- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
- ๑๐๙
- ๑๑๐
- ๑๑๑
- ๑๑๒
- ๑๑๓
- ๑๑๔
- ๑๑๕
- ๑๑๖
- ๑๑๗
- ๑๑๘
- ๑๑๙
- ๑๒๐
๘๐
ฝ่ายกอกิวอยู่บนเชิงเทินแลเห็นซ้องกั๋งกับพวกขึ้นม้าสวมเสื้อเกราะ มือถืออาวุธทำสง่าเป็นทีออกศึกจึงนึกแต่ในใจว่าซ้องกั๋งกับพวกทำกิริยาอาการเหมือนกับรู้ตัว อย่าเลยเราจะต้องให้ลงจากม้าและถอดเสื้อเกราะวางอาวุธเสียจึงจะทำการได้ถนัด คิดแล้วสั่งทหารให้ออกไปบอกซ้องกั๋งว่า แต่ก่อนพระเจ้าซ้องฮุยจงทรงขัดเคืองว่า ซ้องกั๋งตั้งกองเป็นโจรเที่ยวปล้นตีชิงเอาบ้านเมืองในพระราชอาณาเขตให้ได้รับความเดือดร้อนต่างๆ ขุนนางผู้ใหญ่ก็กราบทูลขอให้ยกกองทัพมาปราบปรามเสียให้ราบคาบแต่พระเจ้าแผ่นดินยังทรงเมตตาให้งดไว้ โปรดให้ตั้นจองเสียนเป็นข้าหลวงถือหนังสือรับสั่งมาว่ากล่าวแต่โดยดีแล้วก็ยังไม่นับถือ กลับทำบังอาจทุบตีข้าหลวงมีบาดเจ็บ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ขุนนางผู้ใหญ่กราบทูลทรงทราบจึงโปรดให้ท่องกวนเป็นแม่ทัพออกมา ตัวท่านเห็นการจะสู้ไม่ได้ใช้คนเอายาพิษลอบใส่ในหนองน้ำและบึงบางทุกแห่ง พวกกองทัพมิแจ้งชวนกันอาบกินก็ถึงแก่ความตายเป็นอันมาก ท่องกวนยกกองทัพกลับเข้าไปทูลให้ทราบทรงขัดเคืองมาก จึงโปรดพระราชทานอาญาสิทธิ์ให้เราเป็นแม่ทัพยกออกมา ครั้นเรามาเห็นหน้ามีความเมตตาจึงมีหนังสือบอกข้อความเข้าไปกราบทูล จึงโปรดให้มีหนังสือยกโทษพวกโจรทั้งปวงเสีย ครั้นจะให้ข้าหลวงเชิญหนังสือไปถึงค่ายเขาเนียซัวเปาะเล่าก็นึกอยู่ว่าซ้องกั๋งกับพวกเป็นโจรน้ำใจมักดุร้าย จะกระทำการล่วงเกินเหมือนหนหลัง เราจึงให้คนใช้ไปหาตัวมาฟังหนังสือรับสั่งโดยสุภาพ ครั้นมาถึงแล้วไม่ถอดเสื้อเกราะลงจากม้าวางอาวุธเข้ามาคำนับถึงเชิงกำแพงนั้นเห็นดีแล้วหรือ
ทหารคำนับรับคำมาขึ้นม้าตรงไปบอกซ้องกั๋งตามคำกอกิวสั่งทุกประการ ซ้องกั๋งได้แจ้งดังนั้นจึงให้ไตจงไปแจ้งความแก่กอกิวว่า การซึ่งมีหนังสือมานั้นจะเท็จจริงประการใดไม่ทราบเป็นแต่คำคนใช้ไปบอก ถ้าเป็นหนังสือรับสั่งแน่แล้วก็จะจัดการแต่งรับคำนับตามธรรมเนียม ประการหนึ่งจะให้เรากับทหารเข้าไปคำนับฟังหนังสือถึงเชิงกำแพงแล้ว ขอท่านผู้มีอำนาจได้หาตัวกรมการและราษฎรที่มีอายุมาพร้อมกัน จะได้เป็นสักขีพยานด้วยกันทั้งสองฝ่าย ตัวเราและทหารก็จะลงจากม้า วางอาวุธถอดเสื้อเกราะเข้าไปคำนับฟังหนังสือถึงเชิงกำแพงไม่ขัดขืน ไตจงก็ขับม้าเข้าไปแจ้งแก่กอกิวที่เชิงกำแพงตามคำซ้องกั๋งสั่งทุกประการ
กอกิวได้แจ้งจึงให้นายอำเภอไปป่าวร้องราษฎรที่มีอายุมาประชุมพร้อมกันอยู่บนเชิงเทิน แล้วกอกิวจึงสั่งไตจงให้ไปบอกซ้องกั๋งให้รีบเข้ามาโดยเร็ว ซ้องกั๋งจึงสัญญาแก่ทหารทั้งปวงว่า เมื่อเราจะเข้าไปนั้นจงตีกลองเป็นสำคัญและนัดแรกนั้นให้ลงจากม้า นัดที่สองนั้นให้วางอาวุธถอดเสื้อเกราะออกเสีย นัดที่สามนั้นให้พนมมือเดินเป็นระยะเข้าไปพร้อมกัน ทหารทั้งปวงก็รับคำ ซ้องกั๋งจึงตีกลองสัญญาขึ้นครบถ้วนสามครั้ง ทหารก็ทำตามคำสั่ง ซ้องกั๋งนำหน้าพาทหารเดินเข้าไปถึงเชิงกำแพงตรงกับธงสำหรับแผ่นดินแล้วก็คุกเข่ากับศีรษะลงคำนับคอยฟังหนังสือ
ขณะเมื่อซ้องกั๋งมาคุกเข่าอยู่ที่เชิงเทินนั้น กอกิวลุกเดินไปทำอาการองอาจหวังจะให้กลัวอำนาจมิใคร่จะให้เจ้าพนักงานอ่านหนังสือ ซ้องกั๋งจึงให้ไตจงร้องเตือนว่าพวกข้าพเจ้ามาถึงพร้อมกันแล้วเชิญท่านอ่านหนังสือเถิด กอกิวคำนับแล้วหยิบหนังสือบนโต๊ะเปิดผนึกส่งให้เจ้าพนักงานอ่านมีความว่า “พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ ประกอบด้วยความกรุณาแก่อาณาประชาราษฎรทั่วพระราชอาณาเขต ให้โอวาทสั่งสอนมายังซ้องกั๋งกับคนที่มีชื่อซึ่งสำนักอยู่ตำบลเขาเนียซัวเปาะ ด้วยซ้องกั๋งสั่งเนื้อความไปกับฮั่นซุนขอให้กราบทูลลุกะโทษนั้นทรงทราบทุกประการแล้ว จึงทรงพระดำริว่าซ้องกั๋งกับพวกตั้งกองเป็นโจรเบียดเบียนอาณาประชาราษฎรและทำการจลาจลในอาณาเขตต่างๆ จะต้องให้ยกกองทัพไปปราบปรามการที่ยังไม่สำเร็จ บัดนี้ซ้องกั๋งกับพวกคิดจะละพยศอันชั่วร้าย และจะประพฤติการดีมิให้เป็นเสี้ยนหนามในแผ่นดินนั้นก็เหมือนกับซ้องกั๋งทำความชอบ และซึ่งป่วยการทแกล้วทหารและเสียพระราชทรัพย์ ทำให้ขัดเคืองพระทัยนั้นไม่ทรงอาฆาตต่อไป ถ้าซ้องกั๋งกับพวกจะสมัครเข้าไปเป็นข้าราชการ เราก็จะชุบเลี้ยงแต่งตั้งตามสมควรแก่คุณวิชามิได้มีความรังเกียจ ถ้าไม่สมัครเข้าทำราชการในเมืองหลวงแล้ว ให้แยกย้ายกันไปทำมาหากินตามภูมิลำเนาของตัว ถ้าขัดสนด้วยเงินทุนหรือที่อยู่ ไร่ นา เรือกสวน ก็ให้มาบอกแก่เจ้าพนักงานกราบทูลให้ทราบจะโปรดพระราชทานให้โดยสมควร ห้ามอย่าให้ซ่องสุมกันเป็นโจรเที่ยวตีชิงเบียดเบียนอาณาประชาราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อน ถ้าซ้องกั๋งกับพวกมีชื่อนับถือพระเจ้าแผ่นดินโดยสุจริต จงทำสัตย์สาบานให้แม่ทัพนายทหารและผู้ถือหนังสือรู้เห็นเป็นพยาน แล้วก็ให้กอกิวเลิกทัพกลับเข้าไปเมืองหลวง” ใจความในหนังสือเช่นนี้ แต่ผู้อ่านแปลงความตามอุบายของกอกิวว่า บรรดาพวกพ้องซ้องกั๋งนั้นโปรดยกโทษให้ แต่ตัวซ้องกั๋งต้นเหตุนั้นให้กอกิวพาตัวเข้าไปเฝ้า ณ เมืองหลวง
โงวหยงได้ฟัง เข้าใจในอุบายจึงพยักหน้าแก่ฮวยหยง ๆ รู้ในทีจึงตอบว่า พระเจ้าซ้องฮุยจงยกโทษแต่พวกเราผู้น้อยส่วนพี่ของเราไม่ยอมยกโทษให้ กลับจะเอาตัวเข้าไปในเมืองตังเกีย เราไม่ยอมให้พี่เข้าไป ว่าแล้วชักเกาทัณฑ์ที่ซ่อนไว้ในเสื้อยิงไปถูกขมับคนอ่านหนังสือตกจากเก้าอี้ ซ้องกั๋งกับพวกก็รีบมาขึ้นม้าพร้อมกัน สั่งให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปบนเชิงเทินเป็นอันมาก กอกิวเห็นดังนั้นก็ขึ้นม้าพาทหารออกจากเมือง ให้ทหารตามตีซ้องกั๋งกับพวกเป็นสามารถ โงวหยงก็จุดประทัดสัญญาขึ้นทหารที่ซุ่มอยู่ทั้งสองทางก็ขับทหารม้าและทหารเดินเท้าออกมาช่วยรบ กอกิวเห็นดังนั้นกลัวจะตกอยู่ในระหว่างศึกกระหนาบจึงเร่งทหารรบหักออกไปได้ ทหารเมืองตังเกียตายประมาณสามส่วน ทหารโจรตายประมาณส่วนหนึ่ง กอกิวเห็นทหารของตัวตายมากกว่าพวกโจร จึงสั่งทหารให้ล่าถอยกลับเข้าเมือง ซ้องกั๋งก็เลิกกองทัพกลับไปค่าย
ฝ่ายกอกิวเมื่อคิดกลอุบายจะฆ่าซ้องกั๋งไม่สมความปรารถนา จึงมีความวิตกไปว่าเราทำการล่วงเกินรับสั่ง หมายจะฆ่าซ้องกั๋งผู้ต้นเหตุเสียหาความชอบใส่ตัวก็ไม่สมหมาย ความอันนี้ถ้าทราบถึงพระเจ้าซ้องฮุยจงแล้วตัวเราก็จะมีความผิดเป็นข้อใหญ่ จำจะมีหนังสือบอกกล่าวโทษซ้องกั๋งเสียก่อนและมีหนังสือลับไปถึงซัวเกีย ท่องกวนให้ช่วยทูลแก้ไขขอกองทัพเพิ่มเติมมาอีกเอาความชอบไว้ก่อนความผิดจึงจะสูญไป คิดแล้วแต่งหนังสือบอกใจความว่า “ข้าพเจ้ากอกิวผู้เป็นที่กอไทอวย ขอกราบบังคมทูลมาให้ทราบด้วยบุ้นฮวนเจียงไปแจ้งความว่าเป็นข้าหลวงเชิญหนังสือรับสั่งไปให้ซ้องกั๋ง ณ ค่ายเขาเนียซัวเปาะ ข้าพเจ้าเห็นว่าครั้งก่อนก็โปรดให้ตั้นจองเสียนเชิญหนังสือรับสั่งไปถึงค่ายซ้องกั๋งกับพวก ไม่เกรงพระราชอาญาเข้าตีด่าหยาบช้ากับข้าหลวงทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศครั้งหนึ่งแล้ว และบุ้นฮวนเจียงเชิญหนังสือรับสั่งจะให้ไปถึงตำบลเขาเนียซัวเปาะ ข้าพเจ้าจึงห้ามไว้ให้พักอยู่ที่เมืองจีจิวก่อน เพราะกลัวว่าซ้องกั๋งกับพวกจะมีความหมิ่นประมาท จะกระทำการข่มเหงข้าหลวงให้ได้ความอัปยศอีก ข้าพเจ้าจึงให้หาตัวซ้องกั๋งกับพวกมาประชุมพร้อมกันที่หน้าเชิงเทินเมืองจีจิว แล้วให้เจ้าพนักงานอ่านหนังสือรับสั่งให้ฟังจนสิ้นข้อความ ซ้องกั๋ง โงวหยงไม่นับถือเชื่อฟังและไม่เกรงพระราชอาญา ให้ฮวยหยงพูดท้าทายด้วยคำหยาบต่างๆ เอาเกาทัณฑ์ยิงคนอ่านหนังสือถึงแก่ความตาย แล้วไล่ฆ่าฟันทหารรักษาหน้าที่และคนประจำการตายเสียหลายพัน ข้าพเจ้ายกทหารออกสู้รบฆ่าพวกซ้องกั๋งตายลงเป็นอันมาก ซ้องกั๋งกับพวกจึงหนีกลับไปค่ายเขาเนียซัวเปาะ” และมีหนังสือลับแจ้งความไปถึงซัวเกีย ท่องกวนนั้น กอกิวเขียนเป็นใจความว่า ให้ซัวเกีย ท่องกวนเห็นกับไมตรีรักใคร่กับข้าพเจ้ามาช้านาน และกาลครั้งนี้ข้าพเจ้าเสียทีแก่ซ้องกั๋งหลายครั้งจนทหารเบาบางลงมาก ครั้นจะเลิกกองทัพเข้าไปเมืองตังเกียตามหนังสือรับสั่งก็นึกอาย คิดอุบายจะฆ่าซ้องกั๋งก็ไม่สมความปรารถนา จะต้องคิดการศึกแรมปีกว่าจะสำเร็จ ท่านช่วยกราบทูลแก้ไขขอกองทัพไปช่วยข้าพเจ้าให้จงได้ ถ้าท่านทั้งสองสงเคราะห์ได้แล้วก็เหมือนกับอุปถัมภ์ข้าพเจ้าไว้ให้คงที่อยู่ในยศศักดิ์ เขียนแล้วเข้าผนึกส่งให้ทหารม้าใช้ถือเข้าไปเมืองตังเกียเอาหนังสือส่งให้ท่องกวน ๆ ได้หนังสือบอกและหนังสือลับแล้ว ไปแจ้งความแก่ซัวเกียมหาอุปราช ซัวเกียก็ให้เจ้าพนักงานทำหนังสือบอกขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ
พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงตรัสว่า ซ้องกั๋งสั่งความฮั่นซุนป๊อมาว่าจะสามิภักดิ์อ่อนน้อมไม่คิดเป็นเสี้ยนหนามในแผ่นดินต่อไปแล้ว เราจึงมีหนังสือว่ากล่าวไปโดยดี หวังมิให้มีมานะ ซ้องกั๋งกลับมีใจกำเริบเรามีความแค้นนักคิดจะยกกองทัพใหญ่ไปปราบปรามเสียให้สิ้นเสี้ยนหนามแผ่นดิน ซัวเกียเห็นได้ทีจึงกราบทูลว่า ซึ่งพระองค์ทรงพระราชดำรินั้นถูกต้องตามประเพณีของพระมหากษัตริย์แต่ปางก่อนสืบมา ข้าพเจ้าเห็นว่าซ้องกั๋งนี้เป็นพวกโจรต่ำช้าตระกูล ไม่สมควรที่พระองค์จะเสด็จไปทำศึกให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ควรจะวางพระทัยแก่ข้าพเจ้าและแม่ทัพนายกองจึงจะชอบ ประการหนึ่งก็โปรดให้กอกิวยกกองทัพไปปราบปรามการศึกก็ยังติดพันกันอยู่ ได้ทราบว่าพระองค์มีหนังสือโปรดยกโทษซ้องกั๋ง จึงถอยมาตั้งขัดทัพรอคอยท่วงทีอยู่ ณ เมืองจีจิว ครั้นจะยกกองทัพไปรบถึงตำบลเขาเนียซัวเปาะอีกก็เห็นว่าทหารเบาบางน้อยตัวกว่าพวกโจรมาก จึงบอกเข้ามาขอกองทัพเพิ่มเติม ขอพระองค์จงพระราชทานให้ตามหนังสือบอกเถิด พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงเห็นชอบ จึงตรัสถามว่า ท่านจะเห็นผู้ใดที่จะคุมทหารออกไปช่วยราชการได้ ซัวเกียทูลว่าคูงัก จิวงัง ครูทหารซ้ายขวา เคยสั่งสอนศิษย์ถึงแปดสิบหมื่นเป็นคนรู้วิชาและเพลงอาวุธต่างๆ พอจะต่อสู้เอาชัยชนะพวกโจรได้ พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงรับสั่งให้หาคูงัก จิวงังเข้ามาเฝ้าตรัสสั่งให้เลือกทหารที่มีฝีมือในกองอาสายี่สิบหมื่นยกไปช่วยในการรบ จึงสั่งให้เจ้าพนักงานมีหนังสือตอบไปถึงกอกิวมีความว่า “ซึ่งกอกิวบอกเข้าไปกราบทูลนั้นทรงทราบทุกประการแล้ว โปรดให้คูงัก จิวงังทหารเอกสองนายคุมทหารเลวยี่สิบหมื่นยกมาช่วย ถ้าเห็นว่าทหารเรายังน้อยกว่าข้าศึกก็ให้เกณฑ์ทหารหัวเมืองใหญ่น้อยเพิ่มเติมขึ้นให้มากกว่าพวกโจร แม้นขัดขวางในการศึกประการใดก็ให้ปรึกษาแก่บุ้นฮวนเจียงให้เห็นด้วย แล้วจึงคิดอ่านทำการไปให้ตลอด อย่าได้ถือเปรียบแก่งแย่งกันให้เสียราชการเป็นอันขาด” เขียนแล้วเข้าผนึกมอบให้คูงัก จิวงัง แล้วพระราชทานเสื้อสำหรับขุนนางที่ปรึกษาไปให้บุ้นฮวนเจียงด้วย คูงัก จิวงังรับหนังสือแล้ว กราบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้ามาจัดแจงกองทัพพร้อมด้วยเสบียงอาหารยกออกจากเมืองตังเกียตรงไปเมืองจีจิว กอกิวออกมาต้อนรับเชิญให้นั่งที่สมควร คูงัก จิวงัง รับหนังสือรับสั่งตั้งไว้บนโต๊ะ กอกิวจึงให้ชุมนุมขุนนางนายทหารและกรมการมาคำนับหนังสือรับสั่งพร้อมกันแล้ว คูงักเปิดผนึกออกอ่านครั้นจบข้อความลง กอกิวกับนายทหารกรมการก็คำนับอีกครั้งหนึ่ง คูงักจึงหยิบเสื้อส่งให้แก่บุ้นฮวนเจียง ๆ คำนับรับมาสวมกาย แล้วคูงักคำนับกอกิวตามธรรมเนียม
กอกิวจึงพูดกับทหารทั้งปวงว่าแต่ก่อนเราได้แต่งทหารคุมกองทัพเรือยกไปตีค่ายเขาเนียซัวเปาะก็เสียที่แก่พวกโจรทั้งสองครั้ง เสียเรือรบและทหารเป็นอันมาก บัดนี้เราคิดจะต่อเรือรบใหญ่ๆ สักห้าร้อยลำบรรจุทหารให้มากกว่าเก่าสองสามส่วนยกไปรบพวกโจรอีกครั้งหนึ่ง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด บุ้นฮวนเจียงตอบว่าท่านคิดจะต่อเรือรบขึ้นนั้นชอบแล้ว แต่ต้องหาช่างที่ฉลาดมาต่อทำให้แปลกกว่าเรือรบแต่ก่อนจึงจะรบได้ชัยชนะ กอกิวก็ถามว่าท่านยังเห็นว่าผู้ใดเป็นช่างวิเศษกว่าช่างทั้งปวง บุ้นฮวนเจียงบอกว่าในเมืองหลวงและหัวเมืองคงมีคนเป็นช่างวิเศษบ้าง ท่านจงมีหนังสือประกาศแจกไปทุกเมืองแล้วปิดไว้ในหนทางใหญ่แล้วแต่งคนไปคอยฟังข่าวดูคงจะหาช่างวิเศษได้เป็นแน่ กอกิวได้ฟังเห็นชอบจึงให้แต่งหนังสือเป็นคำประกาศว่า ผู้ใดมีปัญญาเฉลียวฉลาดชำนาญในการต่อเรือรบวิเศษกว่าเรือแต่ก่อน จงเข้ามารับอาสาต่อเรือให้ท่านแม่ทัพ ณ เมืองจีจิว แล้วจะกราบทูลเสนอความชอบตั้งให้แป็นขุนนางมียศศักดิ์ในการช่าง ครั้นแต่งแล้วให้แจกไปแก่หัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ทั้งปวงแล้วปิดไว้ที่บานประตูเมืองจีจิวทั้งสี่ทิศให้คนเฝ้าประจำอยู่
ยังมีชายผู้หนึ่งชื่อเอียบชุน ตั้งบ้านเรือนอยู่แขวงเมืองซือจิวเขตแดนติดต่อใกล้กับเมืองจีจิว เวลาวันหนึ่งเอียบชุนมาเยี่ยมพี่น้องซึ่งสำนักอยู่ ณ เมืองจีจิวด้านตะวันออก ครั้นมาถึงประตูเห็นคนยืนดูคำประกาศ เอียบชุนก็แวะไปดูเข้าใจในเรื่องความที่ประกาศแล้วพูดว่า ถ้าจะต่อเรือรบแล้วทำให้ชอบกลอย่าต้องให้คนถ่อพายจึงจะดี คนที่เฝ้าได้ยินเอียบชุนพูด จึงถามว่าเจ้าเข้าใจในการต่อเรือหรือ เอียบชุนบอกว่าเรารู้อยู่บ้าง คนเฝ้าก็พาเอียบชุนเข้าไปคำนับกอกิวแล้วแจ้งความตามซึ่งเอียบชุนพูดให้ฟังทุกประการ กอกิวจึงถามเอียบชุนว่า เจ้าจะต่อเรือไม่ให้คนแจวพายนั้นจะทำอย่างไร จงบอกให้เราเข้าใจ เอียบชุนว่าข้าพเจ้าคิดจะต่อเป็นเรือกล มีจักรและดาดฟ้าสองชั้นบนกราบอ่อนสองข้าง เอากระดานเสริม เป็นทุบทู มีรูปเสมา ตั้งรายเป็นระยะ หน้าเรือรบและท้ายเรือนั้นต่อเหมือนรูปป้อม เจาะช่องไว้ให้มาก สำหรับจะยิงเกาทัณฑ์ลอดออกไปฝ่ายเดียว ถึงพวกข้าศึกจะยิงเกาทัณฑ์มาก็ไม่ถูกทหารในเรือเรา และจักรที่จะใช้ให้เรือเดินนั้นวางบนดาดฟ้าชั้นล่างทั้งสองข้าง ให้คนหมุนจักรข้างละยี่สิบคน เรือนั้นเอาทองแดงหุ้ม จักรนั้นทำด้วยเหล็ก ดาดฟ้าชั้นบนนั้นมีท่อและสูบน้ำขึ้นขังไว้บนดาดฟ้าถึงข้าศึกจะทิ้งเพลิงลงในเรือก็ไม่ไหม้ ถ้าท่านกระทำอย่างข้าพเจ้าว่าแล้วเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย
กอกิวได้ฟังมีความยินดี จึงว่ารูปเรือจะอย่างไรเรายังไม่เห็น เจ้าจงเขียนให้เราดูเป็นตัวอย่างจึงเอาพู่กันกับกระดาษส่งให้เอียบชุน ๆ รับมาเขียนรูปเรือลงในกระดาษแล้วส่งให้ กอกิวรับมาดูเห็นดีกว่าเรือรบที่เคยต่อมาแต่ก่อน จึงถามเอียบชุนว่าเรืออย่างนี้เราจะต่อสักห้าร้อยลำกี่เดือนจึงจะแล้ว เอียบชุนตอบว่าถ้าจัดอากึ่งจับกังให้มากการก็แล้วเร็ว กอกิวจึงว่าเราจะจัดอากึ่งให้สี่พัน จับกังสิบหมื่นจะพอใช้หรือไม่ เอียบชุนว่าสมควรแล้ว กอกิวจึงเฉลี่ยเกณฑ์คนที่ชำนาญในการเรือในหัวเมืองที่ใกล้เคียงกับเมืองจีจิวแปดหัวเมืองเป็นคนสิบหมื่นสี่พันมอบให้เอียบชุน แล้วสั่งเจ้าพนักงานให้เบิกเงินหลวงจัดซื้อไม้ให้กับเอียบชุน ๆ ก็แบ่งคนเป็นห้าร้อย ส่วนอากึ่งนายช่างลำละสี่คน คนใช้ลำละสองร้อยคน แล้วให้ปลูกโรงเรือห้าร้อยหลังเรียงต่อกันริมท่าน้ำ เอียบชุนจึงให้ตัวอย่างไม้กงวานตั้งโครงขึ้นทั้งห้าร้อยลำ
ฝ่ายทหารโจรที่ปลอมมาสอดแนมฟังข่าว ณ เมืองจีจิว ครั้นแจ้งว่ากอกิวให้เอียบชุนต่อเรือจักรกลจะยกไปตีค่ายเขาเนียซัวเปาะ จึงรีบไปแจ้งความแก่ซ้องกั๋ง ๆ ได้แจ้งมีความวิตก จึงให้คนใช้หาตัวโงวหยงมาแล้วเล่าความตามเรื่องที่คนสอดแนมมาบอกให้ฟังทุกประการ
โงวหยงจึงว่า ถ้าเรานิ่งไว้ให้เอียบชุนต่อเรือสำเร็จแล้วกอกิวจะมีกำลังมากขึ้น เพราะเรือรบนั้นวิเศษเหมือนกับป้อมและค่าย อาจจะป้องกันรักษาทหารทั้งปวงได้ไม่เป็นอันตราย ข้าพเจ้าคิดจะทำลายล้างเสียแต่แรก อย่าให้เอียบชุนทำการต่อเรือได้สำเร็จโดยเร็ว ซ้องกั๋งว่าท่านจะคิดประการใดก็ตามแต่ท่านจะเห็นสมควร โงวหยงจึงหาตัวเตียเช็ง ซึงซิน นางซึงยีเหนีย นางโกวตัวซอเข้ามาแล้วถามว่า เราจะใช้ให้เจ้าทั้งสี่ปลอมเข้าไปเผาเรือรบในเมืองจีจิวจะได้หรือไม่ สี่คนบอกว่าอย่าว่าแต่ท่านจะใช้การเท่านี้เลย ถึงยากกว่านี้สักเท่าใดข้าพเจ้าจะอาสาไปกว่าจะสิ้นชีวิต โงวหยงได้ฟังก็มีความยินดีบอกอุบายที่จะคิดอ่านเผาเรือให้ฟังทุกประการ ทหารทั้งสี่รับคำก็คำนับลามาสวมเสื้อกางเกงเหมือนลูกจ้างแล้วพากันมายังเมืองจีจิว เตียเช็ง ซึงซินก็เข้าไปคำนับอากึ่งซึ่งเป็นนายใหญ่
อากึ่งจึงถามว่าเจ้าทั้งสองมาแต่เมืองไหนมีธุระอย่างไรจึงมาหาเรา เตียเช็ง ซึงซินบอกว่าข้าพเจ้ามิได้กำหนดแน่ว่าอยู่เมืองไหน เป็นคนเที่ยวรับจ้างทำการถากไม้ไสกบทุกบ้านเมืองพอได้ซื้ออาหารเลี้ยงชีวิต บัดนี้ข้าพเจ้าทราบว่า ท่านแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวงออกมาตั้งกองต่อเรือรบจะไปจับโจรเขาเนียซัวเปาะ ข้าพเจ้าจึงได้มาหาท่านหวังจะรับจ้างทำการงาน อากึ่งจึงว่าเวลาวานนี้พวกช่างที่ต้องเกณฑ์มือถูกขวานป่วยไปสองคน บอกกับเราให้หาลูกจ้างแทนตัว เจ้าเข้ามาจะรับจ้างก็พอดีทีเดียว เจ้าจะรับจ้างเป็นเดือนหรือรายวันจะคิดเอาค่าแรงมากน้อยเท่าไรจงบอกไปเถิด เตียเช็ง ซึงซินตอบว่าท่านจะให้ทำการเดือนหรือรายวันและจะคิดค่าจ้างให้เท่าใดนั้นแล้วแต่ท่านจะเอ็นดู อากึ่งได้ฟังก็มีความยินดีด้วยหวังประโยชน์จะหากำไรในค่าจ้าง จึงให้เตียเช็ง ซึงซินเข้ารับทำการงานเป็นเจ้าพนักงานสุมไฟ ตัดกระดานให้เข้าวง เตียเช็ง ซึงซินรับคำแล้วก็ไปทำการงานตามสั่ง
ฝ่ายนางซึงยีเหนีย นางโกวตัวซอก็หาอาหารมาส่งวันละสามเวลามิได้ขาด เตียเช็ง ซึงซินก็อุตส่าห์ทำการไม่เกียจคร้าน อากึ่งก็มีความเมตตา ครั้นเวลาเย็นเลิกการเล้ว เตียเช็ง ซึงซินก็ไปเที่ยวพูดจาประจบประแจงอากึ่งอื่นๆ จนชอบพอสนิทกันทุกโรงงาน แต่เตียเช็ง ซึงซินรับจ้างทำการงานได้ประมาณเดือนเศษ เรือนั้นขึ้นกระดานตอกหมันแล้วเห็นได้ทีพอจะทำการเผาเรือได้ ครั้นเวลาเย็นนางซึงยิเนีย นางโกวตัวซอเอาอาหารมาส่ง ซึงซินจึงถามว่าเจ้าได้พบปะทหารพวกเรามาอยู่ที่ไหนบ้าง นางซึงยีเหนีย นางโกวตัวซอบอกว่าโงวหยงให้ทหารมาซุ่มอยู่ชายป่านอกเมืองประมาณพันเศษได้พบกับเราแล้ว เตียเช็งจึงสั่งว่าเจ้าจงรีบกลับไปบอกทหารเหล่านั้นให้รู้ทั่วกันและรวบรวมไว้ให้เป็นหมู่หมวดพากันเล็ดลอดเข้ามาอยู่ให้ใกล้ เราจะจุดเพลิงเผาโรงเรือในเวลาสองยาม ถ้าเห็นแสงเพลิงสว่างขึ้นจงเร่งขับม้าพาทหารเข้ามาหาเราโดยเร็ว นางซึงยีเหนีย นางโกวตัวซอรับคำแล้วรีบมาจัดการตามสั่งทุกประการ
ฝ่ายเตียเช็ง ซึงซิน ก็แสร้งเก็บกวาดสะเก็ดหยากเยื่อรวบรวมไว้หลายกอง อากึ่งและจับกังถามว่าเจ้าเก็บกวาดหยากเยื่อมากองไว้ทำไม เตียเช็ง ซึงซินว่า เอาไว้ติดไฟดัดกระดาน ถึงเวลาทำงานจะได้ไม่ต้องไปเที่ยวเก็บให้ป่วยการ อากึ่งและจับกังมิได้มีความสงสัย ครั้นเวลากลางคืนดึกสองยามคนทั้งปวงหลับสนิท เตียเช็ง ซึงซินก็ลอบเอาเพลิงจุดเชื้อและโรงเรือหลายแห่งเพลิงก็ไหม้ติดโรงและเรือสว่างขึ้น อากึ่งและจับกังตื่นตกใจไม่คิดอ่านที่จะช่วยกันดับเพลิงพากันหนีเอาตัวรอด ผู้ตรวจการก็รีบเข้าไปแจ้งความแก่กอกิวให้ทราบ กอกิวได้ฟังตกใจแลไปเห็นแสงเพลิงสว่างจึงให้คูงัก จิวงังคุมทหารมาช่วยกันดับเพลิง
ฝ่ายนางซึงยีเหนีย นางโกวตัวซอเห็นเพลิงสว่างตามสัญญาก็เข้าใจดีว่าเตียเช็ง ซึงซินจุดเพลิงได้แล้วจึงรีบขึ้นม้าพาทหารเข้าไปพบกับเตียเช็ง ซึงซินแล้วให้ทหารเอาม้าและอาวุธส่งให้เตียเช็ง ซึงซินก็ขึ้นม้าถืออาวุธคอยทีอยู่ พอแลเห็นคูงัก จิวงัง คุมทหารขับม้าผ่านหน้าจะไปช่วยดับเพลิง ทหารโจรก็ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ถ้าผู้ใดจะไปดับเพลิงก็เร่งระวังตัวให้จงดี ทหารเขาเนียซัวเปาะยกมาอยู่ที่นี่มาก คูงัก จิวงังได้ยินก็ตกใจหยุดม้ายืนตะลึงอยู่ เตียเช็งเห็นได้ทีจึงเอาก้อนศิลาวิเศษขว้างไปถูกอกคูงักตกลงจากหลังม้า ทหารโจรก็พากันกรูเข้าไปจะจับ พอจิวงังได้สติก็ขับม้าเข้ารบป้องกันเอาตัวคูงักออกไปได้ ทหารโจรก็ห้อมล้อมจิวงังไว้ ครั้นคูงักหายขัดแล้วจึงฉวยอาวุธโดดขึ้นหลังม้าพาทหารเข้าตีกระหนาบ ทหารโจรก็แตกไปเป็นช่อง จิวงังออกจากที่ล้อมได้
ขณะเมื่อรบกันอยู่นั้นม้าใช้ไปแจ้งความแก่กอกิวว่า ทหารโจรลอบเข้ามาจุดไฟเผาโรงเรือแล้วรบป้องกันไว้ไม่ให้คูงัก จิวงังไปดับเพลิงได้ กอกิวได้ฟังก็ตกใจจึงให้เอียอุ่น หลีชองกิดคุมทหารรีบไปดับเพลิง ให้อ้องหวนกับซือเกียคุมทหารหนุนไปช่วยคูงัก จิวงัง นายทหารทั้งสี่ก็รีบยกไปทำการตามคำสั่ง เอียอุ่น หลีชองกิด คุมทหารหลีกลัดทางไปดับเพลิง ๆ โทรมลงสิ้นแสงสว่าง ทหารที่รบสู้อยู่นั้นก็มืดไม่เห็นกัน ทหารเมืองตังเกียไม่มีสำคัญสัญญาในตัวและเป็นคนแปลกหน้าสับสนหลายหัวเมืองจำกันไม่ถนัด ก็เข้าสู้รบฆ่าฟันกันเองล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารโจรก็ผสมมือฆ่าฟันทหารเมืองตังเกียตายสมทบกันลงอีก พออ้องหวน ซือเกียคุมทหารหนุนไปช่วยตีกระหนาบหลัง เตียเช็ง ซึงซิน นางซึงยีเหนีย นางโกวตัวซอเห็นจะเสียที เตียเช็ง ซึงซินก็ขับม้ารีบลงมารบกับอ้องหวน ซือเกียให้นางซึงยีเหนีย นางโกวตัวซอคอยรบป้องกันกองทัพคูงัก จิวงังได้ เตียเช็ง ซึงซินก็ฆ่าฟันรบหักพาทหารออกจากที่ล้อมได้ ขับม้ารีบหนีตรงไปตำบลเขาเนียซัวเปาะ นายทหารเมืองตังเกียจึงปรึกษากันว่าเราจะติดตามตีกองทัพโจรไปในขณะนี้ก็เป็นเวลาค่ำไม่เห็นตัว ทหารของเราจะหลงฆ่าฟันกันเอง ต้องกลับไปแจ้งความแก่ท่านแม่ทัพเสียก่อนจะสั่งประการใดจึงค่อยทำตาม
ปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้วก็พากันกลับเข้าไปถึงในเมือง พอเวลารุ่งสว่างนายทหารทั้งหกคนเข้าไปแจ้งความตามที่ได้รบกับพวกโจรและได้ช่วยกันดับเพลิงนั้นให้ทราบทุกประการ กอกิวจึงหาตัวเอียบชุนมาถามว่าเหตุเดิมที่จะเกิดเพลิงนั้นผู้ใดเป็นต้นไฟ เอียบชุนว่าข้าพเจ้าไล่เลียงไต่ถามอากึ่งได้ความว่าจับกังมือถูกขวานป่วยลงสองคนทำการไม่ถนัด จึงบอกอากึ่งให้หาลูกจ้างแทนตัว ยังมีชายสองคนแปลกหน้าเข้ามาหาอากึ่งจะขอรับจ้าง อากึ่งก็ยอมให้เข้าอยู่รับจ้างทำการประมาณเดือนเศษ เวลาเย็นวานนี้ชายสองคนทำการผิดปกติ ครั้นดึกสองยามสงัดคบเพลิงจึงได้ไหม้โรงและเรือขึ้นแล้วชายสองคนนั้นก็หายไป เหตุที่เกิดเพลิงไหม้เพราะอากึ่งให้ชายสองคนเข้ารับจ้างและอาศัยอยู่ในโรงงาน กอกิวได้ฟังจึงว่าชายสองคนเห็นจะเป็นพวกโจรเขาเนียซัวเปาะปลอมเข้ามารับจ้าง แต่อากึ่งเป็นคนเบาความสมคบคนร้ายเข้ามาไว้ในโรงงานนั้น ให้เอาเพลิงคลอกเผาอากึ่งเสียให้ตายอย่าให้คนทั้งหลายเอาอย่างต่อไป แล้วถามเอียบชุนว่าเรือที่ต่อขึ้นกระดานตอกหมันแล้วไหม้เสียสักเท่าใด เราจะได้คิดต่อเพิ่มเติมขึ้น
เอียบชุนบอกว่าไฟไหม้เรือเสียใช้ไม่ได้ร้อยลำ ที่ไหม้ชำรุดพอจะซ่อมเแปลงได้สักยี่สิบลำ กอกิวจึงสั่งเอียบชุนให้ต่อเรือและซ่อมแปลงขึ้นใหม่ให้แล้วโดยเร็ว สั่งทหารตัดไม้ทั้งค่ายล้อมโรงเรือไว้โดยรอบที่ประตูนั้นมีทหารรักษาอยู่ประตูละร้อย คอยตรวจตราผู้คนเข้าออกมิให้สับสน และนอกค่ายนั้นให้ทหารตระเวนรักษาทั้งกลางวันกลางคืน แล้วประกาศแก่อากึ่งทั้งปวงว่าผู้ใดจะเข้ามารับจ้างทำการแล้ว จงไล่เลียงไต่ถามบ้านช่อง ชื่อตัว ชื่อบิดา ชื่อภรรยา และแซ่ไว้ให้รู้จัก ถ้าเลิกการแล้วให้ออกไปเสียพ้นค่าย อย่าให้อาศัยนอนค้างอยู่เป็นอันขาด ถ้าผู้ใดมิฟังขืนทำเหมือนหนหลังแล้วจะเอาเพลิงคลอกเสียทั้งโคตร เอียบชุนและทหารคำนับลามาจัดแจงการตามสั่ง
ฝ่ายเตียเช็ง ซึงซิน นางซึงยีเหนีย นางโกวตัวซอพากันหนีมาถึงยังเขาเนียซัวเปาะ จึงเข้าไปแจ้งความแก่ซ้องกั๋งให้ทราบ ซ้องกั๋งได้แจ้งจึงถามโงวหยงว่า กอกิวต่อเรือรบถึงห้าร้อยลำท่านให้ทหารไปเผาเรือไหม้แค่ร้อยเศษ เรือยังเหลืออยู่มาก เราเห็นว่ากอกิวจะยกทัพเรือและทัพบกมาอีกเป็นแน่ ท่านจะคิดอ่านแก้ไขประการใด
โงวหยงตอบว่ากอกิวเป็นคนต่ำปัญญาบ้าสงคราม ด้วยใจนั้นคิดเห็นแต่จะได้ชัยชนะพวกเราฝ่ายเดียวที่จะห้ามไม่ให้ยกมานั้นไม่ได้ ซึ่งข้าพเจ้าให้ทหารลอบเข้าไปเผาเรือนั้น หวังจะให้กอกิวรู้สำนักและครั่นคร้ามฝีมือของพวกเรา ถึงจะคิดทำการศึกไปภายหน้าก็ไม่อาจตั้งใจหักหาญด้วยกำลังคงเข็ดขยาดครั่นคร้ามคิดระวังตัวเป็นห่วงหน้าหลังโดยมาก อุปมาเหมือนคนที่เคยถูกปิศาจหลอกหลอนมาแต่ก่อน อาการของคนที่ปีศาจเคยหลอกนั้นมีความกลัวเป็นอันมาก แม้นว่าได้ยินเสียแกรกกรากหรือคนหลอนก็หวาดสะดุ้งสำคัญว่าปิศาจ กิริยาที่กลัวปิศาจกับลักษณะกอกิวนั้นคล้ายกัน แม้นเราจะคิดอ่านล่อลวงประการใดคงสมความปรารถนา บัดนี้ข้าพเจ้าคิดจะแต่งคำโคลงไปยั่วโทโสกอกิวให้รีบยกมาโดยเร็ว ถ้ากอกิวยกทัพมาคราวนี้ข้าพเจ้าจะคิดเอาชัยชนะให้จงได้ พูดแล้วโงวหยงจึงเขียนคำโคลงสี่บทใจความว่า “พวกเราซึ่งสำนักอยู่ ณ เขาเนียซัวเปาะ มีอำนาจใหญ่กว่าหัวเมืองประเทศราชทั้งปวง ประกอบด้วยทรัพย์สมบัติและความสุขสามประการ ประการหนึ่งมีทหารเอกถึงร้อยเศษ ทหารเลวหลายสิบหมื่นมีฝีมือเข้มแข็งกว่าทหารเมืองอื่น พอที่จะป้องกันรักษาอาณาเขตมิให้ข้าศึกศัตรูมาย่ำยีเบียดเบียนได้ ความสุขในที่สองนั้นว่าด้วยตำบลเขาเนียซัวเปาะนี้มีอาณาเขตกว้างขวางหลายพันลี้ มีน้ำล้อมเป็นค่ายล้อมรอบทั้งแปดทิศ ชัยภูมิเหมือนที่อยู่แห่งมังกร ผู้ใดคิดจะเข้ามาทำอันตรายแก่พวกเราก็ย่อมพินาศฉิบหาย ความอันตรายกลับถึงตัวผู้นั้นด้วยสามารถอำนาจชัยภูมิในที่อยู่แห่งพวกเรา ข้อสามนั้นว่าทรัพย์สมบัติและเสบียงอาหารก็มั่งคั่งบริบูรณ์พอที่จะทำนุบำรุงเลี้ยงทแกล้วทหารให้ร่าเริง ถึงหากจะยกไปปราบปรามบ้านน้อยเมืองใหญ่ให้มาอ่อนน้อมอยู่ในอำนาจก็คงสมความปรารถนา และเราคิดจะยกซ้องกั๋งผู้พี่ของเราขึ้นเป็นอ๋องครอบครองสมบัติในแผ่นดินเขาเนียซัวเปาะก็จะไม่มีผู้ใดขัดขวางห้ามปราม คิดจะจับกอกิว เอียเจียนกับขุนนางพวกกังฉินในเมืองตังเกียฆ่าเสียให้สิ้นก่อน จึงจะเตรียมกองทัพใหญ่จะยกไปเหยียบเมืองจีจิว พอได้ข่าวว่ากอกิวต่อเรือจักรแล้ว จะนำนางมโหรีใส่เรือมาเป็นของกำนัล เรามีความยินดีได้เตรียมการคอยรับไว้พร้อมให้รีบยกไปเถิด” เขียนแล้วสั่งให้ทหารลอบไปปักไว้หน้าเมืองจีจิว ทหารคำนับรับหนังสือลอบไปปักไว้ตามสั่ง
ครั้นเวลารุ่งเช้า ทหารซึ่งรักษาหน้าที่เที่ยวตรวจการแลเห็นหนังสือปักอยู่นึกสงสัย จึงนำหนังสือนั้นเข้าไปให้กอกิว ๆ รับมาอ่านแจ้งความแล้วก็โกรธนัก เหวี่ยงหนังสือทิ้งเสียพูดว่า โงวหยงอวดสมบัติพัสถานยกย่องซ้องกั๋งจนเกินภูมิ เป็นไรมีคงได้เห็นดีกัน
ขณะนั้นเอียบชุนเข้าไปแจ้งความว่า การต่อเรือและซ่อมแปลงนั้นเสร็จแล้ว กำหนดจะได้ออกจากอู่ในวันนี้ กอกิวได้ฟังมีความยินดีจึงสั่งเจ้าพนักงานให้จัดสิ่งของสำหรับเซ่นบวงสรวงเทพารักษ์แล้วให้เอียบชุนถอยเรือออกทอดท่าไว้หน้าเมือง
กอกิวจึงพานางมโหรีลงไปขับร้องดีดสีตีเป่าและมีการเล่นต่างๆ ทำขวัญเรือสามวัน ครั้นเลิกงานทำขวัญแล้วกอกิวจึงให้จิวงัง อ้องหวน ฮั่นง่วนตินคุมทหารนายละสองหมื่นยกไปทางบก นายทหารทั้งสามคำนับลาออกมาจัดกองทัพพร้อมด้วยเสบียงอาหารรีบยกไปตามสั่ง
กอกิวจึงบอกบุ้นฮวนเจียงว่าเราจะเป็นแม่ทัพยกไปทางเรือเชิญท่านไปเรือลำเดียวกับเราเถิด บุ้นฮวนเจียงพูดว่าลักษณะจัดกองทัพยกไปทั้งทางบกและทางเรือนั้น แม่ทัพใหญ่ต้องไปทางบกจึงจะเป็นสง่าแก่ข้าศึกและแม่ทัพไปทางบกนั้นมีคุณหลายประการ ถึงจะเสียท่วงทีอย่างไรก็พอจะแก้ไขเอาตัวรอดได้
กอกิวว่าแต่ก่อนเราวางใจให้ทหารคุมกองทัพเรือไปรบยังไม่ทันล่วงแดนเขาเนียซัวเปาะเข้าไปได้ พวกโจรก็คิดกลอุบายฆ่าทหารล้มตายเป็นอันมาก บัดนี้เรามีเรือวิเศษกว่าแต่ก่อนถึงข้าศึกจะคิดทำอันตรายก็ยาก ประการหนึ่งพวกโจรเหมือนนกที่สำคัญตัวเราเหมือนกับพราน วิสัยพรานที่จะคิดปองจับนกต้องขัดแร้วรายบ่วงหรือตั้งนกต่อลวงไว้ ถ้านกนั้นฉลาดระวังตัวก็ไม่คิดแร้วและบ่วง นายพรานต้องคิดตามด้อมมองไปให้รู้แห่งที่ว่าสำนักทำรังอยู่ในพุ่มไม้ไหน แม้นรู้แห่งแน่แล้วจึงเอาตังแทงที่รังจับเอาตัวนกนั้นจงได้ และเราเป็นแม่ทัพเรือไปคราวนี้หมายจะตีให้ถึงค่ายเขาเนียซัวเปาะแย่งรังซ้องกั๋งเสียให้แตก ภายหลังจึงจะคิดอ่านเอาชัยชนะได้โดยสะดวก
บุ้นฮวนเจียงได้ฟังกอกิวพูดดูหมิ่นประมาทพวกโจรดังนั้นจึงคิดว่ากอกิวเป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่อ่อนน้อมนับถือผู้มีปัญญา ถึงเราจะทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟังป่วยการปากเปล่า ถ้ากอกิวยกทัพเรือไปถึงเขาเนียซัวเปาะคราวนี้คงจะเสียทีต้องในกลอุบายศึกอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นแน่แท้ ถึงตัวเราไปด้วยก็คงเป็นอันตรายแทบถึงชีวิต แต่จะรอดตัวด้วยซ้องกั๋งเป็นคนใจดีมีเมตตาจิตเห็นจะไม่ทำอันตรายแก่เราเป็นแน่ คิดแล้วจึงพูดพอเป็นทีว่าท่านจะไปในกองทัพเรือก็ตามใจแต่ให้ระวังตัวจงมาก อย่าได้ประมาท ข้าพเจ้าก็จะไปด้วยช่วยตักเตือนตามสติปัญญา กอกิวจึงจัดเรือสามลิบลำบรรจุทหารลำละพันเป็นคนสามหมื่น ให้คูงักเป็นทัพหน้าคุมเรือสามลิบยกล่วงไปก่อน แล้วจัดเรือห้าสิบลำบรรจุทหารลำละห้าร้อยเป็นคนสองหมื่นห้าพัน ให้เอียอุ่น อ้องกึน คุมเรือห้าสิบลำเป็นทัพหนุนยกตามไป และทัพใหญ่นั้นทหารเอกเป็นเรือแซงซ้ายขวา กอกิวเป็นแม่ทัพ บุ้นฮวนเจียงเป็นที่ปรึกษาคุมเรือสี่ร้อยยี่สิบลำพร้อมด้วยเสบียงอาหาร พอได้ฤกษ์ให้ถอยเรือออกจากท่าหน้าเมืองจีจิว ฝ่ายทหารที่มาคอยสอดแนมอยู่ ณ เมืองจีจิว ครั้นแจ้งว่ากอกิวยกกองทัพบกและกองทัพเรือออกจากเมืองจีจิว จึงรีบเดินตัดมาทางลัดถึงเขาเนียซัวเปาะไปแจ้งความแก่ซ้องกั๋ง โงวหยงให้ทราบ โงวหยงจึงให้จัดเรือเล็กเป็นอันมากบรรจุทหารลำละสี่ห้าคน จัดทหารเอกประดาน้ำที่อดทนอยู่ได้นานสิบสามนาย ทหารเลวสามหมื่นเศษแบ่งเป็นกองล่อกองรบสี่กอง คือ อวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิด เป็นนายทัพคุมทหารมีธงขาวปักหน้าเรือกองหนึ่ง เม่งคง ทองอุย ทองเม้ง เป็นนายทัพคุมทหารมีธงแดงปักหน้าเรือกองหนึ่ง เอี้ยหลิม แต้เทียนสิว สิย้ง เล่าตง เชาเจ็งเป็นนายทัพคุมทหารมีธงดำปักหน้าเรือกองหนึ่ง เตียหวย เตียสุนเป็นนายทัพคุมทหารมีธงเหลืองปักหน้าเรือกองหนึ่ง บรรดาทหารน้ำให้มีบิดหล่าและสิ่วสำหรับมือจนครบตัวแล้วบอกอุบายที่จะล่อลวงทำลายเรือกองทัพเมืองตังเกียแก่ทหารทั้งปวงรู้ทั่วกัน นายทัพและทหารคำนับลงไปจัดกองทัพแล้วยกไปคอยอยู่ตามสั่ง
โงวหยงจึงบอกซ้องกั๋งว่ากองทัพที่จะสู้ในทางน้ำนั้นข้าพเจ้าจัดแจงให้ยกไปแล้ว แต่กองที่จะไปต่อสู้ทางบกตกเป็นพนักงานของท่าน ซ้องกั๋งจึงจัดทหารเลวสี่หมื่น ทหารเอกยี่สิบห้านาย ซ้องกั๋งเป็นแม่ทัพ โลวจุนหงีเป็นปลัดทัพยกข้ามฟากมา ตั้งค่ายปิดทางมิให้กองทัพเมืองตังเกียยกล่วงแดนเข้ามาได้ โงวหยงกับทหารพอสมควรอยู่รักษาค่าย
ฝ่ายคูงักทัพหน้าใช้จักรมาถึงเขาเนียซัวเปาะ เห็นพวกโจรพายเรือเล็กออกสกัดหน้าไว้เป็นอันมาก คูงักจึงให้รอจักรลงไว้สั่งทหารเอาพลุผูกแนบกับลูกเกาทัณฑ์ยิงไปหมายจะให้ถูกทหารโจร อวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิดเห็นดังนั้น จึงให้ทหารกลับเรือแสร้งทำหนี คูงักก็เร่งทหารหันจักรรีบตามไปโดยเร็ว ทหารในเก๋งป้อมหน้าเรือระดมยิงเกาทัณฑ์พลุลอดออกไปตามช่องเป็นอันมาก อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิดก็พาทหารโดดลงน้ำดำหนีย้อนออกไปทางกองทัพใหญ่ คูงักเห็นดังนั้นสำคัญว่าพวกโจรหนีกลับไปค่ายเขาเนียซัวเปาะ จึงใช้จักรเที่ยวเก็บเอาเรือเล็กมารวบรวมให้ทหารรักษาไว้แล้วใช้จักรเลยไป เอียอุ่น อ้องกึน กองทัพหนุนก็ใช้จักรตามไปได้ประมาณสามลี้
พอกองทัพเม่งคง ทองอุย ทองเม็ง และกองทัพเอี้ยหลิม แต้เทียนสิว สิย้ง เล่าตง เชาเจ็งพายเรือเล็กออกสกัดหน้าไว้ คูงัก เอียอุ่น อ้องกึนจึงให้ทหารยิงเกาทัณฑ์และพลุไล่เหมือนหนหลัง ทหารโจรก็ดำน้ำหนีย้อนออกไปทั้งสิ้น ทัพหน้าและทัพหนุนเมืองตังเกียก็ใช้จักรเลยไปใกล้จะถึงเขาเนียซัวเปาะ โงวหยงขึ้นดูอยู่บนหอรบ แลเห็นธงยี่ห้อเมืองตังเกียปักประจำอยู่บนเก๋งหน้าเรือก็เข้าใจเป็นแน่ว่ากองทัพเมืองตังเกียหลงในกลอุบายสมคิด จึงให้ทหารระดมจุดประทัดตีม้าล่อและกลองเสียงสนั่น นายทหารทัพหน้าและทัพหนุนได้ยินก็ตกใจ สำคัญว่าพวกโจรเตรียมกองทัพซุ่มไว้มากจึงรอจักรลงไว้ทั้งสองทัพ แล้วปรึกษากันว่าเราตีกองโจรแตกถึงสามกอง จึงยกล่วงเลยเข้ามาก็หามีกองทัพออกต่อตีไม่ บัดนี้เรามาจนใกล้เขาเนียซัวเปาะจึงได้ยินเสียงประทัดและกลองดังเสียงลมพายุใหญ่ ชะรอยโงวหยงจะคิดกลอุบายไว้เป็นมั่นคง ครั้นจะยกเข้าไปที่ค่ายในขณะนี้ก็จะเสียที ประการหนึ่งทหารเราน้อยตัวกว่าพวกโจรนักต้องรอคอยกองทัพใหญ่มาถึงจึงจะยกขึ้นระดมตีค่ายให้แตกจงได้ ปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้วจึงให้ตั้งขบวนเรือหยุดอยู่ห่างเขาเนียซัวเปาะประมาณห้าลี้
ฝ่ายกอกิวครั้นเห็นทัพหน้าทัพหนุนศึกองทัพพวกโจรแตกแล้วใช้จักรเลยไปได้ก็มีความยินดี จึงเร่งทหารให้หมุนจักรไปโดยเร็ว หวังจะรีบตามกองทัพหน้าและทัพหนุนไปช่วยกันตีค่ายเขาเนียซัวเปาะ
ขณะนั้นเตียสุน เตียหวย พายเรือพาทหารออกล้อมกองทัพกอกิวไว้ทั้งหน้าและหลังเหมือนกับหมู่มดห้อมล้อมตอมน้ำอ้อย กอกิวให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์เป็นสามารถ ทหารโจรแตกไปเป็นช่อง ด้านไหนเกาทัณฑ์เบาบางทหารโจรชวนกันเข้าล้อมด้านนั้น ทหารเมืองตังเกียก็หันเรือกลับเข้าช่วยกันระดมตีกองทัพโจรแตกพ่ายออกไป แล้วกลับเรือตลบเข้าห้อมล้อมซ้ายขวาหน้าหลังเป็นหมู่ ๆ มิได้แตกฉาน แต่เวียนหันเรือรบไล่ตีพวกโจรอยู่เป็นหลายตลบจะให้จักรเลยไปก็ไม่ได้ กอกิวจึงให้แยกเรือเป็นปีกกาให้ทหารยิงเกาทัณฑ์กวาดไว้ไม่ให้ทหารโจรเข้าใกล้ เตียหวย เตียสุนก็รบล่อแต่ห่างๆ
ฝ่ายอวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิด เม่งคง ทองอุย ทองเม้ง เอียหลิม แต้เทียนสิว สิย้ง เล่าตง เชาเจ็ง พาทหารดำน้ำออกมาถึงกองทัพกอกิว ทหารโจรทั้งสองกองก็ช่วยกันเอาบิดหล่าไชและสิ่วเจาะแนวหมันทะลุทุกลำ น้ำเข้าในเรือจนท่วมดาดฟ้าชั้นล่าง ทหารที่สำหรับหมุนจักรขึ้นมาบอกกอกิวและนายเรือว่าเรือรั่วน้ำท่วมดาดฟ้าจะหมุนจักรก็ไม่ได้ กอกิวและนายเรือได้ฟังก็ตกใจให้ทหารสูบวิดน้ำนั้นก็ไม่แห้งมีแต่มากขึ้นด้วยพื้นเรือนั้นทะลุหลายแห่ง กอกิวและทหารทั้งปวงไม่รู้ที่จะทำประการใดสิ้นสติแลดูตากันอยู่ เตียหวย เตียสุนเห็นได้ทีจึงพายเรือเทียบเข้าไปใกล้มองเห็นกอกิว บุ้นฮวนเจียง เดินไปมาสับสน คิดอ่านจะพากันโดดน้ำหนี เตียสุน เตียหวยก็ปีนขึ้นบนเรือแล้วบอกว่าเรือเจียนจะล่มแล้ว เชิญท่านมากับข้าพเจ้าจะพาหนีไปให้พ้นข้าศึก กอกิวกำลังตกใจสำคัญว่าทหารของตัวรีบเดินเข้ามาหา เตียสุนเอามือกระหวัดคอไว้แน่นพาโดดลงน้ำดำไป เตียหวยก็จับมือบุ้นฮวนเจียงโดดลงน้ำตามไป ทหารเมืองตังเกียเห็นดังนั้นสำคัญว่านายลงน้ำหนีข้าศึกต่างคนต่างลงน้ำจะตามไป ทหารเอก โท ตรี ซึ่งเป็นกองเรือแซงซ้ายขวาเห็นเรือเจียนจะล่มก็พากันโดดลงน้ำทั้งสิ้น ทหารโจรที่เจาะเรือเห็นดังนั้นก็ไล่จับได้บ้าง เอาสิ่วและบิดหล่าแทงตายเสียบ้าง โลหิตแดงไปทั้งลำน้ำ ทหารโจรชำนาญในทางน้ำจับทหารเมืองตังเกียฆ่าเสียประมาณสามส่วนหนีไปได้ส่วนหนึ่ง
ฝ่ายเตียสุน เตียหวย พาตัวกอกิว บุ้นฮวนเจียงว่ายน้ำมาประมาณสองลี้จึงพาตัวขึ้นวางไว้บนฝั่ง เห็นกอกิว บุ้นฮวนเจียงอ่อนเปลี้ยไปทั้งกายก็เข้าใจว่ากินน้ำเข้าไปแน่นท้องเห็นจะไม่ตาย เตียหวยพูดว่าถึงจะตายหรือไม่ตายก็ช่างมัน เราตัดเอาศีรษะไปให้ซ้องกั๋งเถิด เตียสุนจึงว่าเจ้าจะทำหุนหันนั้นไม่ได้จะเสียความ ด้วยกอกิวเป็นที่กอไทอวยขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าซ้องฮุยจง ตัวเราและเจ้านี้มีบรรดาศักดิ์ต่ำไม่ควรจะทำอันตรายให้ถึงแก่ชีวิต ประการหนึ่งซ้องกั๋งผู้พี่ของเราไม่ได้คิดประทุษร้ายต่อแผ่นดิน สมัครจะเข้าไปเป็นข้าราชการอยู่เมืองหลวง ถ้าเราทำอันตรายแก่กอกิว พระเจ้าซ้องฮุยจงก็จะเห็นว่าพี่เราเป็นกบฏการศึกจะติดต่อลุกลามไปไม่รู้วาย เราช่วยกันแก้ไขคนทั้งสองให้ฟื้นแล้วพาตัวไปให้ซ้องกั๋งพี่เราดีกว่า
ขณะเมื่อพูดกันอยู่นั้นก็พอดีพวกทหารประดาน้ำคุมทหารเมืองตังเกียมาประชุมพร้อมกัน เตียสุนจึงให้ทหารพยุงตัวกอกิว บุ้นฮวนเจียงขึ้นเอาศีรษะไว้เบื้องต่ำ น้ำก็ไหลออกทางปาก กอกิว บุ้นฮวนเจียงได้สติฟื้นขึ้น กอกิวไม่อาจดูหน้าทหารโจรและทหารของตัวได้นั่งก้มศีรษะเอาหน้าซบกับเข่าไม่พูดประการใด นายทหารโจรก็ผูกมัดทหารเมืองตังเกียแล้วพารีบเดินลัดตัดทางไปเข้าทางหลังเขา นำตัวกอกิวและทหารที่จับได้เข้าไปให้แก่โงวหยง ๆ มีความยินดีจึงให้เอาตัวกอกิว บุ้นฮวนเจียง ไปขังไว้ก่อน แต่พวกทหารเอกทหารเลวนั้นให้จำมั่นคงแล้วบอกแก่นายทหารทั้งปวงว่า กองทัพเรือเมืองตังเกียมาจอดตั้งขบวนอยู่ที่ชายน้ำอีกสองกอง เรือประมาณแปดสิบลำ พวกเจ้าจงรีบไปทำลายเสียโดยเร็ว นายทหารเหล่านั้นพูดว่า แม้แต่กองทัพกอกิวเรือถึงสี่ร้อยยี่สิบลำพวกข้าพเจ้ายังทำลายให้จมเสียได้ก็เพราะความคิดและปัญญาของท่าน จะวิตกอะไรกับเรือแปดสิบลำ ดำน้ำพักเดียวก็จะจมลงทั้งสิ้น พูดแล้วคำนับลาพาทหารลงน้ำดำเข้าไปใต้ท้องเรือกองทัพเมืองตังเกีย
ฝ่ายคูงัก เอียอุ่น อ้องกึนตั้งใจคอยกองทัพใหญ่ไม่เห็นยกหนุนมาก็มีความวิตกหวั่นหวาดกลัวจะหลงในอุบายพวกโจร จะถอยหลังออกไปหากองทัพใหญ่ก็ไม่กล้า จะรีบยกหนีไปข้างหน้าก็นึกกลัวเป็นความจนใจไม่รู้ที่จะคิด นั่งปรับทุกข์ปรึกษากันอยู่ พอทหารที่ในดาดฟ้าชั้นล่างขึ้นมาบอกว่าใต้ท้องเรือมีเสียงกึกก้องผิดปกติอยู่ ประมาณครู่หนึ่งเรือก็รั่วน้ำไหลเข้าในเรือหลายแห่ง บัดนี้น้ำท่วมถึงพื้นดาดฟ้าชั้นล่างแล้ว นายทหารทั้งสามได้ฟังก็ตกใจ จึงให้ทหารวิดน้ำออกจากเรือเป็นอลหม่าน นํ้าในท้องเรือก็มากขึ้นไม่น้อยลงจนทหารเหนื่อยอ่อนกำลัง ทหารโจรเห็นเรือล่มช้าจึงแบ่งทหารให้ปีนเรือขึ้นไป เมื่อขณะที่พวกโจรปีนเรือขึ้นไปนั้นทหารในเรือไม่ทันรู้ตัวมัวชวนกันวิดน้ำจนพวกโจรเอาอาวุธสั้นฟันแทงตายหลายคน นายทหารทั้งสามเห็นดังนั้น ก็ตีม้าล่อเรียกทหารขึ้นมาพร้อมแล้วช่วยกันเข้าตีต้อนรุมรบพวกโจรเป็นสามารถ ทหารโจรก็พากันโดดหนีลงน้ำ คูงัก เอียอุ่น อ้องกึนก็แบ่งทหารให้ถือเกาทัณฑ์ยืนรายระวังอยู่ตามกาบเรือสองข้าง มิให้พวกโจรปีนขึ้นเรือได้ ทหารโจรที่อยู่ใต้เรือก็เอาบิดหล่าเจาะไชเรือทะลุอีกหลายแห่งน้ำในเรือก็มากขึ้น ท่วมถึงดาดฟ้าชั้นบน คูงัก เอียอุ่น อ้องกึนกับทหารเลวก็พากันโดดลงน้ำจะว่ายไปขึ้นฝั่ง ทหารโจรเห็นก็ไล่จับนายทหารทั้งสามคนและทหารเลวได้เป็นอันมาก แต่คูงักนั้นตายในที่รบ ทหารโจรก็ตัดเอาศีรษะแล้วเอาทหารที่จับได้และศีรษะคูงักไปส่งให้โงวหยง ณ ค่าย
ฝ่ายซ้องกั๋ง โลวจุนหงียกกองทัพไปตั้งค่ายปิดทางอยู่แดนต่อแดนได้สู้รบกับกองทัพเมืองตังเกียหลายครั้งยังไม่แพ้ชนะ กองทัพเมืองตังเกียห่างกันประมาณสี่ลี้ เวลาวันหนึ่งซ้องกั๋งให้โลวจุนหงีคุมทหารขึ้นม้าไปท้ารบถึงหน้าค่าย นายทหารเมืองตังเกียก็คุมทหารยกออกมายืนม้าอยู่ในสนามรบ โลวจุนหงีจึงพูดว่า แต่ก่อนเราและท่านยกทหารออกมารบกันเป็นสามารถก็ไม่เสียทีแก่กัน ครั้งนี้เรารบกันตัวต่อตัวให้ทหารทั้งปวงดูเล่น ฮั่นง่วนตินได้ฟังก็ขับม้ารำอาวุธเข้ารบกับโลวงุนหงีได้ประมาณสามสิบเพลง ฮั่นง่วนตินทานกำลังมิได้ก็ขับม้าห่างออกไป อ้องหวนเห็นจะเสียที จึงขับม้าถลันออกรบกับโลวจุนหงีได้ประมาณห้าสิบเพลง โลวจุนหงีขยับอาวุธทำทีจะแทง อ้องหวนเยื้องข้างหลบอาวุธยั้งตัวไม่ทันพลัดตกจากหลังม้า โลวจุนหงีขับม้าสะอึกเข้าไปจะแทง พอจิวงังขับม้าเข้ามาเอาอาวุธปัดอาวุธของโลวจุนหงีไว้แล้วก็เข้ารบกันเป็นสามารถ นายทหารทั้งสองมิได้เพลี่ยงพลั้งแก่กันแต่รบกันอยู่ประมาณแปดสิบเพลง จิวงังกำลังน้อยเห็นจะสู้ไม่ได้ก็ขับม้าหนีกลับเข้าค่าย โลวจุนหงีพาทหารไล่ตาม ซ้องกั๋งเห็นดังนั้นก็ยกทหารหนุนตามไปช่วยระดมตีแซงสกัดทางไว้ กองทัพเมืองตังเกียจะหนีเข้าค่ายหาทันไม่ ทหารโจรก็โจมตีตัดกลาง กองทัพแตกกระจายคุมกันไม่ติด ทหารโจรฆ่าฟันทหารเมืองตังเกียตายหลายพัน จิวงัง อ้องหวน ฮั่นง่วนตินก็ชักม้ารีบไปตามทางใหญ่เหลือทหารเลวตามไปประมาณหมื่นเศษ พวกโจรก็ไล่ไปประมาณยี่สิบลี้แล้วถอยกลับมาค่าย ซ้องกั๋งจึงให้ทหารเก็บเครื่องศัสตราวุธและเสบียงอาหารแล้วให้เอาเพลิงเผาค่ายเสีย จึงเตรียมทหารเป็นขบวนยกกองทัพกลับมายังค่ายเขาเนียซัวเปาะ เล่าความที่ได้รบกับทหารกองทัพบกเมืองตังเกียให้โงวหยงฟังทุกประการ โงวหยงจึงสั่งผู้คุมให้พาตัวกอกิว บุ้นฮวนเจียงกับทหารเอก โท ตรี และพวกทหารเลวที่จับได้นั้นมาให้ซ้องกั๋ง ผู้คุมคำนับลามาไขกุญแจแล้วเรียกกอกิว บุ้นฮวนเจียงและทหารออกมา
กอกิวจึงถามผู้คุมว่า ซ้องกั๋งกลับมาถึงแล้วสั่งให้เอาตัวพวกเราไปประหารชีวิตหรือ ผู้คุมตอบว่าการจะดีและร้ายประการใดไม่แจ้ง โงวหยงซินแสสั่งให้เอาตัวไป กอกิวได้ฟังมีความวิตกพูดกับบุ้นฮวนเจียงว่า ตัวเราและท่านคราวนี้ไม่ได้กลับไปเห็นหน้าบุตรภรรยาอีกแล้ว คงจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในเขาเนียซัวเปาะแน่ พูดแล้วก็ร้องไห้น้ำตาไหลลงอาบหน้า บุ้นฮวนเจียงเห็นกอกิวมีความเศร้าโศกเสียใจไม่มีสติ จึงคิดว่ากอกิวคนนี้ดีแต่ปากพูดอวดอ้างว่ามีสติปัญญา ครั้นภัยมาถึงตัวก็มีแต่นํ้าตา ไม่คิดปลดเปลื้องแก้ไขเอาตัวรอด คิดแล้วจึงพูดว่าความเกิดกับความตายเป็นของคู่กัน ซึ่งท่านจะร้องไห้อาลัยถึงชีวิตนั้นไม่เป็นประโยชน์ ถ้าท่านรักชีวิตคิดจะกลับไปเมืองตังเกียแล้วข้าพเจ้าจะบอกให้ กอกิวว่าท่านจะบอกให้ทำประการใดเราไม่ขัดขืนขอแต่ชีวิตให้รอดกลับไปเถิด บุ้นฮวนเจียงจึงบอกว่าตัวเราครั้งนี้ก็เข้าที่คับแค้น เจียนจะถึงแก่ความตาย อย่าได้ถือตัวว่ามีบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางผู้ใหญ่เลย จงพูดจาอ่อนน้อมไกล่เกลี่ยเป็นไมตรี เอาใจดีต่อซ้องกั๋งคงไม่ทำอันตรายเป็นแน่แท้
แต่เดินพูดปรึกษากันมาจนถึงที่ชุมนุมหน้าค่าย กอกิวก็คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ากับท่านทำศึกแก่กันบัดนี้ข้าพเจ้าเสียทีท่านจับได้ ชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือท่านแล้ว ขอท่านผู้มีอำนาจจงได้กรุณายกโทษเสียสักครั้งหนึ่งเถิด ถ้าท่านเมตตาปล่อยไปแล้วก็เหมือนกับท่านทำความชอบไว้ในพระเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะนำความดีของท่านขึ้นกราบทูลให้ทราบ ซ้องกั๋งได้ฟังกอกิวสารภาพรับผิดก็มีความเมตตา ต้อนรับจับมือมานั่งเก้าอี้ที่หนึ่ง ให้บุ้นฮวนเจียงนั่งเก้าอี้ที่สอง ซ้องกั๋งกับโลวจุนหงี โงวหยงและทหารเลวทั้งปวงนั่งถัดกันลงไปเป็นอันดับ ซ้องกั๋งจึงสั่งให้จัดเสื้อกางเกงอย่างเอกสำรับหนึ่ง อย่างโทสำรับหนึ่ง ยกตั้งไว้ตรงหน้าแล้วพูดว่า เชิญท่านทั้งสองไปอาบน้ำชำระกายเสียให้สบายก่อนจึงค่อยสนทนากัน กอกิว บุ้นฮวนเจียงก็มาอาบน้ำชำระกายสวมเสื้อกางเกงใหม่เสร็จแล้วกลับเข้ามาที่ประชุม
กอกิวพูดว่าข้าพเจ้าเป็นข้าศึกท่านจับมาได้ไม่ทำอันตรายแล้วมิหนำซํ้าต้องเสียเครื่องนุ่งนุ่มให้อีกนั้น บุญคุณของท่านหาที่จะอุปมามิได้ ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายไปก่อนก็จะสั่งบุตรและหลานว่า ถ้าพบปะพวกแซ่ซ้องแล้วถึงจะเป็นคนอนาถายากจนอย่าได้ดูหมิ่น จงช่วยอุปถัมภ์สงเคราะห์ไปตามกำลัง ซึ่งข้าพเจ้าว่านี้เป็นความสัตย์มิได้แกล้งยกยอ ซ้องกั๋งตอบว่าท่านมีความเมตตาข้าพเจ้าตลอดไปทั้งแซ่นั้นขอบคุณเป็นอันมาก กอกิวว่าตัวท่านประกอบพร้อมด้วยกำลังและสติปัญญาควรจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้มีความสุข ชื่อเสียงก็จะปรากฏต่อไปภายหน้าไม่ควรจะมาซุ่มซ่อนอยู่ที่ลี้ลับ ซ้องกั๋งได้ฟังกอกิวพูดถึงความที่จะให้ไปทำราชการมีความยินดีนัก ด้วยเข้าใจว่ากอกิวเป็นขุนนางผู้ใหญ่จะเพ็ดทูลประการใดพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเชื่อฟัง จำจะพูดจาไกล่เกลี่ยผูกพันเป็นไมตรีไว้ดีกว่า ถ้ากอกิวกราบทูลเสนอความชอบความดีของเราแล้ว พระเจ้าซ้องฮุยจงคงโปรดให้เราเข้าไปทำราชการ
คิดแล้วพูดว่าเดิมท่านกับข้าพเจ้าเป็นข้าศึกกัน และบัดนี้ได้มาพบปะสนทนารู้จักน้ำใจกันแล้วข้าพเจ้าก็สิ้นความพยาบาทมิได้อาฆาตแก่ท่านต่อไป บรรดาทหารของท่านที่จับได้ไว้นั้นจะปล่อยให้คอยอยู่ที่เมืองจีจิว ตัวท่านกับบุ้นฮวนเจียงนั้นเชิญหยุดพักสนทนากันให้สบายสักสองสามเวลาก่อน แล้วข้าพเจ้าจะให้ทหารไปส่ง ซ้องกั๋งจึงสั่งให้ผู้คุมถอดเครื่องจำทหารเมืองตังเกียออกทั้งสิ้น ทหารทั้งปวงมีความยินดีคำนับลากลับไปเมืองจีจิว ซ้องกั๋งจึงสั่งคนใช้ให้ยกโต๊ะและสุรามาตั้งแล้วพูดว่าเชิญท่านทั้งสองเสพสุราให้สบายเถิด ซ้องกั๋งรินสุราส่งให้กอกิว ๆ ก็รับมาดื่มจนเมาเสียสติ พูดอวดอ้างยกตัวว่าเมื่ออายุเราเจ็ดขวบได้ฝึกหัดเพลงมวยชำนิชำนาญ ชกพนันชนะมาหลายครั้งจนหาคู่ชกไม่ได้ ครั้นเราเข้าไปทำราชการเป็นขุนนางแล้วก็ไม่ได้ชกกับผู้ใด บัดนี้เรามาถึงท่านแล้วนึกจะชกมวยแก้เรื้อให้ท่านเห็นฝีมือบ้าง ท่านจงจัดทหารที่มีฝีมืออย่างเอกเข้ามาลองซ้อมมือกันดูสักยกหนึ่ง
โลวจุนหงีได้ฟังนึกขัดใจจึงชี้บอกว่า เอียนเช็งคนนี้เป็นคนเข้าใจในเชิงมวยบ้างเล็กน้อยจะชกซ้อมมือกันเล่นเห็นจะได้ กอกิวเห็นรูปร่างของเอียนเช็งเล็กไม่สมกับภูมิเป็นคนมวยนึกประมาท จึงลุกจากเก้าอี้มายืนตั้งท่าร้องว่าผู้ใดจะชกกับเราให้เร่งมา ซ้องกั๋งจึงสั่งเอียนเช็งให้เข้าชก เอียนเช็งคำนับแล้วก็ลุกขึ้นยืนจดหมัดคุมเชิงแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยจะให้ชกท่านก่อนนั้นไม่ควร ท่านเป็นผู้ใหญ่จงชกก่อนเถิด
กอกิวก็ชกเอียนเช็งยกมือขึ้นปิดหมัดแล้วกระหวัดจับมือทั้งสองไพล่ไว้ข้างหลัง เอาเท้าถีบสะโพกกอกิวล้มกลิ้งไปหลายทอด ซ้องกั๋ง โลวจุนหงี ก็ไปยกพยุงขึ้นแล้วพูดว่า ตัวท่านเมาสุรากำลังน้อยจึงเสียที ท่านอย่าได้ถือโทษเลย กอกิวว่าเอียนเช็งนี้ฝีมือมวยดีนักนับว่าชายชาติทหารได้คนหนึ่งเราไม่ถือโทษดอก ครั้นเลี้ยงโต๊ะกันแล้วซ้องกั๋งจึงสั่งโลวจุนหงีจัดแจงที่ให้อยู่หลับนอนโดยสมควร แต่กอกิว บุ้นฮวนเจียงอยู่ในค่ายเขาเนียซัวเปาะสามวัน ซ้องกั๋งและทหารเอาใจดูแลปฏิบัติให้มีความสุขเป็นอย่างดี
กอกิวจึงว่าตัวเรามาอยู่กับท่านถึงสามวันแล้ว ทแกล้วทหารที่เมืองจีจิวจะมีความวิตกด้วยไม่รู้เหตุร้ายดีประการใดจะขอลากลับไปก่อน แต่ธุระของท่านนั้น เราจะกราบทูลแก้ไขให้ท่านเข้าไปทำราชการจงได้ ถ้าท่านมีความสงสัยไม่เชื่อ จะแต่งทหารที่มีสติปัญญาไปด้วยเราสักสองนาย จะได้กราบทูลชี้แจงให้ทรงเห็นว่าท่านจะเข้าไปสามิภักดิ์โดยจริง ฝ่ายเราก็จะให้บุ้นฮวนเจียงอยู่กับท่านเป็นตัวจำนำกว่าการจะสำเร็จ
ซ้องกั๋งจึงว่าถ้าท่านสงเคราะห์ให้ดังนั้นแล้วข้าพเจ้าจะให้เซียวเหยียง งักหัวไป ด้วยทั้งสองข้างต่างทำสัญญากันแล้วซ้องกั๋งจึงให้ทหารทั้งปวงมาคำนับกอกิวพร้อมกัน กอกิวกับซ้องกั๋งต่างก็คำนับกันตามธรรมเนียม แล้วกอกิวก็พาเซียวเหยียง งักหัวมาถึงเมืองจีจิวแล้วรวบรวมทหารที่เหลือตายได้ประมาณหกหมื่นก็ยกกองทัพกลับไปเมืองตังเกีย กอกิวมิได้เข้าไปเฝ้ากราบทูลความซึ่งเสียทัพให้ทราบ
ฝ่ายซัวเกีย เอียเจียน ท่องกวนและขุนนางพวกกงฉินก็พากันไปเยี่ยมเยือนถามข่าวกอกิวที่บ้าน กอกิวจึงแจ้งความซึ่งเสียทีแก่พวกโจรให้ทราบแล้วกระซิบบอกความแก่ซัวเกียว่า ท่านจงช่วยกราบทูลว่าป่วยเป็นลมอ่อนหิว จะคิดอ่านปราบปรามพวกโจรยังไม่สะดวก ครั้นจะพักกองทัพอยู่ที่เมืองจีจิวก็เกรงพวกโจรจะรู้เนื้อความว่าข้าพเจ้าป่วย จึงรีบยกกองทัพกลับมารักษาตัวให้หายเป็นปกติแล้วจึงจะยกกองทัพออกไปอีก ความข้อนี้ลึกซึ้งท่านอย่าได้แพร่งพรายให้ถึงสองหูเป็นอันขาด ซัวเกียตอบว่าท่านอย่าวิตกเราจะช่วยกราบทูลแก้ไขและปกปิดไว้ พูดแล้วต่างคนคำนับลาไป กอกิวจึงสั่งทหารให้พาตัวเซียวเหยียง งักหัวไปคุมไว้ในสวนดอกไม้หลังบ้านดูแลปฏิบัติมิให้อดอยาก
ครั้นเวลารุ่งเช้าพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จออกว่าราชการ ขุนนางเข้าเฝ้าพร้อมกันตามตำแหน่ง ตรัสถามถึงราชการศึก ซัวเกียก็กราบทูลความตามอุบายกอกิวให้ทราบ พระเจ้าซ้องฮุยจงได้ฟังก็เข้าพระทัยว่าเป็นอุบายแต่มิตรัสประการใด ด้วยเกรงใจซัวเกียจึงตรัสว่า กอกิวยังป่วยอยู่ก็อย่าเพิ่งคิดอ่านการศึกที่จะปราบปรามพวกโจรอีกเลย ให้แต่ทหารเที่ยวตระเวนตรวจตรารักษาด่านทางไว้จงกวดขัน อย่าให้พวกโจรแปลกปลอมเข้ามาได้ ถ้ากอกิวหายป่วยแล้วจึงคิดอ่านต่อไป แล้วก็เสด็จขึ้น ขุนนางก็ออกจากที่เฝ้า ตั้งแต่นั้นการศึกที่จะยกไปปราบปรามพวกโจรก็สงบอยู่