๒๒

พวกกรมการออกมาดูเห็นยายเงียมผอยึดตงงูยีไว้ไม่ใช่ซ้องกั๋ง จึงเอาตัวตงงูยีกับยายเงียมผอเข้าไปที่โรงชำระ ผู้รักษาเมืองหุนเสียกุ้ยแจ้งว่าเกิดความเรื่องฆ่าคนตาย ก็ออกมายังโรงชำระ เห็นยายแก่กับชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ ผู้รักษาเมืองถามว่าเหตุผลประการใดจึงได้ฆ่ากันตาย ยายเงียมผอก็เล่าความว่า ข้าพเจ้ามีบุตรสาวคนหนึ่ง ชื่อเงียมผอเสียะยกให้เป็นภรรยาซ้องกั๋ง เวลาคืนนี้ซ้องกั๋งกับบุตรสาวข้าพเจ้าเสพสุราอยู่ด้วยกัน ตงงูยีไปหาซ้องกั๋งก็วิวาทขึ้นกับข้าพเจ้า ๆ ไล่ตงงูยีออกมาเสียจากบ้าน ครั้นรุ่งขึ้นเช้าซ้องกั๋งตื่นนอนจากบ้านได้สักครู่หนึ่งก็กลับไปฆ่าเงียมผอเสียะตาย ข้าพเจ้าจึงได้พูดล่อลวงซ้องกั๋งมาถึงหน้าโรงชำระก็ยึดซ้องกั๋งไว้ ตงงูยีเข้าตีข้าพเจ้าเจ็บป่วยมากแก้ซ้องกั๋งปล่อยให้หนีไปขอให้ท่านได้โปรดด้วย ผู้รักษาเมืองถามว่าเหตุใดเจ้าจึงบังอาจปล่อยคนร้ายให้หนีไป ตงงูยีบอกว่า เวลาคืนนี้ข้าพเจ้าไปหาซ้องกั๋งที่บ้านจะขอเงินมาซื้อรับประทานบ้างเล็กน้อย ยายเงียมผอด่าว่าผลักไสออกมาเสียจากบ้าน ครั้นรุ่งขึ้นเช้าข้าพเจ้าเอาสิ่งของจะไปขายตลาดเดินมาถึงหน้าโรงชำระเห็นยายเงียมผอยึดซ้องกั๋งไว้ ข้าพเจ้าเข้าช่วยจึงได้หลุดออกหนีไป ไม่ทราบว่าซ้องกั๋งฆ่าบุตรสาวยายเงียมผอตาย

ผู้รักษาเมืองได้ฟังก็ร้องตวาดว่า แกล้งมาใส่ความเอาซ้องกั๋ง ๆ เป็นคนสัตย์ซื่อดี ที่ไหนจะฆ่าคนตาย ความรายนี้จะเกี่ยวข้องประการใดหรือเจ้าฆ่าตายดอกกระมัง แล้วร้องเรียกพนักงานจดถ้อยคำยายเงียมผอกับตงงูยีไว้ เตียบุนอ๊วนขุนนางฝ่ายหนังสือครั้นแจ้งว่าซ้องกั๋งฆ่านางเงียมผอเสียะภรรยาตายก็เสียใจ ตรงมาที่โรงชำระพอผู้รักษาเมืองสั่งให้จดถ้อยคำก็เข้าไปจดทั้งสองฝ่าย แล้วพาพวกทหารไปชันสูตรบาดแผลนางเงียมผอเสียะ เห็นมีดเล็กผูกไว้กับลูกกุญแจของซ้องกั๋งสำหรับถือวางอยู่ใกล้ศพ เตียบุนอ๊วนจำได้ว่าของซ้องกั๋งมาลืมไว้ เห็นจะเป็นซ้องกั๋งฆ่าตายจริง ครั้นชันสูตรบาดแผลแล้วเอาศพไปฝากไว้ที่ศาลเจ้า เตียบุนอ๊วนเอามีดเล็กกับลูกกุญแจพาทหารกลับมายังโรงชำระแจ้งความกับผู้รักษาเมืองทุกประการ ผู้รักษาเมืองคิดช่วยซ้องกั๋งด้วยเป็นคนชอบพอรักใคร่ โทษนั้นจะทอดเทให้กับตงงูยี ครั้นแจ้งความแล้วจึงถามตงงูยีว่าเวลาคืนนี้เข้าไปหาซ้องกั๋งที่บ้านด้วยเหตุผลอันใด ตงงูยีว่า ข้าพเจ้าไปเพื่อจะขอเงินมาใช้สอย ความอันนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบเลย ผู้รักษาเมืองร้องตวาดว่า เจ้าไม่รับเสียโดยดีก็ต้องทำตามโทษให้ทหารเฆี่ยนตงงูยีห้าสิบทีแล้วถามอีก ตงงูยีก็ยืนคำว่าไม่รู้ ผู้รักษาเมืองรู้อยู่ว่าความจริงของตงงูยี แต่เฆี่ยนตีปรารถนาจะช่วยซ้องกั๋งให้เบาบางพ้นจากโทษ จึงคิดว่าครั้นจะเฆี่ยนตีอีกตงงูยีก็คงไม่รับจำจะเอาตัวขังไว้ก่อน นานไปถ้าจืดจางโทษคงจะพ้นจากซ้องกั๋ง จึงสั่งผู้คุมให้เอาตัวตงงูยีไปจำขังไว้ในคุก

ฝ่ายเตียบุนอ๊วนซึ่งเป็นชู้กับนางเงียมผอเสียะพยาบาทซ้องกั๋งยิ่งนัก จึงเอาข้อความมาเสนอกับผู้รักษาเมืองว่าข้าพเจ้าไปชันสูตรบาดแผลผู้ตาย ได้มีดเล็กผูกติดกับพวงลูกกุญแจของซ้องกั๋ง มีผู้รู้เห็นจำได้เป็นอันมาก กับโจทก์ฟ้องว่าซ้องกั๋งฆ่าตาย ขอท่านเอาตัวซ้องกั๋งมาชำระก็คงได้ความจริง แต่เอาความไปเสนอเป็นหลายหน ผู้รักษาเมืองก็นิ่งเสีย เตียบุนอ๊วนไปเสนออีก ผู้รักษาเมืองไม่รู้ที่จะป้องกันประการใดกลัวภัยจะมาต่อภายหลัง จึงสั่งให้ทหารไปหาตัวซ้องกั๋งมา ทหารเที่ยวถามชาวบ้านบอกว่าซ้องกั๋งหนีไปแล้ว ก็กลับมาแจ้งกับผู้รักษาเมือง เตียบุนอ๊วนแจ้งว่าทหารไปจับซ้องกั๋งไม่พบหนีไปเสียแล้ว ก็ไปบอกกับผู้รักษาเมืองอีกว่า ซ้องกั๋งมีบิดากับน้องอยู่คนหนึ่ง บิดาชื่อซ้องไทก๋งน้องนั้นชื่อซ้องเซ็ง ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ตำบลชองเกชึง บัดนี้ซ้องกั๋งหลบหลีกไปท่านจงเอาตัวบิดากับน้องมาเร่งรัดให้ส่งคงจะได้ตัวซ้องกั๋ง ผู้รักษาเมืองได้ฟังก็เพิกเฉยเสีย เตียบุนอ๊วนไปเตือนหลายครั้ง ผู้รักษาเมืองกลัวจะมีความผิดจึงสั่งให้นายทหารก็ไปแจ้งความกับซ้องไทก๋งว่า ซ้องกั๋งได้ฆ่านางเงียมผอเสียะตาย บัดนี้ผู้รักษาเมืองให้มาหาตัวท่านกับซ้องเซ็งไป ซ้องไทก๋งได้ฟังจึงตอบว่าข้าพเจ้าเป็นคนทำมาหากินเลี้ยงชีวิตอยู่เนืองๆ ซึ่งซ้องกั๋งเป็นบุตรของข้าพเจ้านั้น ไม่กตัญญูต่อบิดาตั้งแต่เล็กมาจะว่ากล่าวสิ่งใดก็ไม่ฟัง อยากจะไปเป็นขุนนาง ข้าพเจ้ามีความวิตกกลัวโทษภัยจะมาถึง จึงไปบอกศาลาเสียขาดจากพ่อลูกกัน ไม่ได้ไปมานานหลายปีแล้ว ผู้รักษาเมืองกรมการเขียนหนังสือให้ไว้เป็นสำคัญ แล้วเข้าไปเอาหนังสือออกมาให้ดู นายทหารทั้งหลายคัดเอาสำเนาหนังสือนั้นไว้ ซ้องไทก๋งจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงนายทหารแล้วก็พากันกลับมาบอกกับผู้รักษาเมือง เอาสำเนาหนังสือให้ดู ผู้รักษาเมืองแจ้งในหนังสือก็เป็นที่จนใจ ไม่รู้ที่จะทำประการใด

ฝ่ายเตียบุนอ๊วนแจ้งความว่าไปเอาตัวบิดาและน้องซ้องกั๋งไม่ได้จึงสอนให้ยายเงียมผอไปร้องต่อผู้รักษาเมืองว่า ถ้าไม่ได้ตัวซ้องกั๋งมาชำระให้ได้ จะไปฟ้องกับเจ้าเมืองเจ๋จิวฮู้ ผู้รักษาเมืองก็สะดุ้งใจ สั่งให้จูตงลุยเหงคุมทหารไปเที่ยวค้นหาจับตัวซ้องกั๋งที่ตำบลซองเกชึง จูตง ลุยเหงคำนับลามาจัดทหารประมาณห้าสิบคนรีบไป

ฝ่ายซ้องกั๋งครั้นหลบหนีไปถึงบ้านก็ลงไปซ่อนอยู่ในอุโมงค์ จูตงลุยเหงคุมทหารไปถึงตำบลชองเกชึง บอกกับซ้องไทก๋งว่ามิใช่พวกข้าพเจ้ามาเองดอก โจทก์ไปร้องต่อผู้รักษาเมืองจึงใช้ให้ข้าพเจ้ามา ซ้องไทก๋งบอกว่า ซ้องกั๋งมิได้เกี่ยวข้องไปมานานแล้ว ได้บอกศาลาผู้รักษาเมืองกรมการก็มีหนังสือให้ไว้เป็นคู่มือ อันบ้านช่องเช่นนี้จะซ่อนผู้คนไว้ได้หรือ จูตงว่าซึ่งซ้องกั๋งไม่ได้ซ่อนอยู่ในบ้าน ข้อนั้นเชื่อไม่ได้จะต้องค้นดูก่อน พูดแล้วก็สั่งทหารเข้าล้อมบ้านไว้ จูตงทำเป็นนั่งกำกับซ้องไทก๋งอยู่หน้าประตู ลุยเหงนายทหารก็เข้าไปค้นดูข้างในจนทั่วก็ไม่พบ กลับมาบอกจูตง ๆ จึงคิดว่าซ้องกั๋งกับเราก็เป็นคนรักใคร่กัน เดิมซ้องกั๋งบอกไว้ว่า ที่ตำบลบ้านชองเกชึงมีอุโมงค์อยู่แห่งหนึ่ง ข้างบนตั้งพระพุทธรูปไว้ ถ้ามีข้อความสำคัญสิ่งใดก็เข้าไปอยู่อาศัยได้ไม่มีผู้ใดสงสัย ซ้องกั๋งคงจะซ่อนอยู่ในนั้นเป็นแน่ จำจะไปบอกให้หนีไปอยู่ที่อื่นเถิด คิดแล้วจึงพูดกับลุยเหงว่า เรายังสงสัยอยู่อีกแห่งหนึ่งจะเข้าไปค้นดู ท่านจงเฝ้าซ้องไทก๋งไว้คอยดูท่วงทีอย่าให้ซ้องกั๋งหนีไปได้ สั่งแล้วเอากระบี่พิงไว้ข้างประตู ตัวจูตงก็เดินตรงเข้าไปที่หอพระพุทธรูปยกโต๊ะเปิดกระดานออกเห็นประตูอุโมงค์ใส่กุญแจไว้ จูตงเคาะประตูเรียกซ้องกั๋งได้ยินก็เปิดประตู จูตงเห็นซ้องกั๋งคำนับแล้วพูดว่า ท่านกับข้าพเจ้าได้รักใคร่กันมาช้านาน อย่าถือโทษเลยว่ามาจับท่าน บัดนี้เตียบุนอ๊วนเสี้ยมสอนให้ยายเงียมผอไปรบกวนร้องต่อผู้รักษาเมืองว่าถ้าไม่ชำระให้จะไปฟ้อง ณ เมืองเจ๋จิวฮู้ ผู้รักษาเมืองนั้นเอาใจช่วยท่านดอก แต่ยายเงียมผอกวนนักกลัวจะมีความผิดขึ้น จึงให้ข้าพเจ้ากับลุยเหงมา ข้าพเจ้ากลัวว่าลุยเหงพบเข้าก็จะเสียที จึงล่อลวงให้ลุยเหงเฝ้าประตูอยู่ ซึ่งที่อุโมงค์นี้ก็ดีดอก แต่จะสำนักอาศัยให้ยืดยาวไปเห็นไม่ได้ ถ้าผู้ใดรู้จะลำบาก ซ้องกั๋งว่าบุญคุณของท่านนักหนาอุตส่าห์มาบอกให้รู้ ข้าพเจ้าก็ทราบอยู่ว่าที่นี่อาศัยไม่ได้นาน จะไปหาสำนักต่อไป จูตงถามว่าท่านไปอาศัยที่ใด ซ้องกั๋งว่าในใจของข้าพเจ้ามีอยู่สามแห่ง ที่ตำบลเฮงไฮกุ๋นแขวงเมืองชองจิวฮู้ มีคนผู้หนึ่งชื่อชาจินชาวบ้านมักเรียกว่าเซียวซวนฮองแห่งหนึ่งและที่ตำบลเซงฮองแจ แขวงเมืองเปงจิวฮู้ ชื่อหัวยงเรียกว่าเสียวลี้กงแห่งหนึ่ง กับที่แป๊ะโฮวซัวชื่อคงไทก๋งมีบุตรสองคนชื่อคงเหม็ง เรียกว่ามอเถาแซคนหนึ่งชื่อคงเตียวเรียกว่าต๊อกฮวยแซคนหนึ่ง พี่น้องสองคนนั้นเคยไปมาหาข้าพเจ้ามิได้ขาด แต่ไม่แจ้งว่าอยู่แห่งใดดี จูตงว่าท่านจงตรึกตรองดูอย่าได้อยู่ช้ารีบไปเสียในเวลาคํ่าวันนี้ ซ้องกั๋งว่าการงานสิ่งใดท่านจัดให้เรียบร้อยด้วย ข้าพเจ้าจะจัดหาเงินทองตอบแทนคุณท่าน จูตงว่าไม่เป็นไรดอกข้าพเจ้าจะไปจัดแจงเอง ซ้องกั๋งก็ลากลับเข้าไปในอุโมงค์ จูตงกลับออกมาข้างนอกทำเป็นบอกกับลุยเหงว่า เที่ยวค้นหาจนทั่วก็หาเห็นไม่ เรามิต้องเอาตัวซ้องไทก๋งไปหรือจะคิดประการใดดี ลุยเหงจึงคิดว่าจูตงนี่ชอบพอรักใคร่กับซ้องกั๋งเป็นนักหนา ซึ่งจะเอาตัวซ้องไทก๋งไปนั้นคงพูดเล่นดอกกระมัง ถ้าแม้นจูตงพูดขึ้นอีก เราจะทำเป็นห้ามปรามเอาบุญคุณกับซ้องไทก๋ง คิดแล้วก็เรียกพวกทหารเหล่านั้นมา ซ้องไทก๋งสั่งจัดโต๊ะสุรามาเลี้ยงจูตงลุยเหงกับพวกทหาร จูตงทำเป็นพูดว่าท่านอย่าจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงเลย เชิญท่านกับบุตรไปหาผู้รักษาเมืองด้วยกันก่อนเถิด ซ้องไทก๋งว่าเดิมก็ได้บอกแล้วว่า ซ้องกั๋งกับข้าพเจ้าขาดจากพ่อลูกกันแล้ว ท่านจะเอาตัวข้าพเจ้ากับซ้องเซ็งไปทำไม ลุยเหงว่าซ้องไทก๋งบอกศาลาแล้วหนังสือและตรายี่ห้อของผู้รักษาเมืองก็มี จะเอาตัวไปนั้นไม่ควร เราคัดเอาสำเนาหนังสือไปให้ผู้รักษาเมืองดูก็แล้วกัน ซ้องไทก๋งตอบว่า ข้าพเจ้าขอบใจท่านทั้งสองไม่ต้องให้ลำบากบุญคุณนักหนา จงเอาเงินยี่สิบตำลึงนี้ไปซื้อรับประทานตามทางเถิด จูตง ลุยเหงเสียไม่ได้ก็รับเงินนั้นมาแจกให้พวกทหาร แล้วลาซ้องไทก๋งกลับมาถึงเมืองหุนเสียกุ้ยเข้าแจ้งความว่า ข้าพเจ้าคุมพวกทหารไปถึงก็เข้าล้อมบ้านไว้ เที่ยวค้นทั้งข้างนอกข้างในก็ไม่พบ ซ้องไทก๋งป่วยอยู่ลุกขึ้นไม่ได้ ครั้นจะเอาตัวซ้องเซ็งผู้บุตรมาก็ไม่อยู่ พวกข้าพเจ้าไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงคัดเอาแต่สำเนาหนังสือที่บอกศาลามาด้วย ส่งให้ผู้รักษาเมืองไปอ่านแจ้งความจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นจะทำอย่างไร ก็เอาสำเนาหนังสือส่งให้กรมการทั้งปวงรู้ทั่วกันแล้ว จึงมีหนังสือบอกไปถึงเมืองเจ๋จิวฮู้ว่าจับตัวซ้องกั๋งไม่ได้ กับมีหนังสือไปถึงนายบ้านนายอำเภอให้สืบจับซ้องกั๋งส่งมา ตามบรรดาคนทั้งหลายมีแต่เมตตารักใคร่ซ้องกั๋งทั้งสิ้น ก็ชวนกันไปพูดกับเตียบุนอ๊วนว่า ความเรื่องซ้องกั๋งนั้นอย่าเอาเป็นธุระเลย นางเงียมผอเสียะก็ตายเสียแล้ว เตียบุนอ๊วนเห็นจริงด้วยก็เชื่อถือไม่เอาเป็นธุระ จูตงเอาเงินทองไปให้ยายเงียมผอว่าอย่าไปฟ้องร้องอีกเอย บุตรสาวก็ตายนานแล้วจะว่ากล่าวทำไม ยายเงียมผอได้เงินทองและไม่มีผู้ใดยุยงก็หาได้ว่ากล่าวฟ้องร้องไม่ ทิ้งเฉยละเลยไป ผู้รักษาเมืองเห็นถ้อยความสงบเงียบก็เอาตัวตงงูยีมาปรับโทษว่าฆ่าคนตายให้เฆี่ยนยี่สิบทีแล้วเนรเทศตงงูยีไปทางไกลห้าร้อยลี้

ฝ่ายซ้องกั๋งนั้นเดิมเป็นคนทำไร่นา เพราะด้วยแผ่นดินซ้องมีขุนนางกังฉินมาก ถ้าขุนนางผู้ใดมีโทษเล็กน้อยก็ต้องโทษเนรเทศไป ถ้ามีเงินทองให้เป็นสินจ้างสินบนก็เบาบาง ซ้องกั๋งอยากเป็นขุนนางแต่ปรารถนาจะไม่ให้ผู้ใดข่มเหง จึงคบหาพวกพ้องที่มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็งด้วยกลัวว่าภายหลังจะต้องโทษ จึงให้บิดามาบอกศาลาเสียแล้วขุดอุโมงค์ไว้สำหรับซุ่มซ่อนอยู่ในบ้าน ครั้นจูตง ลุยเหงกลับไปแล้วก็ออกจากอุโมงค์มาพูดกับบิดาและน้องว่า ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่จูตงนายทหารมาแล้วก็เห็นจะต้องโทษ บิดาช่วยจัดหาเงินทองไปแทนคุณจูตงให้จงได้ ข้าพเจ้ากับซ้องเซ็งจะลาบิดาไปหาที่สำนักอาศัย สืบไปภายหน้าถ้าโปรดยกโทษเสียเมื่อไรจะได้กลับมาอยู่กับบิดาต่อไป ซ้องไทก๋งว่าข้อนั้นเจ้าอย่าวิตกเลยบิดาจะจัดแจงเอง เจ้ากับซ้องเซ็งผู้น้องพากันไปได้ที่อยู่เป็นสุขสบายแล้ว จงมีหนังสือฝากมาให้บิดารู้บ้าง ซ้องกั๋งกับซ้องเซ็งมาแต่งตัว และสั่งบ่าวให้ปฏิบัติรักษาบิดาไว้อย่าให้เป็นอันตราย แล้วลาบิดาออกจากบ้านซองเกชึง ซ้องเซ็งสะพายห่อผ้ากับสิ่งของเดินตามไป ซ้องไทก๋งเห็นบุตรทั้งสองไปแล้วก็สงสารร้องไห้สะอึกอื้นเป็นนักหนา ซ้องกั๋งจึงปรึกษากับซ้องเซ็งว่าเราจะพากันไปสำนักอาศัยที่ไหนดี ซ้องเซ็งว่าข้าพเจ้าได้ยินข่าวเล่าลือมาว่าชาจินที่เขาเรียกว่าชาตัวกัวหนังอยู่ตำบลเฮงไฮกุ๋นแขวงเมืองซองจิวนั้นใจโอบอ้อมอารี บรรดาพวกที่มีฝีมือและสติปัญญาชวนกันไปสามิภักดิ์เป็นพวกพ้องชาจินเป็นอันมาก ใจข้าพเจ้าอยากจะไปสำนักอาศัยอยู่กับชาจิน ซ้องกั๋งว่าชาจินคนนี้ดีนักหนาชื่อเสียงปรากฏทั้งแผ่นดิน เดิมชาจินมีหนังสือมาถึงเราให้เราไปอยู่ด้วย แต่ยังไม่ได้พบพูดจากันเลย ใจเราก็อยากจะไปสำนักอาศัยอยู่กับชาจิน ปรึกษากันดังนั้นแล้วสองคนพี่น้องเดินไปหลายสิบวันถึงเมืองซองจิว เกือบจะถึงตำบลเฮงไฮกุ๋น เห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่ริมทาง ซ้องกั๋งจึงถามว่าบ้านชาจินอยู่ตรงไหน ตัวชาจินอยู่หรือไม่ ชายผู้นั้นบอกว่าบ้านชาจินโตใหญ่อยู่ตรงนี้เอง แต่ชาจินไปอยู่ที่ตังซึงเที่ยวเก็บเงินที่เขากู้ยืม ไม่ได้อยู่บ้านนี้ดอก ท่านมาแต่ไหนแซ่ใดชื่อไร ซ้องกั๋งบอกว่าข้าพเจ้ามาแต่เมืองหุนเสียกุ้ยแซ่ซ้องชื่อกั๋ง น้องชื่อซ้องเซ็ง ชายผู้นั้นจึงถามว่าท่านเป็นขุนนางตำแหน่งที่ซองอะซีหรือ ซ้องกั๋งบอกว่าซองอะซีนั้นคือตัวข้าพเจ้า ชายผู้นั้นคุกเข่าคำนับแล้วพูดว่า ชื่อเสียงท่านปรากฏด้วยเมตตาแก่คนยาก ซึ่งท่านจะมาหาชาจินนั้นข้าพเจ้าจะพาไป ถ้าแม้นว่าผู้อื่นข้าพเจ้าไม่เอาเป็นธุระ ซ้องกั๋งว่าขอบใจท่านนักหนา หนทางซึ่งจะไปที่บ้านตังชึงใกล้หรือไกล ชายผู้นั้นว่าไม่สู้ไกลประมาณสักสี่สิบลี้ แล้วพากันเดินไปถึงศาลาหน้าบ้านของชาจิน ให้ซ้องกั๋งกับซ้องเซ็งนั่งคอยอยู่ ชายผู้นั้นเข้าไปในบ้านแจ้งกับชาจินว่า ซ้องกั๋งมาหาท่านที่บ้านเฮงไฮกุ๋นก็ไม่พบ ข้าพเจ้าจึงพามาที่บ้านนี้นั่งคอยอยู่ที่ศาลา ชาจินได้ฟังว่าซ้องกั๋งมาหาก็สั่งให้เปิดประตูใหญ่ ตัวชาจินกับบ่าวออกไปรับ เห็นซ้องกั๋งนั่งอยู่กับชายผู้หนึ่งไม่แจ้งว่าผู้ใด ชาจินก็ตรงเข้ามาคำนับซ้องกั๋งแล้วพูดว่าวันนี้บุญนักหนาเทวดาชักนำท่านมาจนถึงบ้านข้าพเจ้า เชิญเข้าไปข้างในเถิด ซ้องกั๋งรับคำนับแล้ว ชาจินก็พาซ้องกั๋งกับซ้องเซ็งเข้าไปในบ้านคำนับกันตามธรรมเนียม ซ้องกั๋งให้ซ้องเซ็งคำนับชาจินแล้วว่า ซ้องเซ็งนี้เป็นน้องของข้าพเจ้า ชาจินรับคำนับจัดที่ให้โดยสมควร พูดว่าข้าพเจ้าบ่นหาท่านอยู่ทุกวันอยากจะได้สนทนากันก็ไม่พบเลย วันนี้เป็นวันดีท่านทั้งสองมาจนถึงบ้านข้าพเจ้ามีความยินดีนัก ซ้องกั๋งว่าเดิมข้าพเจ้าได้รับหนังสือของท่านว่า จะมาให้พบสนทนากันสักครั้งหนึ่งก็ไม่ได้มา ด้วยมีธุระการงานอยู่ ครั้งนี้บุญนักหนาจึงได้มาพบท่าน ชาจินถามว่าท่านมาด้วยเหตุผลอันใด ซ้องกั๋งก็เล่าความตามซึ่งฆ่านางเงียมผอเสียะให้ฟังทุกประการ แล้วพูดว่าข้าพเจ้าสองคนพี่น้องจะมาอาศัยท่านจงได้เมตตาเถิด ชาจินได้ฟังก็หัวเราะพูดว่า ท่านอย่าวิตกข้อนั่นไม่เป็นไร ถึงโทษใหญ่ยิ่งกว่านี้ก็อย่ากลัว พวกขุนนางนายทหารทั้งปวงไม่อาจมาค้นผู้คนในบ้านข้าพเจ้าท่านจงอยู่ให้สบายเถิด จึงสั่งบ่าวเอาเสื้อกางเกงมาให้ซ้องกั๋งกับซ้องเซ็งผลัดแล้วจัดห้องให้อยู่ ยกโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกัน ชาจินกับซ้องกั๋ง ซ้องเซ็งก็นั่งกินโต๊ะเสพสุราพูดจากันจนเวลาค่ำ ซ้องกั๋งก็เดินออกมาข้างนอก บ่าวชาจินก็จุดโคมถือตามออกมา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ