๑๑๔

ยังมีชายแปดคนรูปร่างล่ำสัน สูงใหญ่ มีกำลังวิ่งออกมาจากชายป่าตรงเข้าจับลี้จุน ทองอุย ทองเม้งมัดผูกไว้กับต้นหลิว ชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นนายโจรนั้นสวมหมวกดำเสื้อเขียวเดินออกมาถามว่า เจ้าทั้งสามคนนี้อยู่เมืองไหนทำไมจึงกล้าพากันมาถึงที่นี่ ลี้จุนตอบว่าเราเป็นชาวเมืองเอี้ยงจิวจะมาหาซื้อปลาลี่ฮื้อ นายโจรผู้หนึ่งจึงพูดว่าพวกเจ้าสามคนนี้เห็นจะเป็นข้าศึกมาสอดแนมมาสืบข่าวเรา อย่าได้ไต่ถามให้ป่วยการเลยจงเอากระบี่แหวะหัวใจและตับมาต้มรับประทานกับสุราเถิด ลี้จุนได้ฟังนายโจรพูดก็ตกใจผินหน้ามาดูทองอุย ทองเม้ง ก็ต้องมัดไม่มีผู้ใดจะช่วยแก้ไขได้ จึงคิดตรึกตรองหาอุบายที่จะแก้ตัวพอนึกขึ้นได้จึงพูดว่า แต่ก่อนเราก็เคยเป็นโจรอยู่ในลำแม่น้ำซิมเฮียงกัง ไม่มีผู้ใดมาข่มเหงทำอันตรายมีความสุขสบายเป็นอันมาก ไม่รู้ตัวเลยว่า ถึงแม้เราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เสียดายแต่ชื่อเสียงยังไม่ปรากฏ นายโจรทั้งสี่ได้ยินคนทั้งสามพูดจาเฉียบแหลมก็นึกสงสัย ถลึงตาแลดูกันแล้วถามว่าเจ้าทั้งสามมีชื่อและแซ่นั้นเราบอกไม่ได้ด้วยอายแก่คนมีฝีมือจงเร่งฆ่าเสียโดยเร็วเถิด นายโจรทั้งสี่เห็นชายสามคนพูดจาห้าวหาญไม่ย่อท้อแก่ความตาย นึกสังเกตในใจว่าชายสามคนนี้มีฝีมือเป็นแน่ ครั้นเราจะไต่ถามด้วยความดุร้ายที่ไหนจะรู้เรื่อง จำจะต้องไต่ถามแต่โดยดีจึงเอากระบี่ตัดเชือกที่มัดออกเชิญให้นั่ง นายโจรทั้งสี่พูดว่าเรามาตั้งก๊กเป็นโจรอยู่ในตำบลยูลิวจิงมาช้านานแล้ว ยังไม่เคยพบปะผู้ใดใจห้าวหาญเหมือนพวกท่านเลย ลี้จุนบอกว่าเราชื่อลี้จุน คนที่นั่งข้างซ้ายนี้ชื่อทองอุย คนที่นั่งข้างขวาชื่อทองเม้ง เป็นทหารซ้องกั๋งใช้มาสืบข่าวศึก ซึ่งท่านเป็นนายโจรอยู่ในแผ่นดินฮองละ จงมัดเอาเราสามคนไปส่งให้ฮองละเอาความชอบและบำเหน็จรางวัลเถิด

นายโจรทั้งสี่ตอบว่า เราเป็นแต่โจรอยู่ในเขตแดนไม่ได้เกี่ยวข้องฝักใฝ่ในราชการ และไม่คิดอ่านหาผลประโยชน์ความชอบในฮองละดอก ซึ่งเราได้ผูกมัดท่านเหลือเกินนั้นขออภัยเสียเถิด อนึ่งเราทราบความว่าทหารของซ้องกั๋งคนหนึ่งชื่อเตียสุนมีฝีมือเข้มแข็งได้มาด้วยกับท่านหรือโม่ ลี้จุนตอบว่าซ้องกั๋งและทหารร้อยเจ็ดคนนั้นได้สาบานเป็นพี่น้องกับเราทั้งสิ้น แต่เตียสุนนั้นหาได้มาด้วยกันไม่คุมทหารไปรบเมืองเจียจิว เมืองเต้งจิวและท่านทั้งสี่นี้มีชื่อแซ่ประการใดจงบอกให้แจ้งบ้าง นายโจรจึงบอกว่า เราคนที่หนึ่งชื่อปีโปว คนที่สองชื่อเง่ยหุน คนที่สามชื่อเกาแซ คนที่สี่ชื่อเต็กเส็งได้เป็นนายโจรอยู่ในตำบลนี้ ลี้จุนว่าเราคิดจะชวนท่านทั้งสี่ไปคำนับซ้องกั๋งพี่เรา ณ ค่ายเมืองโซวจิว ถ้าท่านสมัครทำราชการอยู่ด้วยพี่เราแล้ว จะได้พาไปโดยเร็ว แม้นปราบปรามฮองละสำเร็จ พี่เราคงกราบทูลเสนอความชอบของท่าน พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ก็จะตั้งแต่งให้พวกท่านเป็นขุนนางมีบรรดาศักดิ์ ปีโปวตอบว่า พวกเราเหล่านี้ไม่มีผู้ใดอยากเป็นขุนนางปรารถนาแต่ความสุขใส่ตัว ท่านได้ออกปากแข็งแรงแล้วเราก็จะไปช่วยสงเคราะห์ตามกำลังและจะได้เป็นไมตรีคุ้นเคยกันสืบไปวันหน้า

พูดแล้วชวนลี้จุน ทองอุย ทองเม้งมายังที่สำนักแต่งโต๊ะเลี้ยงกันตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว ปีโปวจึงพูดว่าท่านมาสืบข่าวราชการก็ยังไม่ได้ความสิ่งใดจะด่วนพาเราไปนั้นซ้องกั๋งจะติเตียนได้ เชิญท่านพักอยู่ด้วยกับเราสักสองสามวันเถิดจะได้คิดอ่านสืบเอาข้อความให้จงได้ ลี้จุนก็เห็นชอบ ปีโปวจึงสั่งโจรพวกเรือปลาให้คอยตรวจตราดูเรือขุนนางในฮองละจะไปมาด้วยก๊จการ ณ เมืองโซวจิว ถ้าพบปะแล้วจงรีบมาบอกโดยเร็ว พวกเรือปลาก็คำนับลามาคอยอยู่ตามสั่ง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเย็นพวกโจรเรือปลาแลเห็นเรือแจวมาในลำแม่นํ้าเมืองโซวจิวที่ท้ายเรือปักธงเหลืองมีอักษรบอกว่าเรือมาแต่เมืองฮั่งจิว บรรทุกเสื้อเกราะไปส่งเมืองโซวจิว พวกเรือปลาเห็นดังนั้นก็ไปแจ้งความแก่ปีโปวให้ทราบ

ขณะนั้นลี้จุนบอกปีโปวว่า ท่านจงช่วยสงเคราะห์จับเรือและคนเหล่านั้นไว้อย่าให้หนีไปได้แต่สักคนหนึ่ง ปีโปวว่าท่านอย่าวิตกเราจะรับเป็นธุระ ปีโปว เง่ยหุน เกาแซ เต็กเส็ง ลี้จุน ทองอุย ทองเม้งก็พากันมาลงเรือเข้าคลองลัดออกสกัดหน้าทันทีทันกันที่ศาลเจ้าเล่งอ๋องเปียว ปีโปวจึงให้เรือปลาเจ็ดสิบลำเข้าล้อมไว้ พวกเมืองฮั่งจิวไม่อาจหนีไปได้พวกโจรช่วยกันฆ่าฟันตายสิ้นเว้นไว้แต่นายเรือสองคน ปีโปวจึงให้ทหารของตัวถอยเรือสิบลำเข้าไปในทะเลสาบ เอาตัวนายเรือสองคนนั้นมาถาม นายเรือแจ้งความว่าข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานชาวคลังเมืองฮั่งจิว ฮองเทียนเต๋งใช้ข้าพเจ้าคุมเอาเสื้อเกราะสามพันไปให้ฮองเหมา ณ เมืองโซวจิว ครั้นได้ความลับแล้วปีโปวก็เอากระบี่ฟันคอเสีย ให้คนใช้ขนเอาเสื้อเกราะสามพันกับหนังสือขึ้นไว้

ลี้จุนจึงบอกปีโปวว่า ท่านช่วยสงเคราะห์เราคราวนี้เหมือนกับหยิบเอาเมืองโซวจิวมาใส่ในมือเรา จะลาไปแจ้งความแก่พี่ให้ทราบเสียก่อน ถ้าพี่เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะกลับมาแจ้งความต่อภายหลัง ปีโปวก็จัดเรือเล็กให้คนมาส่งที่หน้าวัดฮั่นซัวยี่ ลี้จุน ทองอุย ทองเม้งพาปีนเข้าไปคำนับซ้องกั๋งแล้วแจ้งความทั้งปวงให้ทราบ ซ้องกั๋งได้แจ้งมีความยินดีจึงพูดกับโงวหยงว่า น้องเราไปสืบข่าวและได้ของสำคัญไว้เช่นนี้ ท่านจะคิดกลศึกประการใด โงวหยงตอบว่าครั้งนี้เมืองโซวจิวเหมือนอยู่ในกำมือ จงเร่งคิดอ่านซ้อนกลเหมือนเมื่อครั้งตีเมืองยุ่นจิวนั้นเถิด ซ้องกั๋งก็เห็นชอบจึงสั่งให้ลีขุย เปาหยก หังชอง ลีคุนคุมทหารสามร้อยไปด้วยลี้จุน แล้วให้สมทบกับปีโปวนายโจรช่วยกันคิดอ่านการศึกให้สำเร็จซึ่งจะพูดจาล่อลวงชาวเมืองโซวจิวประการใดนั้นโงวหยงก็สั่งสอนให้ทุกประการ

นายทหารทั้งห้าคำนับลาแล้ว พาทหารลงเรือรีบไปถึงท้องทะเลสาบ เมื่อลี้จุนไปแล้วนั้นซ้องกั๋งนึกขึ้นได้ว่า ลี้จุนไม่ได้เอาประทัดสัญญาไปจึงสั่งไตจง เลงจิ้น ให้เอาประทัดตามไปส่ง ไตจง เลงจิ้นคำนับลามาลงเรือเล็กรีบพายไปตามลำน้ำ ถึงท้องทะเลสาบไม่รู้แห่งจะไปหาลี้จุนที่ไหน ก็พายเรือขึ้นล่องอยู่หลายตระหลบ เวลานั้นลี้จุนอยู่ในเรือริมฝั่งแลเห็นเรือเล็กพายขึ้นล่องหลายตระหลบนึกสงสัยจึงให้ถอยเรือแจวออกไปดู ไตจง เลงจิ้นเห็นเรือแจวตรงออกมาก็ตกใจจึงยกธงยี่ห้อซ้องกั๋งขึ้น ลี้จุนเห็นธงสัญญาจำได้จึงยกธงยี่ห้อขึ้นรบ ไตจง เลงจิ้นเห็นดังนั้นก็มีความยินดีจึงรีบพายเรือเข้าไปหา ลี้จุนจึงถามไตจง เลงจิ้นว่าเจ้ามีธุระสิ่งใดหรือจึงได้พากันมา ไตจง เลงจิ้นบอกว่าเจ้าลืมประทัดสัญญาไว้ไม่ได้เอามาเมือง ทั้งมีความวิตกจึงให้เราเอาประทัดร้อยหนึ่งตามมาให้ ลี้จุนได้แจ้งมีความยินดี จึงรับไตจงเลงจิ้นขึ้นเรือใหญ่เข้าฝั่ง แล้วไปแจ้งความแก่ปีโปวนายโจรตามซ้องกั๋งสั่งมาทุกประการ ปีโปวกับลี้จุนจึงเตรียมเรือบรรทุกเสื้อเกราะไว้บนปากเรือใต้พื้น เรือนั้นบรรจุทหารและเครื่องศัสตราวุธไว้พร้อม ปีโปว เต็กเส็งก็ปลอมตัวเป็นเจ้าพนักงานคุมสิ่งของและถือหนังสือมาแต่เมืองฮั่งจิว ครั้นเตรียมการเสร็จแล้วพอถึงเวลาฤกษ์ดี ลี้จุนก็ให้ยกกองทัพถอยเรือออกจากท่ามาตามลำแม่น้ำโซวจิว ครั้นถึงหน้าเมืองจึงจอดเรือเทียบอยู่ที่ท่าหน้าเมืองเป็นระยะ ทหารม้าใช้เมืองโซวจิวเห็นเรือมาจอดที่ท่าในธงนั้นมีอักษรบอกว่า คุมเสื้อเกราะมาแต่เมืองฮั่งจิวจึงไปแจ้งความแก่กวยซิก๊วง ๆ ลงมาไต่ถาม ปีโปวก็แจ้งความตามอุบายให้ทราบทุกประการ แล้วเอาหนังสือของฮ่องเทียนเต๋งส่งให้กวยซิก๊วง ๆ ได้รับหนังสือรีบขับม้าเจ้าไปในเมือง คำนับฮองเหมา แล้วก็เอาหนังสือส่งให้ฮองเหมารีบมาเปิดผนึกออกอ่านแจ้งความมิได้คิดสงสัย จึงสั่งเจ้าพนักงานให้เปิดประตูปากช่องคูเมือง รีบเอาเรือบรรทุกเสื้อเกราะเข้าไปในเมือง เจ้าพนักงานก็มาบอกเรือเหล่านั้นให้ถอยเข้าไปทางประตูน้ำ ครั้นเรือเข้าจอดถึงท่าในเมืองทหารซ้องกั๋งและทหารโจรก็จับอาวุธกระโดดขึ้นฝั่ง เลงจิ้นก็จุดประทัดสัญญา แล้วคุมทหารขึ้นบนเชิงเทิน ไล่ฆ่าฟันไพร่พลบนหน้าที่เป็นอลหม่าน ทหารในเมืองไม่รู้ตัวก็แตกกระจัดกระจายไปสิ้น

ฝ่ายซ้องกั๋งตั้งแต่ใช้ทหารไปซ้อนกลแล้วก็ตระเตรียมทหารไว้สามกองคอยรอฟังอยู่ พอได้ยินเสียงประทัดสัญญาในเมืองอื้ออึงจึงจุดประทัดสัญญาตีม้าล่อรีบ นายทัพทั้งสามกองก็ขับทหารข้ามสะพานคูเมืองเข้าไป ให้ทหารเอาบันไดพาดปีนกำแพงและทำลายประตูเมืองได้พร้อมกัน ไล่ฆ่าฟันผู้คนล้มตายเป็นอันมาก ฝ่ายฮองเหมาเห็นทหารซ้องกั๋งเข้าเมืองได้ก็มีความเสียใจไม่คิดอ่านที่จะสู้รบ พาทหารเอกหนีไปทางประตูทิศใต้ พบลีขุย ลี้จุน เปาหยก หังชอง ลีกุนคุมทหารรบสกัดไว้ ฮองเหมาเห็นว่าจะรบหักออกไปไม่ได้จึงชักม้าหนีกลับมาแต่ผู้เดียว เล่าปินเห็นนายขับม้าหนีจึงขับม้าตามมาด้วยถึงเชิงสะพานโอ๊วเซียกเกี๋ย พอพบบู๊สงพาทหารเดินเท้าลงมาตามสะพาน ฮองเหมาจะชักม้าหนีก็ไม่ทันด้วยจวนตัว บู๊สงตรงเข้ารบกับฮองเหมาได้สามเพลงบู๊สงเอากระบี่โจมตัดศีรษะฮองเหมาได้ เล่าปินเห็นนายตายก็รีบขับม้าหนีไปเมืองซือจิว เมื่อทหารซ้องกั๋งเข้าเมืองโซวจิวได้นั้นต่างคนแยกย้ายกันไปเที่ยวรบ ซวนจั่นกับกวยซิก๊วงรบกันที่เชิงสะพานเกียนเบ๊เกี๋ย ทหารทั้งสองสู้รบกันเป็นสามารถต่างคนต่างเอากระบี่สวนแทงพร้อมกัน ทหารทั้งสองขาดใจตายอยู่ที่เชิงสะพาน ซึงลิบฆ่าเตียอุยตาย ลี้จุนฆ่าเชียงเส็งตาย ฮวนสุยฆ่าเล่งฮกตาย จูตงจับตัวฉือฮวง เลงจิ้นจับอึงเส็งได้ นายทหารที่ได้ศีรษะและจับตัวทหารเมืองโซวจิวได้ก็นำมาให้ซ้องกั๋งแล้วแจ้งความตามที่ซวนจั่นตายในที่รบนั้นให้ทราบทุกประการ ซ้องกั๋งได้แจ้งมีความเสียใจถึงได้เมืองโซวจิวก็ไม่สู้ยินดี จึงสั่งให้ทหารเอาศพซวนจั่นไปฝังไว้ตามธรรมเนียมแล้วจัดแจงบ้านเมืองเรียบร้อยเป็นปกติแล้วพักทหารอยู่ในเมืองโซวจิว

ฝ่ายหัวเมืองเล็กน้อยตามลำแม่น้ำซึ่งขึ้นกับเมืองโซวจิวนั้น ก็เข้ามาเกลี้ยกล่อมยอมสามิภักดิ์หลายเมือง ซ้องกั๋งก็ให้บำเหน็จรางวัลแก่หัวเมืองเหล่านั้นตามสมควร จึงมีหนังสือบอกส่งตัวซือฮวง อึนเส็งและศีรษะฮองเหมาไปให้เตียเจียวท้อ เล่าโต๊วตก ณ เมืองเซียงจิว เตียเจียวท้อจึงให้เอาตัวซือฮวง อึนเส็งตัดศีรษะเสียบประจานไว้หน้าเมือง แต่ศีรษะฮองเหมาใส่ชะลอมส่งเข้าไปในเมืองตังเกีย

ฝ่ายกองทัพเรือที่ยกไปตีเมืองรายทางตามลำแม่น้ำนั้น ครั้นได้บ้านเมืองสำเร็จแล้ว ก็พากันกลับมาแจ้งความแก่ซ้องกั๋งตามซึ่งได้บ้านเมืองและซิอิน ขงเหลียงตายในที่รบนั้นให้ทราบทุกประการ ซ้องกั๋งได้แจ้งข่าวว่านายทหารตายมีความเสียใจ ร้องไห้รำพันถึงความหลังต่างๆ ครั้นคลายโศกแล้ว ปีโปว เง่ยหุน เกาแซ เต๊กเส็ง พากันเข้าไปลาซ้องกั๋งจะกลับไปที่อยู่ ซ้องกั๋งว่ากล่าววิงวอนให้ทำราชการด้วย นายโจรไม่ยอมสมัครใจอยู่ ซ้องกั๋งจึงปูนบำเหน็จรางวัลให้ตามสมควรแล้วสั่งให้ลี้จุนไปส่ง นายโจรทั้งสี่คำนับลากลับไปที่อยู่ของตน ซ้องกั๋งก็ตระเตรียมกองทัพยกไปตีเมืองซือจิว ครั้นเดินทัพล่วงเขตแดนเมืองซือจิวเข้าไปประมาณร้อยห้าสิบลี้ จึงตั้งค่ายมั่นรอฟังท่วงทีข้าศึกอยู่ที่นั่นเอง

ฝ่ายต้วนไค้ผู้ว่าราชการเมืองซือจิวทราบความว่าเมืองโซวจิวแตก กองทัพซ้องกั๋งยกล่วงเขตแดนเข้ามาตั้งค่ายมั่นจะรบหักเอาเมือง จึงปรึกษาขุนนางกรมการว่ากองทัพแผ่นดินซ้องมีฝีมือและกำลังเข้มแข็งนักเราจะตั้งมั่นรักษาเมืองไว้เหลือกำลัง อนึ่งฮองละเจ้านายเราคราวนี้เห็นทีจะเอาตัวไม่รอด เราคิดจะออกไปอ่อนน้อมยอมสามิภักดิ์เสียโดยดี ราษฎรจึงจะไม่ได้รับความเดือดร้อน ขุนนางกรมการตอบว่า ท่านคิดอ่านการทั้งนี้ชอบแล้ว ต้วนไค้จึงจัดสิ่งของคำนับตามธรรมเนียมแล้วพาขุนนางกรมการผู้ใหญ่ออกมาคำนับเชิญซ้องกั๋งยกกองทัพเข้าไปในเมือง ซ้องกั๋งเห็นต้วนไค้ยอมสามิภักดิ์โดยสุจริต จึงยกกองทัพเข้าตั้งพักทหารอยู่ในเมืองซือจิว ไต่ถามถึงกิจการบ้านเมืองต่อไปจะเป็นประการใดบ้าง ต้วนไค้ก็เล่าให้ฟังจะแจ้งทุกประการ ซ้องกั๋งให้รางวัลแก่ต้วนไค้และขุนนางกรมการโดยสมควรแล้ว จึงประชุมนายทหารปรึกษาว่าเราตีบ้านเมืองล่วงเลยเข้ามาได้หลายตำบล และจะยกไปตีเมืองฮั่งจิวครั้งนี้ท่านทั้งหลายจะเห็นอุบายประการใด ชาจินจึงพูดว่าตั้งแต่ข้าพเจ้าไปอยู่ด้วยท่านที่เขาเนียซัวเปาะ จะยกทัพมาปราบในทิศทั้งสี่ก็ได้อาสาทำการแต่เผิน ๆ อย่างสะเพร่ายังไม่ได้รับอาสาทำการสำคัญเลย ครั้งนี้ข้าพเจ้าคิดจะอาสาทำการสุขุมให้สำเร็จศึกคราวหนึ่ง ซ้องกั๋งจึงถามว่าท่านคิดเห็นอุบายประการใดจงบอกไปให้แจ้ง ชาจินบอกว่าข้าพเจ้าคิดจะเข้าไปฝากตัวอยู่ด้วยฮองละในเมืองมกจิว ถ้าฮองละไว้ใจใช้สอยสนิทสนมแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดการเป็นไส้ศึกอยู่ในเมืองและจะขอเอียนเช็งไปเป็นคู่คิด ซ้องกั๋งตอบว่าท่านคิดนั้นชอบแล้วแต่จะเอาเอียนเช็งไปด้วยนั้นต้องมีหนังสือไปถึงโลวจุนหงีขอเอาตัวเอียนเช็ง

ขณะเมื่อพูดปรึกษากันอยู่พอดีเอียนเช็งมาถึงเข้าไปคำนับ ซ้องกั๋งเห็นก็ดีใจจึงถามว่า โลวจุนหงีใช้มาด้วยธุระสิ่งใดหรือ เอียนเช็งพูดว่าโลวจุนหงีให้ข้าพเจ้ามาแจ้งความว่า ได้ยกกองทัพตีเมืองโอ๊วจิวแตกแล้วเลยเข้าไปตีเมืองต๊กซอกกุ้ย การศึกยังติดพันกันอยู่ ถ้าตีเมืองนั้นได้สำเร็จจึงจะยกกองทัพมาบรรจบกัน ณ เมืองฮั่งจิว ซ้องกั๋งได้แจ้งก็มีความยินดีแล้วจึงสั่งเอียนเช็งให้ไปด้วยกันกับชาจิน เอียนเช็ง ชาจินคำนับลามาแต่งตัวปลอมเป็นคนเที่ยวเล่าเรียนหนังสือ แล้วรีบเดินทางไปเมืองมกจิว ด่านทางทั้งปวงมิได้สงสัย ครั้นชาจิน เอียนเช็งไปแล้ว ซ้องกั๋งจึงเตรียมกองทัพเป็นขบวนคอยวันฤกษ์ดีจะยกไปตีเมืองฮั่งจิว พอขุนนางในเมืองตังเกียคุมสุรามาพระราชทานแล้วแจ้งความว่า พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ประชวรมาสองเดือนเศษ แพทย์และซินแสประกอบโอสถถวายหลายขนานพระโรคหาคลายไม่ อาการมีแต่ทรงและทรุด จึงรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาขอเอาตัวอันเตาฉวนซินแสเข้าไปประกอบโอสถถวาย

ซ้องกั๋งได้แจ้งมีความวิตกพูดว่าการประชวรนั้นเป็นการใหญ่ ท่านจงรีบพาอันเตาฉวนเข้าไปโดยเร็วเถิด ถ้าพระโรคคลายแล้วจงส่งตัวอันเตาฉวนกลับออกมา ข้าหลวงและอันเตาฉวนคำนับลาพากันกลับมาเมืองหลวง ซ้องกั๋งก็ยกกองทัพออกจากเมืองซือจิวเดินทัพไปโดยลำดับ ครั้นล่วงเข้าแดนเมืองฮั่งจิวตั้งค่ายมั่นลงไว้

ฝ่ายฮองเทียนเต๋งผู้ว่าราชการเมืองฮั่งจิวแจ้งว่า เมืองโซวจิวเสียแก่ข้าศึก ฮองเหมาซำไต้อ๋องก็ถึงแก่ความตายในที่รบ ต้วนไค้ผู้ว่าราชการเมืองซือจิวเข้าสามิภักดิ์ เอาเมืองไปขึ้นแก่แม่ทัพแผ่นดินซ้องกั๋งเสียแล้ว ศึกก็จะมาติดถึงเมือง แต่คิดตรึกตรองถึงการศึกไม่มีความสบาย พอทหารกองตระเวนมาแจ้งความว่าซ้องกั๋งยกทัพล่วงแดนเข้ามาตั้งค่ายมั่นอยู่ในด่าน ฮองเทียนเต๋งได้แจ้งตกใจจึงให้ประชุมนายทหารปรึกษาว่า หัวเมืองหน้าด่านหลายชั้นซ้องกั๋งก็ตีหักล่วงเข้ามาได้ และครั้งนี้เราจะคิดอ่านป้องกันเมืองสถานใด จึงจะรับทัพซ้องกั๋งให้หยุด อนึ่งเมืองของเรากับเมืองมกจิวนี้เปรียบเหมือนหน้าเรือและท้ายเรือ ถ้าหน้าเรือนั้นเป็นเหตุจมลงแล้วท้ายเรือที่ไหนจะตั้งอยู่ได้ ท่านทั้งหลายจะคิดผ่อนผันอันใดจงบอกเราให้แจ้งเถิด

นายทหารเหล่านั้นตอบว่า หัวเมืองซึ่งเป็นอันตรายนั้นเหตุเพราะผู้ว่าราชการเมืองเป็นคนขลาดเขลาหาปัญญามิได้ ครั้งนี้ข้าพเจ้าคิดจะให้ท่านกับอาจารย์ปอกวงยูหลายเต้งง่วนก๊กอยู่รักษาเมือง พวกข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารออกรบกองทัพซ้องกั๋งให้แตกกลับไปจงได้ ฮ่องเทียนเต้งได้ฟังก็เห็นชอบจึงให้ซิเตาหนำ อึงอ้าย ชือแป๊ะ บีไหง สี่นายคุมไพร่พลไปตั้งรับอยู่ ณ เมืองเต็กเซ็งจิว ให้ปังเทียนหยุน ปังเทียนอิ๋ว เตียเขียม เตียหวม เอี้ยวหงี คุมไพร่พลไปตั้งสกัดอยู่ต้นทางต๊กชองกวน ให้เตียปอ อุนเซียกเหยียง เตี้ยหงี ซือเก็ง เฮงหยิน เตียเต้าหงวน โง่วติด เนียมเหม็ง ฮองหงี เก้านายคุมทหารนายละสามหมื่นแยกย้ายกันไปซุ่มอยู่ที่ทางแคบคับขัน นายทัพนายกองทั้งหลายคำนับลาพาไพร่พลยกแยกไปตามสั่ง

ฝ่ายซ้องกั๋งตั้งค่ายคอยฟังข่าวศึกอยู่หลายเวลาไม่เห็นชาวเมืองออกมารบจึงให้เลื่อนกองทัพเข้าไปถึงเนินเพ็งกังแลเห็นกองทัพถือธงแดงอยู่บนเขาจึงให้หยุดทหารตั้งกระบวนลงไว้ สั่งฉินเหม็ง ฮวยหยงให้คุมทหารไปสืบข่าวศึก ฉินเหม็ง ฮวยหยงคำนับลาพาทหารสามพันไปถึงเชิงเขาทหารเมืองฮั่งจิวที่ล้อมรายอยู่ตามเชิงเขาก็ขับม้าออกสกัดรบ ฉินเหม็ง ฮวยหยงขบม้าเข้ารบได้ประมาณห้าเพลง ไพร่พลเมืองฮั่งจิวก็ยกหนุนแน่นมามาก ฉินเหม็ง ฮวยหยงเห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ จึงชักม้าพาทหารหนีมาหากองทัพใหญ่แจ้งความตามซึ่งชาวเมืองฮั่งฉิวยกมาตั้งสกัดอยู่นั้นให้ทราบ ซ้องกั๋งจึงแบ่งทหารออกอีกกองหนึ่ง ให้จูตง ซือเหล็ง อึงซิน ซึงลิบเป็นปีกซ้ายขวา ซ้องกั๋งเป็นแม่ทัพยกไปถึงเชิงเขา เฮ่งหยิน ฮ่องหงี ทหารเมืองฮั่งจิวก็ขับม้าตรงออกมา ซ้องกั๋งจึงให้ฉินเหม็ง ซือเหล็งเข้ารบเป็นสามารถ ฮวยหยงลอบยิงเกาทัณฑ์ไปถูกซอกคอเฮ่งหยินตกม้าตาย ฮ่องหงีเห็นเพื่อนกันเป็นอันตรายก็ตกใจไม่อาจอยู่สู้รบขับม้าพาทหารหนีกลับไปเมืองฮั่งฉิว ซ้องกั๋งสมทบทหารยกกองทัพเข้าไปตั้งค่ายอยู่ตำบลตังซินเกีย จึงแบ่งกองทัพออกเป็นสามกองให้ซือจิน ลูตีซิม จูตง บู๊สง เฮ่งเอ็ง นางซึงยีเหนีย ถังเปียน บุนตงหยง คุมทหารยกไปทางทิศตะวันออกให้กวนเส็ง ฮวยหยง ซือเหล็ง ฉินเหม็ง เชียซือบุ๋น เลงจิ้น พัวสิน พัวชกคุมทหารยกไปทางทิศเหนือ กองทัพซ้องกั๋งก็ยกหนุนตามไปข้างหลังเป็นลำดับ

ฝ่ายกวนเส็งยกกองทัพมาถึงเชิงสะพานตังซินเกี๋ยที่จะข้ามคูเมืองไม่เห็นทหารกองตระเวน และผู้รักษาหน้าที่ นึกสงสัยจึงพักทหารอยู่ที่เชิงสะพานแล้วให้ม้าใช้รีบไปแจ้งความแก่ซ้องกั๋ง ๆ จึงให้ทหารม้าใช้กลับมาบอกว่าอย่าให้ยกข้ามคูเมืองเข้าไปเป็นอันขาด กวนเส็งได้แจ้งก็มิได้ยกกองทัพข้ามไป แล้วให้ซือเหล้ง เชียซือบุ๋น ขับม้ามาทางด้านเหนือเห็นประตูเมืองเปิดอยู่ จึงชักม้าจะกลับมาแจ้งความแก่กวนเส็งพอได้ยินเสียงประทัดสัญญาเห็นกองทัพยกออกมาข้างหลัง ซือเหล็ง เชียซือบุ๋น ตกใจรีบขับม้าหนีไป

ขณะนั้นได้ยินประทัดสัญญาดังขึ้น มีกองทัพยกออกมาสกัดหน้าไว้ ซือเหล็งก็รบหักออกมาด้วยกำลัง ทหารเมืองฮั่งจิวเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกที่ศีรษะซือเหล็งก็ขับม้าหนี แต่เชียซือบุ๋นนั้นไพร่พลเมืองฮั่งจิวจับไปได้ ทหารก็แตกหนีกระจัดกระจายไปสิ้น ซือเหล็งมาถึงค่ายให้ปวดร้าวตลอดทั้งกาย โงวหยงผ่าเอาลูกเกาทัณฑ์ออก พอกยาถอนพิษหาหายไม่ ซ้องกั๋งจึงให้ทหารพาตัวซือเหล็งไปส่งให้ซินแสรักษา ณ เมืองโซวจิว ครั้นเวลารุ่งเช้าทหารกองตระเวนเข้าไปแจ้งความว่า ชาวเมืองฮั่งจิว เอาศีรษะเชียซือบุ๋นชักรอกแขวนไว้หน้าเชิงเทิน ซ้องกั๋งได้แจ้งมีความเสียใจอาลัยถึงเชียซือบุ๋นเป็นอันมาก ตั้งแต่นั้นมาซ้องกั๋งมิได้แต่งทหารออกสู้รบให้แต่รักษาค่ายไว้อย่างกวดขัน

ฝ่ายลี้จุนยกกองทัพเรือมาถึงสะพานซินเกี๋ย พอซ้องกั๋งให้ทหารม้าใช้บอกว่าพวกเมืองฮั่งจิวจับเชียซือบุ๋นได้ฆ่าเสียแล้ว พี่น้องเหล่านั้นได้แจ้งมีความโกรธคิดจะแก้แค้นชาวเมืองฮั่งจิวให้จงได้ ลี้จุนจึงปรึกษาเตียสุนว่าทหารเราน้อยตัวกว่าพวกชาวเมืองจะรบในที่ทำเลกว้างขวางนั้นเสียเปรียบ เราคิดจะพากันขึ้นบกบกไปทางเขาไซซัวเลยเข้าไปตั้งค่ายอยู่ชายแม่น้ำไซโอ๋ว ถึงเสียท่วงทีก็มีทางหนีทางไล่ ถ้าเราตั้งค่ายได้แล้วจึงไปแจ้งความแก่ซ้องกั๋งให้ยกกองทัพเข้าล้อมเมืองตีกระหนาบให้แตกในคราวเดียวกัน ท่านจะเห็นเป็นประการใด

เตียสุนตอบว่าท่านคิดอ่านการทั้งนี้ยืดยาวนัก อนึ่งกองทัพฝ่ายเราและผู้อื่นนั้นก็ตั้งรอท่วงทีอยู่กว่ากึ่งเดือน เปลืองเสบียงอาหารป่วยการเวลาเมื่อไรการศึกจะสำเร็จ เวลาค่ำวันนี้เราจะเล็ดลอดเข้าไปในเมืองเอาเพลิงเผาขึ้นเป็นสำคัญ ท่านจงรีบไปบอกซ้องกั๋งเตรียมกองทัพยกระดมเข้าตีให้พร้อมกัน ลี้จุนตอบว่าท่านคิดการทั้งนี้ก็ชอบอยู่แต่จะไปผู้เดียวนั้นเรากลัวว่าการจะไม่ตลอด เตียสุนตอบว่าข้อนั้นท่านอย่าวิตกเราจะคิดอ่านทำให้สำเร็จเอง ท่านจงรีบไปบอกซ้องกั๋งเถิด ครั้นเวลาค่ำเตียสุนก็ลงในแม่นํ้าไซโอ๋วดำน้ำเข้าไป พอเวลาสองยามถึงปากคลองเอ้งกิมหมึงซึ่งเป็นลำหลอดเข้าในเมืองฮั่งจิว ครั้นจะดำน้ำเลยเข้าไปในคลองก็ไม่ได้ด้วยมีตารางเหล็กและเฝือกกั้นอยู่ถึงสองชั้น เตียสุนขับเฝือกกระชากโยกสะเทือนกระทบสายโยงกระพรวน ๆ เหล็กและเกราะดังสนั่น เตียสุนเห็นว่าจะหักเข้าไปไม่ได้ จึงผุดขึ้นมาพ้นน้ำ เห็นไพร่พลที่รักษาเขื่อนปากคูถือเครื่องศัสตราวุธคอยอยู่มาก จึงว่ายหนีขึ้นบกเข้าซุ่มอยู่ริมเชิงกำแพงด้านริมแม่น้ำได้ยินเสียงทหารรักษาหน้าที่นอนกรนหลับสนิท จึงเอาก้อนดินขว้างขึ้นไปบนเชิงเทินถูกไพร่พลบนหน้าที่ตกใจรีบตื่นขึ้นพร้อมกัน แลดูในลำน้ำไม่เห็นมีเรือไปมา จึงพากันกลับไปนอนอยู่ดังเก่า เตียสุนเห็นดังนั้นมีความยินดี ครั้นเวลาสามยามเสียงไพร่พลเหล่านั้นหลับเงียบจึงหยิบก้อนดินขว้างเข้าไปอีกก็ไม่เห็นมีผู้ใดตื่น เตียสุนจึงเอากระบี่เจาะกำแพงเป็นช่อง แล้วเอาไม้ทำลูกทอยตีปีนขึ้นไปได้กึ่งกำแพงกระทบสายใยเข้าเสียงเกราะดังสนั่นตลอดไปทั้งด้าน ทหารรักษาหน้าที่ตกใจตื่นจับเครื่องศัสตราวุธมองดูตามช่องเสมา เห็นคนกำลังปีนกำแพงจึงเอาทวนและหลาวทุ่งลงมาเป็นอันมาก เตียสุนตกใจวิ่งหนีลงน้ำพวกชาวเมืองเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกซอกคอเตียสุนจมน้ำตาย

เวลาคืนวันนั้นซ้องกั๋งนอนหลับอยู่ในค่ายบังเกิดนิมิตเป็นลางแลเห็นเตียสุนมีกายเปื้อนไปด้วยโลหิตตรงเข้ามาคำนับแล้วพูดว่า ท่านได้อุปถัมภ์ข้าพเจ้ามาช้านานหลายปีแล้ว บัดนี้มีกรรมจะอยู่สนองคุณท่านสืบไปไม่ได้ด้วยไพร่พลเมืองฮั่งจิวเอาเกาทัณฑ์ยิงข้าพเจ้าตายจะขอลาไปตามกรรม แล้วเห็นทหารอีกสามสี่นายโลหิตเปื้อนกายร้องไห้เข้ามาหา ซ้องกั๋งก็ร้องไห้บ้างจนตกใจตื่น ครั้นรุ่งเช้าจึงเล่านิมิตให้โงวหยงฟังทุกปรการ โงวหยงยังไม่ทันจะทำนาย พอลี้จุนมาแจ้งความว่าเตียสุนถูกเกาทัณฑ์ตายอยู่ในลำน้ำเองกิมหมึง ซ้องกั๋งแจ้งความสมกับนิมิตก็เสียใจร้องไห้จนสลบไป ครั้นได้สติฟื้นแล้วจึงบอกโงวหยงว่าเราคิดจะไปเซ่นไหว้ศพเตียสุนท่านจะเห็นประการใด โงวหยงตอบว่าท่านจะไปถึงลำน้ำเอ้งกิมหมึงนั้นระวังตัวจงดี ซ้องกั๋งจึงให้ลีขุย เปาหยก หังชอง ลีกุนคุมทหารห้าร้อยไปตรวจตราระวังอยู่ตามทาง ซ้องกั๋งกับเจียสิว ไตจง ฮวยสุย เบ๊หลินคุมทหารห้าร้อยไปทางลัดเขาไซซัว ครั้นมาถึงวัดเล่งอึนยี่จึงให้ทหารจัดตั้งโต๊ะเครื่องบูชาพร้อมแล้วเชิญหลวงจีนสวดกงเต๊กสามวันอุทิศส่วนกุศลนั้นให้แก่เตียสุนและทหารพี่น้องที่ตายไปถ้วนทุกคนแล้วนำเครื่องเซ่นไปตั้งที่สะพานไซเล่งเกี๋ย ม้าใช้เมืองฮั่งจิวเห็นดังนั้นจึงรีบไปแจ้งความแก่อองเทียนเต๋งว่า ซ้องกั๋งกับทหารประมาณห้าร้อยพากันมาเซ่นศพอยู่ที่สะพานไซเล่งเกี๋ย ฮองเทียนเต๋งได้แจ้งมีความยินดีพูดว่าคราวนี้คงจับซ้องกั๋งได้เป็นแน่ จึงให้โงวเต็ก เตียหงี ง่วนเพง โซวแก อุ้นเคียดกี ขุยยก เงียมเหม็ง เม้าเต็ก ทึงหงโท้วคุมทหารคนละสามพันยกไปถึงเชิงสะพานฟากข้างหนึ่ง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ