวนเจียงตอบว่าบัดนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงมีหนังสือรับสั่งว่า ซ้องกั๋งทำการล่วงพระอาญาเสียทแกล้วทหารและสิ่งของซึ่งเป็นพระราชทรัพย์นั้น โปรดยกโทษให้ซ้องกั๋งและพรรคพวกเสีย ข้าพเจ้าจึงเตือนท่านให้คิดดีกัน กอกิวจึงว่าเรารับอาสาเป็นแม่ทัพมาก็หมายใจจะทำศึกแก้แค้นให้ถึงขนาด เรายกทัพออกไปทำศึกครั้งใดโงวหยงก็คิดกลศึกฆ่าทหารเราตายเป็นอันมากเหมือนกับฝีกาฬเกิดในทรวงอก จึงให้เชิญท่านผู้เป็นหมอมาช่วยรักษา ควรหรือท่านจะเอาเกาทัณฑ์มายิงซ้ำให้เรามีความเจ็บทวีมากขึ้น บุ้นฮวนเจียงตอบว่า เมื่อคนใช้ไปแจ้งความแก่ข้าพเจ้านั้นก็ตั้งใจหมายจะมาช่วยสนองคุณท่าน พอขุนนางไปบอกว่ารับสั่งให้เป็นข้าหลวงถือหนังสือมาเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋ง ข้าพเจ้าจึงรีบมาหวังจะแจ้งความทั้งปวงให้ท่านทราบ กอกิวว่าท่านจะอนุเคราะห์เราจริงแล้ว จงงดหนังสือไว้อย่าให้ซ้องกั๋งรู้ความ ท่านกับเราช่วยกันคิดจับซ้องกั๋งกับโงวหยงฆ่าเสียก่อนท่านจะสงเคราะห์ได้หรือไม่ บุ้นฮวนเจียงตอบว่าท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ควรจะเป็นที่พึ่งแก่ขุนนางผู้น้อยและราษฎร พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงนับถือวางพระทัยให้เป็นแม่ทัพออกมาปราบปรามศัตรูอันเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน ท่านแต่งทหารออกมารบหลายครั้งก็ไม่ได้ชัยชนะ จึงทรงเห็นว่าพวกโจรมีฝีมือเข้มแข็งจะตั้งรบขับเคี่ยวเอาชัยชนะนั้นยาก แม่ทัพนายทหารและราษฎรก็จะได้ความลำบากเดือดร้อน จึงได้โปรดให้มีหนังสือมาเกลี้ยกล่อมแต่โดยดีหวังมิให้มีการศึกสืบไป ควรที่ท่านกับทหารทั้งปวงจะสรรเสริญคุณพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งท่านจะให้ปิดหนังสือและแปลงข้อความเสียนั้นไม่สมควร อนึ่งได้ทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงซ้องกั๋งแล้วถึงท่านทำการมีชัยชนะสมความคิด คุณกับโทษก็พอจะกลบลบกันได้ ถ้าแม้นการไม่สมคิดท่านกับข้าพเจ้าก็จะมีความผิดเสมอโทษด้วยกบฏ เชิญท่านตรึกตรองการหน้าและหลังให้ตลอดเสียก่อนเถิด

กอกิวได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธแต่ไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงสั่งคนใช้ให้ยกโต๊ะและสุรามาเลี้ยง ขณะเมื่อกินโต๊ะอยู่นั้นบุ้นฮวนเจียงพิเคราะห์ดูกิริยากอกิวก็เข้าใจว่าโกรธ จึงว่าลักษณะแม่ทัพจะคิดอ่านทำการศึกแล้วต้องตรึกตรองหาช่องเอาชัยชนะ ถ้าทำการได้สมความคิดแล้วก็มีความยินดี แต่คำคนที่เป็นปราชญ์นั้นกล่าวว่า “ถึงชนะศึกภายนอกสักร้อยครั้งพันครั้งก็ดี ก็ยังสู้ชนะศึกภายในครั้งหนึ่งไม่ได้” ความสองอย่างนี้แล้วแต่ท่านจะเห็นควรเถิด กอกิวตอบว่าการซึ่งท่านกับเราสนทนากันนี้เป็นความสุขุมของดไว้ตรึกตรองก่อน เชิญท่านกินโต๊ะให้สบายเถิด บุ้นฮวนเจียงก็นั่งกินโต๊ะเสพสุราไป

ขณะนั้นอ้องกึนกรมการผู้ใหญ่เมืองจีจิวจึงบอกกอกิวว่า ซึ่งมีหนังสือรับสั่งมาครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นช่องที่จะฆ่าซ้องกั๋งได้สมคิด กอกิวได้ฟังมีความยินดีร้องเรียกอ้องกึนเข้ามานั่งใกล้แล้วถามว่า ท่านเห็นอุบายอย่างไรจึงจะคิดฆ่าซ้องกั๋งได้ อ้องกึนว่าขอให้ท่านแต่งคนไปบอกซ้องกั๋งว่า ข้าหลวงเชิญหนังสือรับสั่งพระเจ้าซ้องฮุยจงมาถึงซ้องกั๋ง บัดนี้ข้าหลวงมาพักอยู่เมืองจีจิว ครั้นข้าหลวงจะเชิญหนังสือมาให้ถึงตำบลเขาเนียซัวเปาะ ก็เกรงว่าจะเกิดอันตรายแก่ข้าหลวงเหมือนครั้งก่อน ถ้าซ้องกั๋งคิดสมัครจะทำราชการแล้วก็ให้พาพรรคพวกมาฟังหนังสือที่หน้าเชิงเทินเมืองจีจิว ข้าหลวงจะได้อ่านหนังสือรับสั่งให้ฟัง ถ้าซ้องกั๋งมาแล้วท่านจงฉีกผนึกหนังสือให้พวกเราอ่าน แล้วให้คนอ่านแปลความว่าพรรคพวกของซ้องกั๋งมากน้อยเท่าใด โปรดยกโทษให้ไปหากินตามภูมิลำเนา แต่ตัวซ้องกั๋งนั้นให้เข้าไปเฝ้าพร้อมกับข้าหลวง ถ้าซ้องกั๋งเข้ามาในเมืองจีจิวแล้วเราจับฆ่าเสียก็สิ้นศึก อุปมาเหมือนต้นไม้ แม้นตัดต้นเสียแล้วปลายก็ต้องตาย กอกิวจึงว่าถ้าซ้องกั๋งเข้ามาการที่คิดก็คงจะสำเร็จ ถ้าซ้องกั๋งไม่เข้ามาท่านจะทำประการใด อ้องกึนว่าซ้องกั๋งเป็นคนสัตย์ซื่อ รักยศอยากเป็นขุนนาง ถ้าได้ข่าวว่ามีรับสั่งโปรดให้เข้าไปเฝ้าแล้วคงรีบมาเป็นแท้ ประการหนึ่งโงวหยงก็ถือตัวว่ามีสติปัญญาและมีทหารฝีมือเข้มแข็ง จะทัดทานไว้ไม่ให้เข้ามาก็มีความละอายกลัวพวกเราจะหมิ่นประมาทว่าเป็นคนขลาด คงให้ซ้องกั๋งมาท่านอย่าได้วิตกเลย

กอกิวได้ฟังจึงว่าความคิดของท่านนี้ดีนัก แล้วถามบุ้นฮวนเจียงว่าอ้องกึนคิดการเช่นนี้ท่านจะเห็นเป็นประการใด บุ้นฮวนเจียงจึงคิดแต่ในใจว่ากอกิวคนนี้มีสันดานประกอบการเป็นคนพาล ครั้นเราจะทัดทานไว้ก็คงโกรธ ถ้าเราจะยุส่งเสริมไปก็จะเสียทีกับพวกซ้องกั๋ง อย่ากระนั้นเลยจะพูดเป็นกลางไว้ดีกว่า

คิดแล้วตอบว่าการที่อ้องกึนคิดนั้นแม้นสมนึกก็จะดี ถ้าไม่สมนึกก็จะแพ้ภัยตัวซึ่งจะเห็นดีประการใดแล้วแต่ใจท่าน กอกิวจึงสั่งทหารให้ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เป็นสามารถ บนเชิงเทินที่จะอ่านหนังสือนั้นตั้งเก้าอี้ มีธงสำหรับแผ่นดินปักประจำไว้ตรงหน้าเก้าอี้ออกมา ก็แต่งโต๊ะเครื่องบูชาไว้หลายที่ ให้ทหารยืนประจำตามตำแหน่งทำเหมือนพระเจ้าซ้องฮุยจงออกว่าราชการ จึงสั่งคนใช้ให้ไปบอกความกับซ้องกั๋งตามคำอ้องกึนพูด คนใช้ก็คำนับลาไปแจ้งความตามสั่ง ซ้องกั๋งได้แจ้งมีความยินดี จึงปรึกษาโงวหยงว่ากอกิวให้เราเข้าไปฟังหนังสือรับสั่งที่หน้าเชิงเทินเมืองจีจิวนั้นท่านจะเห็นเป็นประการใด โงวหยงตอบว่าการครั้งนี้จะว่าจริงก็ได้ จะว่าเป็นอุบายก็ได้ ควรที่ท่านจะเข้าไปฟังหนังสือให้รู้ว่าร้ายหรือดี แต่จะต้องเตรียมทหารไปด้วยเกลือกมีเหตุจะได้แก้ไขกัน

โงวหยงจึงสั่งให้ อองเอง ซึงซิน เตียเช็ง นางโฮ้วซาเหนีย นางโกวตัวซอ นางซึงยีเหนียคุมทหารม้าพันหนึ่ง ไปซุ่มอยู่ฝ่ายทิศตะวันออกเมืองจีจิว ลีขุย ฮวนสุย เปาหยก หังชอง ลีกุนคุมทหารเดินเท้าพันหนึ่งไปซุ่มอยู่ทิศตะวันตกให้คอยฟังเสียงประทัดสัญญา ถ้าได้ยินเสียงประทัดแล้วเร่งยกมาด้วยกันโดยเร็ว นายทหารก็ยกไปซุ่มอยู่ตามสั่ง แต่ซ้องกั๋งกับโงวหยงนายทหารและทหารเลวนั้นก็แต่งตัวสวมเสื้อเกราะถืออาวุธขึ้นม้าเป็นขบวนยกมาเมืองจีจิว พวกทหารเรือนั้นอยู่รักษาค่าย ครั้นมาถึงหน้าเมืองจีจิวห่างเชิงเทินประมาณสองลี้ ซ้องกั๋งจึงให้ทหารยืนม้าเป็นหน้ากระดานสองแถวแต่ม้าซ้องกั๋งกับโงวหยงนั้นยืนอยู่หน้าทหารทั้งปวงแล้วก็ยกมือขึ้นคำนับพร้อมกัน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ