๑๐๐
๏ ขณะนั้นลิเจ้งหนึ่ง กิมเฉียหนึ่ง บกเฉียหนึ่ง โลเฉียหนึ่ง หลุยจินจู๊หนึ่ง อุยฮอหนึ่ง เอียวเจี้ยนหนึ่ง ทั้งเจ็ดคนกราบทูลว่าข้าพระองค์ทั้งปวงนี้เคยอยู่ภูเขาแลถ้ำที่สงัด ซึ่งจะโปรดให้เป็นขุนนางอยู่ในเมืองนั้น เห็นจะไม่มีความสุข ข้าพระองค์จะทูลลาไปอยู่ตามภูมิลำเนาที่เคยอยู่อาศัยมาแต่ก่อน พระเจ้าบูอ๋องจึงตรัสว่า ท่านทั้งเจ็ดคนมีความชอบมากนัก เราจะปูนบำเหน็จให้ถึงขนาด จงอยู่เป็นขุนนางช่วยเรารักษาแผ่นดินเถิด อย่ากลับไปทรมานตัวอยู่ในป่าที่กันดารเลย ทหารทั้งเจ็ดคนจึงกราบทูลว่า อาจารย์ข้าพระองค์ให้มาช่วยพระองค์ปราบข้าศึก บัดนี้ก็สำเร็จราชการแล้ว ถ้าจะมิให้ข้าพระองค์ไปแจ้งแก่อาจารย์ข้าพระองค์ก็จะมีความผิด ถ้าโปรดให้ข้าพระองค์กลับไปตามอัชฌาสัยดีกว่าให้เป็นขุนนางมียศศักดิ์แลสมบัติอีก ทหารทั้งเจ็ดคนกราบทูลอ้อนวอนไปต่าง ๆ พระเจ้าบูอ๋องเห็นจะห้ามไว้มิได้ จึงให้แต่งโต๊ะอย่างพระมหากษัตริย์เสวย พระราชทานทหารทั้งเจ็ดคน ครั้นเวลารุ่งเช้าพระเจ้าบูอ๋องกับขุนนาง แลทหารทั้งปวงออกไปส่งทหารทั้งเจ็ดคนถึงนอกเมืองแล้วตรัสเล้าโลมชวนให้อยู่หลายครั้ง นายทหารทั้งเจ็ดคนก็บิดพริ้วมิได้ตามรับสั่ง เกียงจูแหยแลขุนนางทหารเอกทหารเลวทั้งปวง ถ้อยทีเศร้าโศกสั่งกันแล้ว หลุยจินจู๊ ลิเจ้ง กิมเฉีย บกเฉีย โลเฉีย เอียวเจี้ยน อุยฮอ ทั้งเจ็ดคนกราบถวายบังคมลาเหาะไป ครั้นทหารเจ็ดคนลาไปแล้ว พระเจ้าบูอ๋องกับเกียงจูแหยก็กลับมาเมือง พระเจ้าบูอ๋องคิดถึงทหารเจ็ดคนขึ้นมาเมื่อใดก็ไม่สบายพระทัยเลย
๏ วันหนึ่งพระเจ้าบูอ๋องเสด็จออกขุนนาง เกียงจูแหยกับจิวก๋งต้านจึงกราบทูลว่า แต่บรรดาเทวดาซึ่งลงมาบังเกิดเป็นทหาร อาสาพระองค์ปราบปรามผู้ซึ่งเป็นเสี้ยนหนามในแผ่นดินราบคาบ ก็ได้จัดแจงให้ขึ้นไปบังเกิดเป็นเทวดาตามตำแหน่งแล้ว แลซึ่งเชื้อพระวงศ์กับขุนนางผู้มีความชอบในการสงครามครั้งนี้ ขอให้จัดแจงไปครองเมืองใหญ่น้อยตามสมควร จะได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป พระเจ้าบูอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ตั้งแต่ทหารเจ็ดคนลาไป เรามีความอาลัยคิดถึงอยู่มิได้ขาด ยังแต่ท่านกับน้องเรา แลขุนนางซึ่งได้ปราบยุคเข็ญมาด้วยกัน ครั้นบ้านเมืองราบคาบแล้ว จะได้อยู่พร้อมหน้ากันให้เป็นสุขอยู่ในเมืองนี้ เราจะได้เห็นหน้ากันทุกเวลา ซึ่งท่านจะจัดแจงผู้มีความชอบทั้งนี้ ไปครองเมืองแลเป็นขุนนางตำแหน่งใด ก็ให้ทำบัญชีรายชื่อเข้ามา จะได้ตั้งแต่งไปตามสมควร พระเจ้าบูอ๋องสั่งแล้วก็เสด็จขึ้น เกียงจูแหยจึงสั่งเจ้าพนักงานให้จัดแจงเครื่องบูชากระยาสังเวยเทวดา ตั้งเตรียมโต๊ะแลสุราสำหรับเลี้ยงขุนนางพร้อมแล้ว ครั้นถึงวันฤกษ์ดีเกียงจูแหยจึงประชุมเชื้อพระวงศ์แลขุนนางซึ่งมีความชอบมาพร้อมกัน แล้วเชิญเสด็จพระเจ้าบูอ๋องออก ณ พระที่นั่งโบ๋เตียน คำไทยว่าพระที่นั่งประดับเพชรแลแก้วต่าง ๆ เชื้อพระวงศ์แลขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าพร้อมกัน พระเจ้าบูอ๋องทรงจุดธูปเทียนคำนับเทวดา แล้วตั้งไท้อ๋องซึ่งเป็นบิดาอองกุ๋ย อองกุ๋ยบิดาจิวบุนอ๋อง จิวบุนอ๋องเป็นพระบิดาพระเจ้าบูอ๋องให้เป็นที่เทียนจู้แปลคำไทยว่าเจ้าฟ้า แต่บรรดาเชื้อวงศ์ซึ่งตายแต่ก่อนนั้น ให้เป็นที่เลียดจูเฮา คำไทยว่าขุนนางผู้ใหญ่สิ้นด้วยกัน เกียงจูแหยจึงคลี่บัญชีรายชื่อเชื้อพระวงศ์แลขุนนาง ซึ่งเทียบตำแหน่งไว้นั้นถวายให้ทอดพระเนตร พระเจ้าบูอ๋องให้จิวก๋งต้านผู้น้องที่สี่ครองเมืองล่อ หัวเมืองใหญ่ตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วให้เป็นที่ไท้ไจ้ขุนนางผู้ใหญ่รับราชการฝ่ายพลเรือนด้วย ให้กีเป๊กขิมบุตรผู้ใหญ่ของพระเจ้าบูอ๋องเป็นผู้ช่วยราชการเมืองล่อ แล้วแบ่งบ้านส่วยในแดนเมืองล่อ กว้างแปดพันเจ็ดร้อยห้าสิบเส้นเป็นส่วยขึ้นแก่กีเป๊กขิม เมืองล่อทุกวันนี้ชื่อเมืองยงจิวฮู
๏ พระเจ้าบูอ๋องจึงตั้งเกียงจูแหยเป็นเจ๋เหาไท้ก๋งกิวเป๊ก คำไทยว่าเจ้าพระยาผู้ใหญ่ครองเมืองเจ๋ หัวเมืองใหญ่ฝ่ายเหนือ ได้บังคับพระยาทั้งห้าหัวเมือง ซึ่งมีเมืองขึ้นเมืองละเก้าหัวเมือง แลเกียงจูแหยคนนี้เป็นเชื้อสายพระเจ้าซินลองสีสืบมา เมืองเจ๋ทุกวันนี้ชื่อเมืองสัวตั๋งเซงจิวฮู จึงให้จิวกงเซกเชื้อพระวงศ์เป็นที่ไท้โป้ขุนนางผู้ใหญ่ตำแหน่งกรมวัง ได้ครองเมืองเอี๋ยนฝ่ายทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกวันนี้ชื่อว่าเมืองอิวจิวฮูกีกวน แล้วตั้งจิวกงปิดเชื้อพระวงศ์เป็นงุยเหาตั๋นครองเมืองงุ่ยฝ่ายทิศใต้ ทุกวันนี้ชื่อเมืองโหหลำใต้ฮองฮู กีซกเลียนน้องพระเจ้าบูอ๋องเป็นที่กวนเหาเจ้าเมืองกวนฝ่ายทิศใต้ ทุกวันนี้ชื่อเมืองโฮหลำซินเอียงกวน กีซกตอน้องพระเจ้าบูอ๋อง เป็นที่บูเก้งขุนนางฝ่ายทหารครองเมืองซั่ว ทุกวันนี้ชื่อเมืองโหหลำหนีเลงฮูซั่วกวน กีซกจิ๋นน้องพระเจ้าบูอ๋อง เป็นที่ขุนนางฝ่ายทหารให้กินเมืองโจ๋ ทุกวันนี้ชื่อเมืองเจอิ๋มเตงโตกวน กีซกผู้น้องพระเจ้าบูอ๋อง เป็นที่เสงเฮาติ้นขุนนางฝ่ายทหารกินเมืองเสง ทุกวันนี้ชื่อเมืองซัวตั๋วชงชื่อฮู้บุนเสียงกวน กีซกซีน้องพระเจ้าบูอ๋อง เป็นที่ฮกตินขุนนางฝ่ายทหารกินเมืองฮก ทุกวันนี้ชื่อเมืองสัวไสย กีคงซกซึ่งเป็นน้องร่วมครรภ์กับพระเจ้าบูอ๋อง เป็นใต้สู้เต๋า ได้ว่าราชการตำแหน่งคลังเงินทองไปครองเมืองโอย ชื่อโอยเฮา ทุกวันนี้ชื่อเมืองปักกิงซุ่นเทียนฮู กีซกสือน้องพระเจ้าบูอ๋องเป็นที่ใต้สู้ผู้ว่าราชการ พนักงานเครื่องสาตราวุธ ไปกินเมืองเตงทุกวันนี้ชื่อเมืองตังฮูชื่อกวน กีตงซกหงีบุตรพระเจ้าบูอ๋อง เป็นที่สูของขุนนางตำแหน่งเรียกส่วยสาอากรขึ้นแก่เมืองหลวง เป็นจิ้นหองไปกินเมืองจิ้น ทุกวันนี้ชื่อเมืองสัวไสยเปงเฮียงฮูฮองกวน ไถเป๊กซึ่งเป็นพระเจ้าลุงของพระเจ้าบูอ๋อง เป็นที่ไตสิเจ๊กตำแหน่งขุนนางได้รักษากฎหมายสำหรับแผ่นดินเป็นที่หงอเฮาเจ้าเมืองหงอทุกวันนี้ชื่อเมืองหกเกียนหงอกุ๋น กีเต๊กเจียงบุตรไทเป๊กเป็นที่สำสิเจง ขุนนางตำแหน่งได้กล่าวว่าคนโทษ ไปเป็นเจ้าเมืองหงีเปก ทุกวันนี้ชื่อเมืองโหหลำไทเอียงกวน กีตงอาพระเจ้าบูอ๋อง เป็นที่ซิเนียวเจ้ง ขุนนางตำแหน่งกรมนาได้ตรวจตราฉางข้าว ให้เป็นเคกเปกกินเมืองเคก ทุกวันนี้ชื่อเมืองฮองหลวงฮู้เซียมกวน ซินซกหิมขุนนางมีความชอบ เป็นที่ฌ้อติ้นขุนนางฝ่ายทหารไปกินเมืองฌ้อ ทุกวันนี้ชื่อเมืองลำกุนชีกังกวน เองเปกอี้ขุนนางมีความชอบไปกินเมืองจิ้นชื่อจิ๋นเปก แลเมืองจิ้นนั้น ทุกวันนี้ชื่อเมืองเสียมโสเซฮั๋นฮู้ เกียงบุนซกหลานเปกอี้เป็นขุนนางที่ปรึกษา ไปกินเมืองฮีเปก ทุกวันนี้ชื่อเมืองเชาจิว จูเคซึ่งเป็นพี่ชายพระเจ้าบูอ๋อง ครั้งเมื่อพระเจ้าติวอ๋องไม่อยู่ในสัจธรรม จูเคเข้ามาทำราชการอยู่กับพระเจ้าบูอ๋อง จูเคมีความชอบ พระเจ้าบูอ๋องให้เป็นซ่องเฮาเจ้าเมืองซ่อง ทุกวันนี้ชื่อเมืองชีเอียงก๋วน เองอี่กี๋เป็นขุนนางที่ปรึกษาไปกินเมืองกี ทุกวันนี้ชื่อเมืองหุนหลำเอียงลี้ก๋วน เกียงอวนลูกชายกลางเกียงจูแหยเป็นที่ปรึกษาไปกินเมืองกี๋ตั้งเป็นกีเฮา ทุกวันนี้เมืองกี๋เป็นเมืองกีก๋วน โจจูขุนนางมีความชอบ ไปกินเมืองโจจูชื่อโจ๋เฮา ทุกวันนี้ชื่อเมืองซัวตั๋งฮูโจก๋วน ยิมเฮตงขุนนางมีความชอบไปกินเมืองซีชื่อซีเปก ทุกวันนี้ชื่อเมืองสัวตั้งฮูเท๊กจิว กี๋บวนเชื้อพระวงศ์พระเจ้าบูอ๋อง ได้เป็นตินเหาขุนนางฝ่ายทหาร ไปกินเมืองตี๋นชื่อตินเหา ทุกวันนี้ชื่อเมืองกุยไสตินก๋วน สุเตงเหลาขุนนางมีความชอบให้เป็นกิเปกขุนนางไปรักษาศาลเจ้าอิเต้ สำหรับเรียกส่วยสาอากรในแดนเมืองกี ซึ่งเคยขึ้นแก่ศาลเจ้าอิเต้ จ่ายสิ่งของเป็นเครื่องบูชาเทพเจ้า อิเต้ซึ่งเป็นกษัตริย์มาแต่ก่อน ทุกวันนี้เป็นเมืองปักเกียเทียนจี๋นก๋วน อิเจี๋ยวขุนนางมีความชอบ ได้เป็นขุนนางฝ่ายทหารไปกินเมืองเจี๋ยว ทุกวันนี้เป็นเมืองหองหลวงเซียมก๋วน กี้เชื้อบูอ๋องเป็นขุนนางไปรักษาศาลเจ้าเหงียวเต้ สำหรับเรียกส่วยสาอากรในแดนเมืองกี้ ทุกวันนี้ชื่อปักเกียซุนเทียนฮู้ กีจู๊ซึ่งเป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าติวอ๋อง ครั้นพระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังคำนางขันกี กีจู๊ทูลทัดทานพระเจ้าติวอ๋องโกรธ ให้ออกจากที่ขุนนาง กีจู๊หนีไปอยู่ป่า พระเจ้าบูอ๋องรู้ว่าเป็นคนสัตย์ซื่อ ให้ไปเชิญมาเป็นที่ขุนนางไปกินเมืองเกาหลี ทุกวันนี้ชื่อเมืองเสียวตังเซียนก๊ก พระเจ้าบูอ๋องตั้งเชื้อพระวงศ์แลขุนนางผู้มีความชอบไปครองเมืองใหญ่ยี่สิบแปดหัวเมือง แบ่งที่แดนให้ตามสมควร แลเมืองน้อยสี่สิบสี่หัวเมืองก็จัดแจงขุนนางผู้มีความชอบให้ไปรักษาทุกเมือง เข้ากันเป็นหัวเมืองใหญ่น้อยเจ็ดสิบสองเมือง แล้วพระเจ้าบูอ๋องจึงเลื่อนที่หลำจงกวด ซันงีเสง บูกิด เป็นขุนนางผู้ใหญ่แบ่งบ้านส่วยให้ตามฐานาศักดิ์ บรรดาขุนนางซึ่งตายในกลางศึก ยังแต่ลูกหลานพี่น้อง พระเจ้าบูอ๋องก็ชุบเลี้ยงพระราชทานเบี้ยหวัดตามสมควรแก่ความชอบ บิดาแลพี่น้องได้ทำมาแต่ก่อนแล้ว พระเจ้าบูอ๋องก็ให้เลี้ยงโต๊ะ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นสุขทุกคน แล้วให้เจ้าพนักงานขนของเครื่องสำหรับยศตามตำแหน่งมาพระราชทานแก่เจ้าเมืองแลขุนนางผู้มีความชอบทั้งปวง ขุนนางรับของเครื่องพระราชทานแล้ว ต่างคนถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า จัดแจงทหารแลพรรคพวกไปครองเมืองใหญ่น้อยตามรับสั่ง แต่เกียงจูแหยกับจิวกงต้านจิวกงเซก ยังรับราชการอยู่ในเมืองไซรกี พระเจ้าบูอ๋องเสวยราชสมบัติได้สองปี อยู่วันหนึ่งพระเจ้าบูอ๋องเสด็จออกขุนนางเฝ้าพร้อมตามตำแหน่งจึงตรัสปรึกษากับเกียงจูแหยแลขุนนางผู้ใหญ่ว่า เมืองไซรกีที่แดนด่านทางไม่มั่นคง แม้นมีข้าศึกมาเห็นจะสู้รบต้านทานมิได้ เราคิดจะไปอยู่ ณ เมืองโกเก๋ง ท่านจะเห็นประการใด เกียงจูแหยแลขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย พระเจ้าบูอ๋องจึงสั่งจิวกงเซกให้คุมผู้คนไปจัดแจงพระที่นั่งแลตำหนักน้อยใหญ่ เป็นที่ข้างหน้าข้างในให้สมควรแก่พระมหากษัตริย์จงบริบูรณ์ จิวกงเซกก็ไปจัดแจงตามรับสั่งเสร็จ แล้วกลับมาทูลพระเจ้าบูอ๋อง พระเจ้าบูอ๋องมีพระทัยยินดีนัก ถึงวันได้ฤกษ์ดีก็ทรงรถพร้อมด้วยพระสนมกำนัลทหารแห่หน้าหลัง ยกไปอยู่ ณ เมืองโกเก๋ง วันหนึ่งพระเจ้าบูอ๋องเสด็จออกขุนนาง จึงตรัสแก่เกียงจูแหยว่า ท่านอุตส่าห์จงรักภักดีช่วยทำการศึกได้ความลำบาก ความชอบท่านหาผู้ใดเสมอมิได้ ท่านก็แก่ชราแล้วจงไปครองเมืองเจ๋ให้เป็นสุขเถิด พระเจ้าบูอ๋องพระราชทานทองคำสี่เล่มเกวียน เงินสี่เล่มเกวียน แพรแลสิ่งของทั้งปวงเป็นอันมาก กับหญิงคนใช้ร้อยหนึ่ง แล้วพระราชทานธงเหลืองคันหนึ่งสำหรับเป็นที่คำนับแก่ขุนนางทั้งปวง แล้วให้ตั้งกระบวนแห่รอบเมืองไซรกีถ้วนสามวัน เมื่อเกียงจูแหยบังคมลาพระเจ้าบูอ๋อง พระเจ้าบูอ๋องกับขุนนางทั้งปวงไปส่งเกียงจูแหยออกประตูเมืองทิศใต้ ไปทางประมาณสามร้อยเจ็ดสิบห้าเส้น พระเจ้าบูอ๋องพระราชทานสุราจอกหนึ่งให้เกียงจูแหยตามธรรมเนียม แล้วเสด็จกลับเข้าเมืองโกเก๋ง เกียงจูแหยขี่เกวียนมีทหารแห่ไปตามระยะทาง ขุนนางแลราษฎรหัวเมืองรายทางรู้ว่าเกียงจูแหยมา ต่างคนตั้งโต๊ะแต่งเครื่องบูชาคำนับเกียงจูแหยทุกหัวเมือง เกียงจูแหยไปถึงเมืองเจ๋ ขุนนางทั้งปวงก็ออกมารับเข้าไปครองเมือง เกียงจูแหยก็ตั้งแต่งขุนนางตามตำแหน่ง จัดแจงบ้านเมืองราบคาบเป็นปรกติ แล้วสั่งกองจู๋กู๋บุตรเกียงจูแหย กับบู๋เสียงผู้บุตรบูเคียด แลอิไค้ถ้ายซึ่งเป็นที่ใจเสียงขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือนให้ไปซ่อมแปลงวัดแลศาลเจ้าที่ชำรุดหักพังให้บริบูรณ์ แล้วเกียงจูแหยก็แต่งหนังสือไปประกาศป่าวร้องให้ราษฎรทำนาค้าขายโดยสัตย์ซื่อ อย่าให้ทำการโกหกมารยาคบคิดกันเป็นโจรผู้ร้าย ให้ผิดด้วยกำหนดกฎหมายห้าม ราษฎรชาวเมืองทำตามคำเกียงจูแหยสั่ง ชาวเมืองเจ๋ก็อยู่เย็นเป็นสุข ทำมาหากินตามประเพณี วันหนึ่งเกียงจูแหยออกไปชมสวน เวลากลางคืนเดือนสว่าง เกียงจูแหยนั่งกินโต๊ะอยู่บนศิลาสี่เหลี่ยมใต้ร่มไม้ คิดถึงทรงอิหยินซึ่งมีคุณมาแต่ก่อน ครั้นเวลารุ่งเช้าเกียงจูแหย จึงสั่งขุนนางให้บรรทุกทองคำหนักห้าหาบไปให้ทรงอิหยิน ขุนนางก็ไปตามสั่ง ครั้นมาถึงเมืองจิวโก๋ ก็ไปถามหาทรงอิหยินณบ้าน รู้ว่าทรงอิหยินตายเสียแล้ว ยังแต่บุตรทรงอิหยิน ขุนนางก็บอกแก่บุตรทรงอิหยินว่า เกียงจูแหยได้เป็นเจ้าเมืองเจ๋ ให้เราคุมทองคำห้าหาบ มาแทนคุณทรงอิหยินบิดาท่าน บิดาท่านตายแล้ว ท่านจงรับเอาทองคำนี้ไว้เถิด บุตรทรงอิหยินก็รับไว้ ขุนนางก็กลับไปเมืองเจ๋ แจ้งความแก่เกียงจูแหยทุกประการ เกียงจูแหยรู้ว่าทรงอิหยินตายก็มีความอาลัยนัก วันหนึ่งเกียงจูแหยนั่งอยู่ ณ แผ่นศิลาใต้ต้นไม้ ณ สวนดอกไม้ หอมกลิ่นดอกไม้แลกลิ่นธูป จึงแลไปเห็นเทวดาขี่นกแปะโฮะมาถึงแล้วบอกว่า ท่านสิ้นอายุในวันนี้แล้ว ง่วนสีเทียนจุ๋นให้มาเชิญไปอยู่ ณ เขากุนหลุน ว่าเท่านั้นแล้วเทวดาก็หายไป เกียงจูแหยแจ้งความดังนั้น ก็อาบน้ำชำระตัวนุ่งห่มตามอย่างเจ้าเมืองใหญ่ แล้วให้คนใช้ไปบอกกองจู๋กู๋ผู้บุตรกับขุนนางมาพร้อมกัน เกียงจูแหยก็เล่าความตามเทวดาบอกให้ฟังแล้วว่า เราจะลาท่านทั้งปวงไปอยู่เขากุนหลุน สมบัติในเมืองเจ๋นี้ กองจู๋กู๋ จงทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด ครั้นสั่งบุตรแลขุนนางแล้ว เกียงจูแหยก็ขึ้นไปบนตึก เอนตัวลงนอนก็สิ้นชีวิต
๏ ขณะเมื่อเกียงจูแหยตายอายุร้อยปี กองจู๋กู๋กับขุนนางทั้งปวงก็ทำการฝังศพตามอย่างเจ้าเมืองใหญ่ กองจู๋กู๋ก็ครองเมืองเจ๋แทนบิดา ว่าราชการบ้านเมืองโดยสัจธรรม ตามกฎหมายอย่างธรรมเนียมของบิดาตั้งแต่งไว้ ราษฎรชาวเมืองเจ๋ก็อยู่เย็นเป็นสุขสืบมา
๏ เรื่องห้องสินบริบูรณ์แต่เท่านี้