วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ดร

บ้านซินนามอน ปีนัง

วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔

ทูล สมเด็จกรมพระนริศฯ

หม่อมฉันได้รับลายพระหัตถ์เวรฉบับลงวันที่ ๒๘ มกราคม เมื่อวันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ เวลาเช้า ลายพระหัตถ์มาคราวนี้แปลกที่ตัดซองเปิดตรวจในกรุงเทพฯ แล้วมีกระดาษตราพนักงานกรมไปรษณีย์สีแดงปิดผนึกใหม่ ๒ แผ่น และมีตรารูปเลข ๗ ฝรั่งอยู่ในวงกลมสีม่วง ประทับบนกระดาษแดงนั้นเหลื่อมถึงตัวซอง ๑ ดวง เป็นเครื่องหมายว่าพนักงานไปรษณีย์อังกฤษนึ่งกาวเปิดกระดาษแดงของไทยออก เอาจดหมายออกตรวจที่ปีนังนี้อีกครั้งหนึ่ง ยังไม่เคยเห็นรอยตัดซองตรวจอย่างเปิดเผยทั้ง ๒ ประเทศเหมือนอย่างนี้มาแต่ก่อน แต่ก็ไม่สำคัญอันใดสำหรับจดหมายเวร

ทูลความที่ยังค้าง

๑) พวกละครชาตรีที่อยู่หน้าวังวรดิศนั้น มีเรื่องตำนานปรากฏในหนังสือพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ ว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาพระคลัง ยกกองทัพลงไปปราบขบถเมืองไทรบุรีตั้งกองทัพหลวงอยู่ ณ เมืองสงขลา เวลานั้นกำลังเกิดทุพภิกขภัยในแขวงเมืองพัทลุงและเมืองนครศรีธรรมราช มีพวกราษฎรที่อดอยากพากันไปยอมเป็นบ่าวขอข้าวนายทัพนายกองกิน แล้วเลยติดตามเข้ามากรุงเทพฯ เป็นอันมาก ที่ในหนังสือพงศาวดารว่า “ยอมเป็นบ่าว” นั้น ที่จริง “ยอมเป็นทาส” เพราะเข้าในลักษณะทาส ๗ จำพวกตามกฎหมาย คือ ๑ ทาสสินไถ่ ๒ ลูกทาสเกิดในเรือนเบี้ย ๓ ทาสรับมรดก ๔ ทาสมีผู้ให้ ๕ ทาสที่ช่วยพ้นจากอาญา ๖ ทาสที่ช่วยรอดจากทุพภิกขภัย ๗ ทาสเชลยศึก เพราะฉะนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดให้ไถ่พวกชาวเมืองพัทลุงและเมืองนครศรีธรรมราชที่เข้ามากรุงเทพฯ ครั้งนั้นให้พ้นจากทาสแล้ว ให้รวมเป็นไพร่หลวง ๑ หัดทำการก่ออิฐถือปูนสำหรับสร้างพระอารามเรียกว่า “กรมเกณฑ์บุญ” ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ตำบล “สนามควาย” ที่เป็นอำเภอนางเลิ้งบัดนี้ ในพวกชาวเมืองพัทลุง และชาวเมืองนครฯ ที่เข้ามาครั้งนั้นมีคนที่เคยเป็นโนห์รามาด้วย เข้ามาเล่นโนห์ราในกรุงเทพฯ คนชอบดู จึงเลยเล่นเป็นอาชีพสืบกันมากว่าร้อยปีแล้ว แต่ชื่อเรียกว่า “ละครชาตรี” นั้นไม่ปรากฏทางเมืองพัทลุง และนครศรีธรรมราช คงเป็นชื่อเรียกกันขึ้นในกรุงเทพฯ เพราะเหตุใดจึงเรียกเช่นนั้นได้แต่สันนิษฐานประกอบกับศัพท์ “ชาตรี” เช่นว่าเป็นชายชาตรี (ตามศัพท์ดูเหมือนจะแปลว่าผู้เกิดในตระกูลดี) ซึ่งเข้าใจกันเป็นสามัญว่าเป็นพวกที่รู้เล่ห์กลต่างๆ ตามได้ยินกล่าวกันมาก็ว่าพวกละครชาตรีเป็นเช่นนั้น เดิมก็จะเป็นเพราะคนเห็นเป็นของแปลก และหาไปเล่นได้ด้วยเงินโรงถูกๆ จึงชอบหาละครชาตรีไปเล่นแก้สินบนจนเลยเป็นธรรมเนียม หม่อมฉันยังจำได้เมื่อเป็นเด็กเคยเจ็บมากครั้งหนึ่ง พอหายขึ้นผู้ปกครองมีละครชาตรีแก้สินบนที่เฉลียงหน้าพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลานั้นตัวละครเอกชื่อนายหนู ใช้เครื่องแต่งตัวอย่างละครกรุงเทพฯ ผิดกันแต่เพียงตัวเปล่าไม่ใส่เสื้อกับสวมกำไรมือข้างละหลายเส้นอย่างโนห์รา ต่อมาก็เห็นละครชาตรีมักไปเล่นแก้สินบนตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นวัดบวรนิเวศ และที่ศาลเจ้าหอกลองเป็นต้น แต่ภายหลังมาเห็นจะเป็นเพราะถูกห้ามมิให้เล่นตามที่นั้นๆ จึงเปลี่ยนประเพณีมาเล่นที่บ้านและเลยเกิดวิธีรับเหมาแก้สินบนดังได้ทอดพระเนตร เมื่อแรกหม่อมฉันมาอยู่วังวรดิศก็ประหลาดใจที่ได้ยินเสียงเล่นละครชาตรีที่หน้าบ้านบ่อยๆ จึงสืบถามดู ได้ความว่าที่ถนนหลานหลวงมีบ้านละครชาตรีสักหกเจ็ดบ้าน แต่ที่จริงบ้านหนึ่งมีละครเพียงคนหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น บ้านไหนรับเหมาแก้สินบนก็เรียกตัวละครบ้านอื่นไปประสมโรงเล่นเอาค่าจ้างแบ่งกัน พวกละครแต่งตัวและรำอย่างละครกรุงเทพฯ ถนัดเล่นละครนอกด้วย ในการแก้สินบนเล่นเป็นละครชาตรีแต่ตอนเบิกโรง ๆ แล้วก็เล่นละครนอกต่อไปจนตลอด

๒) ตำหนักใหญ่ในวังวรดิศนั้น เผอิญได้เหมาะทั้งพื้นที่กับทิศประกอบกัน หม่อมฉันหวังว่าเสด็จประทับอยู่คงจะรู้สึกสบายดี จะเลยทูลให้ทอดพระเนตรของในตำหนักอีกสิ่ง ๑ ซึ่งอยู่ในห้องพระ คือสมุดไทยเขียนพระธรรมที่อยู่ในตู้ตรงหน้าพระลงมา เมื่อหม่อมฉันทำหนังสือสำหรับหอพระสมุด มีผู้เอาสมุดพระธรรมสำหรับตั้งเตียงสวดมาขายเนืองๆ สังเกตดูเป็นหนังสือ ๓ อย่าง คือภาณวาร สำหรับสวดมนต์ในการมงคลอย่าง ๑ หนังสืออภิธรรมอย่าง ๑ มาลัยอย่าง ๑ สำหรับสวดศพ หนังสือภาณวารมีน้อย มีหนังสือสวดศพเป็นพื้น เมื่อเลือกหาซื้อได้ฉบับดีสำหรับหอพระสมุดแล้ว มีผู้เอาสมุดภาณวารเล่มนี้มาขาย หม่อมฉันเห็นเขียนลายทองที่ใบปกเป็นรูปมังกรแบบวังหน้าครั้งรัชกาลที่ ๑ “ข้างในก็เขียนอักษรขอมย่อ และมีรูปภาพดูตั้งใจจะทำอย่างประณีต ขนาดสมุดก็ย่อมแปลกกับที่เคยเห็นจึงซื้อมา แล้วให้ทำตู้ตั้งไว้ที่หน้าพระ ขอให้ทรงเอาออกมาพิจารณาดูเถิด

๓) ข้อที่ว่าพม่าเรียกพระเจ้าแผ่นดินไทยว่า พระเจ้าปราสาททองนั้น หม่อมฉันได้ยินสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสเล่าเป็นครั้งแรก ว่าเมื่อเสด็จไปอินเดีย แวะที่เมืองเมาะลำเลิง พม่าที่มารับเสด็จเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าปราสาททอง” นึกสงสัยว่าพม่าจะได้ยินคำนั้นไปจากเมืองไทย ที่เรียกสมเด็จพระรามาธิเบศร์ว่าพระเจ้าปราสาททอง หรือพม่าคิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่เมื่อรับเสด็จครั้งนั้น และคิดเห็นต่อไปว่าคงเรียกด้วยใช้คำภาษาพม่า ล่ามมาแปลทูลเป็นภาษาไทยว่าพระเจ้าปราสาททอง ต่อมามาสังเกตเห็นในหนังสือราชาธิราช เรียกพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องพม่าว่า “พระเจ้ามณเฑียรทอง” ก็คิดเห็นว่าเดิมคงเป็นคำภาษาพม่า ไทยผู้แปลหนังสือราชาธิราชแปลว่ามณเฑียรทอง นึกสงสัยว่าเดิมจะเป็นคำพม่าคำเดียวกัน แต่ไทยคน ๑ จะแปลว่า “มณเฑียร” อีกคน ๑ จะแปลว่า “ปราสาท” ได้หรือไม่ เมื่อหม่อมฉันไปเมืองพม่าได้ลองหาคำภาษาพม่า ได้ความว่าพม่าเรียกปราสาทว่า Pya That ตรงกับไทย แต่เรียกมณเฑียรต่างไปว่า Zawng ต้องผูกคำพม่าว่า Shwe Pya That Min จึงตรงกับคำว่าพระเจ้าปราสาททอง และต้องผูกคำพม่า Shwe Zawng Min จึงตรงกับคำว่าพระเจ้ามณเฑียรทอง พม่าจะเรียกสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า Shwe Pya That Min หรือใช้คำอื่นซึ่งความตรงกันเช่นนั้นทราบไม่ได้ แต่คิดวินิจฉัยปราสาททองก็มีในพระราชวังเมืองพม่าเหมือนกันกับในเมืองไทย ปราสาททองของไทยมิใช่ของแปลก และใช้ปราสาททองเป็นที่ทำพระราชพิธี มิใช่เป็นที่เสด็จประทับเหมือนกันทั้งไทยและพม่า เพราะฉะนั้นที่เรียกพระเจ้าแผ่นดินไทยว่าพระเจ้าปราสาททอง หมายความว่าพระยศสูงสุดเสมอกันกับพระเจ้าแผ่นดินพม่าเท่านั้น ส่วนวินิจฉัย คำมณเฑียรทองนั้นต่างไปอีกอย่างหนึ่ง เพราะคำ “มณเฑียรทอง” “ตำหนักทอง” และ “หอคำ” หมายความอย่างเดียวกัน เรียกว่าพระเจ้ามณเฑียรทอง หรือพระเจ้าตำหนักทอง หรือพระเจ้าหอคำ ก็หมายความว่าพระเจ้าแผ่นดินซึ่งอยู่เรือนทองเหมือนกัน ดูเป็นคำสำหรับพลเมืองเรียกพระเจ้าแผ่นดินของตน ทำนองเดียวกับเรียกว่า เจ้าชีวิตหรือขุนหลวงและในหลวง ถ้าพม่าเรียกสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่าพระเจ้ามณเฑียรทอง ก็ใช้คำเดียวกันกับที่พม่าเรียกพระเจ้าแผ่นดินของตนเองเท่านั้น วินิจฉัยชวนให้เห็นว่าคำที่พม่าเรียกว่า พระเจ้าปราสาททองก็ดี หรือแม้เรียกว่าพระเจ้ามณเฑียรทองก็ดี มิใช่คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่หรือเรียกตามพระนามสมเด็จพระรามาธิเบศร์ เขาเรียกตามเกียรติยศที่นับถือกันในประเพณีพม่า ขอให้ทรงพิจารณาดูเถิด

๔) ตรัสเล่าถึงหญิงปลื้มจิตรเรียก “เชียด” ทำให้หม่อมฉันนึกขึ้นถึงตัวเองเป็น “ชวด” (หรือ “ทวด”) เดี๋ยวนี้หม่อมฉันมีเหลนทางจุลดิศ ๔ คน ทางหญิงพร้อมเพราพรรณ ๕ คน ทางชายทรงวุฒิภาพ ๓ คน รวมถึง ๑๒ คน ได้เคยเห็นเหลนแต่ลูกหญิงสุวภาพเพราพรรณ ซึ่งเกิดที่ปีนังแต่ ๒ คนเท่านั้น ก็เข้าไปกรุงเทพฯ แต่ก่อนพูดได้ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันยังไม่เคยได้ยินใครเรียกว่า“ชวด” เลยจนบัดนี้

สนองลายพระหัตถ์ฉบับลงวันที่ ๒๘ มกราคม

๕) ที่ทรงปรารภถึงความลำบากในการใช้ฉลอง (หรือสนอง) พระเนตรนั้น หม่อมฉันก็เคยเป็นเช่นเดียวกัน ได้คิดแก้ไขอย่างนี้ คือมีแว่นตาวางประจำไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือคู่ ๑ ประจำไว้ที่ข้างเก้าอี้อ่านหนังสือคู่ ๑ เป็นนิจ แม้มีกิจต้องเอาไปใช้ที่อื่น ใช้แล้วก็รีบส่งคืนไปไว้ที่เดิมทันที เวลาไปนอกบ้านมีแว่นตาใส่กระเป๋าเสื้อไปอีกคู่ ๑ ต่างหาก อะไรจะรำคาญยิ่งกว่าแว่นตาหายนั้นไม่มี

๖) เมล์มาคราววันอาทิตย์ที่ ๒ กุมภาพันธ์นี้ ได้รับจดหมายหลานแมวฉบับ ๑ อวดว่าเสด็จตาไปประทับที่วังวรดิศ สนุกครึกครื้นพากันรื่นเริงมาก หม่อมฉันก็ยินดีและไม่ประหลาดใจ ด้วยแก้เปลี่ยวใจของพวกวังวรดิศได้จริง ๆ

๗) ซึ่งทรงใช้ห้องเขียนหนังสือกับกรงที่เฉลียงข้างด้านใต้บนตำหนักวังวรดิศผลัดเวลากันนั้นเหมือนอย่างหม่อมฉันใช้ทีเดียว เพราะเหตุอย่างเดียวกัน

๘) เรื่องรูปพระเยซู ที่หม่อมฉันทูลวานให้ท่านทรงทำไม้กางเขนนั้น หม่อมฉันลืมสนิท ตรัสขึ้นจึงนึกได้ เมื่อหม่อมฉันไปยุโรปครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๓๔ ไปเห็นรูปพระเยซูทำด้วยงารูป ๑ ฝีมือแกะดีชอบใจจึงซื้อมา เมื่อเอาไปถวายให้ท่านทอดพระเนตรตรัสว่ารูปพระเยซูท่านั้นเขาทำสำหรับติดไม้กางเขน ถ้าไม่มีไม้กางเขนท่าอย่างนั้นไม่มีมูล หม่อมฉันเห็นชอบด้วยจึงทูลวานให้ทำไม้กางเขน แล้วจะได้ถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงหรืออย่างไรจำไม่ได้

๙) รูปพระปรางค์เล็กทำด้วยเงินที่ตรัสถามมานั้น เขาให้หม่อมฉันที่สกลนคร เขาตั้งใจทำเป็นรูปเทวสถานอรดีนารายณ์เชงเวงที่อยู่บนไหล่เขาแห่ง ๑ ใกล้ๆ กับที่ตั้งเมือง เป็นปรางค์ยอดเดียวขนาดสักเท่าองค์ ๑ ในปรางค์ ๓ ยอดที่เมืองลพบุรี

๑๐) ที่ท่านทรงเขียนรูปศาลาพราหมณ์ยอพระกลิ่น ปูพื้นกระดานนั้นไม่ผิด ถึงจะมีพรมปูด้วยก็ยังถูก เพราะเป็นศาลาพระอินทรนฤมิต.

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ