๔๖. กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จไปตั้งเมืองเชียงใหม่

ลุจุลศักราช ๑๑๔๙[๕๑] ปีมะแม นพศก ในครั้งนั้นเมืองเชียงแสนยังอยู่ในอำนาจพม่า พระเจ้าอังวะให้อาประกามะนีคุมพล ๓,๐๐๐ อยู่รักษาเมืองเชียงแสน แล้วแต่งให้ปันยิเวชอกับลุยตองเวระจอแทงถือพล ๒,๐๐๐ เป็นกองหน้า ให้จอข้องนระทาเป็นแม่ทัพใหญ่ถือพล ๔,๕๐๐ มาสมทบกับกองทัพอาประกามะนี ณ เมืองเชียงแสน ยกมาตีเมืองฝาง (ลาว) อยู่ฝ่ายเหนือเมืองเชียงใหม่ ซึ่งยังแข็งเมืองมิได้ไปอ่อนน้อมแก่พม่า อาประกามะนีผู้รักษาเมืองเชียงแสน ได้พลพม่ามาสมทบกองทัพจอข้องนระทาแต่ ๕๐๐ คน พลพม่าหลบหนีไปเสียจากเมืองเชียงแสนแต่ก่อนนั้นถึง ๒,๕๐๐ คน ครั้นกองทัพพม่าตีได้เมืองฝางแล้ว จอข้องนระทาจึงให้อาประกามะนีกลับไปรักษาเมืองเชียงแสนอยู่ดังเก่า ส่วนกองทัพจอข้องนระทานั้น ก็ตั้งทำนาสะสมเสบียงอาหารอยู่ที่เมืองฝาง

ในขณะนั้นพระยาแพร่ผู้ชื่อว่ามังไชย ซึ่งพม่าจับตัวไปไห้แต่เมื่อทัพอะแซหวุ่นกี้ยกมาตีเมืองพิษณุโลก ในปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๓๗[๕๒] ปีนั้น และครั้งเมื่อสะโดะมหาสิริยอุจนา ยกทัพมาตีเมืองนครลำปาง และเมืองเหนือทั้งปวง เมื่อปีมะเส็ง สัปตศก จุลศักราช ๑๑๔๗[๕๓] ก็ได้มากับกองทัพพม่าด้วย ครั้นทัพพม่าแตกกลับไปแล้ว จึงให้พระยาแพร่อยู่ ณ เมืองยอง และพระยาแพร่ยังมีจิตคิดสวามิภักดิ์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพฯ มิได้ยอมอยู่เป็นข้าพม่าโดยสุจริต จึงคิดอ่านชักชวนพระยายองยอมเข้าด้วย แล้วยกกองทัพไปตีเมืองเชียงแสน ฝ่ายอาประกามะนีเจ้าเมืองมีไพร่พลพม่าน้อยตัวเห็นจะสู้รบรักษาเมืองไว้มิได้ ก็พาพรรคพวกหนีมาหาพระยาเชียงราย พระยาแพร่ พระยายองก็ยกติดตามมา ณ เมืองเชียงราย พระยาเชียงราย กลับเข้ากับพระยาแพร่ พระยายอง ด้วยเป็นชาติเดียวกัน จับตัวอาประกามะนีพม่าเจ้าเมืองเชียงแสน ส่งให้พระยาแพร่ พระยายอง แล้วบอกส่งมายังพระยากาวิละเจ้าเมืองนครลำปาง พระยากาวิละเจ้าเมืองนครลำปางบอกส่งพระยาแพร่ พระยายอง กับทั้งจำอาประกามะนี พม่าลงมาถวาย ณ กรุงเทพมหานคร กราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบว่า พระยาแพร่ซึ่งพม่าจับไปได้นั้น บัดนี้หนีพม่ากลับมาได้แล้วชักชวนพระยายองมาด้วย ทั้งจับตัวอาประกามะนีเจ้าเมืองเชียงแสนมาถวายมีความชอบเป็นอันมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและกรมพระราชวังบวร ฯ ก็ทรงพระโสมนัสดำรัสให้เอาตัวอาประกามะนีจำคุกไว้ แล้วพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่พระยาแพร่ พระยายองสมควรแก่ความชอบ แต่ทรงพระราชดำริยังแคลงพระยาแพร่อยู่ด้วยไปอยู่กับพม่านานแล้วเกรงจะมาเป็นกลอุบาย ครั้นจะให้กลับขึ้นไปครองเมืองแพร่ตามเดิมเล่าก็ยังมิวางพระราชหฤทัย จึงโปรดพระราชทานบ้านเรือนให้อยู่ทำราชการในพระนคร แต่พระยายองนั้นโปรดให้ขึ้นไปอยู่ช่วยราชการด้วยพระยากาวิละที่เมืองนครลำปาง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำรัสปรึกษาด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราชว่า เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ยังร้างอยู่ หาผู้คนจะอยู่รักษามิได้ พม่าได้เมืองฝางแล้วเกลือกจะมาตั้งเมืองเชียงใหม่เอาเป็นที่มั่น จึงมีพระราชโองการโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราช เสด็จขึ้นไปจัดการตั้งเมืองเชียงใหม่ ให้เอาพระยากาวิละเจ้าเมืองนครลำปางไปครองเมืองเชียงใหม่ ด้วยพระยากาวิละมีฝีมือเข้มแข็งในการสงคราม จะได้ป้องกันรักษาพระราชอาณาเขตในมลาวฝ่ายประเทศตะวันตกเฉียงเหนือ อย่าให้ปัจจามิตรมาย่ำยีบีฑาได้ พอมีหนังสือบอกเมืองนครลำปางซ้ำลงมาอีกฉบับหนึ่งว่า ได้ทราบข่าวว่าจอข้องนระทาแม่ทัพพม่าซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองฝางจะยกกองทัพมาตีเมืองนครลำปาง เอาตัวอาประกามะนีและพระยาแพร่ พระยายองให้จงได้ สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็กราบถวายบังคมเสด็จยาตราพยุหนาวาทัพจากกรุงเทพมหานคร โดยทางชลมารคขึ้นไปยังเมืองตาก แล้วเสด็จพระราชดำเนินทัพบกไปถึงเมืองนครลำปาง ตั้งค่ายหลวงประทับอยู่นอกเมืองและทัพพม่าก็หายกมาไม่ จึงมีพระราชบัณฑูรดำรัสให้พระยากาวิละ จัดหาครอบครัวชาวเมืองเชียงใหม่เดิม ซึ่งไปอาศัยอยู่ ณ เมืองนครลำปางนั้น ให้ยกกลับขึ้นไปอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่ดังเก่า แล้วโปรดตั้งพระยากาวิละเป็นพระยาเชียงใหม่ ให้นายน้อยธรรมผู้น้องที่ ๒ เป็นพระยาอุปราช ให้นายพุทธสารผู้เป็นญาติวงศ์ของพระยากาวิละ ฝ่ายข้างมารดานั้น เป็นพระยาราชวงศ์ ขึ้นไปอยู่รักษาเมืองเชียงใหม่ พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก และพระยาเชียงใหม่ พระยาอุปราช พระยาราชวงศ์ ก็กราบถวายบังคมลายกครอบครัวชาวเมืองทั้งปวงขึ้นไปตั้งอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่ตามรับสั่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งคำโสมผู้น้องรองพระยากาวิละ เป็นพระยานครลำปางแทน ให้ดวงทิพผู้น้องที่ ๓ เป็นพระยาอุปราช ให้หมูล่าผู้น้องที่ ๔ ที่เป็นพระยาราชวงศ์ ให้รักษาเมืองนครลำปางสืบไป พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเหมือนตั้งเมืองเชียงใหม่นั้น แต่เมืองลำพูนว่างอยู่ ด้วยผู้คนยังเบาบางระส่ำระสาย จะแบ่งไปตั้งยังมิได้ก่อน



[๕๑] พ.ศ. ๒๓๓๐

[๕๒] พ.ศ. ๒๓๑๘

[๕๓] พ.ศ. ๒๓๒๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ