๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๒

พระยาอนุมานราชธน

หนังสือของท่านลงวันที่ ๑๕ เดือนนี้ ได้รับแล้ว

คนชื่ออ่วม ท่านแนะว่าอุ่ม ได้สติเห็นถูกที่สุดแล้ว สระย่อมเคลื่อนได้โดยที่พูดไม่ชัด คำ อุ่ม จะเปนคำตกจาก ชะอุ่ม นั้นเป็นได้ง่ายที่สุด ชะอุ่ม ก็คือ ชุ่ม ชำ อ่ำ ก็คือ ฉ่ำ หรือจะเปน ช่ำ ก็ได้ คำใช้ก็มี เช่น ช่ำใจ เปนต้น ชุ่ม ฉ่ำ ช่ำ นี้จะต้องเปนหดจาก ชะอุ่ม ชะอ่ำ คำ ชะอุ่ม ชะอ่ำ จะต้องเปนคำยืน เพราะคำ อุ่ม อ่ำ ตกพยัญชนะข้างหน้ามีเปนหลักอยู่ คำ อิน จัน หมายถึง ลูกอิน ลูกจัน กลอนเด็กร้องเล่นก็มีอยู่ว่า แม่ลูกอิน แม่ลูกจัน กินข้าวด้วยกัน เอาขันไว้ไหน ทีเขียน อินทร์ จันทร์ นั้นลากเอาเข้าไปสู่ภาษาสํสกฤต ซึ่งเรารู้ทีหลังคำ อิน จัน เปนไหนๆ

โองการแม่ซื้อ ที่ท่านคัดบอกไปให้นั้นดีเต็มที เปลื้องความสงสัยอะไรไปได้เปนหลายอย่าง ๑ แม่ซื้อเปนคนรับร่อน ๒ การรับร่อนต้องมีเบี้ยสามสิบสามเบี้ย แต่เราทำตกไปเสีย ๓ การร่อนต้องทำเมื่อสามวันล่วงไปแล้ว ไม่ใช่ทำในวันคลอด ๔ พิธีร่อนต้องทำบัตรพลี ปั้นรูปเด็กใส่บัตรไปกับของกินเครื่องเซ่นด้วย นี่ก็ตกไปเหมือนกัน

ข้าวย้อมสีฉันก็อยากรู้ต้นเค้ามากอยู่ นึกว่าจะมีแบบมาทางอินเดียแน่ ท่านค้นหนังสือก็ดีแล้ว ถ้าพบฉันจะได้พลอยรู้ด้วย

คำ ซื้อ ฉันก็สงสัยว่าหรือจะเปน ชื่อ เพราะคำ เชื่อ เปน เชื้อ คำ ช่าง เปน ช้าง มีเปนพยานอยู่ แต่ไม่ได้ความก็ล้มไป ท่านสงสัยว่าจะเปน สื่อ ก็เปนทางที่คล้ายกัน แต่ถ้ายึดเอาคำในโองการแล้ว จะต้องเปน ซื้อ คือซื้อขาย เพราะมีเบี้ยค่าตัวอยู่ที่นั่นด้วย ที่ทำเคล็ดอะไรต่างๆ ก็เพราะกลัวผี เด็กที่เกิดมานั้นคิดว่าผีเปนผู้สร้างเสียแล้ว ผีก็จะต้องเอาเด็กนั้นไปใช้ จะชืงเอาไว้ก็ต้องทำอะไรต่างๆ เพื่อป้องกัน ทั้งนี้ก็ตลอดไปถึงคติให้ชื่อให้ผีเกลียดของชาวพายัพด้วย ด้วยอำนาจกลัวผีนั่นแหละ จึงเอาเรื่องผีมาปนกับคน จนไม่รู้ว่าหัวนอนปลายตีนอยู่ไหน คำว่า ซื่อรู้ เห็นจะหมายความว่า ไม่ใช่ความรู้ของตน ไปได้ความรู้ของคนอื่นมา

เรื่องปลูกต้นมะพร้าวเพื่อการฝังรก ท่านเห็นไปในทางตำราพรหมชาติ ฉันก็เคยคิดมาแล้ว ถ้าดำเนินไปตามตำรานั้น ต้นไม้จะต้องเปลี่ยนไปตามปีที่เด็กเกิด เห็นไม่ไหวจึ่งต้องคงเปนไม่รู้อยู่นั่นเอง ได้ยินเขาพุดกันว่าประเพณีทางอินเดีย คนเกิดมาก็ต้องมีสิ่งประจำตัว เปนสัตว์อย่างหนึ่ง กับต้นไม้ชะนิดหนึ่ง อ้างถึงจนว่าเทวดาก็ต้องเปนเช่นนั้น เช่น พระพิฆเนศวรก็ต้องมีสัตวประจำพระองค์เปนหนู ที่เข้าใจว่าเปนพาหนะนั้นหาถูกไม่ เพราะช้างจะขี่หนูไม่ได้ ตามที่ว่านี้ดูสมควรอยู่มาก ฉันมีรูปนารายน์พร้อมทั้งบริวารรวมอยู่บนฐานใหญ่กลุ่มหนึ่ง ดูตำราเขาบ่งบอกชื่อไว้ว่า โภคสฺถานี ในช่องประภามณฑล ทางด้านหลังทำเปนต้นไม้ไว้ แต่เขาตั้งใจจะทำเปนต้นอะไรก็ดูไม่ออก แต่ไปเข้ารอยที่ว่าเทวดาหรือคนเกิดมาก็ต้องมีต้นไม้ประจำตัวเหมือนกัน อันต้นไม้และสัตว์ประจำตัวคน อาจมีตำราอะไรอยู่อีกก็ได้ แต่ฉันไม่เคยพบนอกจากตำราพรหมชาติ ต้นรังนั้นมีเรื่องที่ฉันได้ประสบมา ฉันต้องดูแลให้ทำรูปพระเจ้าเข้านิพพาน ในหนังสือท่านว่าบรรทมอยู่ในระหว่างไม้รังทั้งคู่ ดอกร่วงลงเรี่ยรายอยู่รอบพระองค์ แต่จะทำก็ไม่ถูก เพราะฉันเองก็ไม่เคยเห็นดอกรัง ช่างที่ทำก็ไม่เคยเห็น เปนคราวเหมาะที่กำลังทำอยู่ ฉันขึ้นไปเที่ยวโคราช ไปเห็นดอกรังร่วงอยู่อย่างที่ว่าไว้ในหนังสือ จึงได้เขียนถ่ายเอามาทำสำเร็จไปเรียบร้อย อันดอกรังนั้นมีกลิ่นหอมเย็นเสียด้วย เปนเหตุให้ผูกใจ สั่งเพื่อนที่นั่นให้เขาขุดต้นเล็ก ๆ ส่งลงมาให้ที่บางกอก เขาก็ส่งลงมาให้เปนหลายต้น ปลูกลงก็ตายหมด มีขึ้นแต่ต้นเดียว พอโตหน่อยก็ตายไป ทำให้รู้ว่าดินบางกอกมันไม่เหมาะสำหรับทำให้ต้นรังงอกงาม เพราะเหตุฉะนั้น จึงไม่มีต้นรังในบางกอก ถ้าจะปลูกต้นรังตามตำราพระมหาเถรตำแย ที่ในบางกอก เห็นจะเต็มที

ท้ายทอย ท้ายดอย ฉันเห็นด้วยเต็มประตู ตั้งใจอยู่ว่าจะเขียนแสดงโมทนามา แต่ครั้นเขียนเข้าจริง ก็ลืมตกไปเสีย

การออกลูกใช้ของง่าย ๆ ก็คือว่าใช้ของที่จะพึงหยิบฉวยได้ในเรือนเปนการปัจจุบัน ท่านคะเนการถูกแล้ว จะเห็นได้ว่าชาวเราแต่ก่อนยากจนเต็มที ไม่มีอะไรใช้

เรื่องบัตร ฉันเห็นจะพอบอกท่านได้มาก บัตร แปลว่าใบ หมายถึงใบไม้ คือ ใบตองเย็บกะทง ใส่กุ้งพร่า ปลายำ พลี คือ พ(ะ)ลิ แปลว่าเซ่น เอากะทงเครื่องเซ่นเหล่านั้นใส่ลงในถาด อันทำขึ้นด้วยหยวก เพื่อนำไปง่าย แล้วความเข้าใจก็เลื่อนไปเปนบัตรหมายถึงถาดและเครื่องหิ้ว ซึ่งสำหรับใส่กะทงเครื่องเซ่น มีทำอยู่ตามที่เคยสังเกตเหนเปน ๔ อย่าง

๑. บัตรเทวดา ทำด้วยก้านกล้วย เป็นเครื่องหิ้วรูปกระโจม มีพื้นสามชั้น สำหรับใส่เครื่องเซ่น เซ่นเทวดา

๒. บัตรพระเกตุ ทำอย่างบัตรเทวดา แต่มีพื้นเก้าชั้นตามกำลังพระเกตุ สำหรับใส่เครื่องเซ่น เซ่นพระเกตุโดยจำเพาะ คงจะคิดทำแก้จากบัตรเซ่นเทวดาในภายหลัง

๓. บัตรสามเหลี่ยม หรือบัตรคางหมูก็เรียก ทำด้วยหยวก มีลักษณดุจถาดรูปสามเหลี่ยม สำหรับใส่เครื่องเซ่น เซ่นกรุงพลียักษ์ (เรียกกันว่า กรุงพาลี เจ้าสามโลก ดูขุชชาวตาร)

๔. บัตรสี่เหลี่ยม ทำด้วยหยวก มีลักษณดุจถาดสี่เหลี่ยม สำหรับใส่เครื่องเซ่น เซ่นพระภูมิเจ้าที่ บัตรเซ่นผีอื่น ๆ ก็ทำอย่างเดียวกัน หรือชั่วแต่ใบตองเจียนกลม ๆ หรือฉีกเอามาไม่เจียนเลย เอาแต่ของกินกองลงบนนั้นก็ใช้ได้ บัตรทั้ง ๔ อย่างนี้ไม่จำเปนต้องทำพร้อมด้วยกันทุกอย่าง จะทำแต่อย่างเดียวหรือสองอย่างสามอย่างก็ได้ สุดแต่ความต้องการ อนึ่ง คำ ทูลกบาล เสียกบาล ก็หมายถึงทูลถาดหยวกไปเสียให้แก่ผีที่ทางสามแพร่ง ขอให้ท่านสังเกตว่าเวลาที่ตั้งคำนั้นขึ้นใช้ พวกเขมรนำเอาของไปด้วยวิธีทูลหัวอย่างแขกอินเดีย

บายศรี เปนคำเขมรปนสํสกฤต แปลว่า ข้าวขวัญ มีหลักเปนกะทงอาหาร ทำไมจึ่งใช้กะทง เหตุเพราะเปนพิธีพราหมณ์ พราหมณ์เขาถือว่าเครื่องใส่อาหารนั้นใบไม้สอาดกว่าถ้วยชาม ด้วยเปนแน่ว่าไม่ร่วมกับใคร เมื่ออยากให้เปนงานใหญ่วิเศษขึ้น จึ่งทำกะทงอาหารหลายใบซ้อนกัน แล้วดูมันม่อต้อไป จึ่งคิดทำคันรองกะทงขึ้นให้เห็นจะ ๆ กันเปนชั้นๆ แล้วเห็นกะทงเปล่าไม่งาม จึงจัดการเจิมปากเข้า แล้วก็ลืมไปว่ามันเปนกะทง เจิมกันเติมเข้าอีกด้วย จึงสำเร็จรูปเลือนมาเปนบายศรีอย่างทุกวันนี้ ตามที่ว่านี้ จะเห็นได้อยู่ที่บายศรีซึ่งใช้ในราชการ มีบายศรีชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า บายศรีตองลอง ทองขาว (หรือ ลอง พูดผิด อาจเปน รอง ก็ได้) บายศรีชนิดนั้นทำใบตองเปนชั้นบายศรี แล้วมีเครื่องรองทำด้วยทองขาว รับใบตองชั้นบายศรีให้เห็นจะแจ้งเปนชั้นๆ เข้าใจว่า นั้นเปนของเก่าก่อนอื่น แล้วมาทำพานเงินพานทองรองของกินซ้อน ๆ กัน เรียกว่า บายศรีทอง บายศรีเงิน มีมานานแล้ว เห็นได้ว่าถ่ายอย่างจากบายศรีตองรองทองขาวมานั่นเอง แต่บายศรีเพิ่งมีขึ้นในรัชกาลที่ ๒ ดูก็เปนของปรุงจับเอาเครื่องแก้วอะไรที่มีเข้ามาประติดประต่อกันเข้า การกระทำทั้งนี้ถือเอาคำบุราณที่ว่า บายศรีแก้ว บายศรีทอง บายศรีเงิน มาเปนหลัก แต่หลงไป คำว่าบายศรีแก้ว นั้นหมายถึงเอาเครื่องอาภรณ์ซึ่งประดับพลอย มาแต่งประดับกะทงบายศรี จะเห็นได้ในบทบายศรีแก้วแห่งกัณฑ์มหาราชมีว่า เห็นงามเรืองรอง จึ่งให้เอาทองแกมแก้ว สีขาววาวแววฝังด้วยเพชรพลอยนิล บายศรีทองก็แต่งกะทงบายศรีด้วยเครื่องอาภรณ์ทอง บายศรีเงินก็แต่งกะทงบายศรีด้วยเครื่องอาภรณ์เงิน ทำให้เปนไปดุจเดียวกัน ส่วนบายศรีปากชามนั้น เราเว้นนับถือชามไม่ได้ จึงจัดกะทงอาหารใส่ลงไปในชาม เรื่องบายศรีปากชาม ฉันไปเห็นรูปเขียนในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์อันเขียนเมื่อรัชกาลที่ ๑ มีแต่บายศรีตองอย่างเดียว แต่ขันยอดบายศรีซึ่งเวลานี้ปักพุ่มดอกบานไม่รู้โรยนั้น เขาเขียนเปนบายศรีปากขัน ฉันก็แปลออกว่า ที่เดี๋ยวนี้ใช้ปักพุ่มดอกบานไม่รู้โรยนั้น หลงมาจากการสมโภชพระพุทธรูป ซึ่งเขาใช้ดอกไม้แทนของกิน อธิษฐานเปนเครื่องบูชา เมื่อฉันเห็นสิ่งแปลกประหลาดที่เขาเขียนไว้เช่นนั้น จึ่งกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงให้ทอดพระเนตร ด้วยเวลานั้นเปนเวลาที่ฉันตามเสด็จไปทอดพระเนตรพระที่นั่งองค์นั้น เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นที่เขาเขียนไว้ดังนั้นก็โปรดเต็มที ตรัสพิพากษาว่าถูกที่สุด บายศรีเราทุกวันนี้ขาดข้าวจริงอย่างตรัสพิพากษานั้นเหลือเกิน ใบตองซึ่งเห็นแหลมสะพรั่งอยู่ปากชามนั้นก็คือเจิมปากกะทงอาหารซึ่งอยู่ในชาม ช่างเขาตั้งใจทำเจิมเปนกลีบบัว มีกลีบใหญ่กลีบแซก ทีหลังกะทงในชามก็เลิกงด เพราะชามบังไม่แลเห็น ทำให้เปลืองแรงน้อยลง เหลือแต่กลีบบัวซึ่งเจิมปากกะทงอันโผล่ขึ้นมาให้เห็น กลีบใหญ่นั้นชาวบ้านเรียกกันว่านมแมว เพราะพับใบตองซ้อนกันแหลม ๆ อันมีลักษณะคล้ายกับนมแมว เลยเรียกกันว่าบายศรีนมแมว ก็มี ส่วนกลีบแซกนั้นเรียกกันว่าแมงดา ว่าเต่า ก็เพราะทำรูปกันเหมือนเช่นนั้น เปนเรื่องเขลาไม่รู้อะไรทั้งนั้น จะเอาคำเหล่านั้นมาเปนนิยมนิยายหาควรไม่ ที่อธิบายกันไปเปนปริศนาธรรมก็คือไม่รู้ คำว่า สมโภช ก็แปลว่าของกินดี ๆ ส่อความเปนไปอยู่ในตัวเองแล้ว

คำว่า เสีย ทำไมจะต้องมีแต่ ได้เสีย คำเดียว ซึ่งไม่ยอมใช้ในคำ นอนเสีย อันคำซ้ำแต่หมายความต่างกันนั้นมีอยู่ถมไป

คำถาม ๑๒ พระกำนัล และ ๑๒ พระคลัง ฉันตอบไม่ได้ เพราะไม่รู จะตั้งจำนวนนั้นมาแต่เมื่อไรไม่ทราบ ดูเปนจำนวนที่ถนัด เช่นภาษาก็เปน ๑๒ ภาษา ที่จริงมีกว่าไปมาก ในอายุฉัน ตำแหน่งกำนัลในพระราชสำนักก็เห็นมีอยู่ตำแหน่งเดียวแต่กำนัลพระแสง คือพนักงานพระแสง ซึ่งไม่มีฐานันดร กับทางบ้านเมืองก็มี นายกำนัล อยู่อีกตำแหน่งหนึ่ง ถ้าจะแปลคำ กำนัล ความก็ว่าให้ พระกำนัล ก็เปนคนที่เขาถวายพระเจ้าแผ่นดิน น่าจะได้แก่คนที่มีผู้นำถวายตัว ซึ่งลงจำนวนไว้ว่า ๑๒ พระกำนัลนั้นแคบเต็มที จัดแบ่งไว้เก่าแก่แต่ครั้งไหน ฉันจะทราบ ไม่ได้เลย ๑๒ พระคลังนั้นฉันเคยนับเล่นทีหนึ่งแล้ว ก็ได้จำนวนกว่า ๑๒ ไปมาก จำนวน ๑๒ พระคลัง คงนับในเวลาที่พระคลังมีอยู่ ๑๒ จะเปนพระคลังอะไรบ้าง ฉันก็ไม่สามารถที่จะทราบได้

ตามที่ท่านเขียนหลังซองบอกที่อยู่ของฉันต่อลงไว้นั้นไม่จำเปน ฉันเปนคนเขื่อง อยู่ที่ไหน ไปรษณีย์เขารู้แล้ว เขาส่งถูก หนังสือซึ่งมีไปก่อน ๒ ฉบับทีหลังนี้ ก็ไม่ได้เขียนที่อยู่ เขาก็ส่งถูก

สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ