- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
- ๑๐๙
- ๑๑๐
- ๑๑๑
- ๑๑๒
- ๑๑๓
- ๑๑๔
- ๑๑๕
- ๑๑๖
- ๑๑๗
- ๑๑๘
- ๑๑๙
- ๑๒๐
๑
วันศุกร์ เดือนสี่ แรมห้าค่ำ จุลศักราชพันสองร้อยยี่สิบเก้า ปีเถาะ นพศก ฯพณฯ ที่สมุหพระกลาโหม มีพระประสาทสั่งให้แปลพงศาวดารจีนมีตอนหนึ่งชื่อ ‘จุยฮือ’ คือ ซ้องกั๋งออกเป็นคำไทยไว้เป็นเรื่องชาวบ้าน อ่านฟังเล่นเหมือนเล่านิทาน
มีความว่า เมื่อครั้งพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติ บ้านเมืองไม่มีความสุขเกิดศึกสงคราม เต็กเชงแม่ทัพยกไปปราบปรามเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นั้นบ้านเมืองก็เป็นปกติ ครั้นอยู่นานมาแต่บรรดาหัวเมืองทั้งหลายเกิดความไข้จนราษฎรล้มตายลงเป็นอันมาก ขุนนางข้าราชการแจ้งแล้วก็นำความขึ้นกราบทูล พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ได้ทราบก็ทรงพระวิตก จึงตรัสสั่งถามขุนนางทั้งปวงว่าราษฎรตามหัวเมืองอดอาหารล้มตายเสียหนักหนาจะคิดประการใด ขุนนางผู้ใหญ่จึงพร้อมใจกันกราบทูลว่า จะต้องตั้งเครื่องบูชาพลีกรรมบวงสรวงเทพดา และทำบุญให้ทั่วทั้งพระราชอาณาจักรเห็นจะบำบัดได้ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็เห็นด้วย จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานมีหนังสือไปถึงผู้รักษาเมืองทั้งปวงรู้ทั่วกัน ให้ตั้งเครื่องบูชาบวงสรวงเทพยดากับทำบุญให้ทาน และวัดในเมืองเหล่านั้นให้หลวงจีนเจ้าวัดประชุมกันสวดมนต์ทุกๆ วัดและคนซึ่งต้องเวรจำอยู่นั้นถ้าโทษเบาบาง ไม่ถึงที่ตายแล้วก็ให้ปล่อยไปเสีย เจ้าพนักงานก็ทำหนังสือรับสั่งให้ขุนนางเป็นข้าหลวงถือแยกย้ายกันไปทุกๆ เมือง ผู้รักษาเมืองทั้งหลายทราบความแล้วก็จัดแจงทำบุญและบวงสรวงเทพยดาตามหนังสือรับสั่ง แต่ความไข้นั้นยังไม่สงบ ผู้รักษาเมืองทั้งปวงก็บอกข้อราชการเข้ามาให้เจ้าพนักงานกราบทูลว่า ได้ทำตามหนังสือรับสั่งแล้ว ความไข้ยังไม่สงบข้าวปลาอาหารก็ขัดสนเสมออยู่ดังแต่ก่อน
พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ได้ทราบก็ทรงพระวิตกจึงตรัสกับขุนนางว่า บรรดาหัวเมืองก็ตั้งเครื่องบูชาบวงสรวงทำบุญให้ทานแล้ว แต่ทว่าราษฎรก็ได้รับความทุกข์ร้อนอยู่เสมอ เราจะทำประการใดดีจึงจะเปลื้องความทุกข์ของราษฎรให้เป็นสุขได้ ฮวมตงเอี๋ยมจึงกราบทูลว่าการอันนี้เป็นการใหญ่จะต้องไปเชิญท่านผู้วิเศษมาแก้ไข และท่านผู้วิเศษนั้นชื่อ ‘เตียฮีเจ็งเซียนซือ’ ซึ่งอยู่ที่เขาเกาเล่งซัวในแดนกังไสแขวงเมืองจีนซิวฮู้นั้นมาตั้งโต๊ะเครื่องบูชาบวงสรวงเทพยดาแล้ว ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงก็คงจะมีความสุข
พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ได้ฟังก็เห็นชอบจึงทรงได้พระอักษรด้วยลายพระหัตถ์ มอบให้อังซินขุนนางที่ไทอวย ถือไปเชิญเตียฮีเจ็งเซียนซือ อังซินขุนนางผู้ใหญ่รับพระอักษรถวายบังคมลาจัดทหารประมาณหกสิบคนออกจากเมืองหลวง เดินทางมาหลายวันถึงวัดเขา ‘เกาเล่งซัว’ ก็ตรงเข้าไปในวัด หลวงจีนเจ้าวัดออกรับเชิญพระอักษรรับสั่งกับอังซินเข้าไปข้างในจัดที่ให้นั่งสมควรแล้ว อึงซินจึงบอกกับหลวงจีนเจ้าวัดว่าพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาเชิญเตียฮีเจ็งเซียนซืออาจารย์ของท่าน บัดนี้อาจารย์ท่านไปข้างไหน หลวงจีนเจ้าวัดบอกว่าท่านไม่รู้หรือซึ่งอาจารย์ข้าพเจ้านี้ท่านไปรักษาศีลอยู่บนยอดเขา ‘อังซิน’ อังซินถามว่าทำประการใดจึงจะได้พบท่านเล่า หลวงจีนเจ้าวัดตอบว่า ที่ท่านจะมาหาให้พบนั้นยากนัก ถ้าจะให้พบก็ต้องตั้งใจเอาหนังสือรับสั่งผูกไว้ข้างหลัง ถือธูปเทียนเดินคำนับขึ้นไปบนยอดเขาแต่คนเดียวก็เห็นจะพบดอก อังซินว่าเราออกมาจากเมืองหลวงมา ก็ถือศีลมิได้กินของสดและเนื้อสัตว์ตั้งใจตรงมาหาท่าน หลวงจีนว่าถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว เวลาพรุ่งนี้ท่านจงชำระตัวให้สิ้นราคี แล้วทำเหมือนข้าพเจ้าบอกก็คงจะได้พบท่าน อังซินก็คำนับลาไปหาที่พักนอนอยู่ในวัดนั้นคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นเช้าอังซินอาบน้ำชำระตัวแล้วถือธูปเทียนออกจากวัดตั้งใจเดินขึ้นไปบนยอดเขาเกาเล่งซัว ครั้นเดินไปได้ห้าลี้เศษหนทางกันดารอังซินเหนื่อยเข้า ใจที่ตั้งไปหาผู้วิเศษนั้นก็เสียไป จึงคิดว่าเราเป็นขุนนางผู้ใหญ่หาควรจะมาลำบากเช่นนี้ไม่ คิดแล้วแข็งใจเดินไปอีกพักหนึ่งก็เป็นลมพายุพัดกล้า มีเสือวิ่งลงมาจากยอดเขาตัวหนึ่ง อังซินเห็นก็ตกใจล้มลง เสือนั้นก็ไม่ทำอันตรายวิ่งเลยหายไป อังซินลุกขึ้นเก็บธูปเทียนมาถือไว้แล้วเดินไปอีกครู่หนึ่ง พบงูใหญ่เลื้อยลงมาจากยอดเขา อังซินตกใจวิ่งหนีล้มลงธูปเทียนหลุดจากมือกระเด็นไป งูนั้นก็เข้ามาใกล้ก็ไม่ทำอันตรายเลื้อยหายสูญไป อังซินลุกขึ้นเที่ยวเก็บธูปเทียนมาแล้วคิดว่าเตียฮีเจ็งเซียนซือจะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าไปพบก็ดีอยู่ ถ้าไม่พบหลวงจีนเจ้าวัดกับเราก็คงจะได้วิวาทกัน คิดดังนั้นแล้วก็เดินขึ้นไป เห็นหลวงจีนหนุ่มองค์หนึ่งขี่โคเป่าขลุ่ยยืนอยู่อังซินจึงถามว่า ท่านที่ยืนอยู่นั้นจะไปข้างไหนรู้จักเราหรือไม่ หลวงจีนก็นิ่งเสีย อึงซินถามเป็นหลายคำ หลวงจีนจึงพูดว่าท่านมาหาเตียฮีเจ็งเซียนซือผู้วิเศษเรารู้อยู่ดอก อังซินถามว่าทำไมท่านจึงล่วงรู้ว่าเรามาหาท่านอาจารย์ผู้วิเศษเล่า หลวงจีนว่าเมื่อเช้าเราได้ยินท่านผู้วิเศษพูดว่า พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ให้อังซินถือหนังสือมาเชิญท่านไปพะเจียบวงสรวงเทพดาที่เมืองหลวง ท่านก็ขึ้นขี่นกยางบินตรงไปเมืองหลวงแต่เช้าแล้ว ซึ่งจะไปหาท่านนั้นเห็นจะไม่พบดอกจงกลับลงไปเถิด หนทางที่จะขึ้นไปบนยอดเขานั้นลำบากนักมีแต่สัตว์ร้ายต่างๆ ท่านอย่าไปเลย
อังซินได้ฟังสำคัญว่าหลวงจีนพูดเล่นจึงถามหลวงจีนว่า ท่านมาพูดปดเราดอกกระมัง หลวงจีนก็หัวเราะไม่ได้ตอบประการใดก็ขับโคเป่าขลุ่ยเดินกลับไป อังซินจึงคิดว่าเหตุไฉนหนอหลวงจีนจึงรู้ว่าเรามาเชิญเตียฮีเจ็งเซียนซือ ครั้นจะดื้อดึงขึ้นไปที่ไหนจะพบท่าน จำเราจะกลับลงไปคิดอ่านกับหลวงจีนเจ้าวัดเห็นจะดีกว่า คิดแล้วก็เดินกลับลงมาจากเขา หลวงจีนเจ้าวัดก็ออกมารับเชิญเข้าไปข้างในถามว่า ท่านขึ้นไปพบปะอาจารย์ผู้วิเศษหรือไม่ อังซินก็เล่าความให้ฟังทุกประการแล้ว จึงพูดว่าท่านล่อลวงข้าพเจ้าแทบจะเอาชีวิตไปตายอยู่บนเขา หลวงจีนเจ้าวัดว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ปดท่านดอกแต่ใจท่านไม่แน่นอนจึงพบสัตว์ร้ายต่างๆ บนเขานั้นไม่มีสัตว์สิ่งใดเลยซึ่งท่านได้พบหลวงจีนหนุ่มที่ขี่โคเป่าขลุ่ยนั้นที่แท้ก็เตียฮีเจ็งเซียนซือท่านอาจารย์ผู้วิเศษ อังซินว่าท่านอาจารย์ผู้วิเศษทำไมหน้าตาจึงเหมือนกับหลวงจีนหนุ่มๆ เล่า หลวงจีนเจ้าวัดว่าท่านเป็นผู้ร้กษาศีลก็ดูยังหนุ่มอยู่ อังซินว่าเรามีตาก็จริงแต่ไม่รู้จักท่านจะทำประการใดดี หลวงจีนเจ้าวัดว่าอย่าวิตกเลย ถ้าท่านได้พูดดังนั้นก็เห็นจะเข้าไปในเมืองหลวงทำการพะเจียบวงสรวงเทพยดาสำเร็จแล้ว ท่านจงหยุดพักให้สบายจึงค่อยเข้าไปเถิด
อังซินได้ฟังหลวงจีนเจ้าวัดพูดก็ไว้วางใจ คิดสำคัญว่าท่านผู้วิเศษไปแล้ว จึงหยุดพักกับหลวงจีนที่วัดนั้น ครั้นรุ่งเช้าหลวงจีนเจ้าวัดจัดโต๊ะมาเลี้ยงอังซิน แล้วหลวงจีนเจ้าวัดจึงว่าข้าพเจ้าจะพาท่านไปเที่ยวไหว้พระและชมเก๋งเล่นให้สบาย ว่าแล้วหลวงจีนเจ้าวัดจึงเรียกศิษย์มาพาอังซินไปไหว้พระชมสิ่งของต่างๆ เล่น ในวัดนั้นมีสารพัดรูปสัตว์ เก๋งทำด้วยศิลาต่างๆ งดงามดี อังซินก็เที่ยวชมเพลิดเพลินไป ครั้นไปถึงเก๋งหลังหนึ่งเห็นปิดประตูใส่กุญแจไว้ มีเลขยันต์ปิดทับหลายชั้น หนังสือที่ประตูสี่ตัวนั้นเรียกว่า ฮกหมอจือเตี้ย แปลว่า เก๋งปีศาจ อังซินจึงถามหลวงจีนเจ้าวัดว่าเก๋งนี้ใส่กุญแจไว้แน่นหนาแล้วมียันต์ปิดทับลงไว้ด้วยเหตุอันใด หลวงจีนบอกว่าข้าพเจ้ามาอยู่วัดนี้นานนักหนาไม่แจ้งว่าจะเป็นสิ่งอันใด ได้ยินแต่เตียฮีเจ็งเซียนซือพูดว่าในเก๋งขังปิศาจยักษ์ไว้ ถ้าผู้ใดได้เป็นเตียฮีเจ็งเซียนซือผู้วิเศษแล้วก็ต้องเอาเลขยันต์มาปิดทับลงไว้ทุกๆ ผู้วิเศษมา อังซินจึงพูดว่า เราจะขอเปิดประตูดูว่าในเก๋งนี้จะมีของสิ่งใดบ้าง
หลวงจีนตอบว่า ท่านผู้วิเศษกำชับสั่งไว้มิให้ผู้ใดเปิด อังซินจะให้ไขกุญแจ เปิดดูให้ได้ หลวงจีนเจ้าวัดก็อ้อนวอนไว้ไม่ให้เปิด อังซินก็โกรธจึงพูดว่า ถ้าไม่เปิดให้เราดูโดยดีแล้วเรากลับเข้าไปในเมืองหลวงจะกราบทูลพระซ้องยินจงฮ่องเต้ว่า หลวงจีนเจ้าวัดปิดบังเสียไม่ให้เราพบเตียฮีเจ็งเซียนซือผู้วิเศษแล้วอ้างอวดว่าเป็นผู้วิเศษ มีวิชาขังปิศาจไว้ หลวงจีนเจ้าวัดเห็นอังซินโกรธอ้อนวอนเท่าไรก็หาฟังไม่ ลูกกุญแจจะไขประตูนั้นก็ไม่มีจึงเรียกเอาช่างมาหักกุญแจแกะเลขยันต์ไว้แล้วเปิดประตูเก๋งนั้นออก อังซินกับหลวงจีนเจ้าวัดเข้าไปไม่เห็นมีสิ่งใดในเก๋งมืดนั้น ก็ให้จุดเทียนมาส่องดู เห็นมีศิลาหนึ่งตั้งทับเต่าศิลาอยู่ แต่เต่าศิลานั้นจมดินอยู่ครึ่งตัว อังซินเอาไฟส่องดูที่แผ่นศิลาข้างหน้ามีหนังสืออยู่ไม่มีผู้ใดอ่านออก ข้างหลังแผ่นศิลานั้นมีหนังสือสี่ตัวใจความว่า ถ้าแซ่อังก็ให้เปิด อังซินเห็นหนังสือสี่ตัวแจ้งความแล้ว จึงพูดกับหลวงจีนว่า ท่านไม่ให้เปิดประตูหนังสือหลังศิลาสี่ตัวนี้มีว่า ถ้าแซ่อังเปิดประตูได้ท่านมาปิดบังไว้ไม่ควรเลย ท่านจงให้ผู้ใดมายกศิลาและเต่านี้ออกเราจะดูว่ามีสิ่งอันใดบ้าง
หลวงจีนเจ้าวัดจึงอ้อนวอนว่า ท่านจงเมตตาข้าพเจ้าเถิดอย่ายกศิลาและเต่านี้ออกเลย อังซินจึงว่า ท่านผู้วิเศษแต่ครั้นก่อนก็ยังเขียนหนังสือไว้ที่ศิลาว่าแซ่อังเปิดได้ เราไม่ฟังท่านห้ามแล้ว หลวงจีนก็จนใจ เรียกช่างปูนเอาจอบเสียมมาขุดศิลาและเต่านั้นขึ้นมาได้ เห็นเป็นเหวลึกลงไปในดิน อังซินยืนดูอยู่ประเดี๋ยวใจ ในเหวนั้นก็ลั่นดังเป็นควันดำพลุ่งขึ้นมา ออกทางประตูขึ้นลอยอยู่บนอากาศแล้วแตกกระจายแยกย้ายกันไปทั้งแปดทิศ หลวงจีนเจ้าวัดเห็นร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง อังซินไม่รู้ว่าเหตุผลอันใดก็ตกตะลึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามหลวงจีนเจ้าวัดว่า จะเป็นปิศาจอันใด จึงได้เป็นควันแยกย้ายไปทั้งแปดทิศดังนี้ หลวงจีนบอกว่าเล่าโจ๊วเซียนซือแต่ครั้งแผ่นดินก่อนบอกไว้ว่า ในเก๋งนี้ขังดวงจิตดาวทหารที่ดุร้ายถึงร้อยแปดคน ชื่อดาวเทียมกังแชนั้นสามสิบหก ชื่อดาวตีลัวเจ็ดสิบสอง รวมร้อยแปดดวง ขังไว้มิให้ไปเกิดกลัวจะรบกวนไพร่บ้านพลเมืองให้ได้รับความเดือดร้อน ก็ท่านมาเปิดปล่อยไปดังนี้ จึงได้แยกย้ายกันไปเกิดเป็นมนุษย์ทั้งร้อยแปดคน สืบไปภายหน้าไพร่บ้านพลเมืองก็จะพากันได้รับความเดือดร้อน อังซินได้ฟังก็ตกใจสั่งให้เอาเต่าศิลากับแผ่นศิลาปิดปากเหวไว้ตามเดิมแล้ว อังซินกับผู้คนบ่าวไพร่ออกจากวัดเขาเกาเล่งซัวกลับไปเมืองหลวง หลวงจีนเจ้าวัดก็จัดการทำเก๋งนั้นให้เรียบร้อยดังเก่า อังซินเดินตามทางกำชับบ่าวไพร่ว่า ถ้าไปถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าทั้งหลายอย่าได้พูดกับผู้ใดว่าเราปล่อยปิศาจดาวทหารออก บ่าวไพร่เหล่านั้นก็คำนับรับสั่ง เดินทางมาหลายวันถึงเมืองหลวง แจ้งความว่าเตียฮีเจ็งเซียนซือผู้วิเศษเข้ามาพะเจียบวงสรวงเทพยดาอยู่ถึงเจ็ดวัน ความไข้หายสงบเป็นปกติ ราษฎรได้อยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน เตียฮีเจ็งเซียนซือกลับไปที่สำนักแล้ว อังซินแจ้งความก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้กราบทูลว่า ข้าพเจ้าไปถึงเตียฮีเจ็งเซียนซือผู้วิเศษขี่นกยางมาถึงก่อนข้าพเจ้าเดินทางมา จึงได้ช้าไป พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงตรัสว่า เตียฮีเจ็งเซียนซือมาพะเจียบวงสรวงเทพยดาเรียบร้อยแล้วจึงได้กลับไป ราษฎรทั้งหลายเป็นสุขทุกตัวคน ท่านจงไปว่าราชการตามตำแหน่งเดิมเถิด อังซินก็ถวายบังคมลากลับบ้าน ตั้งแต่นั้นมาไพร่บ้านพลเมืองมิได้ป่วยไข้ มีความสุขสบายทั่วทั้งพระราชอาณาเขต
พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติได้สี่สิบสองปี ไม่มีพระราชบุตรจึงมอบราชสมบัติให้พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้พระราชนัดดาครองแผ่นดินทำนุบำรุงราษฎรสืบเชื้อพระวงศ์ต่อไป พระเจ้าซ้องเอ็งจงฮ่องเต้ครองราชสมบัติได้สี่ปี ก็มอบราชสมบัติให้พระเจ้าซ้องซินจงฮ่องเต้ ๆ ครองราชสมบัติได้สิบแปดปีก็มอบราชสมบัติให้พระเจ้าซ้องเตียดจงฮ่องเต้สืบต่อมา พระเจ้าซ้องเตียดจงฮ่องเต้นั้นครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองเปียนเหลียง