๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๘๑

พระยาอนุมานราชธน

ฉันได้ส่งคำย่อเรื่อง ปันหยีสะมิรัง ซึ่งเปนเค้าโครงเรื่องอิเหนา มาให้ท่านอ่านทราบเรื่องในบัดนี้

หนังสือเรื่องนี้เปนภาษามลายู ทูลกระหม่อมชายทรงค้นพบ ทรงแปลเปนหนังสือ ตั้งร้อยหน้า ประทานฉันอ่าน ฉันจึ่งเก็บความย่อมาให้แก่ท่าน

ได้ตรัสบอกอีกว่า ลมหอบก็ทรงค้นฉะบับพบแล้ว อุณากันก็พบแล้ว เปนต่างเรื่องกันไป ยังไม่ได้ทรงแปล หวังว่าเมื่อทรงแปลแล้ว ลางทีจะประทานมาให้ดู ก็จะได้ทราบกัน

สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

 

----------------------------

ย่อเรื่อง ปันหยี สะมิรัง

เทวดาจุติลงมาเกิดในมนุษโลก เป็นพี่น้องกัน ๔ องค์ องค์ใหญ่เป็นชาย ครองกรุงกุรีปัน องค์ที่ ๒ เป็นชาย ครองกรุงดาหา องค์ที่ ๓ เป็นชาย ครองกรุงกากะลัง องค์ที่ ๔ เป็นหญิง เรียก ปิกู (ภิกขุ) คันธสารี บำเพ็ญประตาปา (ตบะ) บวชอยู่บนเขาวิลิส

ระตูกุรีปันมีโอรสองค์หนึ่ง นาม อินู กรตะปาตี (กรตะปาตี เป็นสร้อย) มีพี่เลี้ยง ๔ คน ชื่อ ยะรุเดะ ปูนตา การะตาลา กับประสันตา ทั้ง ๔ คนมีความประพฤติเป็นตลกคะนอง

ส่วนระตูดาหามีมเหสีใหญ่องค์หนึ่ง เรียก ปรไมสุรี (ปรเมศวรี) ทรงนาม บุษบา มีมเหสีรองสอง เรียก มหาเดวี (มหาเทวี ได้แก่ มะดีหวี) องค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งทรงนาม ลิกู เป็นสาวกว่าเพื่อน แต่มีจรรยาเลว มีพระธิดาสององค์ องค์ใหญ่เกิดด้วยปรไมสุรี ทรงนาม จันดะรา (จันทรา ใกล้จินตะหรา) มีพี่เลี้ยงสองคนชื่อ บายัน กับ สางิด พระธิดาองค์เล็กเกิดด้วยนางลิกูทรงนาม อายัง มีจรรยาเลวตามพระมารดา

ส่วนระตูกากะลังมีพระโอรสองค์หนึ่ง ทรงนาม สิงคมนตรี (เบาเตง)

ฝ่ายระตูกุรีปันให้ไปตุนาหงันนางจันดะราให้แก่อินู ระตูดาหาก็อำนวยตาม เป็นเหตุให้นางลิกูเกิดริษยา ทำข้าวหมากปนยาพิษไปให้ปรไมสุรี ปรารถนาจะให้กินตายเสียทั้งแม่ลูก แต่ปรไมสุรีเสวยองค์เดียวก็สิ้นพระชนม์ไปองค์เดียว นางจันดะราตกเป็นกำพร้า มหาเดวีเข้าปกปักดุจเป็นมารดา (ข้อนี้ก็สมกับในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา ซึ่งนางมะดีหวีเข้าเป็นเจ้ากี้เจ้าการแก่นางบุษบา) ระตูดาหาได้ทรงทราบเรื่องวางยาพิษก็ทรงพระโกรธเป็นกำลัง ชักพระแสงทรงเสด็จไปสู่ตำหนักนางลิกู ตั้งพระทัยจะสังหารชีวิตเสีย แต่ถูกอุบายมารยาแห่งนางลิกู แปลคำจากต้นฉบับได้ความว่า นางเธอเห็นระตูเสด็จมาด้วยอาการฉุนเฉียว ก็เข้าตำหนักขึ้นพระแท่นบรรทม พรางออกซึ่งอุรประเทศ อันประดับด้วยคู่บุษบากรตลอดถึงซึ่งมธุวารีชลาลัย เมื่อระตูเห็นดังนั้นพระแสงก็หลุดจากพระหัตถ์ตกยังพื้นกลายเป็นทรงสิเน่หา หาได้ผลาญชีวิตไม่

ต่อมาเมื่อระตูกุรีปันทราบความทุกข์ของนางจันดะรา ทรงดำริที่จะช่วยให้เพลิดเพลินลืมทุกข์เสียบ้าง จึงให้อินูทำตุ๊กตาทองประดับด้วยมณีมีค่าตัวหนึ่ง ทำตุ๊กตาเงินประดับด้วยพลอยหุงตัวหนึ่ง แต่ตุ๊กตาเงินนั้นห่อด้วยแพร ตุ๊กตาทองห่อด้วยผ้าขี้ริ้ว แล้วส่งไปถวายระตูดาหาให้ประทานแก่พระธิดา อายังได้เลือกก่อนด้วยโปรดแม่ก็เลือกเอาห่อแพร แล้วส่งห่อผ้าขี้ริ้วไปให้จันดะรา อายังก็ได้ตุ๊กตาเงิน จันดะราก็ได้ตุ๊กตาทอง อายังน้อยใจไปขอตุ๊กตาทองต่อจันดะรา เธอไม่ให้ก็มาร้องไห้ฟ้องระตูดาหา ทำให้ทรงพระโกรธ ฉวยกรรไกรไปตัดผมจันดะราเสีย จันดะราแค้นใจจึงออกมงุมบารา คือหนีจากเมืองไปเดินป่า พร้อมด้วยมหาเดวีกับพี่เลี้ยงนางกำนัลและมนตรี ครั้นถึงทางที่ต่อแดนเมืองกุรีปันก็สร้างเมืองขึ้นครอบครอง แปลงองค์เป็นชายขึ้นครองเมือง ปลอมชื่อว่า ปันหยี สะมิรัง (แต่ไปเข้ารูปอุณากัน) พี่เลี้ยงสองคนก็แปลงเป็นชาย บายันปลอมชื่อเป็น ปรวีระ สางิด เป็นชื่อประรันจา ตั้งเป็นซ่องโจรเกลี้ยกล่อม และข่มขี่เอาคนเดินทางเป็นพวกพลเมือง เมื่อได้กำลังมากแล้วก็ยกไปตีได้เมืองมันตาวัน ได้ธิดาระตูผู้ครองเมืองเป็นเชลย ๒ นาง ชื่อบุษบาชูวิต กับบุษบาสารี

กล่าวถึงระตูกุรีปัน แต่งทูตคุมของหมั้นและสินสอด ไปส่งเมืองดาหานัดงานวิวาหะ ก็ไปถูกจับริบของซึ่งคุมไปขึ้นเสนอปันหยี สะมิรังตรัสสั่งให้ทูตกลับไปทูลอินูให้มาตาม จะคืนของให้ ทูตไปทูลอินูก็ยกทัพมา แต่หาได้รบกันไม่ ต่างพอใจซึ่งกันและกัน เลยเป็นไมตรีนับเป็นพี่น้องกัน อินูเข้าอยู่กับปันหยีสะมิรัง โดยความสังเกตสงสัยว่าปันหยีสะมิรังจะเป็นผู้หญิง ครั้นจวนวันวิวาหะก็ไปเมืองดาหา ปันหยีสะมิรังก็คืนของหมั้นสินสอดให้ไป แต่ไม่ได้แต่งงานกับนางจันดะราด้วยว่าสูญหายไปเสียแล้ว นางลิกูชักท้าวดาหาให้อภิเษกอายังสมรสกับอินูแทนจันดะรา การก็ได้ทำไปดั่งนั้น แต่อินูไม่ร่วมประเวณีด้วย เพราะอายังมีจรรยาไม่ดี ที่สุดก็หนีไปหาปันหยีสะมิรัง

ฝ่ายปันหยีสะมิรังทราบว่าอินูอภิเษกสมรสกับอายังแล้วก็เสียใจ ออกมะงุมบาราตั้งหน้าจะไปหาอาที่เขาวิลิส ทิ้งมหาเดวีไว้คนเดียว อินูมาถึงจึงได้ทราบความจากมหาเดวี ว่าปันหยีสะมิรังคือนางจันดะราคู่ตุนาหงัน จึงพามหาเดวีไปส่งเมืองดาหา แล้วก็ออกมะงุมบาราเที่ยวตามหาปันหยีสะมิรัง องค์เองแปลงนามเป็น ปันหยียาเยง พี่เลี้ยงทั้งสี่ก็แปลงชื่อ ยะรุเดะชื่อ วิรุน ปูนตาชื่อ อันดาคา การะตาหลาชื่อ กาลัง ปะสันตาชื่อ สะมาร์ เที่ยวตีเมืองได้ถึง ๔๙ เมือง มีเมืองสะดายุเป็นต้น ระตูผู้ครองเมืองอ่อนน้อม ถวายธิดาชื่อ นาวัง เมืองที่สุดชื่อ จกรกา (คล้ายจรกา) ฆ่าระตูจกรกาผู้ครองเมืองตายได้โอรสชื่อ วิรันตะกะ กับธิดาชื่อ นิลวาตี เป็นเชลย แล้วเที่ยวมะงุมบาราไปจนถึงเมืองกากะลัง ก็เข้าเฝ้าถวายบังคม ท้าวกากะลังทรงโปรดปรานจัดให้พักอยู่ตำหนักการังปะสันตะเรน (คล้ายติกาหรัง) ในกาลนี้ สิงคมนตรี โอรสท้าวกากะลังเป็นตัวตลกที่พี่เลี้ยงปันหยียาเยงล้อ (เพราะเบาเตง อยู่ในฐานะกุดารัศมี)

ฝ่ายปันหยีสะมิรังเดินป่าไปไกลแล้ว ก็ส่งพวกพลทั้งปวงกลับบ้านเมือง คงพาเดินป่าต่อไปแต่ ๖ นาง คือ บุษบาชูวิต บุษบาสารี บายัน สางิด ปะมอนัง กับปะสีเรียน (คล้ายประเสหรัน สองคนหลังนั้นเป็นพี่เลี้ยง นางบุษบาชูวิต และบุษบาสารี) ปันหยีสะมิรังกับพี่เลี้ยง ก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นหญิงอย่างเดิม พากันเดินไปจนกระทั่งถึงเชิงเขาวิลิสโดยไม่รู้

ฝ่ายนางปีกูคันธสารี รู้แจ้งด้วยญาณ จึงให้ฝูง อีนัง (แอหนัง) ศิษย์สตรีบริวารลงไปรับพาขึ้นไปบนเขา นางคันธสารีต้อนรับเป็นอันดี ให้ ๗ นางนั้นอยู่ด้วย

อยู่มาวันหนึ่ง นางคันธสารีจึ่งแนะนำให้นางทั้ง ๗ ไปเข้าเมืองกากะลังให้แปลงกายเป็นชายพวกกำบู (คนเล่นละคร) เสียจะได้พ้นอันตราย ตามคำแนะนำนั้น นางทั้ง ๗ ก็แปลงกายเป็นกำบู แล้วเปลี่ยนชื่อเสียหมดด้วยกัน จันดะราชื่อ วาระคะ บุษบาชูวิต ชื่อ มะลารี บุษบาสารีชื่อ อันจิ บายันชื่อ สการ์สารี สางิดชื่อมาลางี ปะมอนังชื่อ ยิงคะปังราสา ปะสีเรียนชื่อ สะมาราดันตะ แล้วลานางคันธสารีเดินทางไปสู่เมืองกากะลัง เดินผ่านบ่านช่องก็เล่นละครไปพลาง มีคนรักใคร่พอใจพวกละคร ต่างติดตามช่วยแบกหามและทำปี่พาทย์ให้เล่น (ลักษณะเหมือนโนราทางปักษ์ใต้) จนกระทั่งถึงเมืองกากะลัง พวกพี่เลี้ยงปันหยียาเยงมาพบเข้าก็ไปบอกปันหยียาเยง จึงให้หาไปเล่น แล้วก็หลงรัก เกลี้ยกล่อมวาระคะเป็นเพื่อน

กล่าวถึงระตู ล่าสำ กับระตู ปูดัก เป็นพี่ระตู จกรกา เมื่อทราบว่าน้องถูกฆ่าตายก็โกรธ ต่างยกทัพประสมกันไปตามแก้เผ็ดปันยียาเยง ครั้นไปถึงเมืองกากะลังจึงแต่งทูตเข้าไปท้ารบ ปันหยียาเยงรับอาสายกพลออกรบกัน ระตูล่าสำ กับระตูปูดักแพ้ยอมเป็นเมืองออก ต่างยกธิดาถวายองค์ละคน คือนางกะสุมา ธิดาระตูปูดัก นางยกสุมบะสารี ธิดาระตูล่าสำ

ฝ่ายชายาปันหยียาเยงอยู่ข้างหลัง ก็หาพวกกำบูไปเล่นละคร ปันหยียาเยงกลับจากตาทัพก็พลอยดู จำเพาะละครนั้นเล่นเรื่องปันหยีสะมิรัง วาระคะเป็นตัวปันหยี เป็นเหตุให้ปันหยียาเยงสงสัยว่าวาระคะจะเป็นตัวปันหยีสะมิรังจริงๆ ละครเล่นยังไม่จบพวกละครจึงนอนค้างอยู่ที่ตำหนัก เพื่อเล่นต่อไปในกันรุ่งขึ้น เป็นช่องให้ปันหยียาเยงคอยจับพิรุธ ครั้นเวลาดึกสงัดองค์วาระคะเอาตุ๊กตาทองออกมาเล่นในที่นอน และพูดกับตุ๊กตากล่าวพาดพิงถึงอินู ปันหยียาเยงแอบดูและฟังคำก็จับได้ว่าเป็นตัวจันดะราแท้แล้ว จึงเข้าประชิดติดพันก็ได้สมปรารถนากันในกาลนั้น บรรดาพวกกำบูทั้งหลายก็กลายเพศเป็นหญิงไปสิ้น นางจันดะราก็ถวายธิดาทั้งสองของระตูมันตาวันแก่อินู แล้วพากันยกกลับคืนไปกรุงกุรีปัน ชื่อปลอมนั้นก็เป็นอันยกเลิกกันหมด

ท้าวกุรีปันให้แต่งนคร และให้ไปเชิญท้าวดาหากับท้าวกากะลังทั้งระตูเมืองต่างๆ มา แล้วทำการราชาภิเษกอินูขึ้นครองเมือง รวมทั้งอภิเษกสมรสด้วย ตั้งนางจันดะราเป็นปรไมสุรี ตั้งนางนิลวาตีเป็นมหาเดวี ตั้งนางนาวังกับนางบุษบาชูวิตเป็นลิกู แล้วทำการอภิเษกสมรสสิงคมนตรีกับนางอายังแห่งดาหา ท้าวกากะลังและระตูเมืองต่างๆ ก็พากันกลับบ้านเมือง

อินูประทานบุษบาสารีแก่วิรันตะกะ ให้ยะรุเดะ กับการะตาลาพาไปมอบให้ครองเมืองจกรกา เสร็จสรรพกลับมาแล้ว โปรดตั้งยะรุเดะเป็นดะหมัง ประทานนางบายันเป็นภรรยา ให้ไปครองจังหวัดการังบันดากา การะตาลาเป็นปลัดจังหวัดหนึ่ง ประทานนางสางิดเป็นภรรยา โปรดตั้งปะสันตาเป็นมนตรี ประทานนางปะมอนังเป็นภรรยา โปรดตั้งปูนตาเป็นตำมะหงง ประทานนางปะสีเรียนเป็นภรรยา

ฝ่ายท้าวดาหากลับถึงนครก็ตั้งมหาเดวีไว้ในที่ปรไมสุรี นางลิกูเดือดร้อนให้น้องชายไปหาหมอทำเสน่ห์ น้องชายไปก็ไปถูกฟ้าผ่าตาย นางลิกูเป็นไข้ใจก็เลยตายด้วย

ฝ่ายท้าวกากะลังกลับถึงบ้านเมือง ก็ทำการราชาภิเษกสิงคมนตรีกับอายังขึ้นครองเมือง

ต่อนั้นไปท้าวกุรีปันกับปรไมสุรี และท้าวกากะลังกับปรไมสุรีต่างก็ออกทรงผนวช ท้าวกุรีปันปรไมสุรีทรงประตาปาอยู่บนเขาวิลิส กับด้วยพระกนิษฐภคินี ท้าวกากะลังปรไมสุรีไปประทับทรงประตาปาอยู่บนเขา ที่พราหมณาจารย์อยู่จำศีล.

(สิ้นเรื่องเท่านี้)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ