๔๘
๏ เตียวกองเบ๋งทิ้งกรรไกรขึ้นไปบนอากาศ บังเกิดเป็นมังกรสองตัวไล่ฟาดมาด้วยกำลังฤทธิ์ เหยียนเต๋งโตหยินเห็นก็โดดลงจากหลังกวางอ่านมนต์หายตัวหนีไป กรรไกรที่เป็นมังกรก็ฟาดลงมาถูกกวางตัวขาดเป็นสองท่อน เตียวกองเบ๋งครั้นเหยียนเต๋งโตหยินหนีไปก็ชวนบุนไทสือคืนเข้าค่าย เหยียนเต๋งโตหยินก็กลับมาหอคอย อาจารย์ทั้งปวงต่างถามเหยียนเต๋งโตหยินว่าวันนี้ท่านไปรบด้วยเตียวกองเบ๋งเป็นอย่างไรบ้าง เหยียนเต๋งโตหยินสั่นศีรษะแล้วบอกว่า เตียวกองเบ๋งมันได้อาวุธมาใหม่มีฤทธิ์มากกว่าอาวุธทั้งปวง มันโยนขึ้นไปบนอากาศ กลายเป็นมังกรสองตัวไล่ฟาดมาดุจลมพัด เราเห็นประหลาดโดดลงจากหลังกวางอ่านมนต์หายตัวมาจึงมิได้เป็นอันตราย แต่กวางซึ่งเราขี่ไปนั้นเห็นจะตายเสียแล้ว พูดกันมิทันขาดคำโลเฉียก็วิ่งขึ้นมาบอกว่า มีอาจารย์ผู้หนึ่งมาหาท่าน เหยียนเต๋งโตหยินก็ให้เชิญขึ้นบนหอคอยทำคำนับกันตามธรรมเนียมแต่หารู้จักกันไม่ เหยียนเต๋งโตหยินจึงถามว่าท่านไปไหนมามีธุระกังวลอันใดหรือ เล็กอับจึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเล็กอับ สำนักอยู่เขากุนหลุนฝ่ายทิศตะวันตก ด้วยรู้ไปว่าเตียวกองเบ๋งเป็นคนถือผิด หาได้อยู่ในถ้อยคำอาจารย์สั่งสอนไม่ ไปเข้าด้วยพวกบุนไทสือคิดจะทำอันตรายท่านทั้งปวง ข้าพเจ้าจึงมาปรารถนาจะช่วยท่านล้างชีวิตเตียวกองเบ๋ง เหยียนเต๋งโตหยินและอาจารย์ทั้งปวงได้ฟังเล็กอับว่าดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงสั่งให้ทำโต๊ะมาเลี้ยงเล็กอับ
๏ ฝ่ายเตียวกองเบ๋งครั้นรุ่งเช้าก็ขี่เสือออกมายืนอยู่หน้าค่าย ร้องเรียกเหยียนเต๋งโตหยินว่า ท่านผู้มีเวทมนต์หายตัวดีเร่งออกมาเร็วๆ จะได้ดูฝีมือกัน เล็กอับได้ฟังจึงบอกกับเหยียนเต๋งโตหยินว่า วันนี้ข้าพเจ้าจะขอออกไปต้านทานกำลังเตียวกองเบ๋งดูสักครั้งหนึ่ง ถ้าเห็นได้ท่วงทีก็จะเอาชัยชำนะด้วยฝีมือ แม้นเราเสียทีเตียวกองเบ๋งก็จะกลับมาเอาชัยชำนะด้วยอุบาย ว่าแล้วจับกระบี่ลงจากหอคอย เดินออกมาหน้าค่ายยืนอยู่ตรงหน้าเตียวกองเบ๋ง เตียวกองเบ๋งแลเห็นคนเตี้ยเดินออกมานอกค่าย จึงถามว่าท่านชื่อไรสำนักอยู่ตำบลใด เราเห็นรูปร่างไม่เทียมเพื่อนแต่จะข้ามก้อนดินก็ไม่พ้น นี่ตัวท่านจะออกมารบด้วยเราหรือ เล็กอับจึงตอบว่าอันชื่อเสียงแลถิ่นฐานเรามิใช่คนเช่นท่าน ถึงจะบอกท่านก็ที่ไหนท่านจะรู้จัก เรามาแต่เขากุนหลุนฝ่ายทิศตะวันตกชื่อว่าเล็กอับ เตียวกองเบ๋งก็มีความโกรธ จึงว่าอ้ายคนปิศาจพูดจาเย่อหยิ่งไม่เกรงเรา ว่าแล้วขับเสือเข้าไล่ตีด้วยกระบองเหลี่ยม เล็กอับก็รับด้วยกระบี่ รบกันสี่ห้าเพลงอาวุธ เตียวกองเบ๋งก็ขว้างกรรไกรทองขึ้นไปบนอากาศสว่างดุจแสงเพลิง เล็กอับเห็นก็ตกใจอ่านมนต์กลายเป็นตะขาบหนีไป เตียวกองเบ๋งรู้ว่าเล็กอับหนีก็หัวเราะแล้วกลับคืนเข้าค่าย
๏ ฝ่ายเล็กอับหนีกลับมาหอคอยบอกเหยียนเต๋งโตหยินว่า เตียวกองเบ๋งคนนี้ดีทั้งฝีมือและวิชาชำนาญในการรบ ที่จะคิดเอาชัยชำนะเห็นจะได้โดยยาก ข้าพเจ้าจึงกลับคืนมาจะคิดฆ่าด้วยอุบายแลความรู้จึงจะสำเร็จ เหยียนเต๋งโตหยินจึงตอบว่าตามแต่ท่านจะคิดอ่านเป็นประการใด ข้าพเจ้าจะให้กระทำตาม เล็กอับจึงสั่งหลำจงกวดบูกิดสองนายให้คุมคนสามพันไปตั้งค่ายบนเขากิสาน แล้วให้ปลูกหอคอยไว้อันหนึ่งในกลางค่าย ให้เกียงจูแหยเอาหญ้าทำเป็นรูปคน เขียนชื่อเตียวกองเบ๋งใส่ในรูปหุ่น จึงให้ยกขึ้นไปนอนไว้บนหอคอย แล้วให้จุดตะเกียงไว้ที่ศีรษะดวงหนึ่ง ปลายเท้าดวงหนึ่ง แล้วลงเลขยันต์ตามตำราเผาไฟเช้าเย็นให้ครบยี่สิบเอ็ดวัน แล้วก็ส่งตำราให้กับเกียงจูแหยเร่งไปทำตามตำรานี้เถิด ถ้าถึงกำหนดยี่สิบเอ็ดวันข้าพเจ้าจึงจะไป หลำจงกวดบูกิดก็คุมคนสามพันรีบไปทำค่าย เกียงจูแหยก็ไปผูกหุ่นเผาเลขยันต์ตามคำสั่งเล็กอับสั่งทุกประการ
๏ ฝ่ายเตียวกองเบ๋งอยู่ในค่ายเผอิญให้ร้อนรนทั่วสรรพางค์ดังใครเอาดวงใจขึ้นทอดในน้ำมันเดือด เวียนลุกนั่งสับสนผิดกิริยา บุนไทสือเห็นเตียวกองเบ๋งแปลกกิริยาดังนั้นก็มีความรำคาญใจ การศึกทั้งปวงก็งดอยู่ หามีผู้บังคับบัญชาไม่ ขณะนั้นแปะเทียนกุ๋นซึ่งรักษาค่ายกลเดียดเท้าติ้นมาบอกกับบุนไทสือว่า การศึกกำลังจะรบพุ่งติดพันกันอยู่ บัดนี้จะงดไว้ ถ้าข้าศึกรู้ไปว่าเตียวกองเบ๋งป่วยก็จะมีน้ำใจกำเริบ ข้าพเจ้าจะขอออกไปต้านทานไว้พลาง ว่าแล้วแปะเทียนกุ๋นก็เดินมาในค่ายกล ตีกลองสัญญาขึ้นขี่กวางออกไปนอกค่ายร้องประกาศว่าให้เหยียนเต๋งโตหยินจัดทหารที่มีฝีมือออกมาเข้ากลเรา เล็กอับได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ แล้วลาเหยียนเต๋งโตหยินเดินทำเพลงออกมานอกค่าย แปะเทียนกุ๋นจึงถามว่าท่านนี้ชื่อไร เล็กอับบอกว่าเราชื่อเล็กอับ รู้ว่าท่านตั้งค่ายกลไว้ จึงมาหวังจะชมปัญญาและความรู้ท่าน แปะเทียนกุ๋นได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่เข้าไล่ฟันเล็กอับ เล็กอับก็รับด้วยกระบี่รบกันหลายเพลง แปะเทียนกุ๋นหนีเข้าค่ายด้วยมารยาเล็กอับตามเข้าไป แปะเทียนกุ๋นก็ขึ้นบนหอรบหยิบเอาธงสามชายขึ้นโบก ก็บังเกิดเป็นไฟสามประการ คือเพลิงมนุษย์หนึ่ง เพลิงสวรรค์หนึ่ง เพลิงใต้ดินหนึ่ง มาล้อมเล็กอับไว้ เล็กอับมีความรู้ก็นั่งทำเพลงอยู่กลางไฟ แล้วเล็กอับก็ใช้อาวุธไปตัดศีรษะแปะเทียนกุ๋นขาดตาย วิญญาณนั้นก็ไปอยู่ห้องสินไต้ตามที่ เล็กอับก็กลับมาหอคอย
๏ ฝ่ายเอียวเทียนกุ๋นหน้าเหลืองหนวดแดง มีเขี้ยวออกจากปาก ซึ่งเป็นนายค่ายเลาะหุ่นติ้น ขี่กวางถือกระบองเหลี่ยมสั้นออกมายืนอยู่หน้าค่าย เห็นเล็กอับฆ่าแปะเทียนกุ๋นตาย แล้วกลับไปมีความโกรธก็ขับกวางตามมาร้องตวาดเสียงดุจฟ้าผ่า เหยียนเต๋งโตหยินได้ยินก็ใช้ให้ปึงเสียงออกไปรบด้วยเอียวเทียนกุ๋น ปึงเสียงถือทวนออกมาหน้าค่ายร้องว่ากับเอียวเทียนกุ๋นว่า เหยียนเต๋งโตหยินใช้ให้เรามาเอาชีวิตท่าน ว่าแล้วก็ไล่แทงด้วยทวน เอียวเทียนกุ๋นทานกำลังมิได้ก็หนีกลับเข้าค่ายขึ้นบนหอรบ ปึงเสียงก็ไล่ตามเข้าไป เอียวเทียนกุ๋นก็กำทรายโปรยลงมาถูกปึงเสียงตาย วิญญาณไปอยู่ห้องสินไต้ เอียวเทียนกุ๋นครั้นฆ่าปึงเสียงตาย ก็ลงจากหอรบขึ้นขี่กวางกลับมายืนอยู่หน้าค่าย ร้องท้าทายเหยียนเต๋งโตหยิน เหยียนเต๋งโตหยินได้ฟังก็ให้เซกเจงจู๊ออกไปรบกับเอียวเทียนกุ๋น เซกเจงจู๊ถือกระบี่เดินทำเพลงมายืนอยู่ใกล้กัน เรียกชื่อเดิมเอียวเทียนกุ๋นว่าเอียวปิน ตัวท่านนี้หรือฆ่าปึงเสียงตาย ท่านอย่าเพ่อดีใจ ท่านก็จะสิ้นอายุไปตามปึงเสียงวันนี้เป็นมั่นคง เอียวเทียนกุ๋นได้ฟังก็โกรธ เอากระบี่เหลี่ยมตีเซกเจงจู๊ เซกเจงจู๊รับด้วยกระบี่สู้กันเป็นสามารถ เอียวเทียนกุ๋นทำหนีเข้าในค่าย เซกเจงจู๊รู้อยู่ว่าในค่ายกลเลาะหุ่นติ้นนั้นมีของวิเศษ แต่เสื้อปักกั๋วที่ใส่นั้นมีฤทธิ์ วางอารมณ์ได้ ก็ไล่เข้าไปในค่ายเลาะหุ่นติ้น เอียวเทียนกุ๋นก็ขึ้นบนหอรบยกถังทรายเทสาดลงมา ทรายนั้นก็มิได้ถูกเซกเจงจู๊ ด้วยเสื้อนั้นกันอยู่ เอียวเทียนกุ๋นเห็นดังนั้นก็โกรธ จะลงมารบด้วยเซกเจงจู๊ เซกเจงจู๊ก็เอากระจกกิมเวียงเกี้ยขว้างไปถูกเอียวเทียนกุ๋นตกหอรบลงมา แล้วชักกระบี่ตัดศีรษะเอียวเทียนกุ๋นตาย วิญญาณไปอยู่ห้องสินไต้ เซกเจงจู๊ครั้นฆ่าเอียวเทียนกุ๋นตายแล้วก็กลับคืนมาหอคอย
๏ ฝ่ายบุนไทสือเห็นเตียวกองเบ๋งป่วยมากลงก็เสียน้ำใจหาได้คิดการศึกไม่ แล้วซ้ำเสียค่ายกลเลาะหุ่นติ้นค่ายหนึ่ง เดียดเท้าติ้นค่ายหนึ่ง ก็บังเกิดความทุกข์มากขึ้นทอดใจใหญ่แล้วว่า ซึ่งตัวเรามาได้ลำบากยากแค้น พาพวกพ้องมาตายเสียเป็นหลายคนเพราะจิตกตัญญู การศึกครั้งนี้ก็เหลือกำลังนัก ถ้าเตียวกองเบ๋งตายชีวิตคนทั้งปวงก็จะตายด้วย บุนไทสือจึงเข้าพยุงกอดเตียวกองเบ๋งขึ้นไว้แล้วว่า ท่านเป็นคนมีสติปัญญามาก เป็นไรมานอนนิ่งไปดังนี้คนทั้งปวงเสียน้ำใจนัก เตียวกองเบ๋งจึงตอบบุนไทสือว่า ท่านใส่ความเราเปล่าๆ แล้วก็พูดเพ้อไปไม่เป็นสมประดี เตียวเทียนกุ๋นอ๋องเทียนกุ๋นจึงว่ากับบุนไทสือว่า กิริยาเตียวกองเบ๋งผิดกว่าแต่ก่อน ดูประหนึ่งจะต้องกระทำเป็นไรท่านไม่จับยามดูให้รู้จะได้คิดแก้ไข บุนไทสือเห็นชอบด้วย จึงให้จุดธูปเทียนมาตั้งลงที่โต๊ะแล้วจับยามดูก็รู้ จึงบอกแก่เตียวเทียนกุ๋น อ๋องเทียนกุ๋นว่า เล็กอับให้เกียงจูแหยไปตั้งค่ายลงเลขยันต์ทำรูปรอยเตียวกองเบ๋งไว้ ณ เขากิซัว บัดนี้มันทำลูกธนูสามลูกจะยิงให้เตียวกองเบ๋งตาย เราจะทำประการใด อ๋องเทียนกุ๋นจึงว่า ถ้าเล็กอับทำการเช่นนี้ เราจะต้องจัดทหารที่มีฝีมือไปตีค่ายเขากิซัว ชิงเอาลูกธนูมาให้ได้ บุนไทสือจึงว่าเขาคิดทำการเช่นนี้เห็นจะมีผู้ระวังรักษามั่นคง ถ้าแม้นหายตัวไปลักเอาเห็นจะได้โดยง่าย บุนไทสือจึงสั่งตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสู สองคนให้รีบไปเขากิซัว กำบังตัวเข้าไปลักลูกธนูเกียงจูแหยมาให้จงได้ ตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสูสองนายก็รีบไปตามถ้อยคำบุนไทสือสั่ง
๏ ฝ่ายเหยียนเต๋งโตหยินนั่งอยู่บนหอคอย ให้สะดุ้งในใจเป็นหลายครั้งนึกประหลาดก็จับยามดู รู้ว่าบุนไทสือใช้ทหารสองคนไปลักลูกธนู ณ ค่ายเขากิซัว เหยียนเต๋งโตหยินจึงสั่งเอียวเจี้ยน โลเฉีย สองนาย ให้รีบไปบอกเกียงจูแหยให้รู้ตัว โลเฉียรับคำแล้วก็ลุกขึ้นยืนบนกงจักรเหาะมาก่อน เอียวเจี้ยนนั้นขึ้นม้าตามมาภายหลัง
๏ ฝ่ายตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสูสองนาย ที่บุนไทสือใช้นั้นรีบเหาะไป เวลาสองยามเศษถึงค่ายเขากิซัว แลเห็นเกียงจูแหยถือกระบี่สยายผมอ่านมนต์อยู่บนหอคอยกลางค่ายก็กำบังตัวลงมาลักเอาลูกธนูที่เกียงจูแหยวางไว้บนโต๊ะนั้นไป เกียงจูแหยยืนหลับตาอ่านมนต์อยู่ได้ยินเสียงกุก ๆ ที่โต๊ะก็ลืมตาขึ้นดูไม่เห็นลูกธนูก็ตกตะลึงยืนนิ่งอยู่เป็นครู่ หอเห็นโลเฉียมา เกียงจูแหยจึงถามโลเฉียว่าท่านมาด้วยการอันใด โลเฉียบอกว่าเหยียนเต๋งโตหยินให้ข้าพเจ้ามาบอกกับท่านให้รู้ ว่าบุนไทสือใช้ทหารสองคนมาลักธนู ให้ท่านระวังรักษาให้จงดี เกียงจูแหยแจ้งดังนั้นจึงบอกโลเฉียว่า เมื่อกี้เราได้ยินเสียงกุก ๆ ลูกธนูที่วางไว้บนโต๊ะนั้นหายไป ดีร้ายมันมาลักเอาลูกธนูไปแล้ว อย่าช้าเลยท่านจงรีบไปตามชิงเอาลูกธนูกลับคืนมาให้ได้ โลเฉียก็ขึ้นเหยียบจักรเหาะมาสกัดต้นทาง
๏ ฝ่ายเอียวเจี้ยนมาภายหลังคิดด้วยปัญญาว่า ซึ่งเหยียนเต๋งโตหยินให้เอาความไปบอกเกียงจูแหย โลเฉียก็ไปก่อนแล้วเราจะตามไปนั้นเห็นจะไม่ทันท่วงที จึงคิดอุบายทำด้วยความรู้สกัดไว้ที่นี่กว่าโลเฉียจะกลับมา เอียวเจี้ยนก็หยิบเอาหญ้ามาเสกอธิษฐานทิ้งไปเป็นค่ายบุนไทสือ ตัวเอียวเจี้ยนนั้นอ่านมนต์แปลงกายให้เหมือนบุนไทสือนั่งอยู่ในค่ายกับทหารทั้งปวง
๏ ขณะนั้นตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสู สองคนซึ่งบุนไทสือใช้ไปลักลูกธนูได้แล้วก็รีบมาด้วยความยินดี แลเห็นค่ายเอียวเจี้ยนนิมิตรไว้ ก็สำคัญว่าค่ายบุนไทสือตรงเข้าไปในค่ายเห็นบุนไทสือนั่งอยู่ที่ว่าราชการก็เข้าไป เอาลูกธนูสามลูกที่ลักมาได้นั้นส่งให้ เอียวเจี้ยนรับเอาลูกธนูแล้วแสร้งสรรเสริญด้วยมารยาว่า ท่านทั้งสองมีวิชาความรู้หาผู้เสมอมิได้ วันนี้ท่านเหนื่อยมาจงออกไปหลังค่ายกินอยู่ให้สำราญเถิด ตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสูสองนายคำนับแล้วก็ออกไปหลังค่าย ได้ยินเสียงฟ้าร้องขึ้นทีหนึ่งที่ค่ายนั้นก็สูญไป สองนายตกใจยืนนิ่งอยู่กลางทาง แลไปเห็นเอียวเจี้ยนขี่ม้าแกว่งทวนเข้ามาร้องทวงลูกธนู ตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสู เสียรู้เอียวเจี้ยนก็มีความโกรธเป็นกำลัง ถือกระบี่สองมือเข้ารุมรบเอียวเจี้ยนทั้งสองคน เอียวเจี้ยนก็ต่อสู้เป็นสามารถ ขณะนั้นโลเฉียยืนอยู่บนกงจักรเหาะมา เห็นเอียวเจี้ยนกับตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสูรบกันอยู่กลางทาง ก็ลงมาช่วยเอียวเจี้ยนรบสู้กันเป็นสองคู่ โลเฉียได้ทีแทงเอียวเสียวสูตาย ตันเก๋าก๋องตกใจเหลียวมาดูเพื่อนกัน เอียวเจี้ยนก็แทงตันเก๋าก๋อง ถูกรักแร้ล้มลงตายทั้งสองคน วิญญาณก็ไปอยู่ห้องสินไต้ เอียวเจี้ยนจึงว่ากับโลเฉียว่า ท่านรีบเหาะมาโดยกำลังมากไม่อยู่ถ้าเพื่อนกันเลย ดูประหนึ่งจะเอาความชอบแต่ผู้เดียว เราเป็นคนกำลังน้อยค่อยๆ มา แต่เก็บได้ลูกธนูสำคัญไว้สามลูก โลเฉียตอบว่าเหยียนเต๋งโตหยินให้ไปบอกเกียงจูแหยเป็นการเร็ว ก็ไม่ทันท่วงทีจึงรีบกลับมาช่วยท่านรบ ฆ่าเอียวเสียวสูตาย ท่านจึงได้ลูกธนูไว้โดยง่าย ถ้าข้าพเจ้ามาไม่ทันท่านผู้เดียวสู้สองคนจะได้ลูกธนูไว้ก็เต็มที ว่าแล้วต่างคนต่างหัวเราะ ก็พากันกลับไปถึงค่ายเขากิซัว พอสว่างเห็นเกียงจูแหยนั่งเป็นทุกข์อยู่ เอียวเจี้ยนจึงเล่าความที่คิดล่อลวงได้ลูกธนูคืนมาให้เกียงจูแหยฟัง แล้วส่งลูกธนูให้กับเกียงจูแหย เกียงจูแหยรับเอาลูกธนูแล้วสรรเสริญว่า มิเสียทีท่านเป็นทหารเอก เฉลียวฉลาดนัก ใช้ได้ราชการทั้งสองฝ่าย โลเฉียเล่าก็มีกำลังมากรวดเร็วดังใจนึก กลับไปทันช่วยเอียวเจี้ยนรบฆ่าเอียวเสียวสูตาย ความชอบทั้งสองคนไม่มีใครเสมอ แล้วเอียวเจี้ยนโลเฉียก็ลาเกียงจูแหยกลับมาค่าย แจ้งความให้เหยียนเต๋งโตหยิน เล็กอับฟังทุกประการ
๏ ฝ่ายบุนไทสือแต่ใช้ตันเก๋าก๋องเอียวเสียวสูไป ก็นั่งคอยอยู่ยังรุ่งจนตะวันเที่ยงไม่เห็นกลับมา จึงใช้สินห้วนตามไปสืบข่าวดู สินห้วนก็ไป กลับมาบอกบุนไทสือว่า ข้าพเจ้าไปพบตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสูต้องอาวุธตายอยู่ที่กลางทาง บุนไทสือได้ฟังก็เอามือตีลงที่โต๊ะ แล้วร้องไห้เข้ามาหาเตียวกองเบ๋ง เตียวกองเบ๋งลืมตาขึ้นดูเห็นบุนไทสือ จึงถามว่าท่านร้องไห้ด้วยเหตุผลสิ่งอันใด บุนไทสือจึงเล่าข้อความที่เล็กอับให้เกียงจูแหยไปตั้งค่ายทำรูปรอยให้ฟังทุกประการ บัดนี้มันเสกลูกธนูไว้สามลูกจะยิงให้ท่านตาย ข้าพเจ้าจึงใช้ตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสู บังกายไปลักเอาลูกธนูมาเห็นหายไป จึงให้สินห้วนไปสืบข่าว สินห้วนกลับมาบอกว่า ตันเก๋าก๋อง เอียวเสียวสูตายเสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงร้องไห้ด้วยไม่สมความคิด กลัวท่านจะป่วยหนักไป เตียวกองเบ๋งได้ฟังก็ตกใจ ผุดลุกผุดนั่งเหงื่อไหลดังน้ำค้างตก ออกชื่อถึงน้องทั้งสามคน เมื่อเราไปยืมกรรไกรทองก็ได้ทัดทานไว้มิให้มาเพราะมิฟังคำน้อง จะเอาชีวิตมาทิ้งเสียครั้งนี้มีความอัปยศนัก เสียแรงได้เรียนรู้ไว้หวังจะให้มีชื่ออยู่ชั่วฟ้าแลดิน จะมาตายเสียด้วยเล็กอับ ว่าแล้วก็ร้องไห้สั่งบุนไทสือว่า ถ้าชีวิตข้าพเจ้าตายแล้ว ท่านช่วยเอากรรไกรทองกับห่อผ้านี้ไว้ให้กับน้องข้าพเจ้าทั้งสามด้วย สั่งแล้วก็อ่อนเชื่อมนิ่งไป บุนไทสือเห็นเตียวกองเบ๋งอ่อนไปดังนั้นก็มีความทุกข์นัก ดังมีผู้มาควักเอาดวงใจไปก็เหมือนกัน แล้วทอดตัวลงร้องไห้ไม่เป็นสมประดี
๏ ฝ่ายอ๋องเทียนกุ๋นแลเห็นบุนไทสือทอดตัวลงร้องไห้ ก็เจ็บใจนึกมานะมิได้คิดแก่ชีวิต จึงเดินออกมานอกค่ายตรงไปหน้าหอคอยร้องเรียกเหยียนเต๋งโตหยิน ให้เร่งออกมาเปลี่ยนชีวิตกันในเวลาวันนี้ เหยียนเต๋งโตหยิน เล็กอับได้ฟังอ๋องเทียนกุ๋นมาร้องท้าทาย จึงสั่งให้โจโปออกไปรบด้วยอ๋องเทียนกุ๋น โจโปรับคำแล้วก็ถือกระบี่เดินออกมาหน้าค่าย เรียกชื่อเดิมอ๋องเทียนกุ๋นว่าอ๋องเปียน อ๋องเทียนกุ๋นรู้ว่าโจโปเป็นคนจรมา จึงว่ากลการอะไรท่านจะมารบด้วยกับเรา ท่านเป็นคนหากินจงหลบหลีกไปเสียให้พ้นจะพลอยตายด้วยเขาทำไม โจโปจึงว่าเรารู้ว่าชะตาเมืองตกเราจึงมาหาความชอบ ไม่เหมือนท่านที่ถือผิด แต่ค่ายกลพวกท่านถึงสิบค่ายแตกเสียแปดค่ายแล้ว เพราะเทวดาอาเพศหรือมิใช่ อ๋องเทียนกุ๋นได้ฟังก็โกรธ ชักกระบี่ออกไล่ฟันโจโป โจโปก็รับด้วยกระบี่รบกันหลายเพลง อ๋องเทียนกุ๋นก็หนีเข้าในค่าย โจโปก็ไล่ติดตามเข้าไป อ๋องเทียนกุ๋นขึ้นบนหอรบ เอาน้ำเต้าที่ใส่น้ำเสกไว้นั้นสาดลงมาถูกโจโปตาย ตัวละลายเหลวเป็นเลือดไปสิ้น วิญญาณก็ไปอยู่ห้องสินไต้