๙๑. สร้างและฉลองวัดพระเชตุพน

เมื่อจุลศักราช ๑๑๕๑ ปีระกา เอกศก[๗๘] เป็นปีที่ ๘ ในรัชกาลที่ ๑ นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตรเห็นวัดโพธารามเก่าชำรุดปรักหักพังเป็นอันมาก ทรงพระราชศรัทธาจะสร้างให้บริบูรณ์งามขึ้นกว่าเก่า พื้นที่ซึ่งเป็นที่ลุ่มดอนห้วยคลองสระบ่อร่องคูอยู่นั้น ทรงพระกรุณาให้ขอแรงคน ๒๐,๐๐๐ เศษ ขนดินมาถมเต็มแล้ว รุ่งขึ้นปีหนึ่งสองปีกลับยุบลุ่มไป จึงซื้อมูลดินถม สิ้นพระราชทรัพย์ ๒๕๐ ชั่ง ๑๕ ตำลึง จึงให้ปราบที่พูนมูลดินเสมอดีแล้ว

ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๑๑ คํ่า ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๑๕๕ ให้จับการปฏิสังขรณ์สร้างพระอุโบสถ มีกำแพงแก้วกระเบื้องปรุล้อมรอบ พื้นในกำแพงแก้วและหว่างพระระเบียงชั้นใน ก่ออิฐ ๕ ชั้น แล้วดาดปูนทำพระระเบียงล้อม ๒ ชั้น ผนังระเบียงข้างในประดับกระเบื้องปรุ ผนังห้องพระระเบียงเขียนลายแย่ง มุมพระระเบียงนั้นเป็นจัตุรมุขทุกชั้นมีพระวิหาร ๔ ทิศ บรรดาหลังคาพระอุโบสถ พระวิหาร พระระเบียงนั้น มุงกระเบื้องเคลือบสีเหลืองสีเขียวสิ้น ตรงพระวิหารทิศตะวันตกออกไปให้ขุดรากพระเจดีย์ใหญ่ กว้าง ๑๐ วา ลึก ๕ ศอก ตอกเข็มเอาอิฐหักกระทุ้งให้แน่นแล้วเอาไม้ตะเคียนยาว ๙ วาหน้าศอกจตุรัสเรียงระดับประกับกันตราง ๒ ชั้น แล้วจึงเอาเหล็กดอกเห็ดใหญ่ยาว ๒ ศอกตรึงตลอดไม้แกงแนง ๒ ชั้น หว่างช่องแกงแนงนั้นเอาอิฐหักทรายถมกระทุ้งให้แน่นดี รุ่งขึ้น ณ วันศุกร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ คํ่า ปีขาล ฉศก จุลศักราช ๑๑๕๖ เวลาเช้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์เสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตโหราจารย์มายังที่ลานพระมหาเจดีย์ จึงให้ชักชะลอพระพุทธปฏิมากรทรงพระนามพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งชำรุดรับมาแต่กรุงเก่าเข้าวางบนราก ได้ศุภฤกษ์ประโคมฆ้องกลองแตรสังข์ดุริยางค์ดนตรี พิณพาทย์ เสด็จทรงวางอิฐทอง อิฐนาก อิฐเงิน ก่อราก ข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวงก็ระดมกันก่อฐานกว้าง ๘ วา ถึงที่บรรจุ จึงเชิญพระบรมธาตุและฉลองพระเขี้ยวแก้วองค์ ๑ พระเขี้ยวทององค์ ๑ พระเขี้ยวนากองค์ ๑ บรรจุในห้องพระมหาเจดีย์ แล้วก่อสืบต่อไปจนสำเร็จ ยกยอดสูง ๘๒ ศอกทำพระระเบียงล้อม ๓ ด้าน ผนังนั้นเขียนนิยายรามเกียรติ์ จึงถวายพระนามว่าพระเจดีย์ศรีสรรเพ็ชญ์ดาญาณตามพระนามพระพุทธปฏิมากร ซึ่งฝังไว้ในพระเจดีย์นั้น และพระพุทธปฏิมากรศรีสรรเพ็ชญ์นี้ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงสร้างเมื่อปีขาล โทศก จุลศักราช ๘๓๒[๗๙] เป็นพระพุทธรูปยืนสูง ๘ วา หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์หุ้มทองคำทั้งพระองค์ ประดิษฐานไว้ในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์กรุงเก่า เมื่อกรุงเก่าเสียพม่าลอกทองคำที่หุ้มพระองค์ไปหมด ภายหลังพระอารามนั้นทั้งร้าง พระวิหารพังทับพระพุทธปฏิมากรศรีสรรเพ็ชญ์แตกหักบุบสลายมาก เมื่อทรงสร้างวัดพระเชตุพนโปรดให้เชิญลงมา หมายจะทรงปฏิสังขรณ์ให้เป็นรูปดีดังเก่าอย่างพระโลกนารถ แต่พระศรีสรรเพ็ชญ์ชำรุดมากนัก จะปฏิสังขรณ์ให้คงตามรูปเดิมไม่ได้ จึงทรงพระราชดำริจะเอาทองรวมหลอมหล่อเป็นพระพุทธรูปขึ้นใหม่ ครั้นมีพระราชปุจฉาแก่พระสงฆ์ราชาคณะมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานพร้อมกันถวายพระพรว่า ที่จะเอาทองอันเป็นพระพุทธรูปอยู่แล้ว กลับหลอมหล่อใหม่เห็นไม่สมควร จึงโปรดให้เชิญเข้าบรรจุไว้ในพระเจดีย์ และในวงพระระเบียงรอบพระอุโบสถชั้นในมีพระมหาธาตุ ๔ ทิศ นอกพระระเบียงชั้นนอกหว่างพระวิหารคดนั้น มีพระเจดีย์ฐานเดียว ๕ พระองค์ ๔ ทิศ ๒๐ พระองค์ รวมกันทั้งพระมหาเจดีย์ใหญ่พระมหาธาตุเป็น ๒๕ พระองค์ บรรจุพระบรมธาตุสิ้นทุกพระองค์ และมีพระวิหารคด ๔ ทิศกำแพงแก้วคั่นประตูซุ้มประดับกระเบื้องเคลือบ ๒ ประตู มีรูปสัตว์ประตูละคู่ ทำหอไตรมุงกระเบื้องหุ้มดีบุก ฝาและเสาปิดทองลายรดน้ำและตู้รูปปราสาทไว้คัมภีร์พระปริยัติไตรปิฎก ทำการเปรียญหอระฆังพระวิหารน้อยซ้ายขวา สำหรับทายกไหว้พระพุทธรูปขุดสระน้ำ ปลูกพรรณไม้ ศาลาราย ๕ ห้อง ๗ ห้อง ๙ ห้อง เป็น ๑๗ ศาลา เขียนเรื่องพระชาดก ๕๕๐ ชาติ ตั้งตำรายาและฤๅษีดัดตนไว้เป็นทาน ทำกำแพงแก้วล้อมรอบนอก มีประตูซุ้มประดับกระเบื้องถ้วย ๔ ประตู มีรูปอสูรประจำประตูละคู่ มีประตูซุ้มประดับกระเบื้องเคลือบ ๙ ประตู ทั้งประตูกำแพงคั่น ๒ เป็น ๑๑ ประตู มีรูปสัตว์ประตูละคู่ เป็นรูปสัตว์ ๒๒ รูป แล้วทำตึกและกุฎีพระสงฆ์หลังละ๒ ห้อง ๓ ห้อง ๔ ห้อง ๕ ห้อง ๖ ห้อง ๗ ห้อง ฝากระดานมุงกระเบื้อง เป็นกุฎี ๑๒๙ หลัง ทำหอฉัน หอสวดมนต์ ศาลาต้มกรักตากผ้าสระน้ำ ทำกำแพงล้อมกุฎีอีกวง ๑ และริมฝั่งน้ำนั้นมีศาลา ๓ หน้า ต้นสะพานพระสงฆ์สรงน้ำทำเวจกุฎี ๔ หลัง ในพระอุโบสถ พระวิหาร พระระเบียงนั้น เชิญพระพุทธปฏิมากรหล่อด้วยทองเหลืองสัมฤทธิ์ ซึ่งชำรุดปรักหักพังอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย เมืองลพบุรี กรุงเก่า วัดศาลาสี่หน้ากรุงเทพฯ ใหญ่น้อย ๑๒๔๘ พระองค์ ลงมาให้ช่างหล่อต่อพระศอ พระเศียร พระหัตถ์ พระบาท แปลงพระพักตร์ พระองค์ให้งาม ประดิษฐานไว้ตามที่อันสมควร

พระพุทธรูปพระประธานวัดศาลาสี่หน้า หน้าตัก ๕ ศอกคืบ ๔ นิ้ว เชิญมาปฏิสังขรณ์เสร็จแล้ว ประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ บรรจุพระบรมธาตุ ถวายพระนามว่าพระพุทธเทวปฏิมากร และผนังพระอุโบสถเขียนเรื่องทศชาติทรมานท้าวมหาชมพูและเทพชุมนุม

พระพุทธรูปยืนสูง ๒๐ ศอก ทรงพระนามว่า พระโลกนารถศาสดาจารย์ปรักหักพัง เชิญมาแต่วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์กรุงเก่าปฏิสังขรณ์เสร็จแล้วประดิษฐานในพระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง บรรจุพระบรมธาตุด้วย ผนังเขียนพระโยคาวจรพิจารณาอศุภ ๑๐ และข้ออุปมาญาณ ๑๐

พระพุทธรูปวัดเขาอินทร์เมืองสวรรคโลก หล่อด้วยนากหน้าตัก ๓ ศอกคืบหาพระกรมิได้ เชิญลงมาปฏิสังขรณ์ด้วยนากเสร็จแล้ว ประดิษฐานไว้เป็นพระประธานในพระวิหารทิศตะวันออก บรรจุพระบรมธาตุ ถวายพระนามว่าพระเจ้าตรัสในควงไม้พระมหาโพธิ์ มีต้นพระมหาโพธิ์ด้วย และผนังนั้นเขียนเรื่องมารประจญ

พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ๔ นิ้ว เชิญลงมาแต่กรุงเก่าปฏิสังขรณ์เสร็จแล้ว ประดิษฐานไว้ในพระวิหารทิศใต้ ถวายพระนามว่าพระพุทธเจ้าเทศนาพระธรรมจักร มีพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นั่งฟังพระธรรมเทศนาด้วย และผนังนั้นเขียนเรื่องเทศนาพระธรรมจักรและเทศนาดาวดึงส์

พระพุทธรูปหน้าตัก ๓ ศอกคืบ ๔ นิ้ว เชิญมาแต่เมืองลพบุรี ปฏิสังขรณ์เสร็จแล้ว ประดิษฐานไว้ในพระวิหารทิศตะวันตกบรรจุพระบรมธาตุ ถวายพระนามว่าพระนาคปรกมีพระยานาคแผลงฤทธิ์เลิกพังพาน มีต้นจิกด้วย และผนังนั้นเขียนเรื่องพระเกศธาตุ

พระพุทธรูปหล่อใหม่สูง ๘ ศอก ๕ นิ้ว ประดิษฐานไว้ในพระวิหารทิศเหนือบรรจุพระบรมธาตุ ถวายพระนามว่าพระปาเลไลยก์ มีช้างถวายกุณฑีน้ำมีวานรถวายรวงผึ้งและผนังนั้นเขียนไตรภูมิ มีพระสุเมรุราชและเขาสัตตบริภัณฑ์ ทวีปใหญ่ทั้ง ๔ และเขาพระหิมพานต์ สระอโนดาตและปัญจมหานที

พระพุทธรูปในพระอุโบสถอารามเก่าหน้าตัก ๔ ศอกเชิญเข้าประดิษฐานไว้เป็นพระประธานในการเปรียญแล้ว จัดพระพุทธรูปไว้ในพระระเบียงชั้นใน ชั้นนอก และพระวิหารคดเป็นพระพุทธรูปมาแต่หัวเมือง ชำรุดปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ๖๘๙ พระองค์ พระพุทธรูปทำด้วยอิฐปูนสำหรับพระอารามชำรุดอยู่ ๑๘๓ องค์ รวมกันเป็นพระพุทธรูปและพระอรหันต์ ๘๗๒ องค์ ลงรักปิดทองสำเร็จเหลือนั้นข้าทูลละอองธุลีพระบาท สัปปุรุษชายหญิงรับไปบูรณะไว้ในพระอารามอื่น

การฐาปนาพระอาราม ๗ ปี ๕ เดือน ๒๘ วันจึงสำเร็จ สิ้นพระราชทรัพย์แต่ที่จำได้ คิดค่าดินถม อิฐปูน ไม้ขอนสัก ไม้แก่น เหล็ก กระเบื้อง พื้นไม้ จากทำโรงงาน ร่างร้าน เรือนข้าพระ เสา กระดาน กุฎี น้ำอ้อย น้ำมันยาง ชัน ดีบุก ทองเหลือง ทองแดง ขี้ผึ้งหล่อฐาน และกระจก น้ำรัก ทองคำ กระดาษ ชาด เสน เครื่องเขียน รง ดินแดง พระราชทานช่าง เลี้ยงพระสงฆ์ เลี้ยงช่างช่วยคนชายฉกรรจ์ ๑๖ สำมะโนครัว ๑๒๔ คน เป็นเงิน ๙๕ ชั่ง ๑๑ ตำลึง สักแขนขวาถวายเป็นข้าพระขาดไว้ในพระอาราม ตั้งหลวงพิทักษ์ชินสีห์เจ้ากรม ขุนภักดีรสธรรมปลัดกรม ควบคุมข้าพระและรักษาพระอาราม รวมพระราชทรัพย์ทั้งสิ้นที่สร้างและช่วยคนเป็นเงินตรา ๓,๗๘๕ ชั่ง ๖ ตำลึงแล้วทรงพระกรุณาให้เอาแพรลายย้อมครั่งทรงพระพุทธรูปในพระวิหารทิศพระระเบียง พระวิหารการเปรียญพระมหาธาตุ พระเจดีย์ใหญ่น้อยสิ้นแพร ๑๐๐ พับ แต่พระพุทธเทวปฏิมากร ในพระอุโบสถ ทรงผ้าสีทับทิมชั้นในตาดชั้นนอก

ครั้น ณ วันศุกร์เดือน ๕ แรม ๑๒ ค่ำ ปีระกา ตรีศกจุลศักราช ๑๑๖๓[๘๐] ให้ตั้งการฉลอง อาราธนาพระราชาคณะ ฐานานุกรมอธิการ อันดับฝ่ายคันถธุระ วิปัสสนาธุระ ๑,๐๐๐ รูปพร้อมกันในพระอุโบสถ เวลาบ่ายแล้ว ๔ โมง ๕ บาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช พระราชวงศานุวงศ์ เสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตาจารย์มายังพระอุโบสถ ทรงสมาทานพระอุโบสถศีล แล้วหลั่งน้ำอุทิศโสทกลงเหนือพระหัตถ์พระพุทธปฏิมากร ถวายพระอารามตามบาลีแก่พระสงฆ์ มีองค์พระพุทธปฏิมากรเป็นประธานและพระราชทานนามพระอารามว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม มอบถวายสมเด็จพระวันรัต พิพัฒนญาณ อดุลยสุนทรนายก ปิฎกธรรมหาคณิศร บวรทักขิณาคณะสังฆารามคามวาสี สถิตในวัดพระเชตุพน แล้วถวายแด่พระพุทธปฏิมากรแพรยกไตร ๑ บาตรเหล็กเครื่องอัฐบริขารพร้อมย่ามกำมะหยี่ เครื่องย่ามพร้อม พัดแพร ร่มแพร เสื่ออ่อน โอเถา โอคณะ กาน้ำ ช้อนมุก ขวดแก้วเต็มด้วยน้ำผึ้ง น้ำมันมะพร้าว น้ำมันยา กลักธูปเทียนสิ่งละ ๑๐๐ ไม้เท้า รองเท้า สายระเดียง พระสงฆ์ ๑,๐๐๐ ได้รับไทยทานทั่วกันทุกรูป ครั้นจบพระบาลืที่ทรงถวาย พระสงฆ์รับสาธุพร้อมกัน ประโคมดุริยดนตรีแตรสังข์ ฆ้องกลองสนั่นไปด้วยศัพท์สำเนียงกึกก้องโกลาหล พระสงฆ์รับไทยทานแล้วไปสรงน้ำครองไตรมาสวดพระพุทธมนต์เวลาเย็นวันละ ๑,๐๐๐ รูป ปฏิบัติพระสงฆ์ฉันเช้า เพล ๓ วัน ๑,๐๐๐ รูป ถวายกระจาดทุกองค์ ให้มีพระธรรมเทศนา บอกอานิสงส์ทุกวันแล้ว ปฏิบัติพระสงฆ์ซึ่งศรัทธาทำดอกไม้เพลิงบูชาพระรัตนตรัยฉันเช้าทั้ง ๗ วันเป็นพระสงฆ์ ๖๒๔ รูป ถวายผ้าสะบงทุกองค์ ถวายบาตรเหล็กซึ่งพระสงฆ์ไม่มีครอง แล้วถวายกระจาด เสื่อ ร่ม รองเท้า ธูปเทียน ไม้เท้าด้วย แล้วให้ตั้งโรงฉ้อทานเลี้ยงสมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎรทั้งปวงและมีโขนอุโมงค์โรงใหญ่ หุ่น ละคร มอญรำ ระบำ โมงครุ่ม คุลีตีไม้ ปรบไก่ งิ้วจีน ญวนหกคะเมน ต่ายลวด ลอดห่วง รำแพน นอนหอกนอนดาบ สิงโตล่อแล้ว และมวย เวลากลางคืนประดับไปด้วยประทีปแก้วระย้าแล้ว โคมพวง โคมรายมีดอกไม้รุ่งสว่างไปทั้งพระอาราม แล้วให้มีหนังคืนละ ๙ โรง มีดอกไม้เพลิงคืนละ ๒๐๐ พุ่ม ระทาใหญ่ ๘ ระทา พลุ ประทัด พะเนียง ดอกไม้ม้า ดอกไม้กระถาง ดอกไม้กลต่าง ๆ และ มังกรล่อแก้ว ญวนรำโคมเป็นที่โสมนัสบูชาโอฬารึกวิเศษ เป็นพระราชทรัพย์ทิ้งทาน ต้นกัลปพฤกษ์ ฉลากพิกัดราคา พระราชบุตรา และพระราชบุตรี พระภาคิไนยราช และนางพระสนม ราชกุญชร อัศดรนาวา ฉลากละ ๕ ชั่ง ๔ ชั่ง ๒ ชั่ง เป็นเงินตรา ๓๓๘ ชั่ง เงินเข้าผลมะนาว ๑๖๘ ชั่ง รวมกับเงินทิ้งทานเป็นเงินตรา ๕๐๖ ชั่ง คิดทั้งเงินราคาผ้าทรงพระค่าดอกไม้สดบูชา เลี้ยงพระสงฆ์ กระจาดและโรงฉ้อทาน เครื่องไทยทาน ทำเครื่องโขน โรงโขน เครื่องเล่น เบ็ดเสร็จ พระราชทานการมหกรรมสมโภช และถวายระย้าแก้ว โคมแก้ว บูชาไว้ในพระอารามเป็นเงินตราในการฉลอง เงิน ๑,๙๓๐ ชั่ง ๔ ตำลึง คิดรวมกันทั้งสร้าง เป็นพระราชทรัพย์เงิน ๕,๘๑๑ ชั่ง ครั้นเสร็จการฉลองพระอารามแล้ว ภายหลังทรงพระกรุณาเชิญพระพุทธปฏิมากรที่ ๒ ซึ่งสถิตในพระวิหารฝ่ายทักษิณทิศและประจิมทิศนั้นขึ้นไปประดิษฐานไว้ ณ พระวิหารวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ แล้วให้เชิญพระพุทธปฏิมากรทั้ง ๒ พระองค์ซึ่งเชิญมาแต่เมืองสุโขทัยหน้าตัก ๖ ศอกคืบกับนิ้ว ๑ เท่ากัน พระองค์ ๑ ทรงพระนามพระพุทธชินราชประดิษฐานไว้แทนที่ในพระวิหารทักษิณทิศ พระองค์ ๑ ทรงพระนามพระพุทธชินสีห์ ประดิษฐานไว้แทนที่ฝ่ายประจิมทิศคงดังเก่า



[๗๘] พ.ศ. ๒๓๓๒.

[๗๙] พ.ศ. ๒๐๑๓

[๘๐] พ.ศ. ๒๓๔๔.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ