๒๐

ลิมชองว่าเดิมข้าพเจ้าเป็นครูทหารอยู่ในเมืองหลวง ต้องโทษเนรเทศมาเมืองชองจิวแล้วจึงได้เข้ามาอยู่ที่ตำบลนี้ก็เป็นบุญหนักหนา เทพยดาชักนำให้พวกพี่น้องทั้งปวงมาพบกัน บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นท่านเตียวไก่ใจโอบอ้อมอารีฝีมือก็เข้มแข็ง ชื่อเสียงก็ปรากฏทั้งแผ่นดินมิได้เห็นแก่เงินทอง สัตย์ซื่อกับพี่น้องพวกพ้องทั้งหลาย ควรจะยกขึ้นเป็นใหญ่ให้ว่ากล่าวพวกเขาเนียซัวเปาะสืบต่อไป คนที่มีฝีมือและสติปัญญาแจ้งความก็คงจะชื่นชมยินดีด้วยกันทั้งสิ้น ท่านทั้งปวงจะว่าประการใด คนเหล่านั้นก็เห็นชอบพร้อมกัน เตียวไก่ได้ฟังจึงตอบว่า ท่านพูดดังนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าเป็นคนมาอาศัย ท่านเป็นคนเก่าเปรียบเหมือนเจ้าของต้องว่ากล่าวการงานต่อไป จะมายกข้าพเจ้าขึ้นเป็นแจจู๊เจ้าของเขาเนียซัวเปาะนี้ไม่ได้ ลิมชองว่าท่านอย่าอิดเอื้อนไปเลย พี่น้องทั้งหลายเขายอมพร้อมกันแล้ว ลิมชองก็ตรงเข้าฉุดเตียวไก่ให้นั่งเก้าอี้ใหญ่ เรียกบรรดาพวกโจรที่อยู่ในเขาเนียซัวเปาะมาพร้อมกัน คุกเข่าลงคำนับเตียวไก่ แล้วก็สั่งให้เอาศพเฮงหลุนใส่หีบไปฝังเสียตามธรรมเนียม เตียวไก่กับพี่น้องพวกพ้องทั้งปวงก็ชวนกันมาจากเก๋งซัวหนำจุยแจตรงไปยังที่สำนักใหญ่ ครั้นถึงลิมชองกับพวกพ้องเหล่านั้นก็เข้าพยุงเตียวไก่ขึ้นนั่งที่สำหรับว่าราชการ แล้วลิมชองจึงพูดว่า ครั้งนี้เทพยดาตบแต่งให้ท่านเตียวไก่ขึ้นเป็นใหญ่ว่ากล่าวการทั้งปวงสืบต่อไป ท่านทั้งหลายอย่าทำให้เหมือนแต่ก่อน แล้วก็ยกให้โงวหยงเป็นนายที่สองเปรียบเหมือนกุนซือที่ปรึกษากับได้ว่าการทัพศึกทั้งสิ้น ยกให้กงซุนสินเป็นนายที่สาม ตัวลิมชองเป็นนายที่สี่ เล่าตงเป็นนายที่ห้า อวนเซียวยีเป็นนายที่หก อวนเซียวเหงาเป็นนายที่เจ็ด อวนเซียวชิดเป็นนายที่แปด โตวเซียนเป็นนายที่เก้า ซองบานเป็นนายที่สิบ จูกุ้ยเป็นนายที่สิบเอ็ดตั้งเป็นลำดับกันมาตามบรรดาพวกไพร่พลที่เขาเนียซัวเปาะประมาณแปดร้อยเศษ ก็ชวนกันคุกเข่าคำนับตามธรรมเนียม

เตียวไก่จึงพูดว่า เวลาวันนี้ลิมชองยกเราขึ้นเป็นใหญ่ ให้โงวหยงซินแสเป็นนายที่สอง ให้กงซุนสินเป็นนายที่สาม ตัวลิมชองเป็นนายที่สี่ ช่วยดูแลว่ากล่าวการงานที่เขาเนียซัวเปาะ ซึ่งท่านทั้งหลายเคยทำอย่างไรก็จงว่ากล่าวดูแลไปตามตำแหน่งเดิมเถิด บ้านช่องที่ชำรุดหักพังก็ให้ทำขึ้นใหม่ จัดการสำเร็จแล้วก็เอาเงินทองของดีมีราคาที่เอามาจากบ้านกับเพชรพลอยที่แย่งชิงได้ออกจ่ายให้พวกพ้องและไพร่พลทั่วกัน คนเหล่านั้นได้เงินทองและของดีมีราคาก็ยินดียิ่งนัก จัดการทำโต๊ะมาบวงสรวงเทพยดาฟ้าดินแล้วก็พากันกินโต๊ะเสพสุราตามสบายอยู่เป็นหลายเวลา ครั้นเลิกการกินโต๊ะเตียวไก่กับพวกพ้องสิบคนก็ตรวจตราเงินทองทรัพย์สิ่งของเสบียงอาหารพร้อมแล้ว จึงว่าเราจะต้องระวังรักษาที่ทางไว้ให้มั่นคง และสร้างสมเครื่องศัสตราวุธต่างๆ กับเสื้อเกราะและหมวกไว้สำหรับการศึก ให้จัดเรือรบเล็กใหญ่ฝึกหัดทแกล้วทหารให้ชำนาญในการศึก ถ้าแม้นมีทหารหลวงยกมาจะได้สู้รบต้านทานเอาชัยชนะให้จงได้ โงวหยงกับพวกพ้องทั้งแปดก็เห็นชอบพร้อมกัน

ลิมชองได้ฟังเตียวไก่พูดถึงการจะรักษาที่ทางให้แน่นหนามั่นคงควรเป็นใหญ่ได้ก็ยินดี จึงเล่าความเดิมซึ่งอยู่ที่เมืองหลวงให้เตียวไก่ฟังตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการ แล้วว่าข้าพเจ้าคิดจะไปรับบิดาและภรรยามาอยู่ด้วยกันก็เห็นว่าเฮงหลุนเป็นคนใจไม่ยั่งยืนมักริษยาจึงไม่ได้ไปรับมา ไม่แจ้งว่าจะเป็นตายประการใด เตียวไก่ว่าท่านจงเขียนหนังสือเถิดข้าพเจ้าจะให้คนใช้ถือไปรับบิดาและภรรยามาอยู่ด้วยกัน ลิมชองก็เขียนหนังสือส่งให้ เตียวไก่มอบคนที่ใช้สอยสนิทถือไป คนใช้รับหนังสือคำนับลาออกจากเขาเนียซัวเปาะตรงไปตังเกียเมืองหลวง ครั้นถึงก็สืบได้ความแล้วกลับมาแจ้งกับลิมชองว่า ภรรยาของท่านกอเงไหลข่มเหงกดขี่จะเอาเป็นภรรยา ๆ ท่านเหลือทนจนต้องผูกคอตาย บิดาท่านนั้นครั้นบุตรสาวตายก็เสียใจไม่เป็นอันกินอันนอน ทุกข์ร้อนจนตัวตายมาได้ครึ่งปีแล้ว แต่ที่บ้านท่านมีบุตรสาวเล็กอีกคนหนึ่งและก็ได้สามีมาอยู่ด้วยกัน การอันนี้ข้าพเจ้าสืบมาแน่นอนแล้ว

ลิมชองได้ฟังก็ร้องไห้ เตียวไก่กับพวกพ้องเหล่านั้นพากันสงสารเสียดายภรรยาลิมชองยิ่งนัก ครั้นค่อยคลายความโศกแล้วก็ชวนกันฝึกหัดซักซ้อมเพลงอาวุธให้ชำนิชำนาญ ปรารถนาจะได้สู้รบต้านทานพวกทหารหลวงทุกเวลามิได้ขาด ครั้นอยู่มาคนใช้ที่สำหรับตรวจในลำนํ้านั้นมาแจ้งแก่เตียวไก่ว่า ผู้รักษาเมืองเจ๋จิวฮู้ให้ทหารคุมทหารเลวสองพันเศษยกกองทัพเรือมาจอดอยู่ที่ตำบลเจี๊ยะเกียดชวน เตียวไก่ได้ฟังก็ตกใจจึงถามโงวหยงซินแสว่า บัดนี้กองทัพเมืองเจ๋จิวฮู้ยกมาเราจะคิดอ่านสู้รบประการใดดี โงวหยงหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอย่าวิตกเลย คำโบราณท่านย่อมว่า น้ำไหลมาก็เอาดินกลบเกลื่อนเสีย ถ้าหากยกกองทัพมาเราก็จัดทหารเข้าต้านทานสู้รบไว้ ท่านจงวางใจเถิดตกพนักงานข้าพเจ้าจะจัดแจงเอง พูดแล้วก็เรียกอวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิดสามคนพี่น้องมาจัดเป็นพวกหนึ่ง ลิมชองกับเล่าตงพวกหนึ่ง ซองบานกับโตวเซียวพวกหนึ่ง โงวหยงกระซิบบอกความลับด้วยกันทั้งสามพวกแล้วก็ไปจัดตามอุบายโงวหยงสั่งทุกประการ

ฝ่ายผู้รักษาเมืองเจ๋จิวฮู้ ครั้นฮอต๋อกลับไปแจ้งความก็โกรธยิ่งนัก สั่งให้อึงอันขุนนางนายทหารกับนายทหารรองอีกคนหนึ่งชื่อไม่ปรากฏ คุมทหารสองพันเศษลงเรือรบไปจับโจรที่ตำบลเจี๊ยะเกียดชวนมาให้ได้ ครั้นอึงอันยกตรงไปถึงตำบลเจียะเกียดชวนก็แบ่งเรือรบเป็นสองกอง จอดอยู่ริมฝั่งปากคลองจะออกแม่น้ำใหญ่ พักอยู่ได้สองเวลาก็ยกกองทัพเรือมาคนละทางถึงตำบลกิมซัวทัว ต้นทางจะไปเขาเนียซัวเปาะกองหนึ่ง พอได้ยินเสียงเป่าอุดในแม่นํ้า อึงอันได้ฟังก็ตกใจสั่งให้หยุดเรือรบอยู่ อึงอันแลไปดูในแม่นํ้าเห็นเรือเล็กสามลำแจวมาแต่ไกล ลำหนึ่งนั้นมีคนอยู่ห้าคน คนหนึ่งยืนอยู่ที่ศีรษะเรือถือเชือกเส้นหนึ่ง สี่คนนั้นแจวเรือเข้าใกล้พวกทหารเห็นเรือสามลำก็จำได้ จึงบอกแก่อึงอันว่าคนที่แต่งตัวใส่เสื้อสีแดงยืนอยู่ศีรษะเรือทั้งสามลำตรงเข้ามานั้นคืออวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิด สามคนพี่น้อง

อึงอันได้ฟังก็ร้องสั่งทหารถอยเรือรบออกล้อมจับสามคนนั้นให้ได้ ทหารก็ตรูกันแจวเรือเข้าไปจะจับ อวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิดก็หันศีรษะเรือกลับแจวไปทั้งสามลำ อึงอันเร่งทหารรุกไล่เอาเกาทัณฑ์ยิงไป สามคนพี่น้องนั้นเอาหนังโคและหนังกระบือที่สำหรับบังลูกเกาทัณฑ์ขึ้นป้องกันไว้ได้ไม่เป็นอันตราย อึงอันก็เร่งทหารรุกไล่ตามไปประมาณทางได้สามลี้ เห็นชายผู้หนึ่งแจวเรือเล็กรีบตามหลังมาร้องบอกว่า อย่าได้ไล่ตามไป กองทัพที่ยกมาทางในคลองนั้นพวกโจรพักเรือรบไว้ฆ่าฟันทหารล้มตายแย่งชิงเอาเรือรบไปสิ้นแล้ว อึงอันได้ฟังก็ตกใจจึงถามชายผู้นั้นว่าเหตุผลประการใด ชายผู้นั้นบอกว่า เมื่อยกกองทัพเรือมาเห็นเรือสองลำมีคนลำละห้าคนแจวเรือไป พวกทหารไล่ตามไปประมาณทางได้สี่ลี้เศษ เห็นเรือเล็กออกมาจากคลองแปดเก้าลำ แจวตรงมาใกล้เรือกองทัพ แล้วคนในเรือเล็กแปดเก้าลำนั้นเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมมา พวกทหารเห็นเหลือกำลังก็หันศีรษะชวนกันถอยกลับไปใกล้จะออกแม่น้ำ ปากคลองนั้นแคบ มีโจรอีกพวกหนึ่งประมาณสามสิบคน ออกจากป่าเดินตรงมาเอาเชือกขึงกั้นปากคลองไว้เรือรบออกไม่ได้ ชายพวกนั้นก็เอาก้อนศิลาแหลนหลาวพุ่งทิ้งขว้างลงในเรือเป็นอันมาก พวกทหารในเรือทนไม่ได้โดดลงจากเรือจมนํ้าตายเสียสิ้น บัดเดี๋ยวใจพวกเหล่านั้นก็เข้าป่าหายไป ข้าพเจ้าแอบซ่อนอยู่ครั้นพวกนั้นไปแล้วจึงลงเรือรีบแจวมาแจ้งแก่ท่าน

อึงอันได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ร้องสั่งให้ทหารหันศีรษะเรือกลับพอเห็นเรือสามลำนำเรือเล็กออกมาจากคลองในป่าแขมประมาณสิบลำ ปักธงแดงเป่าอุดประดังตรงเข้ามา อึงอันก็ให้แยกเรือเป็นปีกกาจะสู้รบกับพวกโจร ก็ได้ยินเสียงประทัดจุดขึ้นในป่าแขม เห็นเรือปักธงแดงออกมาจากคลองอีกหลายลำ คือพวกเตียวไก่เจ็ดแปดคนนั้นก็ประดังกันเข้ามา มีเรืออีกลำหนึ่งแจวตามหลังมาร้องด้วยเสียงอันดังว่า อึงอันจงตัดศีรษะส่งมาให้เราแต่โดยดีเถิด อึงอันได้ฟังก็ตกใจ เร่งให้ทหารเอาเรือรบแอบเข้าไปที่ป่าแขมริมฝั่ง พอเรือออกมาจากคลองเล็กสองข้างประมาณสี่ห้าสิบลำ ตรงเข้ามาเอาเกาทัณฑ์เครื่องศัสตราวุธระดมยิงทิ้งขว้างลงในเรือพวกทหาร อึงอันไม่รู้ที่จะหลบหลีกไปข้างไหนก็โดดลงเรือเล็กจะหนี เห็นเรือลำหนึ่งตรงเข้ามาใกล้ ชายผู้นั้นคือเล่าตงเอาขอเหล็กเกี่ยวตัวอึงอันไว้ได้ พวกทหารในเรือหลบไม่ทันถูกแหลนหลาวและเกาทัณฑ์ตายเป็นอันมาก ที่โดดน้ำตายก็มี ที่พวกเตียวไก่จับไปได้มากนักหนา เล่าตงครั้นจับอึงอันได้แล้ว พวกเหล่านั้นก็ช่วยกันเก็บเครื่องศัสตราวุธและเรือรบรวบรวมไว้พรักพร้อมชวนกันกลับไป เตียวไก่กับกงซุนสินก็ขึ้นม้ามาถึงริมแม่น้ำพบพวกเหล่านั้นก็ชวนกันกลับไปที่สำนักพร้อมกันทั้งสิบนาย เตียวไก่สั่งให้เอาตัวอึงอันกับพวกทหารที่จับมาได้ประมาณสองร้อยเศษไปจำขังไว้ ตามบรรดาพวกพ้องไพร่พลที่ไปสู้รบกับพวกทหารนั้น เตียวไก่ก็ปูนบำเหน็จรางวัลให้ทุกๆ คน ตัวนายที่ไปสู้รบมีความชอบนั้นก็จดบัญชีไว้ แล้วก็จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงสบาย เมื่อขณะกินโต๊ะอยู่นั้นคนใช้มาแจ้งว่าจูกุ้ยให้คนมาหาท่าน เตียวไก่ก็ให้พาเข้าไปถามว่า จูกุ้ยให้มาด้วยธุระสิ่งใด คนใช้บอกว่าจูกุ้ยให้มาแจ้งกับท่านว่ามีพ่อค้าเกวียนหลายสิบคน เวลาค่ำวันนี้จะขับเกวียนเดินมาทางนี้ เตียวไก่ฟังจึงพูดว่า ขณะนี้เรากำลังจะต้องการใช้เงินทองก็จำเพาะมีพวกพ่อค้ามา พี่น้องทั้งหลายผู้ใดจะรับอาสาคุมไพร่พลไปแย่งชิงมาได้บ้าง อวนเซียวยีพี่น้องสามคนจึงรับอาสาว่าข้าพเจ้าจะไปเอง เตียวไก่ว่าเจ้าทั้งสามจะไปก็ดีแล้ว แต่ต้องดูท่วงทีให้ชอบกล พี่น้องทั้งสามก็แต่งตัวคุมไพร่พลร้อยเศษลงเรือข้ามไป เตียวไก่ไม่ไว้ใจกลัวจะเสียทีก็สั่งให้เล่าตงคุมทหารร้อยเศษติดตามไปช่วย แล้วกำชับสั่งว่าเอาเงินทองข้าวของได้มาแล้วอย่าทำให้ผู้คนเป็นอันตรายเลย เล่าตงมาจัดไพร่พร้อมแล้วลงเรือตามไป เตียวไก่กับพี่น้องเหล่านั้นก็นั่งเสพสุราคอยอยู่จนดึกยามสามเศษก็ยังไม่เห็นกลับมา จึงให้โตวเซียนกับซองบานคุมบริวารไปคอยอยู่ตามทางอีกพวกหนึ่ง เตียวไก่กับโงวหยง กงซุนสิน ลิมชองนั่งเสพสุราคอยท่าอยู่จนสว่างก็ยังไม่เห็นกลับมา คนใช้ผู้หนึ่งไปแจ้งกับเตียวไก่ว่า จูกุ้ยแย่งชิงได้เงินทองทรัพย์สิ่งของยี่สิบเล่มเกวียนเศษ กับม้าและอูฐประมาณห้าสิบม้า เตียวไก่จึงถามว่าได้ฆ่าฟันผู้คนล้มตายเจ็บป่วยบ้างหรือเปล่า คนใช้บอกว่า พวกพ่อค้าเห็นพวกเราก็ตกใจกลัว ทิ้งเกวียนเงินทองทรัพย์สิ่งของทั้งปวงเสียชวนกันวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปสิ้น ไม่ได้ฆ่าฟันทำให้เจ็บป่วยจนสักคนหนึ่ง เตียวไก่ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงพูดว่าตั้งแต่นี้ไปผู้ใดก็ดีแย่งชิงเอาทรัพย์สิ่งของ ๆ เขาแล้ว อย่าได้ฆ่าฟันให้เป็นอันตรายเลย พูดดังนั้นก็เอาเงินมารางวัลให้กับคนใช้ เตียวไก่กับพี่น้องสามคนชวนกันมาคอยรับที่ตำบลกิมซัวทัว เห็นพวกที่ไปนั้นลากเกวียนขึ้นมาจากเรือแล้วกลับไปบรรทุกม้าและอูฐมาอีกเอาขึ้นฝั่งได้ เตียวไก่สั่งให้จัดโต๊ะและสุราไว้เสร็จให้ไปรับจูกุ้ยที่โรงขายสุรามาพร้อมกันทั้งสิบเอ็ดนาย ชวนกันกินโต๊ะเสพสุราอยู่ที่พัก ณ ตำบลกิมซัวทัว เตียวไก่ให้เอาห่อของที่บรรทุกเกวียนนั้นมาแก้ดู มีแต่เงินทองของดีมีราคาก็กองไว้ตรงหน้า ผ้าผ่อนแพรพรรณกองไว้แห่งหนึ่ง เตียวไก่ก็เรียกผู้รักษาเงินทองมาให้แบ่งเอาเงินทองทรัพย์สิ่งของและแพรสีต่างๆ ออกเป็นสองส่วน ๆ หนึ่งเอาเข้าเก็บไว้เป็นของกลาง อีกส่วนหนึ่งนั้นปันกันสิบเอ็ดนาย ไพร่ทั้งหลายก็ได้คนละส่วนทั้งสิ้น แบ่งปันกันเสร็จแล้วก็มีความยินดีชวนกันกินโต๊ะเสพสุราตามสบายใจ ครั้นกินโต๊ะแล้วเตียวไก่ให้เอาตัวพวกทหารที่จับมาได้ประมาณสองร้อยเศษนั้นสักหน้าเอาตัวไปใช้การต่างๆ อึงอันตัวนายนั้นให้จำขังไว้ แล้วเตียวไก่จึงพูดกับพี่น้องทั้งปวงว่า เดิมเราจะเข้าอยู่เขาเนียซัวเปาะนี้ก็หมายความว่าจะให้เฮงหลุนใช้สอย ลิมชองคิดอ่านยกเราขึ้นเป็นใหญ่แล้วก็มีชัยชนะ พวกทหารได้เครื่องศัสตราวุธกับม้าและเรือรบเป็นอันมากบุญคุณนักหนา บัดนี้ก็ยังได้เงินทองทรัพย์สิ่งของมาอีกก็เพราะบุญของพี่น้องทั้งหลายจึงชักนำเข้ามา พี่น้องทั้งปวงว่าพวกข้าพเจ้านี้ก็ได้พึ่งบารมีของท่านจึงได้บันดาลให้มีมา เตียวไก่จึงพูดกับโงวหยงซินแสว่า ซึ่งชีวิตเราพี่น้องสิบคนนี้ก็รอดเพราะซ้องกั๋งกับจูตง ลุยเหงนายทหาร คำโบราณท่านย่อมว่า ถ้าผู้ใดมีคุณก็ให้รู้จักคุณเขา บัดนี้เราก็มีความสุขแล้ว จำจะจัดเอาเงินทองทรัพย์สิ่งของให้คนเอาไปตอบแทนคุณของซ้องกั๋งกับจูตงลุยเหงนายทหาร กับอนึ่งแป๊ะสินนั้นก็ยังต้องขังอยู่ในคุกเมืองเจ๋จิวฮู้ จำจะไปแก้ไขเอาออกเสียให้จงได้ท่านจะเห็นประการใด โงวหยงว่าซ้องกั๋งนั้นเป็นคนสัตย์ซื่อมิใช่จะเห็นแก่เงินทองเราเมื่อไรแต่จะต้องไปตอบแทนคุณเขา แป๊ะสินนั้นต้องจัดหาคนเอาเงินทองไปเดินเหินให้เบาบางออก แป๊ะสินก็คงคิดหาอุบายหนีมาได้ท่านอย่าวิตกเลย แต่บัดนี้การงานของเรายังไม่เรียบร้อยดี จงจัดหาเสบียงอาหารสร้างสมเครื่องศัสตราวุธต่างๆ และเรือรบเล็กใหญ่ ฝึกหัดซักซ้อมไพร่พลทหารให้ชำนิชำนาญขบวนรบไว้ให้พร้อม คอยรับพวกทหารหลวงก่อน ภายหลังจึงค่อยคิดการอื่นต่อไป เตียวไก่ก็เห็นชอบจึงตอบว่า การทั้งปวงก็ตามแต่ท่านซินแสจะจัดแจงเถิด โงวหยงก็ให้พี่น้องเหล่านั้นไปจัดแจงสร้างสมเครื่องศัสตราวุธสิ่งของทั้งปวงไว้พร้อม

ฝ่ายพวกทหารที่มากับอึงอันหนีกลับไปได้แจ้งความแก่ผู้รักษาเมืองเจ๋จิวฮู้ว่า อึงอันนายทหารเสียทีพวกโจรจับไปได้ทหารเลวล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลือตายพวกโจรจับไปกับเรือรบเล็กใหญ่และเครื่องศัสตราวุธก็เสียแก่พวกโจรทั้งสิ้น และพวกโจรที่เขาเนียซัวเปาะนั้นฝีมือเข้มแข็งกับคลองเล็กเป็นช่องแคบก็มาก พวกทหารไม่แจ้งว่าเข้าออกคลองไหน ยกไปครั้งใดก็สู้พวกโจรไม่ได้ พากันล้มตายเสียดังนี้ ซึ่งจะไปจับพวกโจรที่เขาเนียซัวเปาะนั้นเห็นจะยากอยู่ ผู้รักษาเมืองเจ๋จิวฮู้ได้ฟังก็ตกใจ จึงพูดกับข้าหลวงที่ถือท้องตราของชัวเกียไทซือว่าเดิมให้ฮอต๋อคุมทหารไปจับโจรที่ตำบลเจี๊ยะเกียดชวนก็สู้พวกโจรไม่ได้ ทหารห้าร้อยล้มตายไม่เหลือมาสักคน แต่ตัวฮอต๋อนายทหารพวกโจรจับไปได้ตัดหูเสียทั้งสองข้างแล้วปล่อยให้กลับมาบอกข่าว ฮอต๋อไปรักษาหูอยู่ที่บ้านยังไม่ทันหาย ให้อึงอันกับนายทหารรองคุมทหารสองพันยกไปอีกก็สู้รบต้านทานไม่หยุด พวกโจรฆ่าเสียเป็นอันมาก อึงอันกับทหารที่เหลือตายพวกโจรก็จับไปได้ ไพร่พลทหารล้มตายเสียดังนี้จะคิดอย่างไรดี ข้าหลวงผู้ถือท้องตราก็ไม่รู้ที่จะโต้ตอบประการใด ผู้รักษาเมืองยิ่งมีความวิตกนั่งเป็นทุกข์อยู่ พอขุนนางสำหรับใช้มาแจ้งว่า มีขุนนางถือท้องตรามาจากเมืองหลวงจะเปลี่ยนให้ท่านกลับไป ผู้รักษาเมืองได้ฟังก็รีบไปรับเข้ามาข้างในจัดที่ให้นั่งตามธรรมเนียม ผู้รักษาเมืองคนใหม่เอาท้องตราที่ชัวเกียไทซือส่งให้ ผู้รักษาเมืองคนเก่ารับท้องตรามาอ่านดูแจ้งว่าคนใหม่มาว่าราชการสืบต่อไป ผู้รักษาเมืองคนเก่าก็มอบดวงตรากับทรัพย์สิ่งของต่างๆ ให้ผู้รักษาเมืองคนใหม่รับตรวจดู เสร็จแล้วสั่งให้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงผู้รักษาเมืองคนใหม่ เล่าความซึ่งโจรที่ตำบลเขาเนียซัวเปาะมีฝีมือเข้มแข็งฆ่าทหารหลวงตายทั้งสองครั้งตั้งแต่ต้นจนปลาย ผู้รักษาเมืองคนใหม่ได้ฟังก็ตกใจสีหน้าสลดลง จึงคิดว่ามิเสียแรงท่านชัวเกียไทซือช่างเลือกหาบ้านเมืองที่ดีให้มาว่าราชการ ทหารฝีมือเข้มแข็งก็ไม่มี ทำอย่างไรจึงจะจับพวกโจรได้ การอันนี้เหมือนหนึ่งแกล้งเสือกไสให้เรามา คิดแล้วก็มีความวิตกไม่โต้ตอบประการใด ผู้รักษาเมืองคนเก่าจึงรวบรวมทรัพย์สิ่งของครอบครัวของตัวแล้วลาผู้รักษาเมืองคนใหม่ออกเดินทางตรงไปเมืองหลวง

ฝ่ายผู้รักษาเมืองคนใหม่ ครั้นได้ว่าราชการเมืองเจ๋จิวฮู้คิดวิตกถึงโจรเขาเนียซัวเปาะยิ่งนัก จึงให้ประชุมนายทหารพร้อมกันปรึกษาว่า พวกโจรที่ตำบลเขาเนียซัวเปาะฝีมือเข้มแข็งยิ่งนัก ทหารในเมืองนี้ก็ไม่เห็นมีผู้ใดที่จะไปจับโจรได้ เราคิดจะเกลี้ยกล่อมคนที่มีฝีมือและสติปัญญาเข้ามาทำราชการด้วยแล้วจะได้ไปจับพวกโจร แต่จะต้องมีหนังสือไปให้ชัวเกียไทซือทราบก่อนว่าโจรที่ตำบลเขาเนียซัวเปาะฝีมือเข้มแข็งนัก ทหารไปจับครั้งใดก็เสียทีตายทุกครั้ง ในเมืองเจ๋จิวฮู้ก็ไม่เห็นผู้ใดที่จะยกไปจับพวกโจรได้จะขอทุเลาไปก่อน ถ้าเกลี้ยกล่อมคนมีฝีมือและสติปัญญาได้แล้วจึงจะยกไปจับพวกโจรให้จงได้ กับจะมีหนังสือไปถึงตามบรรดาหัวเมืองขึ้นให้รู้ทั่วกันว่าโจรที่ตำบลเขาเนียซัวเปาะเข้มแข็งนัก ให้ผู้รักษาเมืองทั้งปวงระวังบ้านเมืองไว้ให้แน่นหนาทุกๆ เมือง ถ้าเป็นพวกโจรให้คิดอ่านจับตัวไว้ ขุนนางนายทหารทั้งหลายก็เห็นชอบพร้อมกัน ผู้รักษาเมืองจึงให้ตั้งเกลี้ยกล่อมคนมีฝีมือและสติปัญญา แล้วเขียนหนังสือไปถึงชัวเกียไทซือและผู้รักษาเมืองทั้งปวงตามซึ่งปรึกษานั้นทุกประการ มอบให้ขุนนางถือแยกย้ายกันไปทุกๆ เมือง

ฝ่ายขุนนางผู้ถือหนังสือไปถึงเมืองหุนเสียกุ้ยกับเมืองเจ๋จิวฮู้ก็เอาหนังสือไปส่งให้ผู้รักษาเมืองรับมาฉีกผนึกออกอ่านแจ้งความแล้ว จึงให้หาซ้องกั๋งขุนนางตำแหน่งที่รับหนังสือมาสั่งว่า จงมีหนังสือไปถึงนายบ้านนายอำเภอทุกตำบลให้ระวังตรวจตราจับพวกโจรที่ตำบลเขาเนียซัวเปาะให้ได้ ซ้องกั๋งได้ฟังจึงคิดว่า เตียวไก่ทำให้เกิดความใหญ่แย่งชิงเอาของชัวเกียไทซือไปแล้วฆ่าพวกทหารตายถึงสองครั้ง จับฮอต๋อไปตัดหูเสียแล้วปล่อยมาทำเหลือเกินมีโทษมากนัก ซึ่งเตียวไก่จะไปเป็นโจรก็เพราะพี่น้องพวกพ้องชักนำข่มขืนให้ไป เตียวไก่กับเราเป็นคนรักใคร่กันถ้าไม่ทันระวังตัว เขาคงจับเอาไปได้จะทำอย่างไรดี คิดแล้วก็บอกกับขุนนางตำแหน่งที่เดียวกันว่า ท่านจงช่วยข้าพเจ้าเขียนหนังสือไปถึงนายบ้านนายอำเภอตามคำผู้รักษาเมืองสั่งด้วย ข้าพเจ้าจะออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง ขุนนางผู้นั้นก็เขียนหนังสือแทนซ้องกั๋ง ๆ ก็ออกมาจากที่ว่าราชการเดินไป ได้ยินเสียงคนร้องเรียกว่าท่านผู้ว่ากล่าวตำแหน่งหนังสือจะไปข้างไหน ซ้องกั๋งได้ยินก็เหลียวไปเห็นยายเฮงผอกับยายแก่ผู้หนึ่งตรงเข้ามาคำนับ ซ้องกั๋งถามว่าท่านมีธุระสิ่งไรหรือ ยายเงียมผอว่าท่านยังไม่ทราบข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง ยายเงียมผอนี้มีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อผอเสียะ สามีเป็นชาวตังเกียเมืองหลวงชื่อเงียมก๋งเป็นคนขับร้องเพลงดี จึงสอนให้นางเฮงผอเสียะบุตรสาวขับร้องมาแต่เล็กจนใหญ่ อายุได้สิบแปดปีรูปร่างลักษณะดีพอสมควร สามคนพ่อลูกชวนกันมาเมืองชัวตังแซหาพวกพ้องก็ไม่พบ จึงได้ตกมาอยู่เมืองหุนเสียกุ้ย ซึ่งคนในเมืองนี้ไม่มีผู้ชอบขับร้องเงินทองก็หาไม่ได้ จะกลับไปไม่มีเงินจะซื้อกินตามทาง จึงได้เที่ยวมาสำนักอยู่ที่ในตรอกหลังโรงว่าราชการของท่าน เวลาวานนี้เงียมก๋งสามียายเงียมผอบิดาของนางผอเสียะตาย ยายเงียมผอไม่มีเงินจะซื้อหีบใส่ศพไปฝัง จึงอ้อนวอนให้เที่ยวหาเงิน ข้าพเจ้าไม่รู้แห่งจะไปหาผู้ใดจึงพากันเดินมาได้พบท่านก็เป็นบุญนักหนา ขอท่านจงเมตตาแก่คนยากด้วยเถิด ซ้องกั๋งได้ฟังก็มีความเวทนาจึงพูดขึ้นว่าถ้ากระนั้นก็ตามเรามาเถิด ซ้องกั๋งเดินไปที่โรงเตี๊ยมยืมพู่กันมาเขียนหนังสือส่งให้สั่งว่าหีบใส่ศพนั้นไปเอาที่โรงเตี๊ยมตันซำหลงเถิด แล้วหยิบเงินสิบตำลึงให้ ยายเงียมผอได้รับเงินกับหนังสือก็มีความยินดีคำนับลาไปเอาหีบใส่ศพที่โรงเตี๊ยมตันซำหลงมาจัดการฝังศพสามีเสร็จแล้ว เงินนั้นยังเหลืออยู่บ้างสองคนแม่ลูกก็ได้ซื้อรับประทานกันต่อไป

ครั้นอยู่มาเวลาวันหนึ่ง ยายเงียมผอคิดถึงบุญคุณก็มาคำนับซ้องกั๋งที่บ้าน เห็นในบ้านนั้นผู้หญิงก็ไม่มี ยายเงียมผอกลับไปถามยายเฮงผอว่า ซ้องกั๋งมีภรรยาหรือเปล่า ยายเฮงผอว่าซ้องกั๋งตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลชองเกชึง ไม่ได้ยินผู้ใดพูดว่ามีภรรยา มาเป็นขุนนางที่นี่ก็เห็นแต่จะอุปถัมภ์คนยากจนขัดสนและมีทุกข์ร้อนต่างๆ เจ็บป่วยล้มตายมาบอกว่าไม่มีเงินทองจะใช้สอยก็ให้ข้าวของไปทุกๆ คน ซึ่งภรรยานั้นเห็นยังไม่มีดอก ยายเงียมผอว่าบุตรสาวข้าพเจ้าขับร้องสิ่งใดก็ดี เมื่อขณะอยู่ตังเกียเมืองหลวงก็เคยได้ขับร้องมีคนชอบใจ พวกพ่อค้าที่ตั้งห้างขายของได้มาสู่ขอว่ากล่าวหลายหนก็ไม่ให้ ด้วยตัวเรากับสามีแก่ชราแล้วไม่มีผู้ใดจะอุปถัมภ์จึงไม่ให้มีสามี เพราะไม่แจ้งว่าจะมาลำบากตกยากถึงเพียงนี้ ซ้องกั๋งมีคุณกับเรานักยังหาได้ตอบแทนคุณไม่ ไปคำนับจนถึงบ้านก็ไม่เห็นมีภรรยาเราจึงได้มาหาจงเอ็นดูช่วยว่ากล่าวกับซ้องกั๋ง ถ้าจะมีภรรยานั้นอย่าต้องไปสู่ขอคนอื่นเลยเราจะยกนางผอเสียะบุตรสาวให้เป็นภรรยา ท่านจะเห็นอย่างไร ยายเฮงผอว่าดีแล้ว ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวให้เอง ครั้นรุ่งขึ้นเช้ายายเฮงผอก็ไปหาซ้องกั๋ง เล่าความที่ยายเงียมผอกล่าวนั้นให้ฟังทุกประการ ซ้องกั๋งก็ไม่ยอมรับ ยายเฮงผอเถ้าแก่เป็นคนช่างพูดประจบประแจงดีนัก ว่ากล่าวอ้อนวอนต่างๆ จนซ้องกั๋งใจอ่อนลงก็ยอมรับ ยายเฮงผอก็ยินดียิ่งนัก

ครั้นถึงวันดีซ้องกั๋งก็ไปปลูกเรือนใกล้โรงก๊วนที่สำหรับพัก ให้นางผอเสียะภรรยากับยายเงียมผอมารดาอยู่สองคน ซ้องกั๋งกับนางผอเสียะก็อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน ครั้นอยู่มาประมาณสิบห้าวันนางผอเสียะค่อยเจริญมั่งมีเงินทองซื้อสิ่งของแต่งตัวงดงาม แต่ซ้องกั๋งนั้นสติปัญญาดีฝีมือเข้มแข็ง การลูกเมียก็คลายมิใคร่จะได้ไปมาหานางผอเสียะ

อยู่มาวันหนึ่ง ซ้องกั๋งชวนเตียบุนอ๊วนมาที่บ้าน ให้นางผอเสียะจัดโต๊ะ และสุรามาเลี้ยงเตียบุนอ๊วน พูดจากันเล่นเป็นที่สบาย เตียบุนอ๊วนนั้นชาวบ้านมักเรียกเตียซา เป็นขุนนางรองของซ้องกั๋ง รูปร่างงามอายุประมาณยี่สิบปี ครั้นเห็นนางผอเสียะภรรยาซ้องกั๋งลักษณะดี ก็มีใจรักใคร่ ฝ่ายนางผอเสียะตั้งแต่ซ้องกั๋งนานไปนานมาก็จืดจางห่างเหิน ครั้นเห็นเตียบุนอ๊วนรูปร่างงดงามก็มีความเสน่หายิ่งนัก ครั้นกินโต๊ะเสพสุราแล้วเตียบุนอ๊วนลาซ้องกั๋งกลับไปบ้าน

อยู่มาวันหนึ่งเตียบุนอ๊วนแจ้งว่าซ้องกั๋งไม่อยู่ ก็แกล้งทำเป็นไปหาซ้องกั๋ง เตียบุนอ๊วนกับนางผอเสียะพูดจารักใคร่ได้เสียกันเตียบุนอ๊วนลอบไปหานางผอเสียะอยู่มิได้ขาด การที่เตียบุนอ๊วนกับนางผอเสียะรักใคร่กันนั้นความรู้ถึงซ้องกั๋ง ๆ ก็ไปที่บ้าน ปรารถนาจะดูกิริยานางผอเสียะ ๆ เห็นซ้องกั๋งมาก็โกรธขึ้งหน้าตาไม่สบาย ซ้องกั๋งรู้ในทีจึงคิดว่ามิใช่ภรรยาสู่ขอเป็นแต่เขาให้ตอบแทนคุณ ครั้นจะว่ากล่าวอื้ออึงก็อายไม่ต้องการ ตั้งแต่นั้นมาซ้องกั๋งทิ้งละเลยไว้หลายเดือน

เวลาวันหนึ่งซ้องกั๋งมาจากที่โรงที่พัก ตรงไปโรงเตี๊ยมขายนํ้าชาเห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ถือกระบี่กับสิ่งของวิ่งตรงมายังโรงขายน้ำชามองดูซ้องกั๋ง ๆ ก็แลดูชายผู้นั้น ทั้งสองฝ่ายไม่อาจทักกัน ชายผู้นั้นจึงถามพวกพ่อค้าว่าท่านขุนนางผู้นั้นชื่อไร พวกที่ขายของบอกว่าชื่อซ้องกั๋ง ชายผู้นั้นก็ตรงเข้าคำนับถามว่าท่านจำข้าพเจ้าไม่ได้หรือ ซ้องกั๋งรับคำนับถามว่าท่านนี้คือผู้ใด ชายผู้นั้นว่าเชิญท่านไปที่โรงขายสุราเถิดจึงจะบอก ซ้องกั๋งกับชายผู้นั้นก็ไปที่โรงขายสุรา ซ้องกั๋งจึงถามว่า ข้าพเจ้าชื่อเล่าตงท่านช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ลืมไปแล้วหรือ ซ้องกั๋งได้ฟังก็สะดุ้งใจพูดว่า ช่างกล้าหาญนักหนาช่างมาได้ ถ้าแม้นพวกนายทหารพบเข้าก็จะเกิดความ แล้วถามว่าเตียวไก่อยู่ดีหรือประการใด ผู้ใดใช้ให้มา เล่าตงบอกว่าเตียวไก่คิดถึงบุญคุณท่านนักหนา ว่าจะมาคำนับก็ขัดขวางเกรงอยู่ บัดนี้เตียวไก่เป็นนายใหญ่ที่ตำบลเขาเนียซัวเปาะ แล้วโงวหยงเป็นกุนซือ กงซุนสินเป็นผู้ช่วยว่ากล่าวการงานต่างๆ ลิมชองเป็นผู้คิดอ่านการทั้งสิ้น ฆ่าเฮงหลุนตายจึงได้ยกเตียวไก่ขึ้นเป็นใหญ่ในเขาเนียซัวเปาะนั้น ก็มีอยู่แต่โตวเซียน ซองบาน จูกุ้ยสามนาย กับพวกข้าพเจ้าเจ็ดคนด้วยกัน รวมเป็นสิบเอ็ดนายมีไพร่พลประมาณแปดร้อยเสบียงอาหารเงินทองก็มีบริบูรณ์ เตียวไก่คิดถึงคุณท่านอยู่มิได้ขาดจึงใช้ข้าพเจ้าถือหนังสือกับทองคำร้อยตำลึงมาให้ท่านแล้วจะเอาทองไปให้จูตงนายทหารอีกร้อยตำลึง เล่าตงก็เอาหนังสือกับทองคำส่งให้ ซ้องกั๋งรับหนังสือมาฉีกผนึกออกอ่านมีความว่า “เตียวไก่ได้เป็นใหญ่ในตำบลเขาเนียซัวเปาะก็เพราะลิมชองจัดการ บัดนี้พี่น้องทั้งปวงคิดถึงคุณท่าน จึงได้ให้เล่าตงถือหนังสือกับทองร้อยตำลึงมาคำนับ” ซ้องกั๋งแจ้งความแล้วครั้นจะไม่รับไว้ก็ไม่ดี จึงหยิบทองคำแท่งหนึ่งกับหนังสือมาใส่ในไถ้เก็บไว้ สั่งให้เจ้าของโรงเตี๊ยมจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกัน เล่าตงเห็นซ้องกั๋งหยิบทองไว้แต่แท่งเดียว ก็เอาทองคำนั้นวางไว้บนโต๊ะ แล้วเสพสุราพูดจากัน เล่าตงบอกซ้องกั๋งให้เก็บทองไว้เสีย ซ้องกั๋งว่าท่านพี่น้องเจ็ดนายเพิ่งจะเข้าอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะตั้งตัวใหม่ ๆ กำลังจะต้องใช้เงินทองมาก ตัวข้าพเจ้านี้หาเป็นไรไม่จงเอากลับคืนไปถ้าต้องการใช้สอยจึงจะไปเอาเอง ซึ่งทองที่จะให้จูตงนั้น ถ้าข้าพเจ้าพบกับจูตงจึงจะบอกให้ทราบว่าท่านคำนับมา บัดนี้จะเชิญให้ไปบ้านก็กลัวพวกขุนนางนายทหารพบปะจะจำได้ก็จะเกิดความใหญ่ขึ้น จงกลับไปบอกกับพี่น้องทั้งปวงเถิดว่า ข้าพเจ้าอยากจะไปคำนับสักครั้งหนึ่ง ซ้องกั๋งก็เขียนหนังสือไปถึงเตียวไก่ฉบับหนึ่งมอบให้ เล่าตงรับหนังสือเก็บทองคำใส่ห่อผ้าแล้วสั่งว่าเมื่อเดินทางไปจงระวังตัวให้ดี ไปข้างหน้ามีแต่ขุนนางนายทหารมาก เล่าตงคำนับลาซ้องกั๋งออกจากโรงเตี๊ยม ในขณะนั้นเป็นวันกลางเดือนแปด เวลาค่ำเดือนหงาย เล่าตงรีบเดินทางกลับไป ซ้องกั๋งคิดเงินให้เจ้าของขายสุราแล้วออกจากโรงเดินมา จึงนึกว่าเตียวไก่ทำให้เกิดความใหญ่ขึ้นดังนี้คงจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นแน่ พอได้ยินเสียงคนร้องถามว่าท่านซ้องกั๋งจะไปข้างไหน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ