๑๙

๏ กองจู๊เปกอิบโค้ก็เข้าไปลานางไทกีผู้เป็นมารดาบอกว่าจะไปตามบิดา ณ เมืองจิวโก๋ นางไทกีจึงว่าเจ้าจะไปแล้วใครจะว่าราชการเมืองแทนเล่า กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่าข้าพเจ้าจะให้กีฮวดผู้น้องว่าแทน และการข้างนอกนั้นไว้กับเสี้ยงไต้หูซันงีเสง ถ้าการศึกไว้กับหลำจงกวด นายทหารเอก มารดาอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขอลาไป นางไทกีเห็นจะห้ามมิฟังก็ยอมให้ไป แล้วว่าเจ้าจงไปดีมาดี ระวังตัวอย่าให้มีอันตรายได้ กองจู๊เปกอิบโค้ก็คำนับลามารดา แล้วสั่งกีฮวดผู้น้องว่า เจ้าจงอยู่ว่าราชการบ้านเมือง อย่าถือแก่งแย่งกันกับพี่น้องและขุนนางทั้งปวง พี่ไปไม่ช้านักในสองสามเดือนจะกลับมา กองจู๊เปกอิบโค้ก็จัดแจงข้าวของผู้คนพร้อม ถึงวันดีก็ออกจากเมือง กีฮวดผู้น้องกับขุนนางทั้งปวงก็ตามไปส่งประมาณหนทางสิบโยชน์แล้วกลับมาเมือง กองจู๊เปกอิบโค้ก็ให้ทหารถือธงทวนแห่เดินประทับรอนแรมมาตามทาง ชาวด่านออกมาคำนับรับทุกตำบล จนถึงเมืองจิวโก๋ หยุดประทับอยู่ ณ​ กงก๋วนห้าวัน ก็เข้าหาใจเสียงปิกัน ปิกันจึงถามว่า เจ้ามาแต่ไหนเป็นบุตรผู้ใด กองจู๊เปกอิบโค้คำนับแล้วก็เล่าความทั้งปวงให้ปิกันฟัง ปิกันครั้นได้ฟังก็ลุกออกมาจูงมือกองจู๊เปกอิบโค้ให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ด้วยกัน กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า บิดาข้าพเจ้ามาต้องโทษจำตรุช้านาน ข้าพเจ้าขอบุญท่านเป็นที่พึ่งช่วยนำเฝ้าถวายของข้าพเจ้าได้มาสามสิ่งดีนัก จะขอถ่ายโทษบิดากลับไปเมือง ครั้งนี้ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียว จงสงเคราะห์ช่วยกราบทูลแก้ไขด้วย ถ้าสืบไปเมื่อหน้าข้าพเจ้ามิตายจะแทนคุณท่าน ปิกันจึงถามว่า เจ้าได้ของดีมาสามสิ่งนั้นคือสิ่งใด กองจู๊เปกอิบโค้จึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้ซิกฮงกี คือเจียมดีผืนหนึ่ง ลิงเผือกตัวหนึ่ง หญิงรูปงามสิบคน ปิกันจึงว่าเจียมปูนั่งถมไปเจ้าว่าเป็นของดีอย่างไรไม่เห็นด้วย กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่าเจียมผืนนี้วิเศษเป็นของพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อน ถ้าปูไว้บนรถจะไปทิศใด รถก็ไปได้โดยไม่ต้องมีคนมีม้าชัก ถ้าคนเสพย์สุราเหลือขนาดเมาไม่รู้ตัว เอาเจียมผืนนี้ปูนั่งนอนแล้วก็สร่างหายโดยเร็ว ลิงเผือกตัวนี้ก็พูดภาษาคนรู้ขับรำทำเพลงได้ ปิกันจึงว่าของถวายเจ้าจัดมาดีชอบกลอยู่ เห็นจะพอพระทัยพระมหากษัตริย์ แต่ทุกวันนี้ พระองค์มิได้ออกว่าราชการหลงใหลไปแต่เล่น ถ้าของถวายของเจ้าเข้าไปก็จะยิ่งเพลิดเพลินสนุกหนักขึ้น แต่ตัวเจ้ามีกตัญญูจะช่วยบิดาให้พ้นโทษ เราคิดสงสารจะพาเข้าไปกราบทูลถวายของให้ แล้วปิกันก็พากองจู๊เปกอิบโค้เข้าไปในวัง ให้ขันทีทูลเบิกเข้าไปเฝ้ากราบทูลว่ากองจู๊เปกอิบโค้บุตรกีเซียงเอาเจียมวิเศษ ลิงเผือก หญิงรูปงามสิบคนมาถวาย จะขอรับประทานโทษบิดา พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่าบิดาของตัวโทษถึงสิ้นชีวิต หากเราเอ็นดูจึงมิให้ตาย แต่จำไว้จะมาขออีกเล่า กองจู๊เปกอิบโค้ทูลว่าถึงพระองค์มิให้บิดาข้าพระองค์พ้นโทษก็ตาม แต่ขอให้ข้าพระองค์เข้ารับโทษแทนบิดาเถิด พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า ตัวมิได้มีโทษจะรับโทษแทนกันได้หรือ นางขันกีนั่งอยู่ในมู่ลี่ได้ยินพระเจ้าติวอ๋องตรัสอึ้งอยู่ จึงเผยมู่ลี่มองดู เห็นกองจู๊เปกอิบโค้รูปร่างงดงามก็คิดรัก แกล้งทำลับๆ ล่อๆ แลดูให้สบตากองจู๊เปกอิบโค้ แล้วก็เข้าไปส่องกระจกผัดหน้าแต่งตัวออกมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสบอกนางขันกีว่า กองจู๊เปกอิบโค้มาขอโทษกีเซียงผู้บิดา นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพระองค์เมื่อยังอยู่กับบิดามารดานั้น เขาเลื่องลือกันว่า กองจู๊เปกอิบโค้คนนี้ ดีดขิมดีหามีผู้เสมอไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสสั่งให้เอาขิมมาให้กองจู๊เปกอิบโค้ กองจู๊เปกอิบโค้จึงกราบทูลว่า บิดาข้าพระองค์อยู่ในโทษ ข้าพระองค์เป็นทุกข์อยู่ จะมาดีดขิมขับร้องหาควรไม่ พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่าเราใช้ตัวจะมีใครนินทาเล่า จงดีดขิมขับไปเถิด ถ้าเพราะจริงเราจะยกโทษกีเซียงให้ กองจู๊เปกอิบโค้ได้ฟังก็ดีใจ จึงหยิบขิมมาดีดแล้วขับร้อง ขับย้ายลำนำถวาย พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังเพลินพระทัยไป สั่งให้ยกโต๊ะกับสุรามาเสวยด้วยนางขันกี นางขันกีกินสุราพลางชม้อยดูกองจู๊เปกอิบโค้เนืองๆ แล้วก็คิดว่าพระเจ้าติวอ๋องอายุก็เข้าเรือนห้าสิบแล้ว เนื้อหนังหน้าตาก็เหี่ยวแห้ง ดีแต่มีบุญมากเป็นกษัตริย์เท่านั้น ตัวกูก็กำลังเป็นสาว กองจู๊เปกอิบโค้ก็หนุ่ม ถ้าได้เป็นผัวเมียกันจึงจะสมควร คิดแล้วแสร้งอุบายทูลว่า พระองค์จะปล่อยกีเซียงให้พ้นโทษ พ่อลูกก็จะพากันไปบ้านเมือง ข้าพระองค์เสียดายกีเซียงเป็นนักปราชญ์สารพัดรู้ กองจู๊เปกอิบโค้ก็ดีดขิมขับร้องดี คนอย่างนี้หายากนัก ถ้าปล่อยไปเสียแล้วจะได้คนที่ไหนมาใช้อีกเล่า ขอกองจู๊เปกอิบโค้ไว้ให้ฝึกสอนข้าพระองค์ให้ดีดขิมเถิด ถ้ารู้ดีแล้วจะได้ดีดถวาย พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระสรวล ตรัสว่าตามใจเจ้าเถิด แล้วก็ตรัสสั่งให้กองจู๊เปกอิบโค้สอนให้นางขันกีดีดขิม

๏ ฝ่ายนางขันกีครั้นได้ที ก็แกล้งรินสุราถวายให้เสวยเจ็ดจอกแปดจอก พระเจ้าติวอ๋องก็เมาจนลืมสติหาสมประดีไม่ พอเวลาค่ำนางขันกีก็เรียกนางสนมให้ช่วยประคองเสด็จเข้าที่บรรทม แล้วนางก็เอาขิมมาสองอันส่งให้กองจู๊เปกอิบโค้อันหนึ่ง นางดีดอันหนึ่ง นางขันกีดีดพลางๆ แลดูกองจู๊เปกอิบโค้ กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่าการดีดขิมนี้ยากนัก ถ้าจะเรียนให้รู้จริงๆ จงมีความเพียรตั้งจิตเป็นใจเดียว อย่าคิดการอื่นเป็นสองใจ นัยน์ตาให้ก้มดูขิมกับสายขิม อย่าเหลียวแลไปอื่น คนเสพย์สุราเมาก็ดีดขิมไม่ได้ นางขันกีก็รับว่าจะทำ ครั้นเห็นคนว่างคิดจะใคร่ชวนกองจู๊เปกอิบโค้ร่วมรัก แต่ทำผุดลุกผุดนั่งขยับตัวให้ท่วงทีกองจู๊เปกอิบโค้ ครั้นเห็นไม่สมคิดจึงเรียกให้ยกโต๊ะกับสุรามา แล้วเรียกกองจู๊เปกอิบโค้ว่ามากินด้วยกัน กองจู๊เปกอิบโค้ก็คุกเข่าคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกคนโทษ จะโปรดให้ข้าพเจ้าไปนั่งที่สูงกินโต๊ะร่วมนั้นหาควรไม่ นางขันกีจึงว่าเจ้าเป็นครูเราเป็นศิษย์จะกินร่วมกันก็ได้ไม่พอที่จะกลัวแล้วดีดขิมก็นั่งห่างกันนัก เราดีดตามไม่ทันจำเพลงไม่ได้ ขอขึ้นนั่งบนตักเจ้า ๆ อุ้มเราจับมือสอนสักประเดี๋ยวก็จะรู้ กองจู๊เปกอิบโค้ได้ฟังก็ตกใจจนตัวสั่น แล้วว่าถึงจะนั่งห่างกันถ้าตาดูหูฟังสังเกตอยู่แล้วก็จำได้ ซึ่งจะขึ้นนั่งบนตักให้จับมือสอนนั้นข้าพเจ้ากลัวพระราชอาญานัก นางขันกีเห็นกองจู๊เปกอิบโค้สัตย์ซื่อมั่นคง ครั้นจะดับไฟเสียก็กลัวกองจู๊เปกอิบโค้จะไม่ตามใจ ไม่เป็นอันดีดขิม ทำแต่มารยายิ้มแย้มให้ท่วงทีอยู่ กองจู๊เปกอิบโค้เห็นนางขันกีทำดังนั้นก็คิดว่าวันนี้เป็นกรรมของเราจะถึงที่ตาย เหมือนปลาเข้าอยู่ในแหแล้ว จึงว่ากับนางขันกีว่า ทุกวันนี้ขุนนางและราษฎรทั้งปวงย่อมคำนับกราบไหว้ท่านเป็นที่พึ่งที่นับถือสรรเสริญว่านางเทพธิดา จะจงใจใช้ข้าพเจ้าทำดังนี้หาสมควรไม่ นางขันกีได้ฟังก็มีความอายยิ่งนัก จึงสั่งสาวใช้ให้บอกกองจู๊เปกอิบโค้ว่าถอยออกไปเสียให้ห่าง แล้วแสร้งร้องว่า ไม่พอที่พระจันทร์จะมาส่องแสง ต้องน้ำตมน้ำครำทำให้คนดูถูกเล่น ว่าแล้วก็เข้าไปในที่บรรทมพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องครั้นสร่างเมาสุราตื่นบรรทมเห็นนางขันกี จึงถามว่าเจ้าเรียนขิมดีดได้มั่งแล้วหรือ นางขันกีกราบทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้หาได้ตั้งใจสอนข้าพระองค์ไม่ มีแต่พูดเกี้ยวพาลข้าพระองค์ได้ความเจ็บอายนัก พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธ ครั้นเวลาเช้าเสด็จออก ให้หากองจู๊เปกอิบโค้เข้ามาเฝ้า จึงตรัสว่าเราสั่งให้สอนนางขันกีดีดขิม เหตุใดมิสั่งสอนโดยสุจริต คิดจะพูดเกี้ยวพาลเล่น กองจู๊เปกอิบโค้จึงทูลว่า ข้าพระองค์จะได้พูดจาเกี้ยวนางหามิได้ ถ้ามิจริงดังนั้นขอให้ลงโทษถึงสิ้นชีวิต และการดีดขิมนี้ยากที่จะรู้ได้โดยเร็ว ค่อยเรียนเพียรไปจึงจะรู้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็คิดเห็นว่า กองจู๊เปกอิบโค้เป็นคนสัตย์ซื่อมาขอโทษบิดา จะทำดังนั้นยังสงสัยอยู่ นางขันกีเห็นพระเจ้าติวอ๋องยังไม่เอาโทษกองจู๊เปกอิบโค้ จึงกราบทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้ได้ลิงเผือกมาถวายว่าขับลำทำเพลงได้ ขอให้เอามาดู พระเจ้าติวอ๋องก็สั่งให้เอาลิงเผือกเข้ามาขับรำถวาย นางขันกีเมื่อฟังลิงขับรำอยู่นั้นเคลิ้มสติม่อยหลับไป เฮาหลีปีศาจซึ่งสิงอยู่ก็กลายเป็นเสือปลาคนทั้งปวงหาเห็นไม่ แต่ลิงเผือกแลเห็นก็วิ่งขึ้นไปจะจับตัวเฮาหลี นางขันกีตกใจหลบเข้าแอบหลังพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นก็เอาไม้กระบองตีลิงเผือกตาย

๏ นางขันกีได้ทีจึงทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้แกล้งเอาลิงมาจะให้ฆ่าข้าพระองค์ หากพระองค์ช่วยทันข้าพระองค์จึงรอดจากความตาย พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งทรงพระโกรธ ตรัสถามกองจู๊เปกอิบโค้ว่า เหตุใดตัวแกล้งปล่อยลิงขึ้นมาให้ทำร้ายนางขันกี กองจู๊เปกอิบโค้จึงทูลว่า ลิงเป็นชาติเดียรัจฉาน เห็นพระองค์เสวยผลไม้อยู่บนโต๊ะ ไม่รู้จักว่าต่ำสูงก็เข้าไปหยิบกินเพราะความอยาก อนึ่งมือลิงก็หามีอาวุธถือไม่ จะว่าฆ่าคนกระไรได้ พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งทรงพระโกรธตรัสว่า อ้ายเจ้าสำนวน เมื่อสอนให้นางขันกีดีดขิมก็พูดจาหยิกหยอก กูนิ่งเสียครั้งหนึ่งแล้ว กลับปล่อยลิงขึ้นมาจนกูเห็นแก่ตายังไม่รับ แต่แรกกูคิดว่าดีมีกตัญญูมิรู้ก็หาดีไม่ กองจู๊เปกอิบโค้ได้ฟังดังนั้น คิดว่าวันนี้ที่ไหนกูจะรอดชีวิต คิดแล้วจึงด่านางขันกีอีคนพยาบาทน้ำใจพาล ไม่พอที่จะมาใส่โทษกู ว่าแล้วก็ฉวยขิมขว้างเอานางขันกี ขิมนั้นไปตกถูกโต๊ะที่เสวยถ้วยจานแตกกระจายสิ้น พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงพระโกรธยิ่งนัก ตรัสสั่งบูซูให้จับกองจู๊เปกอิบโค้ไปทิ้งลงในเหวให้งูกิน นางขันกีทูลว่าโทษของกองจู๊เปกอิบโค้ทำดังนี้ อย่าทิ้งลงในเหวเลย ให้เอาตะปูตอกตรึงมือตรึงเท้า แล้วเชือดเนื้อทำไส้ขนมเปียไปให้กีเซียงกิน ถ้ากีเซียงเป็นนักปราชญ์เหมือนคำคนเลื่องลือ ก็จะรู้ว่าเนื้อกองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตรหากินไม่ จึงให้ฆ่ากีเซียงเสียด้วย ถ้ากีเซียงกินเนื้อลูกก็เห็นว่าเป็นคนโง่หาต้องการที่จะฆ่าไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เจ้าว่านี้เหมือนข้าคิดดีนัก จึงสั่งให้ทำตามคำนางขันกีว่า แล้วสั่งให้ขุนนางกับบูซูกำกับกันเอาขนมเปียไปให้กีเซียงกิน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ