๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๔๘๒

พระยาอนุมานราชธน

หนังสือของท่านลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม บอกอะไรต่างๆไป ได้รับแล้ว ขอบใจมาก

ชื่อเวชยันต์วิเชียรปราสาทนั้น ผ่านพ้นความต้องการไปเสียแล้ว

บุษบง จะว่าหดจาก บุษปบงกช นั้นเปนได้ เว้นแต่คำ บุษปบงกช ไม่เคยพบมีใช้ที่ไหน กลัวจะไม่เปนภาษาที่คนใช้กัน อันคำ บุษบง และ บุษบัณ หรือ บุษบัน ดูทีจะเปนคำเดียวกัน มาแต่ บุษฺปํ ถ้าดูดั่งนั้นก็แปลได้แต่เพียงว่าเปนดอกไม้ ดอกอะไรก็ได้ แต่เรามาเข้าใจกันเปนว่าดอกบัว ฉันเห็นขันจึ่งพูดมาให้ท่านฟัง อันคำทั้งสองนั้น ถึงเดิมจะเปนภาษาอะไรก็ตามที แต่มาอยู่กับเราจนเปนภาษาไทยไปแล้ว จะเอาไปนาบเข้ากับไวยากรณภาษาอื่นนั้นยากที่จะลงกันได้

บัวเผื่อน กับ บัวผัน เมื่อฉันจะถามท่านมา ฉันได้แยกถามไปทางเจ้ากรมของฉันด้วย เพราะแกเปนหมอ แกต้องใช้เกสรบัวทั้งสองอย่างทำยาอยู่เสมอ จึงหวังว่าแกจะบอกได้ ก็เปนการสมหวัง ตามที่เจ้ากรมบอกกับที่ท่านบอกนั้นตรงกัน

จะพูดถึงสีน้ำเงิน ฉันสังเกตความในคำเห็นมันเปนสีอ่อนอยู่แล้ว อ่อนยิ่งกว่าสีฟ้าไปเสียอีก ถ้าเปนเนื้อของมันแท้ ๆ พวกช่างเขาเรียกว่าคราม หรือสีขาบ ความก็เปนชื่อธาตุเดิมของมัน สีขาบก็คือสีอย่างนกตะขาบ แต่สีน้ำเงินและสีฟ้า พวกช่างเขาไม่เรียกกัน เขาเรียกว่า สีมอคราม ดูก็ดีมากอยู่

ศาล ท่านว่าเปนต้นไม้ที่ไม่มีในเมืองเรา ฉันยอมราบ ด้วยได้เคยรับความยากในเรื่องต้นไม้มามากกว่ามากแล้ว แม้ได้ชื่อภาษาละตินมา เอาไปถามพวกนักเรียนต้นไม้ ลางทีก็ได้เรื่อง ลางทีก็ไม่ได้เรื่อง ได้ความจากพวกนักเรียนนั้นเองว่ามันไม่แน่ดอก อาจารย์คนหนึ่งก็ตั้งชื่อขึ้นอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็ตั้งขึ้นอย่างหนึ่ง ด้วยไม่ได้หารือกัน ลูกศิษย์ต่างอาจารย์กันจะต่อยกันตายเสียด้วยเรื่องชื่อพันธุ์ไม้นั้นมากต่อมากมาแล้ว ที่ฉันว่าต้นรังก็ว่าไปตามที่พระแปลกันอยู่ในเมืองนี้ อย่างไรก็ดี ศาล คำนี้เปนต้นไม้นั้นแน่ จะเอาชื่อนั้นมาเปนชื่อที่เจ้าผีอยู่และที่ชำระความ ย่อมไม่ควร ที่ชำระความไม่ใช่ต้นไม้ หรือแต่ก่อนจะชำระกันใต้ต้นไม้ ดูก็เปนครั้งอายุหิน ไม่ควรจะมีคำเหลืออยู่จนถึงบัดนี้

ท่านค้นภาษาจีนมาได้ว่า ส่าน เขาหมายเปนวังเปนคำหนักเปนที่ห้ามหวง พอใจฉันมาก ด้วยเปนสมควรแก่ศาลเจ้าศาลพระภูมและศาลเพียงตาอะไรเหล่านั้นสิ้น ถ้าเขียน สาน ก็จะผิดระดับเสียงไปน้อยหนึ่ง หาเปนไรไม่ ธรรมดาการออกเสียงเมื่อต่างถิ่นกันไปก็ย่อมผิดระดับกันได้อยู่เอง ข้อสำคัญอยู่ที่ ศาลชำระความ ทำไมจึ่งเรียกว่า ศาล ทำให้คิดเห็นไปว่าในโรงที่ชำระความเขาทำ ศาล ขึ้นไว้ภายใน สำหรับไว้ของศักดิสิทธิ มีสมุดกฎหมายเปนต้นกระมัง เหมือนที่เกาะบาหลีประเทศชะวา ในโรงที่แต่งตัวละคอนเขาก็ทำศาลไว้เปนที่ไว้เครื่องศิราภรณ์และบทละคอน คิดว่าจะเปนอย่างเดียวกัน อนึ่งเรามีคำปรามาสพวกหมอความเลว ๆ ว่าหากินตามตีนโรงตีนศาล จะเข้าใจเอาได้หรือไม่ว่าศาลอยู่ในโรง หมอความเลวซึ่งกล่าวติกันนั้น แม้จะแยกเปนสองพวกก็ทีจะได้ คือ พวกเลวมากหากินอยู่แต่ตามตีนโรงที่ชำระความ คอยเสี้ยมสอนคนที่จะเข้าไปเปนความในโรง อีกพวกหนึ่งเลวน้อยเข้าไปในโรงได้ อยู่ตีนศาลคอยเสี้ยมสอนคู่ความเหมือนกัน อย่างนักเลง ปี้ขา (ภิกขา) แต่จะอย่างไรก็ดี ต่อไปนี้ฉันจะเขียน ศาล ทุกอย่างเปน สาน

ที่เกาะชะวาบาหลีมี สาน มาก ตั้งแต่ สาน ทำด้วยไม้ไผ่ อย่างสานเพียงตาของเรา ขึ้นไปจนทำด้วยไม้จริงและก่ออิฐ แต่ล้วนเล็กๆ และอยู่บนฐานสูงโทงเทงทั้งนั้น ลางสานเปนร้านเฉย ๆ ลางสานก็เปนร้านมีพนักสามด้าน ลางสานก็เปนเรือนบนนั้น ถ้าก่ออิฐแล้วแม้เล็กมากก็ตัน ต่อใหญ่หน่อยจึ่งกลวง ท่านคงสังเกตได้ว่า สานเพียงตาของเรามีชั้นลดเปนสองชั้น ที่ชั้นลดเห็นจะหมายให้ตั้งเครื่องเส้น ชั้นบนเห็นจะหมายให้เปนที่เทวดานั่ง ที่เอาเครื่องเส้นขึ้นไปตั้งจนชั้นบนด้วย คิดว่าปฏิบัติผิด แล้วที่ชั้นบนนึกให้เทวดานั่งสบาย เข้าใจว่าจะทำเปนปรำขึ้นก่อน แล้วทีหลังจึงกลายเปนเรือน เช่น สานเจ้าสานพระภูมของเรา ถึงแม้จะทำเปนเรือนก็มีชั้นลดอย่างสานเพียงตาทั้งนั้น คนในเกาะชะวาว่ากันว่าถือศาสนามหมัด คนในเกาะบาหลีว่ากันว่าถือศาสนาพราหมณ์ ถ้าว่าตามรูปการณ์ก็เปนดังนั้น แต่ความจริงราษฎรทั้งหมดถือผีกันทั้งนั้น ศาสนาต่าง ๆ เปนแต่เข้าไปแฝง ราษฎรขัดไม่ได้ก็รับว่าถือ แต่ใจจริงนั้นถือผีย่อย ดั่งจะเห็นได้ที่มีสานอยู่เกลื่อนกลาด ในสถานอันหนึ่งไม่ใช่มีแต่สานเดียว ย่อมมีแห่งละมาก ๆ สาน สุดแล้วแต่ใครจะศรัทธาทำขึ้นเปนการบวงบนกันเสียด้วย สร้างเพื่อให้หายเจ็บไข้กันก็มี ทางบาหลืนั้นถนัดสร้างสานเจ้ากันมาก แม้จนในโรงบ่อนชนไก่ก็มีสานเพียงตา

คำ บริเวณ มันเปนห้องเปนรู สำหรับพวกฤษีชีป่าอาศรัย ไม่ใช่ที่ลาน ฉันหลบ ไม่ใช้ คำที่จะใช้พูดถึงเนื้อที่ มีอื่นอยู่ถมไป

สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ