วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๗ มกราคม ๒๔๘๔

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทราบฝ่าพระบาท

รายงาน

๑) ได้ส่งปฏิทินหลวงฝากหลานน้อยมาถวาย ๔ เล่ม

๒) เมื่อวันที่ ๓๑ เดือนสุดปีก่อน เข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ตามหมายฟังพระสวดมนต์เป็นสวดตัด นึกถึงการกระทำครั้งแรกจะเป็นนอกราชการหรือครึ่งราชการก็นึกไม่ออก ดูเหมือนจะไม่ใช่ในราชการ แต่ที่ตัดนั้นดีขึ้นไม่เปลืองเวลามาก ทั้งไม่เสียความด้วย เช่นมงคลสูตรก็เอาแต่ “อเสวนา” ไม่ตั้งต้นแต่ “เอวมฺเม สุตํ” มาดูก็ใช้ได้ ความประสงค์ก็คือจะเอาที่ “อเสวนา” นั่นเอง “หัวใจ” คะเนว่าแรกคิดขึ้นก็จะคิดสำหรับใช้จำสวดมนต์ ไม่ใช่สำหรับเสกหรือลงยันต์ ได้เคยได้ยินสมภารมอญจะต้องแม่นสวดมนต์เพราะต้องชักพระลูกแถว จึงเป็นอันว่าหัวใจนั้นจะเป็นประโยชน์แก่สมภารมอญยิ่งกว่าพระสามัญมาก

เดา

๑) จะกราบทูลความนึกเดา เพื่อเป็นการสนุกพระทัยในเวลาว่าง นึกถึงพระที่นั่ง “ยโสธรมหาพิมานบรรยงค์” คำ “ยโสธร” คิดว่าหมายถึงชื่อนครธม เพราะนครธมแปลว่าเมืองใหญ่เท่านั้น เราเรียกกันว่านครหลวงก็ตรงกับนครธม คำนครธมหรือนครหลวงไม่ใช่ชื่อเมือง จึงนึกว่า “ยโสธร” คะเป็นชื่อเมืองโดยอาศัยหลักอะไรมีอยู่หลายอย่าง คำ “บรรยงก์” เห็นจะหมายเอาปราสาท “บายน” พระพุทธรูปเมืองฉะเชิงเทราเรียกว่า “พระพุทธโสธร” เห็นจะตก “ย” “เมืองฉะเชิงเทรา” นั้นก็ไม่เป็นภาษา ทำให้นึกไปถึงว่าได้เคยอ่านหนังสืออะไรมีชื่อ “เมืองฉะเชียงหลวง” คิดว่าจะเป็นชื่อซึ่งมาตะเภาเดียวกัน แต่ก็แปลไม่ออกเหมือนกัน “เชิง” ทีจะเป็น เชียง”

ลายพระหัตถ์

๔) ลายพระหัตถ์เวรปะปิดซึ่งลงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๘๓ เขานำมาส่งแล้วเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๘๔ จะกราบทูลสนองความลางข้อต่อไปนี้

๕) เมื่อวันที่ ๕ ได้ไปวัดไตรมิตรอีกครั้งหนึ่ง ในการเผาศพลำจวนพี่สาวหมอกระจ่าง ได้สังเกตเห็นลางอย่างที่กราบทูลมาก่อนผิดไป จึงจะกราบทูลใหม่ ที่ผิดต่อไปนี้

ที่กราบทูลว่ามุขหน้าเป็นที่ตั้งศพนั้นผิดไป ที่แท้เป็นเมรุทีเดียว ด้านหลังมุขกระสันเข้าไปต่อกับโรงเตา ที่ตั้งเตาไม่เป็นเมรุ เป็นโรงคฤหสองตอน ตอนที่ต่อกับเมรุมี ๓ ห้อง มุขลดด้านหลังมีห้องเดียวที่กราบทูลว่าเป็นมุขเล็กครอบกระไดนั้น ที่กว้านหลังเตาก็มีรูเปิดดูไฟได้ เว้นแต่ไม่เป็นช่องกระจก โรงตรงหน้าเมรุซึ่งเอาแขกผู้หญิงไปยัดไว้ใต้กระได ซึ่งกราบทูลว่าเป็นที่รับแขกของที่เผาศพนั้นก็ผิดได้ไปเดินดูอยู่ข้างล่างในคราวนี้ ถามเขาเขาบอกว่าเป็นการเปรียญ

ในการที่จะติดหรือไม่ติดนั้น ศพสามัญจะเป็นได้ที่โสหุ้ยจริงอย่างตรัส แต่ศพผู้มีบรรดาศักดิ์เห็นจะเป็น “แฟแช่น” ถ้าเขาชอบทำกัน ใครไม่ทำก็ไม่ใช่คนอย่างที่เคยตรัส ข้อสำคัญในการเผาศพผู้มั่งคั่งดูเหมือนอยู่ที่ต้องทำอะไรน้อย ตามที่ที่เผาศพมีอะไรอยู่พร้อมแล้ว แม้กระนั้นก็เป็นส่วนที่ไม่สำคัญ สำคัญที่อยู่แฟแช่น

เข้าใจยากอยู่อย่างหนึ่งที่ปลูกเมรุกัน ณ สนามหญ้าพลับพลาที่สุสานวัดเทพศิรินทร์ ปลูกทำไมไม่ทราบ ศพนั้นก็ไม่ใช่ศพซึ่งจะเสด็จพระราชดำเนิน พลับพลาก็ปิด เห็นไม่เป็นอย่างอื่นนอกจากเป็น “แฟแช่น” เท่านั้น ในการปลูกเมรุที่นั่น โดยมากมักเช่ารื้อเอาเมรุของวัดสำหรับสุสานไปปลูก แต่เดี๋ยวนี้ทางวัดท่านมีเมรุอีกสำรับหนึ่ง สำหรับให้เช่าปลูก ไม่ต้องรื้อเมรุสำหรับสุสาน เมรุสำหรับสุสานก็เป็นความคิดของเกล้ากระหม่อมเอง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านบ่น เดิมก็ปลูกไว้ที่หน้าพลับพลา ครั้นถึงเวลาจะมีเมรุหลวงเขาก็สั่งให้รื้อแล้วปลูกเมรุหลวงกว่าเมรุหลวงจะปลูกแล้วและกว่าจะทำศพหลวงแล้ว ทั้งกว่าจะรื้อเมรุหลวงไปให้พ้นที่แล้ว ก็ทำการเผาศพอื่นอีกไม่ได้อีกนาน ท่านเดือดร้อน เกล้ากระหม่อมจึงถวายความเห็นท่านว่าปลูกเมรุสำหรับสุสานเสียที่อื่น ท่านเห็นด้วย ปลูกขึ้นที่แปลงหลังศาลาดำรงธรรม แต่แรกลางคราวก็ถูกเช่ารื้อ ท่านคิดให้มีเมรุเช่าต่างหากนั้นดีเต็มที

ที่เผาศพที่วัดมกุฎกษัตริย์ ดูเป็นปะรำหลังคาสามตอน พื้นเตี้ยเป็นอันเดียวกันยาว จะเผาศพเดียวหรือหลายศพก็ทำโดยสะดวก ชายโป๊ะเป็นผู้คิดเห็นเป็นความคิดดี ดีกว่าทำพื้นสูงและเผาได้ศพเดียวเป็นอันมาก

ในการศพลำจวน หม่อมกระจ่างเอาหนังสือเรียกว่า “ใจความของพระพุทธศาสนา” ซึ่งเขาเองแต่งมาแจกให้ ติดจะประหลาดที่นักเรียนแต่งทางพระพุทธศาสนา หวังว่าเขาคงจะส่งมาถวายเหมือนกัน

๖) ในการที่ไม่ทรงร่ำเรียนทางพราหมณ์นั้นไม่ประหลาด เพราะการเรียนก็เป็นการเล่น ถ้าไม่ต้องเล่นก็ไม่ต้องเรียน เกล้ากระหม่อมต้องเรียนเรื่องครุฑก็เพราะต้องเขียนรูปครุฑ ถ้าไม่เรียนให้รู้ว่าใครเขาพูดว่าอย่างไรบ้าง เขียนเอาแต่ตามที่เห็นเขาเขียนก็สั้นไป อาจเป็นเขียนพระจุฬามณีเป็นพระเจดีย์วัดน้อยทองอยู่อย่างที่เคยกราบทูลมาแล้วก็เป็นได้

จะกราบทูลแก้พระกระทู้เรื่อง “ตุ๊ดตู่” เคยได้ยินกรมขุนพิทยลาภตรัสบอกว่า ชาวพายัพเรียกตุ๊กแกว่า “ตุ๊ดตู่” เรียกจิ้งจกว่า “จิ๊กกิ้ม” ก็คือตั้งชื่อมันตามที่ได้ยินมันร้องฟังว่าเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง คำร้องต่างๆ ของเรานั้นเก่าแก่มาแต่เหนือมาก เช่น “เจ้าเนื้อเย็น เจ้าอย่าไปเล่นที่หาดทราย น้ำมันมาจะพาเจ้าลอยหาย” เป็นต้นที่ว่า “เรียกให้กินหมาก” นั้นด้วยเข้าใจว่าตุ๊กแกชอบกินปูน จนถึงเอาปูนติดปลายไม้ล่อตุ๊กแก แต่ที่จริงตุ๊กแกเห็นจะสำคัญว่าตัวแมลง ตามที่เข้าใจว่าตุ๊กแกชอบกินปูนนั้นเอง เลยเกณฑ์ให้ตุ๊กแกเป็นเจ้าของปูนเรียกให้กินหมากเพราะในพลูซึ่งกินกับหมากมีปูนอยู่ในนั้น

๗) ปราสาทหินนั้นชอบกล ทำไว้ในหมู่คนอันควรตั้งอยู่เป็นอู่น้ำอู่ข้าวก็มี ทำไว้บนเขาซึ่งคนจะต้องอยู่เป็นหมู่บ้านไม่ได้ก็มี เห็นจะทำตามใจคิดจะให้เป็นอย่างไรไปโดยมาก การก่อสร้างก็เห็นมาหลายอย่าง เป็นก่ออิฐล้วนก็มี เป็นอิฐแกมศิลาก็มี เป็นศิลาล้วนก็มี เป็นศิลาแลงถือปูนก็มี เป็นยอดสูงก็มี เป็นกุฏก็มี เป็นพุทธสถานก็มี เป็นเทวสถานก็มี เหล่านี้คงประกอบด้วยอายุ แต่จะพยากรณ์ลงไปไม่ได้ด้วยยังเห็นน้อย ที่เมืองต่ำแขวงโคราชนั้นก็ชอบกล กำแพงก่อด้วยหินระเบียงก็ก่อด้วยหินแต่ตัวสถานเป็นอิฐเล็กนิดเดียว พวกนักปราชญ์ฝรั่งเศสเขาเดากันว่าสถานที่เป็นเช่นนั้น เพราะนับถือกันยิ่งยวด ตั้งใจจะทำเสริมให้ใหญ่โตตลอดถึงองค์สถานด้วย แต่ทำไปยังไม่สำเร็จค้างอยู่ ที่บนแผ่นดินโต๊ะโคราชนั้น เกล้ากระหม่อมได้ไปเที่ยวเดินก็จงใจจะไปดูสถานพนมรุ้งกับเมืองต่ำตามเขาบอก แต่ไปตามทางก็ไปพบสิ่งที่ตั้งใจจะทำของถาวรถึง ๑๖ แห่ง ซึ่งไม่มีใครได้บอกเลย แต่เป็นสถานเล็กๆ ยังอยู่ก็มี พังเสียแล้วก็มี ที่ทำยังไม่แล้วก็มี ในแผ่นดินซึ่งเขมรปกครองมาก่อนเป็นมีมากที่สุด ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ความคิดของเขมร เป็นเอาอย่างอินเดียมาทำบ้าง ที่เป็นหินคิดว่าทีหลังอิฐ เพราะมีทำหินไม่แล้วอยู่มาก ที่เป็นรูปอย่างอินเดียก็มี เป็นรูปปรางค์เขมรก็มี คิดว่าที่เป็นรูปอย่างอินเดียนั้นมาก่อน มาคิดแปลงกันเป็นปรางค์เขมรทีหลัง ตามที่กรมหมื่นเทววงศ์บอกดูรูปฉายก็เป็นปรางค์เขมร เห็นทีเขมรจะทำ มีเพื่อนเช่นที่เพชรบุรีเป็นต้น

๘) เรื่องใช้คำเจ้าแก่สมเด็จพระสังฆราช ตามที่ตรัสบอกสำเนาความอันได้มีลายพระหัตถ์ตอบไปนั้น เห็นเป็นการดีแล้ว

๙) ตามที่ตรัสบอกถึงประเพณีจีน ไม่เรียกออกชื่อเมียนั้นดีเต็มทีทางไทยเราอะไรๆ ก็ดูเป็นเอาอย่างจีนทั้งนั้น ที่เขาเห็นว่าไทยมาทางจีนก็มีหลักอยู่มาก คำที่ว่า “จนพ่อออฉิมเขาโกรธ” นั่นแสดงว่าสมัยที่แต่งหนังสือนั้นชอบให้ชื่อลูกกันว่า “ฉิม” หรือ “ฉิม” หมายความว่าลูกทีเดียว พระยาสุริยาเรียกคุณหญิงลิ้นจี่ก็เรียกว่า “แม่” นั่นเป็นเรียกตามลูก เด็กหญิงที่บ้านเรียกคนเลี้ยงว่า “แม่ยาย” หมายความว่าเป็นแม่ด้วยยายด้วย เป็นแน่ว่ามีคนสอนให้เรียกเช่นนั้น ไปโดนเข้ากับที่เรียกแม่ของเมีย คำนั้นก็เป็นเรียกตามลูก ยังหลวงแม่เจ้าก็เรียกเมียพระยาชลยุทธว่า “คุณหญิงดำ” นั่นแปลว่าเข้าใจผิดเพราะเจ้านายเรียกกันว่า “แม่ดำ” ที่แท้เป็นความผิดของเจ้านายที่เรียกเอาคำฝรั่งเป็นไทย

๑๐) ขอบพระคุณที่ทรงพระเมตตาโปรดประทานพรปีใหม่ ขอรับพระพรไว้เหนือเกล้า

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ