๔
๏ ฝ่ายเชาชวนต๋งครั้นมาถึงเมืองกีจิวเฮ้า ก็เข้าไปคำนับบิดาแล้วเล่าเนื้อความซึ่งได้รบกับซ่องเฮกเฮ้าจนซ่องเฮกเฮ้าปล่อยตัวมา ให้แก่บิดาฟังทุกประการ เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มีใจยินดีนัก จึงเล่าความซึ่งกีเซียงให้หนังสือมานั้นให้เชาชวนต๋งฟัง แล้วจึงว่าประเพณีพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นใหญ่แก่คนอันเป็นข้าอยู่ในขอบขันทเสมา ตัวเราก็เป็นข้าแผ่นดิน ชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่าน บัดนี้พระมหากษัตริย์จะต้องพระราชประสงค์บุตรเรา แม้นเราจะอาลัยขืนขัดไว้ไม่ถวายครั้งนี้ก็จะได้ความเดือดร้อนแก่ไพร่บ้านพลเมือง ควรบิดาจะพานางขันกีผู้น้องเจ้าไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋องตามประสงค์จึงจะชอบ เจ้าจงอยู่รักษาเมืองบำรุงราษฎรเถิด บิดาไปไม่ช้านักก็จะกลับคืนมา เชาฮูว่าดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง สั่งหญิงคนใช้ให้ไปหานางเฮียสีและนางขันกีมาแล้ว เชาฮูจึงเล่าเนื้อความทั้งปวง ซึ่งกีเซียงมีหนังสือมานั้นให้ฟังทุกประการ นางเฮียสีครั้นแจ้งว่าบุตรจะจากอกไปดังนั้นมีความอาลัยนัก จึงร้องไห้วิงวอนเชาฮูผู้สามีว่า ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงคนเดียวรักดังดวงชีวิต หวังว่าจะได้เห็นหน้ากันเมื่อยามไข้เจ็บ ข้าพเจ้าเล่าก็ตั้งใจจะฝากผีแก่บุตร ซึ่งท่านจะพรากบุตรข้าพเจ้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋องนั้น ข้าพเจ้าก็จะมีแต่ความระกำใจ ขอท่านจงดำริดูก่อนเถิด เชาฮูได้ฟังภรรยาว่ากล่าววิงวอนดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วว่าแก่ภรรยาว่า เดิมเราก็คิดอยู่ว่าจะสู้เสียชีวิตหวังจะมิให้เสียบุตร จึงทำการรบพุ่งกับซ่องเฮ่าเฮ้าจนซ่องเฮกเฮ้าจับเชาชวนต๋งไปได้ ทหารทั้งปวงก็ล้มตายเป็นอันมาก ถ้าแลเมืองกีจิวเฮ้าเสียลงในครั้งนี้ ราษฎรทั้งปวงก็จะพลอยฉิบหายด้วย และผู้ซึ่งได้ความเดือดร้อนก็จะนินทาว่า เกิดจลาจลทั้งนี้เพราะบุตรเราผู้เดียว และซึ่งกองทัพเลิกกลับไปนั้น ก็เพราะเรารับคำกีเซียงว่าจะพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นเราจะคืนคำเสียกีเซียงก็จะติเตียนว่าเราเจรจาไม่จริง แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็จะยกกองทัพใหญ่มาตีเมืองเราอีก ซึ่งจะต้านทานกำลังพระเจ้าติวอ๋องนั้น ก็เหมือนหนึ่งเอาฟางทอดลงกลางกองเพลิงสำหรับแต่จะฉิบหายไป ประการหนึ่งราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงก็จะนินทาว่าเราหากตัญญูต่อแผ่นดินไม่ ความชั่วก็จะติดตัวอยู่ตราบเท่าสิ้นชีวิต ซึ่งเกิดการทั้งนี้เพราะสำหรับกรรมของเราเอง เจ้าอย่าโศกเศร้านักเลย นางเฮียสีจึงว่า ซึ่งท่านขัดพระราชอาญามิได้ และจะพาบุตรไปถวายก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าคิดวิตกว่า ถ้าพระเจ้าติวอ๋องโปรดปรานบุตรเราอยู่ ข้าพเจ้ากับท่านก็จะค่อยมีความสุข ถ้าแลพระเจ้าติวอ๋องไม่โปรดปรานบุตรเรา เราก็จะยิ่งมีความทุกข์ทวีไป ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็สำหรับแต่จะตรอมใจตาย เชาฮูจึงว่าพระเจ้าติวอ๋องต้องพระราชประสงค์บุตรเรา เราก็บิดพลิ้วอยู่มิได้ถวาย จนยกกองทัพมาตีเมืองเรา บัดนี้เราเกรงกลัวพระราชอาญาจึงยอมถวายบุตร ซึ่งพระเจ้าติวอ๋องจะโปรดและมิโปรดนั้น ก็ตามวาสนาของนางขันกีเถิด ใช่ว่าเราสวามิภักดิ์ถวายบุตรโดยดีเมื่อไรเล่า การทั้งนี้ก็เพราะความจำใจ ซึ่งจะคิดดังนั้นหาควรไม่ เจ้าจงหักใจเสียเถิด นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่มิอาจที่จะว่าประการใด เชาฮูกับนางเฮียสีก็สั่งสอนบุตรทุกประการ แล้วเรียกเชาชวนต๋งเข้ามาสั่ง ให้จัดแจงทหารสามพันกับขุนนางห้าร้อย เกวียนบรรทุกทรัพย์สิ่งของ และรถสำหรับนางให้พร้อมไว้ เชาชวนต๋งก็ไปจัดตามคำเชาฮูสั่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าเชาฮูก็ให้จัดแจงทรัพย์สิ่งของทั้งปวงบรรทุกเกวียนพร้อมแล้ว จึงสั่งหญิงคนใช้ให้ไปเชิญนางขันกีผู้บุตร นางขันกีได้แจ้งดังนั้น ก็เข้าไปยังนางเฮียสีผู้เป็นมารดาแล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าตั้งใจจะอยู่สนองคุณท่านกว่าจะหาชีวิตไม่ บัดนี้ก็เป็นผลกรรมของข้าพเจ้าแล้ว ท่านจงค่อยอยู่จงดีเถิด ซึ่งข้าพเจ้าไปครังนี้ที่ไหนจะได้กลับมาเห็นท่านอีกเล่า นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็กอดนางขันกีเข้าร้องไห้ด้วยความอาลัยมิใคร่จะจากกันได้ หญิงคนใช้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ก็ปลอบนางเฮียสีและนางขันกีว่า ซึ่งท่านจะมาร้องไห้รักกันอยู่ดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นหาควรไม่ การทั้งนี้จำเป็นจำจากกัน ขอท่านจงระงับความโศกเสียเถิด บัดนี้เชาฮูคอยท่าอยู่ นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายโศกลงเพราะความจนใจ หญิงคนใช้ก็คำนับเชิญนางขันกีไปขึ้นรถ เชาฮูก็ขึ้นม้าให้ยกทหารออกจากเมืองกีจิวเฮ้า เชาชวนต๋งก็ตามออกไปส่งทางไกลเมืองประมาณสิบเส้น แล้วคำนับลาบิดากลับมาเมือง
๏ ขณะนั้นเชาฮูจึงให้เอาธงแพรเหลืองสองคันให้ทหารถือไปหน้า และธงนั้นจารึกเป็นตัวอักษรว่ากุยหยิน แปลเป็นคำไทยว่าผู้มีบุญ และเชาฮูให้ทหารรีบเดินมาประมาณทางเจ็ดวันก็ถึงเมืองอินจี๋น พอเวลาจวนจะพลบค่ำ เชาฮูจึงเข้าไปที่กงก๋วนเป็นที่ตำแหน่งขุนนางไปมาราชการเข้าหยุดพัก
๏ ฝ่ายเจ้าพนักงานซึ่งรักษากงก๋วน จึงออกมาคำนับเชาฮูแล้วถามด้วยกิจราชการ เชาฮูก็แจ้งเนื้อความให้ฟังทุกประการ แล้วเชาฮูจึงสั่งแก่เจ้าพนักงานว่า เวลาค่ำวันนี้เราจะให้บุตรเราเข้าหยุดพักในกงก๋วนนี้ ท่านจงเร่งจัดแจงการให้พร้อมไว้ เจ้าพนักงานซึ่งรักษากงก๋วนจึงบอกแก่เชาฮูว่าในกงก๋วนนี้ประมาณสามปีมาแล้ว มีปิศาจร้ายย่อมกระทำอันตรายแก่ผู้ไปมาราชการ ซึ่งมาหยุดพักในกงก๋วนนี้เนืองๆ อยู่ ซึ่งท่านจะไว้บุตรในกงก๋วนนี้ ขอท่านจำดำริดูก่อน เชาฮูได้ฟังเจ้าพนักงานว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราจะพาบุตรไปถวายพระมหากษัตริย์ แลบัดนี้บุตรเราก็เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว เราจะเกรงอะไรกับปิศาจ ท่านจงเร่งไปจัดแจงการทั้งปวงให้พร้อมไว้เถิด เจ้าพนักงานก็ไปทำตามคำเชาฮูสั่งทุกประการ ครั้นเวลาพลบค่ำเชาฮูจึงพานางขันกีเข้าไปในกงก๋วน ให้นางขันกีอยู่ห้องข้างใน กับหญิงคนใช้ประมาณห้าสิบคนให้พิทักษ์รักษาอยู่ แล้วเชาฮูจึงสั่งให้ทหารสามพันล้อมอยู่นอกกงก๋วน ขุนนางห้าร้อยนั้นก็แบ่งออกเป็นสี่กองรักษาประตูทั้งสี่ด้าน ตัวเชาฮูนั้นอยู่ห้องนอกแต่คิดกริ่งใจอยู่ จึงถอดกระบี่วางไว้ข้างตัวตามเทียนดูหนังสืออยู่ร้องตรวจตราทหารทุกทุ่มยามมิได้ประมาท
๏ ฝ่ายเฮาหลีปิศาจซึ่งรับคำนางเทพธิดาหนึงวาสีมากระทำให้พระเจ้าติวอ๋องปราศจากราชสมบัตินั้น ก็เที่ยวไปทั้งนอกเมืองในเมืองยังมิได้ช่องที่จะทำการได้ ครั้นเห็นเชาฮูพาบุตรมาจะไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋อง หยุดพักนอนในกงก๋วนวันนั้น จึงคิดว่าจะฆ่านางผู้นี้เสีย แล้วจะเข้าสิงอยู่ในรูปนาง จะล่อลวงให้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงปราศจากราชสมบัติให้จงได้ เฮาหลีปิศาจคิดแล้วก็เข้าไปคอยท่วงทีอยู่ ครั้นเวลาประมาณสามยามเศษ เฮาหลีปิศาจก็เข้าไปในห้องนางขันกีอยู่นั้น และเมื่อขณะเฮาหลีปิศาจเข้าไปนั้น บันดาลเป็นลมไปถูกตัวเชาฮู เชาฮูนั้นให้เยือกเย็นไปทั่วสรรพางกาย เชาฮูก็คิดกริ่งใจอยู่ พอได้ยินเสียงคนใช้ซึ่งนอนอยู่กับนางขันกีนั้นร้องขึ้นว่ายักษ์เข้ามาแล้ว เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงฉวยกระบี่ลุกขึ้นถือโคมเดินเข้าไปถึงประตูห้องโคมดับไป เชาฮูก็กลับออกมาเรียกคนใช้ให้เร่งหาเพลิงมา
๏ ขณะนั้นเฮาหลีปีศาจก็เข้าไปกระทำนางขันกีให้สิ้นชีวิต แล้วก็เข้าสิงอยู่ในกายนางนั้น แสร้งทำนอนอยู่เป็นปรกติ เชาฮูได้เพลิงจุดโคมแล้ว ก็เดินรีบกลับเข้าไปในห้อง เห็นหญิงคนใช้ทั้งปวงพากันตกตะลึงอยู่สิ้น เชาฮูจึงเปิดมุ้งเข้าไป เห็นนางขันกีนอนนิ่งเป็นปรกติอยู่ เชาฮูจึงถามว่า เมื่อหญิงคนใช้ร้องขึ้นว่ายักษ์เข้ามานั้นเจ้าเห็นหรือไม่ เฮาหลีปีศาจซึ่งเป็นนางขันกีจึงแสร้งบอกเชาฮูว่า ได้ยินเสียงคนร้องแลไปก็มิได้เห็นตัวยักษ์ว่าเป็นประการใด ครั้นเห็นบิดาถือโคมเข้ามาก็สิ้นความกลัว เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าเดชะบุญของเจ้าซึ่งจะได้เป็นข้าพระมหากษัตริย์ เทพยดารักษาอยู่จึงมิได้เป็นอันตราย แล้วจึงว่าแก่หญิงคนใช้ทั้งปวงจงไปนอนหลับเสียให้เป็นปรกติเถิด เชาฮูก็กลับออกไปนอนจุดเทียนดูหนังสืออยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้าเชาฮูจัดแจงทหารทั้งปวงพร้อมแล้ว เชิญนางขันกีขึ้นรถรีบไปทางประมาณสามวันก็ถึงเมืองจิวโก๋ เชาฮูจึงยับยั้งอยู่แต่นอกเมืองทางประมาณร้อยเส้น จึงใช้คนให้ถือหนังสือเข้าไปแจ้งความทั้งปวงแก่บู๊เสงอ๋อง
๏ ฝ่ายบู๊เสงอ๋องได้แจ้งความในหนังสือเชาฮูดังนั้น จึงตอบหนังสือไป ให้เชาฮูพาบุตรเข้ามาในเมืองจิวโก๋เถิด แต่ไพร่พลทั้งปวงนั้นให้พักอยู่นอกเมืองก่อน เชาฮูแจ้งในหนังสือบู๊เสงอ๋อง ก็พานางขันกีมาอยู่ในเมืองจิวโก๋ตามคำบู๊เสงอ๋อง
๏ ฝ่ายฮิวฮุนฮุยต๋งแจ้งความว่าเชาฮูพาบุตรมาถึงเมืองจิวโก๋แล้ว มิได้เห็นเชาฮูเอาสิ่งของใดมาคำนับก็มีใจพยาบาท จึงคิดกันว่าชีวิตเชาฮูก็อยู่ในเงื้อมมือเรา ซึ่งเชาฮูพาบุตรมาถวายครั้งนี้ก็เพราะเราช่วยเพ็ดทูลพระเจ้าติวอ๋อง และเชาฮูมิได้รู้จักคุณเรา จำเราจะคิดหาสิ่งผิดใส่เชาฮูให้จงได้ สืบไปเมื่อหน้าจึงจะรู้จักคุณเราบ้าง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ฮิวฮุนฮุยต๋งก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง ณ พระที่นั่งที่ข้างใน แล้วกราบทูลว่า บัดนี้เชาฮูพาบุตรมาถึงแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้น ก็คิดขึ้นมาถึงเมื่อเชาฮูทำหยาบช้าไว้แต่หลังก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่าเชาฮูนี้เป็นคนหยาบช้าหากตัญญูมิได้ เราจะเอาโทษเสียครั้งหนึ่งแล้ว เพราะท่านทั้งสองว่ากล่าวทัดทานเรา เราจึงปล่อยให้เชาฮูไป เชาฮูกลับเขียนโคลงเป็นข้อหยาบช้าไว้ ที่บานประตูกงก๋วนมิหนำยังคิดกบฏแข็งเมืองอีกเล่า บัดนี้เห็นจะสู้รบเรามิได้ มันจึงพาบุตรมาให้เรา ครั้นจะมิเอาโทษสืบไปเมื่อหน้าขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่าง ฮิวฮุนฮุยต๋งได้ท่วงทีจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะให้ลงโทษเชาฮูนี้ควรแล้วข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จออก ณ พระที่นั่งเต๊กเตี้ยน แปลเป็นคำไทยว่าท้องพระโรงเป็นที่เสด็จออก ขุนนางเฝ้าพร้อม เจ้าพนักงานจึงกราบทูลว่า เชาฮูเมืองกีจิวเฮ้าจะเข้ามาเฝ้าพระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้เข้ามา
๏ ฝ่ายเชาฮูรู้ว่าโทษตัวผิดอยู่แต่ก่อน ก็มิได้แต่งตัวตามธรรมเนียมขุนนางใส่เสื้อและกางเกงอย่างนักโทษ ครั้นเข้าไปถึงหน้าที่นั่งคุกเข่าลงคำนับแล้ว จึงกราบทูลว่าข้าพเจ้าเชาฮูผู้โทษถึงตาย พาบุตรมาถวายตามแต่จะโปรด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่าท่านสิจารึกโคลงไว้ที่ประตูกงก๋วนนั้น ว่าไม่ไปมาเมืองเราแล้วเหตุไฉนตัวจึงมาเล่า ครั้นให้ซ่องเฮ่าเฮ้ายกทัพไป ตัวก็มิได้ออกมาอ่อนน้อมกลับตั้งแข็งเมือง ตัวคิดกบฏต่อเราแล้ว บัดนี้คิดประการใดเล่าจึงมาอ่อนง้อ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้เอาตัวเชาฮูไปปรึกษาโทษตามกฎหมาย สิวเสี้ยงเสียงแคะขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งได้ฟังดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งจะให้ปรึกษาโทษลงพระราชอาญาเชาฮูนั้นก็ควรอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่ากีเซียงซึ่งเป็นเจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้า ได้มีหนังสือเข้ามาถึงข้าพเจ้าฉบับหนึ่งเป็นใจความว่ากีเซียงมีหนังสือไปว่ากล่าวเชาฮูว่า เชาฮูได้กระทำความผิดไว้แต่ก่อนเป็นข้อใหญ่ และให้เชาฮูจัดแจงบุตรไปถวายตามรับสั่งจึงจะชอบ เชาฮูก็กระทำตามข้าพเจ้า เห็นว่าเชาฮูรู้สึกตัวกลัวพระราชอาญาอยู่แล้ว ขอให้งดโทษเชาฮูไว้ครั้งหนึ่งก่อน ฮิวฮุนฮุยต๋งได้ฟังสิวเสี้ยงเสียงแคะทูลดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งสิวเสี้ยงเสียงแคะกราบทูลขอโทษเชาฮูก็ควรอยู่แล้ว แต่ขอให้พาบุตรเชาฮูเข้ามาทอดพระเนตรก่อนแม้นบุตรเชาฮูรูปงามกว่าหญิงทั้งเมืองเหมือนคำเล่าลือชอบอัชฌาสัยแล้ว ก็ควรจะให้ยกโทษเชาฮูไว้ ถ้าบุตรเชาฮูไม่งามเหมือนคำลือ มิได้ต้องพระประสงค์ก็ควรให้ลงโทษเชาฮูถึงสิ้นชีวิต อย่าให้ขุนนางและทหารหัวเมืองทั้งปวงดูเยี่ยงอย่างสืบไป พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังฮิวฮุนฮุยต๋งทูลดังนั้นเห็นชอบด้วยมีความยินดี จึงสั่งเจ้าพนักงานให้ไปรับตัวบุตรเชาฮูเข้ามา เจ้าพนักงานก็ออกไปพานางขันกีเข้ามาถวาย ให้พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตร
๏ ฝ่ายเฮาหลีปิศาจซึ่งเข้าสิงกายนางขันกีอยู่นั้น ครั้นเจ้าพนักงานพาเข้ามาหน้าที่นั่ง จึงแสร้งทำจริตกิริยามารยาทปิศาจต่างๆ หวังจะให้ยั่วยวนพระทัย แล้วจึงกราบทูลว่าตัวข้าพเจ้าชื่อขันกีเป็นบุตรเชาฮูซึ่งเป็นโทษ สวามิภักดิ์เข้ามาแล้วแต่จะโปรด พระเจ้าติวอ๋องครั้นเป็นรูปโฉมนางขันกีงามคล้ายเหมือนนางเทพธิดาหนึงวาสี และจะหาสตรีผู้ใดงามเสมอมิได้ ให้บังเกิดความรักใคร่ชอบอัชฌาสัยในนางขันกียิ่งนัก ยิ่งได้ฟังสำเนียงนางกราบทูลไพเราะอ่อนหวานจับพระทัยพระเจ้าติวอ๋อง จึงให้เจ้าพนักงานประคองนางขันกียืนขึ้นทอดพระเนตรทั่วสรรพางกาย นางปิศาจก็ทำจริตกิริยาให้ชอบพระอัชฌาสัยต่างๆ พระเจ้าติวอ๋องพิศดูรูปโฉมนางขันกีพลางตรัสชมว่านางขันกีบุตรเชาฮูคนนี้ มีรูปทรงจริตกิริยามารยาทงามดังนางฟ้ามาแต่สวรรค์ สตรีในแผ่นดินจะได้งามเสมอเหมือนนางขันกีหามิได้ พระเจ้าติวอ๋องชอบพระอัชฌาสัยในนางขันกียิ่งนัก จึงสั่งให้เชาฮูพ้นโทษเลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่กินเมืองกีจิวเฮ้าดังเก่า แล้วให้เจ้าพนักงานจ่ายข้าวพระราชทานเชาฮูเสมอเดือนละสองพันหาบ ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเชาฮูสามวัน แล้วให้ขุนนางฝ่ายทหารสามนาย พลเรือนสองนายคุมทหารไปส่งเชาฮูให้ถึงเมืองกีจิวเฮ้า เชาฮูมีความยินดีนัก จึงกราบถวายบังคมลาพระเจ้าติวอ๋องไป พระเจ้าติวอ๋องจึงให้ส่งนางขันกีเข้าไปข้างในแล้วเสด็จขึ้น ขุนนางต่างคนต่างกลับไปบ้าน เดินพูดถึงเชาฮูไป
๏ ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องแต่ได้นางขันกีมาไว้ ก็ลุ่มหลงไปด้วยมารยาปีศาจ นางขันกีจะเพ็ดทูลว่ากล่าวสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบทุกประการ พระมเหสีและสนมนางในทั้งปวง ก็มิอาจจะเพ็ดทูลทัดทานตักเตือนพระเจ้าติวอ๋องได้ไม่ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่แต่งข้างใน มิได้ออกว่าราชการบ้านเมืองประมาณเดือนเศษ ข้อราชการในเมืองและหัวเมือง ซึ่งบอกกิจราชการและบรรณาการทั้งปวง ซึ่งค้างอยู่มิได้กราบทูล ถ้าจะเก็บกองไว้ก็สูงเท่าภูเขาใหญ่ ขุนนางและราษฎรหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองจิวโก๋ถึงแปดร้อยเศษนั้น ครั้นหาผู้ที่จะตัดสินกิจสุขทุกข์มิได้ ก็ได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก