๓๐
๏ ฝ่ายเอียวจองไต้หูสีหยินซึ่งอยู่ ณ เมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ว่าบุนอ๋องตาย เกียงจูแหยและหัวเมืองทั้งปวงคิดกัน ตั้งกีฮวดเป็นบูอ๋องแทนบิดา จึงไปแจ้งความกับเตียวอ๋องบูจู๋ซึ่งเป็นพระราชบุตรพระเจ้าติวอ๋อง แล้วก็พากันเข้าไปเฝ้า กราบทูลให้แจ้งเรื่องความทุกประการ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า กีฮวดนั้นมันเป็นลูกเล็ก ถึงจะทำประการใดก็จะสู้บุญเราที่ไหนได้ ท่านอย่าวิตกเลย เอียวจองไต้หูสีหยินจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะไว้พระทัยว่าเป็นเด็ก จะสู้บารมีไม่ได้นั้นไม่ควร ด้วยเกียงจูแหยเป็นคนมีสติปัญญาความรู้มาก หลำจงกวดเล่าก็เป็นทหารมีฝีมือกล้าแข็งนักจะละไว้มิได้ ขอให้คิดอ่านปราบปรามเสีย พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้ตรัสตอบประการใด เอียวจองไต้หูสิหยินมีความโกรธ ถวายบังคมลาลุกเดินมาแล้วบ่นว่า ทีนี้วงศ์เสี่ยงทางจะสูญแล้ว กีฮวดจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินสืบไป จึงเผอิญให้เป็นดังนี้
๏ ครั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จขึ้นแล้ว ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็ต่างไปบ้าน จะได้คิดราชการสิ่งไรหามิได้ ครั้นอยู่วันหนึ่งเป็นปีใหม่ พระเจ้าติวอ๋องรับสั่งให้ขุนนางและภรรยาเข้าไปกินโต๊ะในวัง พวกผู้ชายนั้นนั่งรับพระราชทานอยู่นอกมู่ลี่ ที่พระเจ้าติวอ๋องเสวย บรรดาพวกผู้หญิงนั้นรับพระราชทานข้างในกับพระมเหสีและนางสนมทั้งปวง
๏ ฝ่ายนางอึ้งกุยหุยผู้น้องบูเสงอ๋อง ที่เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้ายนั้นก็มาด้วย ครั้นเห็นนางกาสีพี่สะใภ้ ก็มีความยินดีมานั่งใกล้ ต่างคนก็ต่างคำนับปราศรัยกัน นางขันกีแลเห็นก็รู้ว่าคนนี้เป็นภรรยาบูเสงอ๋อง ก็บังเกิดความแค้นคิดพยาบาทบูเสงอ๋องเมื่อครั้งเอานกมาไล่จิกนาง เมื่อกลายเพศเป็นเสือปลาที่ในสวน วันนี้จะคิดแก้แค้นฆ่าเมียมันเสีย แล้วก็ทำอุบายไปนั่งลงริมนางกาสี นางกาสีก็ตกใจยอบตัวลงคำนับ นางขันกีก็รับคำนับ แล้วปราศรัยถามว่าอายุเจ้าได้เท่าไร นางกาสีจึงบอกว่า อายุข้าพเจ้าสี่สิบเก้าปี นางขันกีว่าท่านแก่กว่าเราแปดปี จงเป็นพี่เราเถิดเราจะยอมเป็นน้องท่าน นางกาสีตอบว่าท่านเป็นพระอัครมเหสี ข้าพเจ้าเป็นแต่เมียขุนนางอย่าว่าดังนั้นไม่ควร นางขันกีตอบว่าถึงเราเป็นมเหสีก็เป็นลูกไพร่ ท่านเป็นภรรยาบูเสงอ๋องซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เราทั้งสองก็พอสมควรจะรักกัน จึงให้ยกโต๊ะมาตั้งที่นั้น จึงรินสุราให้นางกาสี นางกาสีก็รับ แล้วชวนกันกิน พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาทอดพระเนตรเห็นนางกาสี นางกาสีตกใจ วิ่งไปแอบอยู่ริมฉาก พระเจ้าติวอ๋องก็ตรัสถามนางขันกีว่า ผู้ใดมานั่งกินโต๊ะอยู่กับเจ้าแล้ววิ่งไป นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าชวนนางกาสีซึ่งเป็นภรรยาบูเสงอ๋องมากินด้วย พระเจ้าติวอ๋องก็ตรัสว่าดีแล้ว นางขันกีจึงกระซิบทูลว่านางกาสีรูปทรงงาม พระองค์จะทอดพระเนตรหรือ ข้าพเจ้าจะเรียกตัวมา พระเจ้าติวอ๋องจึงว่าคนรูปงามเราก็จะใคร่เห็นอยู่ แต่ว่าเขาเป็นเมียบูเสงอ๋อง จะเรียกมานั้นผิดด้วยอย่างธรรมเนียม เขาจะนินทาได้ นางขันกีจึงว่านางอึ้งกุยหุยผู้น้องบูเสงอ๋องก็เป็นเมียของพระองค์ พระองค์กับบูเสงอ๋องก็เหมือนพี่น้องกัน การแต่เพียงนี้ก็เห็นหาผิดอย่างธรรมเนียมไม่ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเสียก่อน แล้วข้าพเจ้าจะพานางกาสีไปอยู่บนเตียะแซเหลา พระองค์จึงเสด็จตามไปทอดพระเนตรเถิด พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จไป นางขันกีจึงจูงข้อมือนางกาสีขึ้นไปเที่ยวเล่นบนพระที่นั่งเตียะแซเหลาอันสูง ครั้นขึ้นไปถึงชั้นเก้า นางกาสีแลลงมาเห็นที่กองกระดูกคนไว้เป็นอันมาก แล้วเห็นสระใส่สุรา และกระทะตั้งต้มส่าเหล่ากับหลาวเหล็กปักไว้ มีศพเก่าใหม่เน่าเป็นหนองเหม็นเป็นที่โสโครก จึงถามนางขันกีว่าเหตุไรจึงทำไว้ดังนี้ นางขันกีบอกว่ารับสั่งให้ทำไว้สำหรับผู้โทษผิดแล้วมัดทิ้งลงไป นางกาสีก็ตกใจตัวสั่นไม่สบาย นางขันกีเห็นดังนั้นจึงว่าพี่ไม่สบายใจแล้ว เชิญขึ้นไปกินเหล้าด้วยกันบนไซร้เก๋งเถิด นางกาสีก็ไป
๏ ฝ่ายนางอึ้งกุยหุยเห็นพี่สะใภ้ไปกับนางขันกีช้านานจึงให้คนไปตามดู คนใช้กลับมาบอกว่า นางขันกีกับนางกาสีนั่งเสพย์สุราอยู่บนพระที่นั่งเตียะแซเหลา นางอึ้งกุยหุยก็คิดกริ่งใจจึงให้กลับคอยแอบดู ถ้าเห็นเหตุประการใดให้กลับมาบอกจงเร็ว หญิงคนใช้ก็กลับไป
๏ ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องมานั่งเสพย์สุราอยู่ด้วยขุนนางสักหน่อยหนึ่งแล้ว มีพระทัยผูกพันถึงนางกาสี จึงเสด็จขึ้นไปบนพระที่นั่งเตียะแซเหลา นางกาสีเห็นก็ตกใจ ลุกลงมาแอบอยู่ใต้โต๊ะ พระเจ้าติวอ๋องจึงทอดพระเนตรดูนางกาสี เห็นรูปทรงงามต้องพระทัย จึงตรัสว่าเจ้านั่งแอบอยู่ที่นั่นไยเล่า จงมานั่งด้วยกัน นางกาสีลุกขึ้นคำนับแล้วทูลว่า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ จะเรียกข้าพเจ้าผู้เป็นข้าไปนั่งด้วยนั้นไม่สมควร นางขันกีจึงว่าพี่อย่าพูดดังนั้นเลย พระเจ้าติวอ๋องทรงพระเมตตาจึงตรัสเรียกเชิญมานั่งกินด้วยกันให้สบายเถิด แล้วพระเจ้าติวอ๋องจึงรินสุราส่งให้นางกาสี นางกาสีจึงทูลว่าบูเสงอ๋องก็เป็นข้าของพระองค์ ได้ทำราชการโดยสัตย์สุจริตมานานแล้ว เหตุไรพระองค์มากระทำแก่ข้าพเจ้าดังนี้เล่า แล้วนางก็ทูลลาเดินหลีกออกไป พระเจ้าติวอ๋องก็ลุกขึ้นกั้นหน้าไว้พลางส่งสุราให้ นางกาสีโกรธปัดถ้วยกระเด็นไป แล้วว่าพระองค์มาทำดังนี้ ข้าพเจ้าได้ความเจ็บอายนัก เหมือนแกล้งตัดศีรษะเสีย แล้วตัดพ้อนางขันกีว่า เป็นเหตุเพราะเจ้าจึงเกิดการทั้งนี้ แต่นางกาสีทูลลาพระเจ้าติวอ๋องเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่ให้ไป นางกาสีก็จนใจ จึงวิ่งออกไปหน้าชานข้างนอก นางคิดสงสารถึงสามีกับบุตรก็ร้องไห้ ครั้นเห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาตามก็ร้องว่า เป็นกรรมแต่ก่อนได้ทำไว้มาทันแล้ว จึงเกิดการทั้งนี้เป็นที่เจ็บอาย จำจะไว้ความสัตย์ในแผ่นดิน ให้เทวดามนุษย์เห็นเถิดว่าซื่อตรงต่อสามี นางกาสีก็โจนลงมาตาย
๏ ฝ่ายคนสนิทนางอึ้งกุยหุยซึ่งแอบฟังอยู่นั้น ก็วิ่งมาบอกนางอึ้งกุยหุย นางอึ้งกุยหุยก็รีบขึ้นไปบนพระที่นั่ง เห็นแต่พระเจ้าติวอ๋องกับนางขันกีอยู่ที่นั้น รู้ว่านางกาสีพี่สะใภ้ตายแน่แล้ว จึงทูลว่าพระองค์มาคิดการกับนางขันกีดังนี้ จนนางกาสีตายนี้ชอบอยู่แล้วหรือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ใครจะได้ทำอะไรก็หาไม่ นางกาสีเห็นเรามาก็ตกใจ วิ่งหนีพลัดตกลงไปตายเอง นางอึ้งกุยหุยจึงว่าอย่าตรัสแก้ไปเลย ข้าพเจ้ารู้อยู่สิ้นแล้ว นางจึงด่านางขันกีว่า เกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะมึงพยาบาทพี่กู ครั้งเอานกมาจิกเมื่อมึงเป็นเสือปลา จึงแกล้งยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องหลงเชื่อ ทำการทั้งนี้จนพี่สะใภ้กูตาย แล้วนางก็เข้าตบตีนางขันกี นางขันกีสู้หลบหลีก ด้วยคิดว่าจะสู้รบด้วยกำลังฤทธิ์บัดนี้เล่า ก็กลัวว่าพระเจ้าติวอ๋องจะรู้ว่าเป็นปีศาจ จึงสู้ทนความเจ็บร้องว่าพระองค์ช่วยข้าพเจ้าด้วย พระเจ้าติวอ๋องจึงผลักนางอึ้งกุยหุยออกไป แล้วว่านางขันกีเขาได้ทำไมโกรธเขาเปล่าๆ ตัวเป็นแต่มเหสีซ้าย ว่าล่วงเกินดังนี้ผิดหนักหนา นางอึ้งกุยหุยโกรธวิ่งเข้าตีเอาพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องถีบเอานางอึ้งกุยหุยตกเตียะแซเหลาลงไปตาย แล้วพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมานั่งนิ่งคิดถึงการที่ตัวทำผิดให้รำคาญพระทัย
๏ ฝ่ายพวกผู้หญิงบ่าวนางกาสี ซึ่งตามมานั่งคอยอยู่ที่ประตูช้านานไม่เห็นนายกลับออกไป ก็ประหลาดใจจึงเดินมาพบหญิงในวังคนหนึ่งถามว่า เห็นนางกาสีภรรยาบูเสงอ๋องหรือ หญิงนั้นจึงบอกตามจริงว่า นางกาสีนางอึ้งกุยหุยทำความผิดตายที่พระที่นั่งเตียะแซเหลาทั้งสองคนแล้ว หญิงที่เป็นบ่าวนั้นก็ตกใจ พากันวิ่งกลับไปบ้าน พอบูเสงอ๋องนั่งเสพย์สุราอยู่กับอึ้งฮุยปิว อึ้งฮุยป้า อึ้งเบ๋งน้องชาย กับอึ้งเทียนหลก อึ้งเทียนเสียงบุตรชาย กับเจียวกี๋ เหลียงหวน งอเกียมทหาร จึงเข้าไปคุกเข้าคำนับแล้วบอกว่า นางกาสีกับนางอึ้งกุยหุยนั้นเป็นโทษตายที่พระที่นั่งเตียะแซเหลา บูเสงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนิ่งตรึกตรองอยู่ อึ้งเทียนหลก อึ้งเทียนเสียงผู้เป็นบุตร ครั้นได้ยินว่ามารดาตายก็พากันร้องไห้ อึ้งฮุยปิว อึ้งฮุยป้า อึ้งเบ๋ง ผู้น้องบูเสงอ๋องมีความสงสารแล้วคิดโกรธจึงว่า ซึ่งนางกาสีนางอึ้งกุยหุยตายนั้นเหตุด้วยจะไว้สัตย์ต่อพี่ท่านจึงสู้เสียชีวิต อันพระเจ้าติวอ๋องทำการครั้งนี้ผิดมนุษย์ในแผ่นดินนัก ไม่ควรจะให้อยู่สืบไป จำจะฆ่าเสีย ก็ชวนกันจัดแจงหาอาวุธวุ่นวายอยู่ บูเสงอ๋องเห็นดังนั้นจึงร้องด่าว่า อ้ายใจโจรจะพากันทำการกบฏให้กูตายด้วย อันพระเจ้าติวอ๋องนี้มีพระคุณกับเราทั้งโคตรถึงเจ็ดชั่วคนได้สองร้อยปีแล้ว สมบัติพัสถานและเครื่องแต่งตัวทั้งปวงก็ได้เพราะบุญบารมีท่าน เมื่อเมียกับน้องของกูผิด ท่านฆ่าเสียก็ตามทีเถิด อย่าเป็นธุระเองทั้งปวงเลย น้องทั้งสามคนได้ฟังดังนั้นก็กลัวพี่ชายเอาอาวุธไปไว้เสีย แล้วมานั่งที่โต๊ะรินสุราสู่กันกิน แล้วชวนกันหัวเราะ บูเสงอ๋องเห็นบุตรร้องไห้คร่ำครวญถึงมารดา ก็คิดรำคาญใจโกรธน้องชักกระบี่ออกแล้วจึงว่า เจ้าเหล่านี้ชวนกันหัวเราะอะไร หัวเราะเยาะเราหรือ แล้วเงื้อกระบี่จะฟัน อึ้งฮุยปิวจึงห้ามน้องให้นิ่งอยู่แล้วว่า ซึ่งพระเจ้าติวอ๋องมีพระคุณทรงพระเมตตาทำนุบำรุงเลี้ยงท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ไส่เผ้าและหมวกอันมียศนั้น ก็พระเดชพระคุณหาที่สุดไม่ แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าคนทั้งปวงจะนินทาท่าน ว่าหลงรักยศและสมบัติยิ่งกว่าชีวิตน้องและภรรยา จนพระเจ้าติวอ๋องทำหยาบช้าถึงเพียงนี้ ก็ยังสู้ทนหามีความโกรธและเจ็บอายไม่ ขอท่านจงตรึกตรองดูให้ดีก่อน เห็นจะอยู่เป็นข้าราชการสืบไปจะเป็นสุขแล้วก็ตามเถิด บูเสงอ๋องแต่นิ่งตรึกตรองอยู่ช้านาน แล้วหวนคิดว่าเสียแรงเรารักท่านช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินโดยความสัตย์ ควรหรือมาเชื่อคำปีศาจทำกับภรรยาและน้องเราจนเสียชีวิต คุณกับโทษก็ลบล้างกัน ซึ่งจะอยู่ทำราชการด้วยสืบไปมันก็จะยุยงด้วยกลอุบายต่างๆ ก็จะฆ่าเราเสียสักวันหนึ่ง แล้วว่าซึ่งเจ้าว่านั้นพี่เห็นด้วยแล้ว แต่จะทำหุนหันโดยด่วนนั้นไม่ได้ จำจะคิดให้ดีด้วยเป็นการใหญ่อยู่ อึ้งเบ๋งจึงว่า บูอ๋องซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองไซรกี ก็คิดกระทำการตีเมืองและเกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรเข้าด้วยสักสองส่วนแล้ว เห็นจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินเป็นมั่นคง ถ้าเราหนีไปเข้าด้วยทำการก็จะมีความชอบ บูเสงอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงว่าใจของพี่คิดแค้นพระเจ้าติวอ๋องนัก เมื่อใดได้กระทำทดแทนเสียให้สากะใจก่อนจึงจะไป แล้วสั่งทหารให้หาบรรดาบ่าวไพร่ซึ่งอยู่ในบ้านมีบัญชีพันคนนั้นจัดแจงอาวุธไว้ให้พร้อมในวันนี้ จึงเอาเกวียนสี่ร้อยเล่มมาบรรทุกสิ่งของและพรรคพวกผู้หญิงที่จะได้ล่วงหน้าไปก่อนนั้น ให้มีทหารกำกับป้องกันไปด้วย ครั้นเวลาคนนอนหลับ ให้เกวียนและพรรคพวกทั้งปวงไปคอยอยู่ตรงประตูไซรหมึงนอกเมือง แต่ตัวบูเสงอ๋องกับอึ้งเบ๋งผู้น้องกับจิวกีทหารเอก ต่างคนถืออาวุธเข้าไปที่ประตูวัง จิวกีจึงร้องว่ามีการร้อนให้เชิญเสด็จออกมาเร็วๆทหารที่รักษาประตูอยู่นั้น ก็บอกกันต่อๆ เข้าไป
๏ ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องบรรทมอยู่ในที่หาหลับไม่ ด้วยมีความวิตกถึงการที่นางกาสีและนางอึ้งกุยหุยตายนั้น ไม่มีความสบายพระทัย พอมีผู้มากราบทูลว่า คนมาร้องว่ามีราชการร้อนให้เสด็จออกไปโดยเร็ว พระเจ้าติวอ๋องก็ตกพระทัย ด้วยมิได้รู้ว่าจะมีเหตุ คิดว่าขุนนางมาแจ้งราชการ จึงทรงพระแสงง้าวเสด็จออกมาข้างหน้า จิวกีเห็นก็ร้องว่าท่านเป็นกษัตริย์ทำการมิชอบ ข่มเหงภรรยาบูเสงอ๋องซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผิดอย่างธรรมเนียมหาควรไม่ แล้วรำง้าวเข้าไปจะฟันพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ต่อสู้ด้วยพระแสงง้าว อึ้งเบ๋งจึงเข้าช่วย ขณะเมื่อจิวกีอึ้งเบ๋งสู้กับพระเจ้าติวอ๋องอยู่นั้น บูเสงอ๋องร้องห้ามว่าอย่าเพ่อทำวุ่นวาย เราจะพูดกับพระเจ้าติวอ๋องก่อน คนทั้งสองก็ไม่ฟังยิ่งทำการบุกรุกเข้าไป พระเจ้าติวอ๋องต่อสู้ได้สามสิบเพลงสิ้นกำลัง ถอยกลับเข้าวัง อึ้งเบ๋งขยับจะไล่ตาม บูเสงอ๋องก็วิ่งเข้ายุดมือไว้ ห้ามว่าอย่าทำให้ถึงชีวิตเลยไม่ควร แล้วก็พากันขึ้นม้ารีบไปทางประตูด่านตะวันตก พาสมัครพรรคพวกซึ่งคอยอยู่นั้นอพยพหนีไป ในเวลานั้นราษฎรชาวเมืองรู้เหตุต่างคนตกใจกลัว ต่างปิดประตูบ้านประตูตึก ไม่มีคนเดินไปมาตามถนนหนทาง
๏ ครั้นเวลาเช้าพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ขุนนางก็เข้าไปเฝ้ากราบทูลแจ้งราชการว่า บัดนี้บูเสงอ๋องอพยพหนีไป พระเจ้าติวอ๋องแจ้งดังนั้น จึงตรัสเล่าความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ ในขณะนั้นทหารซึ่งรักษาประตูเหงาหมึง เห็นบุนไทสือยกกองทัพกลับมา จึงเข้าไปบอกขุนนางให้กราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นทราบว่าบุนไทสือมาก็ดีพระทัยนัก จึงให้ขุนนางทั้งปวงออกไปรับ ให้หามาเฝ้าเสด็จคอยท่าอยู่
๏ ฝ่ายบุนไทสือครั้นขุนนางออกไปบอกว่ารับสั่งให้หาก็ลงจากหลังกิเลน รีบเข้ามาเฝ้าแจ้งความซึ่งไปปราบข้าศึกให้ทราบทุกประการแล้วทูลถามถึงบูเสงอ๋องว่าไปไหน จึงตรัสบอกว่าบูเสงอ๋องหนีไปในเวลาคืนนี้ ท่านจงคิดอ่านไปจับให้ได้ บุนไทสือจึงทูลว่าซึ่งบูเสงอ๋องหนีไปนั้น ด้วยมีเหตุประการใด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เมื่อขึ้นปีใหม่นี้ ขุนนางและภรรยามากินโต๊ะในวัง นางขันกีกับนางกาสีพากันขึ้นไปเล่นบนเตียะแซเหลา นางกาสีพลัดตกลงไปตาย แล้วนางอึ้งกุยหุยรู้พาโลว่าเรากับนางขันกีแกล้งฆ่าพี่สะใภ้ แล้วกล่าวคำหยาบช้า เข้าตีเอาเรา ๆ ก็ผลักออกไป ด้วยโทษนางที่ทำผิด ก็เผอิญให้ตกลงไปตาย ผู้ใดจะเอาความไปยุยงบูเสงอ๋องประการใดไม่รู้ ครั้นเวลาดึกมาเรียกเราให้ออกไปที่ประตู แล้วบูเสงอ๋องอึ้งเบ๋งจิวกีชวนกันเข้าฟันแทงเอาเรา แล้วก็พากันหนีไป บุนไทสือจึงทูลว่าข้าพเจ้าเห็นน้ำใจบูเสงอ๋องซื่อต่อพระองค์นัก แล้วก็เป็นข้าทำราชการมาถึงเจ็ดชั่วคนแล้ว ถ้าพระองค์มิทำให้ได้ความแค้นเคืองเหลือที่จะอดได้ อันที่จะมาทำล่วงเกินต่อพระองค์ดังตรัสนี้ ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ ฝ่ายไต้หูฉือหยงจึงเรียนแก่บุนไทสือว่า ซึ่งท่านสรรเสริญบูเสงอ๋องนั้นก็จริงอยู่ แต่ทว่าโทษบูเสงอ๋องซึ่งคบกันล่วงเกินมาทำอันตรายแก่พระเจ้าติวอ๋องจนถึงประตูวังนั้นผิดนัก ถึงมาตรว่าพระเจ้าติวอ๋องจะทำผิดประการใดชอบจะอดออมไว้ กว่าท่านจะกลับมาจึงจะควร บุนไทสือจึงว่าซึ่งถ้อยคำท่านว่านั้นก็ควรอยู่ แต่เราแจ้งความแต่ก่อนว่าคนทั้งปวงติเตียนพระเจ้าติวอ๋องว่ากระทำผิดต่างๆ จะได้มีผู้ใดกล่าวโทษบูเสงอ๋องแต่สักสิ่งหนึ่งก็หาไม่ มีแต่คำสรรเสริญทั้งแผ่นดิน ว่าแล้วก็ให้เขียนหนังสือให้ซือเค่งถือรีบไป ถึงด่านหลิมกองก๋วนแซ เหลงก๋วน ให้จัดทหารออกก้าวสกัดบูเสงอ๋องไว้ แล้วเราจะยกตามไป