๙๘
๏ ฝ่ายเกียงจูแหยเห็นเพลิงไหม้ขึ้นในพระราชวัง ก็พิเคราะห์ดูตามสังเกตก็รู้ว่าพระเจ้าติวอ๋องเผาตัว จึงทูลพระเจ้าบูอ๋องว่า บัดนี้พระเจ้าติวอ๋องสิ้นพระชนม์ ด้วยเปลวเพลิงในเวลานี้แล้ว พระเจ้าบูอ๋องได้ทราบดังนั้นก็ตกพระทัย จึงตรัสกับเกียงจูแหยว่าไม่ควรเลย พระเจ้าติวอ๋องฆ่าพระองค์เสียด้วยเปลวเพลิงฉะนี้ ข้าพเจ้ามีความสงสารนัก เกียงจูแหยจึงกราบทูลว่าแผ่นดินเมืองจิวโก๋ พระเจ้าเสี่ยงทางเป็นต้นกษัตริย์ พระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ทำนุบำรุงราษฎรเป็นสุขสืบ ๆ มาถึงสิบแปดชั่วกษัตริย์ พระเจ้าติวอ่องมิได้รักษาราชประเพณีไว้ กระทำการทุจริต ราษฎรได้ความเดือดร้อนทั่วทั้งแผ่นดิน อย่าว่าแต่พระเจ้าติวอ๋องจะตายด้วยเปลวเพลิงเลย ถึงจะตายด้วยมือทหารเลว ข้าพระองค์หามีความเวทนาไม่ พระเจ้าบูอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นมิได้ตรัสประการใด เกียงจูแหยก็ทูลเชิญเสด็จพระเจ้าบูอ๋องเข้าไปในพระราชวังพักอยู่ที่พระที่นั่งเก๋าเกงเตียนของพระเจ้าติวอ๋อง จึงตรัสว่าพวกทหารแลขุนนางทั้งปวงให้เข้าดับไฟ ขุนนางแลพวกทหารทั้งนั้น ก็กลุ้มรุมกันดับไฟ ยื้อแย่งพระที่นั่งเตียะแซเหลาลง ครั้นไฟสงบแล้วก็พากันมาเฝ้าพระเจ้าบูอ๋อง แลพระเจ้าบูอ๋องได้เมืองจิวโก๋ครั้งนั้น จะได้กระทำโทษขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ทแกล้วทหารของพระเจ้าติวอ๋องแต่สักคนหนึ่งหามิได้ มีคำสรรเสริญไว้ว่า พระเจ้าบูอ๋องมีพระทัยกรุณาราษฎรทั่วทั้งแผ่นดินมิได้เลือกหน้า เหมือนพระอาทิตย์มีรัศมีส่องสว่างไปทั่วโลก พระองค์จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เสด็จอยู่ในพระที่นั่งเก๋าเกงเตียนนั้น เป็นสง่างามเหมือนพระจันทร์เสด็จอยู่ในรถ ขุนนางแลพวกทหารทั้งปวง เหมือนดาวอันแวดล้อมดวงพระจันทร์ พระเจ้าบูอ๋องจึงปรึกษาเกียงจูแหยว่า พระเจ้าติวอ๋องมิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม เหมือนไฟสำหรับโลกไหม้น้ำในพระมหาสมุทรให้เหือดแห้ง ราษฎรได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้ทำกฎหมายประกาศนายทัพนายกองไว้ว่า ผู้ใดกระทำข่มเหงช่วงชิงแลฉกลักของราษฎรชาวเมือง จนผักกำมือหนึ่ง จะเอาตัวผู้นั้นไปประหารชีวิตเสีย ท่านจะเห็นประการใด เกียงจูแหยก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ทำกฎหมายไปประกาศกับนายทัพนายกองตามรับสั่ง พระเจ้าบูอ๋องทอดพระเนตรไปข้างหลังพระที่นั่งเตียะแซเหลาเห็นเสาทองแดงยี่สิบเสา สระใหญ่ใส่อสรพิษแลใส่น้ำสุรา เห็นกระดูกคนตายเก่าแลตายใหม่เรี่ยรายเกลื่อนกลาดไปทั้งนั้น อนาถพระทัยนักจึงตรัสถามว่า เสาทองแดงแลสระใหญ่นั้นทำไว้ทำไม แลพระเจ้าติวอ๋องให้ลงอาญาฆ่าคนในพระราชวังหรือ กระดูกจึงเรี่ยรายเกลื่อนกลาดอยู่ฉะนี้ ไท้อุยเจียงกุ๋นจึงกราบทูลว่า นางขันกีทูลยุยงพระเจ้าติวอ๋องให้ทำเสาทองแดงใส่ถ่านเพลิง ขุดสระใหญ่ใส่อสรพิษแลใส่สุรา คนซึ่งหาความผิดมิได้ เอาตัวมานาบที่เสาทองแดงบ้าง ผลักให้ตกลงในสระใหญ่บ้าง ครั้นเวลาค่ำนางขันกี นางฮีบี นางอึ้งกุยหยิน ก็พาปีศาจพวกเพื่อนลงกินซากศพในสระใหญ่กับสุราเล่นเป็นนิจ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินล้มตายเป็นอันมาก พระเจ้าบูอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นก็สังเวชพระทัย ตรัสว่าเสียนใจ เสียนใจแปลว่าอนิจา แล้วก็ให้ทหารขนกระดูกออกไปฝังเสียนอกเมือง แล้วสั่งให้ไท้อุยเจียงกุ๋นไปค้นหาอัฐิพระเจ้าติวอ๋องในกองเพลิง ครั้นได้มาก็ให้เชิญไปฝังไว้ตามบรรดาศักดิ์ เซ่นวักตามธรรมเนียมแล้วเสด็จไปพระที่นั่งหลกไต๋ เที่ยวทอดพระเนตรชมพระที่นั่งล้วนทำด้วยเงินแลทอง ประดับด้วยแก้วต่าง ๆ หอมตลบไปด้วยกลิ่นดอกไม้แลกลิ่นเครื่องอบ พระเจ้าบูอ๋องพิศวงในพระทัยตรัสชมว่า พระที่นั่งหลกไต๋งามเหมือนวิมานเทพยดา ตรัสแล้วก็เสด็จกลับมาพระที่นั่งเก๋าเกงเตียน
๏ ขณะนั้นมีทหารคนหนึ่ง จับตัวบูแก๋พระราชบุตรพระเจ้าติวอ๋องมาคุมไว้ ขุนนางทูลปรึกษาโทษจะให้ฆ่าบูแก๋เสีย พระเจ้าบูอ๋องจึงตรัสว่ากระทำความผิดแต่พระเจ้าติวอ๋อง ซึ่งจะให้ฆ่าบูแก๋ผู้เป็นบุตรเสียนั้นหาควรไม่ ปิกันเป็นขุนนางผู้ใหญ่ทั้งเป็นอายังทูลทัดทานพระเจ้าติวอ๋องไม่ได้ บูแก๋เป็นเด็กแล้วเป็นบุตรจะทูลทัดทานพระเจ้าติวอ่องได้หรือ เราคิดว่าจะให้บูแก๋ครองราชสมบัติแทนพระเจ้าติวอ๋องจะได้สืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์สืบต่อไป ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เกียงบุนฮ่วนจึงกราบทูลว่า เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าเงี่ยวเต้ และแผ่นดินพระเจ้าซุ่นเต้ แผ่นดินพระเจ้าฮูเต้ถึงพระองค์จะมีพระราชบุตร ก็มิได้ยกราชสมบัติให้ด้วยกลัวพระราชบุตรจะไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมราษฎรจะได้ความเดือดร้อน ผู้ใดมีสติปัญญาควรจะครองสมบัติได้ พระองค์มอบราชสมบัติให้รักษาแผ่นดิน แผ่นดินจึงได้เป็นสุขสืบกันมา ครั้นถึงแผ่นดินพระเจ้าเกียดเต้ เกียดเต้มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม แผ่นดินเกิดจลาจล แลพระเจ้าเสี่ยงทางจึงมากำจัดพระเจ้าเกียดเต้ พระเจ้าเสี่ยงทางก็ได้ครองราชสมบัติ พระเจ้าเสี่ยงทางนั้นพระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรมรักษาแผ่นดินสืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์เป็นสุขสืบมายี่สิบแปดชั่วกษัตริย์ จนถึงพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องมิได้รักษาแผ่นดิน ตามจารีตพระมหากษัตริย์แต่ก่อน กระทำการทุจริตให้แผ่นดินเป็นจลาจล ซึ่งพระองค์จะยกบูแก๋บุตรพระเจ้าติวอ๋องผู้กระทำผิดให้ครองราชสมบัตินั้น ข้าพระองค์หาเห็นด้วยไม่ พระเจ้าบูอ๋องได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสว่าเมื่อท่านมิได้ยอมให้บูแก๋ครองราชสมบัติแล้ว ท่านเห็นผู้ใดมีสติปัญญาควรจะรักษาแผ่นดินได้ ท่านจงเชิญผู้นั้นครองราชสมบัติเถิด เกียงบุนฮ่วนจึงกราบทูลว่า แผ่นดินทุกวันนี้เหมือนเต็มไปด้วยถ่านเพลิง อาณาประชาราษฎรทั่วขอบขัณฑเสมาได้ความเดือดร้อนนัก พระองค์เหมือนเทพยเจ้ามาช่วยดับร้อนให้แผ่นดินอยู่เย็นเป็นสุข อาณาประชาราษฎรทั้งปวงหมายจะพึ่งพระบารมี ควรที่พระองค์จะครองราชสมบัติรักษาแผ่นดินสืบต่อไป ซึ่งพระองค์จะยกราชสมบัติให้กับผู้อื่นนั้น ข้าพระองค์เห็นหาควรไม่ พระเจ้าบูอ๋องได้ฟังดังนั้น จึงตรัสกับเกียงจูแหยว่าเดิมข้าพเจ้าก็มิได้คิดว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ตั้งใจโดยสุจริตว่าจะช่วยพระเจ้าติวอ๋องทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข ซึ่งเกียงบุนฮ่วนจะให้ข้าพเจ้าครองราชสมบัตินั้นสติปัญญาข้าพเจ้าน้อยนัก เกียงบุนฮ่วนมีสติปัญญา แล้วรู้กฎหมายขนบธรรมเนียมแผ่นดิน ควรให้เกียงบุนฮ่วนครองราชสมบัติสืบเชื้อพระวงศ์พระเจ้าติวอ๋องต่อไป ท่านจะเห็นประการใด แต่บรรดาขุนนางแลหัวเมืองทั้งแปดร้อยหัวเมืองเฝ้าพร้อมกันอยู่ที่นั้น ครั้นได้ยินพระเจ้าบูอ๋องตรัสดังนั้นตกใจ ต่างคนต่างกระซิบพูดกันว่า ถ้าพระเจ้าบูอ๋องมิได้ครองราชสมบัติแล้ว สืบไปเบื้องหน้าแผ่นดินจะเกิดจลาจลต่างๆ เราเห็นว่าจะได้ความเดือดร้อนยิ่งกว่าแผ่นดินพระเจ้าติวอ๋องอีก พูดกันแล้วต่างคนต่างก็เป็นทุกข์นั่งถอนใจใหญ่อยู่ เกียงจูแหยจึงลุกขึ้นคำนับแล้วกราบทูลว่า ประเพณีอากาศก็ย่อมมีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องโลก แผ่นดินเล่าก็ย่อมมีพระมหากษัตริย์บำรุงราษฎรรักษาแผ่นดิน เทพยเจ้าประชุมพร้อมกันเห็นว่าพระองค์จะบำรุงราษฎรรักษาแผ่นดินได้ จึงช่วยกันทำนุบำรุงตั้งแต่พระบิดามาจนถึงพระองค์ ให้สำเร็จความปรารถนาทุกสิ่ง บัดนี้พระบารมีก็ถึงกำหนดจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว ซึ่งพระองค์จะไม่ครองราชสมบัตินั้นจะขัดคำเทพยดาได้หรือ เกียงจูแหยกราบทูลดังนั้นแล้วก็สั่งให้ทำคำประกาศเทพยดาฉบับหนึ่ง แล้วให้จิวกงต้านไปจัดแจงทำต๋ายสำหรับจะทำการตั้งกษัตริย์ จิวกงต้านคำนับแล้วออกมาจัดแจงปลูกต๋ายสามชั้นแปดเหลี่ยม ดาดเพดานเขียนพระอาทิตย์พระจันทร์ แลดวงดาวนักขัตฤกษ์ ห้อยระย้าแก้วระย้าทองพื้นนั้นลาดปูพรมเจียมตั้งโต๊ะวางชื่อเทวดาโต๊ะหนึ่ง เอากระดาษทองมาแผ่นหนึ่ง จารึกชื่อพระอิศวรไว้ข้างบน จารึกชื่อพระนางพระธรณีไว้ข้างล่าง จารึกเทพารักษ์ห้าตำบลไว้ขวา จารึกพระเสื้อเมืองทรงเมืองไว้ซ้าย จารึกชื่อเทพยดาอันรักษาฤดูหนาวฤดูร้อนฤดูฝนฤดูลมสี่องค์ จารึกชื่อเทพยดาสำหรับรักษาโลกสี่องค์ จารึกชื่อบริวารสิบแปดองค์ จารึกชื่อพระมหากษัตริย์ซึ่งได้รักษาแผ่นดินมาแต่ก่อน จารึกชื่อพระอัยกาแลพระวงศาผู้ใหญ่ของพระเจ้าบูอ๋อง แล้วจึงตั้งโต๊ะเครื่องบูชาโต๊ะหนึ่งมีขวดแก้วปักดอกไม้สี่คู่ เชิงเทียนปักเทียนเงินเทียนทองกระถางแก้วปักธูปแลกระถางทองใส่เนื้อไม้ แล้วตั้งโต๊ะวางป้านเงินป้านทองใส่สุรา แลจอกแก้วจอกทองจอกเงินทั้งมัดกระดาษเงินกระดาษทองตั้งโต๊ะใส่สุกรเป็ดไก่ปักหอมทั้งต้น ตั้งโต๊ะใส่ผลไม้ถั่วงา กล้อยอ้อย แลโต๊ะใส่เนื้อแห้งปลาแห้ง โต๊ะข้าวเปลือกแต่บรรดาสิ่งของที่กินได้ก็จัดแจงเข้าตั้งไว้ในต๋ายสิ้น เพื่อจะให้บริบูรณ์ไปเบื้องหน้า เครื่องสูงสำหรับกษัตริย์นั้นให้ปักซ้ายขวา โต๊ะที่วางชื่อเทพยดาที่เชิงต๋ายนั้นทำธงสิบสองคัน จารึกชื่อสิบสองนักษัตรปักซ้ายขวาข้างละหกคัน ทำธงจารึกธาตุทั้งห้านั้นสิบคัน ปักหน้าหลังข้างละห้าคัน ธงมังกรแลธงสีต่าง ๆ กันปักรายรอบต๋าย จัดทหารห้าพันใส่เสื้อแลหมวกสีต่างกัน ถือกระบี่แลถือทวนถือธนูล้อมเป็นชั้น ๆ กันออกไปสามชั้น จิวกงต้านครั้นจัดแจงต๋ายแลเครื่องทั้งปวงเสร็จแล้วก็กลับมาบอกเกียงจูแหย เกียงจูแหยก็ให้พระเจ้าบูอ๋องเสวยแต่ผลไม้ถั่วงาสามวันตามอย่างธรรมเนียม ครั้นถึงวันฤกษ์ดี เกียงจูแหยให้พระเจ้าบูอ๋องแต่งพระองค์อย่างกษัตริย์ พร้อมด้วยขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลหัวเมืองทั้งแปดร้อยหัวเมืองตามเสด็จพระเจ้าบูอ๋องไปต๋าย งามเหมือนพระจันทร์อยู่กลางดวงดาวเลื่อนลอยไปในอากาศ ครั้นถึงต๋ายพระเจ้าบูอ๋องก็จุดธูปเทียนเผาเนื้อไม้บูชาเทพยดา คุกเข่าลงคำนับแล้วนั่งคอยท่าฤกษ์อยู่
๏ ขณะนั้นเกียงจูแหยแลเห็นควันธูป เป็นรูปดอกไม้มีกลีบแลเกสรขึ้นลอยอยู่ตรงพระพักตร์ก็อัศจรรย์ใจ จึงคิดว่าชะรอยเทพยดาจะมาถวายฤกษ์ จึงบันดาลให้เป็นดังนี้ เกียงจูแหยก็สั่งให้ประโคมฆ้องกลองแลม้าล่อ เชิญเสด็จพระเจ้าบูอ๋องขึ้นบนพระที่นั่งสำหรับกษัตริย์ แล้วให้จิวกงต้านเชิญคำประกาศเทพยดาไปยืนคอยอยู่ ครั้นสงบเสียงประโคม จิวกงต้านก็ยืนขึ้น คุกเข่าลงคำนับเทพยดาแล้วอ่านคำประกาศว่า ข้าพเจ้าชื่อกีฮวดเป็นแซ่กี๋ พระบิดาชื่อบุนอ๋อง ผ่านสมบัติอยู่เมืองไซรกี ตั้งแต่พระอัยกาแลพระบิดามาจนถึงข้าพเจ้ามิได้เบียดเบียนอาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน รักษาแผ่นดินเมืองไซรกีเป็นสุขมาถึงสามชั่ว พระเจ้าติวอ๋องมิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรมเมืองจิวโก๋เกิดจลาจล ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั่วขอบขัณฑเสมาได้ความเดือดร้อน ข้าพเจ้าก็มิได้มีใจเจ็บแค้น มุ่งหมายจะฆ่าพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ตายในกองเพลิงเอง ถึงสมบัติในเมืองจิวโก๋ ข้าพเจ้าก็มิได้มีใจปรารถนา อาณาประชาราษฎรทั้งปวงพร้อมกันเชิญให้ข้าพเจ้าครองราชสมบัติรักษาแผ่นดิน ขอเทพยเจ้าผู้เป็นใหญ่ คือองค์พระอิศวรแลเทพยเจ้าสี่องค์ผู้รักษาโลก นางพระธรณีผู้รักษาแผ่นดิน เทพารักษ์ทั้งห้าตำบล พระเสื้อเมืองทรงเมืองแลสมเด็จพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้รักษาแผ่นดินมาแต่ก่อน เชิญมาช่วยทำนุบำรุงข้าพเจ้าให้เจริญในราชสมบัติ มีอายุยืนยาวสืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ จะได้รักษาแผ่นดินทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุขสืบๆ ไปชั่วพระจันทร์พระอาทิตย์ จิวกงต้านครั้นอ่านคำประกาศเทพยดาสิ้นลง ก็ยืนขึ้นคุกเข่าลงคำนับ สั่งให้ประโคมฆ้องกลองแลม้าล่อ แล้วเผาคำประกาศเทพยดา เผากระดาษเงินกระดาษทอง จุดธูปเทียนเผาเนื้อไม้บูชาเทพยเจ้า ครั้นสงบเสียงประโคม เกียงจูแหยก็ยืนขึ้นคุกเข่าลงคำนับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย แลหัวเมืองทั้งแปดร้อยหัวเมืองยืนขึ้นคุกเข่าลงคำนับพร้อม ๆ กันแล้ว เกียงจูแหยก็ทูลถวายราชสมบัติ สั่งให้เจ้าพนักงานจารึกพระนามว่า พระเจ้าบูอ๋องฮองเต้ได้เสวยราชสมบัติเป็นเจ้าแผ่นดิน ทำนุบำรุงราษฎรในวันอาทิตย์ขึ้นสามค่ำเดือนสี่ปีมะโรง ตั้งศักราชนับเป็นวันแรกได้เสวยราชสมบัติ แล้วสั่งให้ประโคมฆ้องกลองแลม้าล่อ ครั้นหยุดเสียงประโคม พระเจ้าบูอ๋องฮองเต้ก็ทรงยืนขึ้นคุกเข่าลงคำนับเทพยดาแล้วทรงนั่ง ตรัสสั่งให้ยกส่วยสาอากรให้แก่อาณาประชาราษฎรทั่วขอบขัณฑเสมาปีหนึ่ง ทั้งให้ปล่อยคนโทษ ซึ่งจำในเรือนจำแต่ก่อน แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางแลหัวเมืองทั้งปวง
๏ ขณะนั้นพวกทหารแลอาณาประชาราษฎรพร้อมกันอยู่ที่นั้นแลเห็นควันธูปมิได้กระจายออกจากกัน ประสานกันเป็นดวงดอกไม้มีกลีบเกสร เลื่อนลอยอยู่บนต๋าย เหมือนเพดานดอกไม้ อากาศก็มิได้มีพยัพลม พระอาทิตย์ก็ปราศจากเมฆหมอก ลมก็พัดอ่อนๆ ไม่ร้อนไม่เย็นพอสบาย บรรดาคนซึ่งได้เห็นอัศจรรย์ดังนั้น ก็ยกมือขึ้นคำนับสรรเสริญบารมีต่าง ๆ บ้างว่าพระองค์เหมือนเทพยเจ้ามาช่วยชีวิตอาณาประชาราษฎรให้พ้นจากความตาย แต่นี้เมืองจิวโก๋จะอยู่เย็นเป็นสุขไปชั่วฟ้าแลดิน ต่างถวายพระพรพระเจ้าบูอ๋องฮองเต้เซ็งแซ่ไป
๏ ฝ่ายพระเจ้าบูอ๋องฮองเต้ ครั้นเสร็จการแล้วก็เสด็จกลับไปพักอยู่พระที่นั่งเก๋าเกงเตียน รุ่งขึ้นวันหนึ่งพระเจ้าบูอ๋องฮองเต้เสด็จออกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลหัวเมืองทั้งปวงเฝ้าพร้อมกันจึงตรัสกับเกียงจูแหยว่า เราจะยกกลับไปเมืองไซรกีอันเมืองจิวโก๋นี้จะให้แก่บู๋แก๋ แล้วสั่งให้ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารซึ่งมีความชอบ โปรดให้หัวเมืองทั้งปวงกลับไปบ้านเมือง เกียงจูแหยจึงกราบทูลว่า ซึ่งมีรับสั่งโปรดมิให้ฆ่าบู๋แก๋ ทั้งทรงพระเมตตาจะให้บู๋แก๋กินเมืองจิวโก๋ ข้าพระองค์เห็นว่าบู๋แก๋เป็นบุตรติวอ๋อง เกลือกจะกระทำการทุจริตเช่นบิดา ราษฎรจะได้ความเดือดร้อน ถ้ามีใจเจ็บแค้นคิดทรยศต่อพระองค์ ก็เครื่องจะกวนพระทัยทั้งจะได้ความลำบากกับทแกล้วทหาร ข้าพระองค์จะขอให้กวนซกเสี่ยนใช่ซกตอน้องของพระองค์อยู่กำชับรักษาเมืองจิวโก๋ ช่วยทำนุบำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข พระเจ้าบูอ๋องฮองเต้เห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้หาบู๋แก๋เข้ามาเฝ้ามอบสมบัติให้ แล้วมีรับสั่งกำชับกวนซกเสี่ยนใช่ซกตอว่า บู๋แก๋เป็นเด็กเจ้าเป็นผู้ใหญ่ จงรักษาเมืองจงดูขนบธรรมเนียมกฎหมายแผ่นดิน ช่วยบู๋แก๋ทำนุบำรุงราษฏรให้เป็นสุข ถ้าเจ้ากระทำให้ผิดขนบธรรมเนียมกฎหมายแผ่นดิน ราษฎรได้ความเดือดร้อน เราจะกระทำโทษให้สิ้นชีวิต กวนซกเสี่ยนใช่ซกตอ บู๋แก๋ก้มศีรษะลงรับรับสั่ง แล้วลุกขึ้นคุกเข่าลงคำนับ พระเจ้าบูอ๋องฮองเต้ครั้นมอบสมบัติให้แก่บู๋แก๋แล้ว จึงมีรับสั่งให้หาปิจู๊บุตรปิกันเข้ามาเฝ้า ตรัสสรรเสริญว่าปิกันเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินตั้งใจจะทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข แต่หากพระเจ้าติวอ๋องมิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม เชื่อฟังแต่นางขันกีบ้านเมืองจึงเกิดจลาจลต่างๆ เราคิดเสียดายปิกันนัก ตรัสดังนั้นแล้วก็ประทานเสื้อผ้าแลเงินทองให้กับปิจู๊ แล้วพระเจ้าบูอ๋องฮองเต้เสด็จไปที่ฝังศพปิกัน สั่งให้แต่งโต๊ะจุดธูปเทียนเซ่นวักศพปิกันตามอย่างธรรมเนียม แล้วเสด็จกลับมาที่นั่งเก๋าเกงเตียน จึงสั่งให้เกียงจูแหยตรวจเตรียมทแกล้วทหารบอกนายทัพนายกองทั้งปวงให้พร้อมกำหนดวันจะเสด็จกลับไปเมืองไซรกี เกียงจูแหยก็รับสั่งแล้วคำนับออกมา จัดแจงทแกล้วทหารทุกหมวดทุกกองตามรับสั่ง
๏ ฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลอาณาประชาราษฎรในเมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ว่าพระเจ้าบูอ๋องฮองเต้ จะเสด็จกลับไปเมืองไซรกี ต่างคนต่างคิดอาลัย ชวนกันแต่งโต๊ะเครื่องบูชาจุดธูปเทียนคอยส่งเสด็จ นั่งปรับทุกข์กันเป็นพวกๆ แล้วก็ร้องไห้เสียงเซ็งแซ่ไปทั้งเมือง
๏ ฝ่ายพระเจ้าบูอ๋องครั้นถึงวันกำหนด พร้อมด้วยรี้พลทั้งปวงเสด็จขึ้นทรงรถ ทหารแห่มาตามถนนหลวงทอดพระเนตรเห็นอาณาประชาราษฎรชาวเมืองจุดธูปเทียนบูชาส่งเสด็จแล้ว นั่งร้องไห้เป็นหมู่ๆ กัน มีพระทัยกรุณาสงสารนัก จึงตรัสประโลมใจชาวเมืองทั้งปวงว่า ท่านอย่าโศกเศร้าถึงเราเลย จงอยู่เป็นสุขเถิด เราจะลาท่านไปเมืองไซรกีแล้ว ตรัสพอสิ้นคำรถล่วงออกจากประตูเมืองจิวโก๋ กวนซกเสี่ยนใช่ซกตอกับบู๋แก๋ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย แลราษฎรทั้งปวง ก็ตามไปส่งเสด็จพอสมควรแล้วก็คำนับลากลับมา พระเจ้าบูอ๋องเสด็จแรมร้อนล่วงด่านมาสิ้นห้าด่าน ถึงตำบลแห่งใดทอดพระเนตรเห็นค่ายที่พระองค์เคยประทับแรมกระทำสงคราม คิดไปถึงทแกล้วทหารซึ่งตายในที่รบ ก็ทรงพระอาลัยคิดสงสาร น้ำพระเนตรตกไปทุกตำบลค่าย จนมาถึงด่านสิวเอียวสาร
๏ ขณะนั้นมีทหารคนหนึ่งมาบอกเกียงจูแหยว่า อาจารย์สองคนมายืนสกัดหนทางไว้ข้าพเจ้าหารู้จักไม่ เกียงจูแหยได้ฟังดังนั้นก็ขับม้ารีบขึ้นไป แลเห็นเปกอี๋ซกเจ๋ก็จำได้ จึงลงจากหลังม้าเข้าไปหาเปกอี๋ซกเจ๋ต่างคำนับกันแล้ว เกียงจูแหยจึงถามว่าเหตุใดท่านมายืนอยู่ที่นี่ เปกอี๋ซกเจ๋จึงบอกว่า ข้าพเจ้าทราบว่าพระเจ้าบูอ๋องเสด็จกลับมาแต่เมืองจิวโก๋ ก็มาคอยอยู่จะใคร่รู้ข่าวว่าพระเจ้าติวอ๋องตายแล้วหรือยัง เกียงจูแหยก็เล่าความซึ่งได้รบพุ่งกัน จนพระเจ้าติวอ๋องเผาตัวตายให้เปกอี๋ซกเจ๋ฟังทุกประการ เปกอี๋ซกเจ๋ได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้ออกวาจาไว้ว่า ถ้าแผ่นดินเป็นของพระเจ้าบูอ๋องแล้วมิได้ขออาศัยอยู่เลย ท่านจงอยู่เป็นสุขเถิด ข้าพเจ้าจะขอลาท่านไปตายตามวาจาที่ได้ออกไว้ เกียงจูแหยจึงตอบว่าท่านได้ออกวาจาไว้ก็จริง ด้วยแผ่นดินพระเจ้าติวอ๋องเป็นจลาจล บัดนี้แผ่นดินก็เป็นของพระเจ้าบูอ๋องเป็นสุขแล้ว ซึ่งท่านจะไปตายนั้นหาต้องการไม่ เปกอี๋ซกเจ๋จึงว่าเราได้ออกวาจาแล้วหาควรที่เราจะอยู่ไม่ เราจะลาท่านตายไปตายวาจาของเรา ว่าแล้วเปกอี๋ซกเจ๋ก็คำนับลามาถ้ำเขาสิวเอียงสาร แกล้งอดอาหารเสียเจ็ดวัน เปกอี๋ซกเจ๋ก็ตายอยู่ในถ้ำนั้น เกียงจูแหยขณะเมื่ออาจารย์ทั้งสองคนลากลับไป ก็เร่งทหารรี้พลให้รีบเดินทัพไป ซูใต้หู ซันงีเสง อึ้งกุ๋นขุนนางในเมืองไซรกีครั้นรู้ว่า พระเจ้าบูอ๋องเสด็จกลับมาจะใกล้ถึงก็จัดแจงบ้านเมืองป่าวร้องให้ราษฎรทั้งปวงแต่งโต๊ะเครื่องบูชาคอยรับเสด็จ ครั้นจัดแจงบ้านเมืองเสร็จแล้ว ก็พาพวกขุนนางแลทหารออกมาคอยรับเสด็จอยู่ไกลเมืองทางแปดร้อยห้าสิบเส้น ซูใต้หูซันงีเสงอึ้งกุ๋น ครั้นเห็นพระเจ้าบูอ๋องเสด็จมาถึงก็พากันเข้าไปเฝ้าด้วยความยินดี ทูลเชิญเสด็จให้เข้าเมือง พระเจ้าบูอ๋องเมื่อจะถามถึงมารดาก็ยกพระหัตถ์ขึ้นคำนับแล้วตรัสถามว่า ไทกีมารดาเรายังเป็นผาสุกอยู่หรือ ขุนนางก็ทูลให้ทราบทุกประการ พระเจ้าบูอ๋องครั้นทราบว่ามารดาเป็นสุขอยู่มิได้ประชวรสิ่งใดก็ดีพระทัย ให้เร่งรีบทหารเดินมาประทับแรมคืนหนึ่งก็ถึงเมืองไซรกี ครั้นเข้าประตูเมืองก็เสด็จลงจากรถ ดำเนินมาตามถนนหลวงทอดพระเนตรเห็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย แลราษฎรชาวเมืองจุดธูปเทียนเผาเนื้อไม้ถวายรับเสด็จ จึงตรัสว่าเราจากเมืองไซรกีไปทำศึกช้านานถึงห้าปี พึ่งได้กลับมาเห็นหน้าท่านทั้งปวงวันนี้เรามีความยินดีนัก ซันงีเสงจึงกราบทูลว่า เดิมพระองค์ตั้งพระทัยว่าจะทำนุบำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข บัดนี้ก็สมดังพระทัยนึกแล้ว เหตุใดพระพักตร์จึงเศร้าหมองมิได้สบายพระทัยเล่า พระเจ้าบูอ๋องจึงตรัสว่า ทแกล้วทหารที่มีฝีมือได้ทำศึกมาแต่ครั้งพระบิดาไปตายเสียในที่รบเป็นอันมาก เราคิดอาลัยนักมิได้มีความสบายเลย ซันงีเสงจึงกราบทูลว่า ประเพณีเป็นทหารถ้าตายลงในท่ามกลางศึก ก็เหมือนเอาชีวิตฉลองคุณเจ้านายของตัว ธรรมดาเป็นบุตรชายหญิงเล่า ถ้าตายลงเมื่อขณะหาเลี้ยงบิดามารดาก็เหมือนเอาชีวิตฉลองพระคุณบิดามารดา ถึงจะตายก็ไปที่ชอบ พระองค์จะมาทุกข์พระทัยถึงทแกล้วทหารซึ่งตายไปนั้นหาต้องการไม่ พระเจ้าบูอ๋องได้ทรงฟังดังนั้น มิได้ตรัสประการใด ก็เสด็จเข้าในพระราชวังไปคำนับไทกีมารดา ทูลความซึ่งได้จัดแจงบ้านเมือง ทำนุบำรุงราษฎรในเมืองจิวโก๋ทุกประการ ไทกีมีความยินดีนัก จึงอวยพรให้พระเจ้าบูอ๋องจำเจริญในราชสมบัติต่างๆ พระเจ้าบูอ๋องก็คำนับรับพรลาออกมาสั่งให้แต่งโต๊ะจุดธูปเทียนเผาเนื้อไม้เซ่นวักคำนับพระอัยกาพระบิดา แลพระวงศาผู้ใหญ่แต่ก่อน แล้วสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางแลทหารทั้งปวง รุ่งขึ้นวันหนึ่งพระเจ้าบูอ๋องเสด็จออกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าพร้อมกัน เกียงจูแหยจึงกราบทูลว่า บัดนี้เสร็จศึกแล้ว ข้าพระองค์คิดว่าจะไปหาง่วนสีเทียนจุ๋น ณ เขากุนหลุนซัว กราบทูลยังมิทันขาดคำ มีนายประตูมาบอกเกียงจูแหยว่าฮุยเหลียมกับออกหลายขุนนางเมืองจิวโก๋จะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าบูอ๋องจึงตรัสถามเกียงจูแหยว่า ฮุยเหลียมกับออกหลายจะมาหาเราด้วยเหตุประการใด เมื่อเราอยู่ในเมืองจิวโก๋เราก็มิได้ยินออกชื่อฮุยเหลียมออกหลาย เกียงจูแหยจึงกราบทูลว่าฮุยเหลียมกับออกหลายเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดิน แล้วไม่กตัญญูต่อเจ้าของตัว หาควรที่จะเอาไว้ในแผ่นดินให้ช้าอยู่จนวันเดียวไม่ แต่ฮุยเหลียมกับออกหลายเป็นคนหนีร้อนมาพึ่งเย็น หมายจะพึ่งพระบารมี ขอให้พระองค์ชุบเลี้ยงฮุยเหลียมออกหลายไว้ก่อน กราบทูลดังนั้นแล้วจึงสั่งให้หาตัวฮุยเหลียมออกหลายเข้ามาเฝ้า ฮุยเหลียมกับออกหลายก็เข้ามาคำนับถวายตราถวนก๊กฮูยี้ เป็นตราสำหรับพระมหากษัตริย์ แล้วกราบทูลว่าข้าพระองค์ทั้งสองนี้ เหมือนอยู่ที่มืดมาหาที่สว่าง ข้าพระองค์จะขอพึ่งบารมีไปกว่าจะหาชีวิตไม่ พระเจ้าบูอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ซึ่งท่านเอาตราสำหรับพระมหากษัตริย์มาให้เรานั้นเราขอบใจนัก ตรัสแล้วก็โปรดให้ฮุยเหลียมกับออกหลายเป็นที่ขุนนางใต้หู พระเจ้าบูอ๋องก็เสด็จขึ้น เกียงจูแหยแลขุนนางทั้งปวงก็กลับไปที่อยู่ จะกล่าวถึงนางแปสี ตั้งแต่มิได้เป็นภรรยาเกียงจูแหย ได้เตียวส่ำโล้เป็นสามี นางมิได้หายเคืองแค้น คิดจะคอยชมบุญเกียงจูแหยอยู่มิได้ขาด แลเกียงจูแหยแต่ก่อนนั้นเป็นคนต่ำช้านัก จะมีเรือนก็มุงด้วยหญ้า จะหากินก็ได้แต่ตกเบ็ด เมื่อยังอยู่กับนางแปสีนั้น จะทำมาหากินสิ่งใดก็ไม่เป็น นางแปสีชิงชังนักจึงหย่าเสีย วันหนึ่งเตียวส่ำโล้หาบผักไปขาย นางแปสีอยู่เฝ้าเรือน มีหญิงแก่คนหนึ่งมาบอกนางแปสีว่า เกียงจูแหยผัวเก่าเจ้า เดี๋ยวนี้ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่มียศศักดิ์ผู้คนหญิงชายใช้กลาดเกลื่อนไปทั้งเรือน นางแปสีได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึงไป ฉุนใจคิดว่าถ้าเป็นภรรยาเกียงจูแหยเหมือนแต่ก่อนก็จะพลอยมีวาสนาด้วย นางแปสีคิดเสียดายนัก กลั้นน้ำตามิได้ จะนั่งอยู่ก็อายผู้ที่มาบอก ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอนน้ำตาไหลอยู่ แล้วคิดสงสัยเกลือกชื่อเกียงจูแหยจะเหมือนกันเข้า ครั้นเวลาค่ำเตียวส่ำโล้กลับมาเรือน นางแปสีก็ออกมาพูดจา จึงถามว่าเจ้าได้ยินเขาพูดกันบ้างหรือไม่ ว่าเกียงจูแหยได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เตียวส่ำโล้จึงบอกว่า เกียงจูแหยได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่จริง ผู้คนนับถือคำนับสิ้นทั้งเมืองเจ้าพึ่งรู้ดอกหรือ บอกแล้วก็แกล้งพูดสัพยอกว่า เจ้าจะกลับไปอยู่กับเกียงจูแหยก็ไปเถิด พี่เป็นคนเข็ญใจจะได้พึ่งบุญเจ้า ว่าแล้วก็หัวร่อ นางแปสียิ่งแค้นใจนัก ร้องไห้ลุกขึ้นเดินกระทืบเท้าเข้าไปในห้อง เตียวส่ำโล้มิได้รู้ว่านางแปสีเสียใจด้วยเกียงจูแหย ก็ตามเข้าไปปลอบว่าเจ้าอย่าร้องไห้ เราพูดจาสัพยอกกันเล่น ข้าขออภัยเสียเถิด ทีนี้อย่าพูดถึงเกียงจูแหยเลย เราคิดอ่านช่วยกันทำมาหากินดีกว่า ว่าดังนั้นแล้วเตียวส่ำโล้ก็เข้านอน ครั้นเวลาสองยามเศษนางแปสีเห็นเตียวส่ำโล้หลับสนิทแล้วก็ย่องหนีออกมาผูกคอตายเสียที่ริมเรือน ครั้นเวลาเช้าเตียวส่ำโล้ตื่นขึ้นไม่เห็นนางแปสีก็ตกใจ เที่ยวค้นหาไปพบนางแปสีผูกคอตายก็ร้องไห้รัก แล้วเอาศพนางแปสีไปฝังเสียเซ่นวักตามธรรมเนียม