๑๖

๏ เกียงจูแหยกับซงอิหยินกินสุราแล้วพากันไปชมสวน เกียงจูแหยเห็นที่แห่งหนึ่งกว้างเปล่าอยู่ จึงว่ากับซงอิหยินว่า ที่นี่กว้างขวางควรที่จะปลูกเหงาเก๋งเหลาห้าห้อง ซงอิหยินจึงว่าท่านมาว่าให้เราปลูกเหงาเก๋งเหลา ท่านรู้จักแผนที่ดีและร้ายหรือ ที่นี้เราปลูกลงไปไหม้เสียถึงสี่ห้าครั้งแล้ว เกียงจูแหยจึงว่าเรารู้จักแผนที่และฤกษ์ยามอยู่ เมื่อท่านจะปลูกเราจะช่วยให้ฤกษ์

๏ ครั้นถึงวันจะปลูกเกียงจูแหยก็นั่งอยู่กับซงอิหยิน ให้จัดแจงที่จะปลูกเหงาเก๋งเหลา พอเกิดพายุใหญ่หอบเอาศิลาและกรวดทรายปลิวไป แล้วเกิดเป็นเปลวไฟพลุ่งขึ้นจากแผ่นดิน มีปีศาจห้าตนเกิดขึ้นกลางกองไฟ เกียงจูแหยจึงร่ายมนต์เสกน้ำสาดไป แล้วถอดกระบี่ออกจากฝักเงื้อขึ้นจะฟันปีศาจ ปีศาจกลัวนั่งลงยกมือไหว้ร้องขอโทษตัว เกียงจูแหยจึงเขียนยันต์ปิดลงกลางศีรษะปีศาจทั้งห้าตน แล้วว่าเองอย่าอยู่ที่นี่จงไปอยู่เขาซายจีซัวเถิด ปีศาจก็ลาไป ซงอิหยินก็ให้ปลูกเหงาเก๋งเหลาจนแล้ว เกียงจูแหยจึงว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้าจะหาที่อยู่มิได้ ท่านช่วยหาให้สักแห่งหนึ่ง จะได้อาศัยเป็นหมอดูอยู่ทำมาหากิน ซงอิหยินจึงว่าที่ของเรามีอยู่แห่งหนึ่งที่ในเมือง ท่านจงไปอยู่เถิด แล้วซงอิหยินก็ให้ผู้คนไปช่วยปลูกโรงให้เกียงจูแหย เกียงจูแหยไปอยู่ได้ประมาณสี่เดือนห้าเดือนหามีผู้ใดมาจ้างดูไม่

๏ ขณะนั้นมีเล่าเขียนผู้หนึ่งหน้าตาคมสันสูงหกศอกเศษ เป็นคนจนเที่ยวหาบฟืนขาย พอมาถึงหน้าร้านจึงแวะเข้ามาหา ให้เกียงจูแหยดูจะมีลาภบ้างหรือไม่ เกียงจูแหยจึงทายว่าวันนี้ ท่านไปข้างทิศใต้เถิดจะพบหญิงแก่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ จะซื้อฟืนท่านเป็นเบี้ยร้อยยี่สิบอีแปะ แล้วจะได้กินเหล้าสองชามกับของหวาน เล่าเขียนก็ลาไป พบหญิงแก่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ เรียกเข้าซื้อฟืนแล้วให้เหล้ากับของหวาน แล้วเล่าเขียนก็กลับมาบอกเกียงจูแหยว่าท่านดูแม่นดังเทวดา ข้าพเจ้าไปขายฟืนได้ลาภสมดังคำท่าน เกียงจูแหยจึงว่าเอาค่าจ้างดูมาให้เราบ้าง เล่าเขียนรับปากว่าจะให้แต่มือไม่หยิบ ครั้นเกียงจูแหยซ้ำเตือนจึงนับอีแปะให้ยี่สิบแล้วก็ลาไป กิตติศัพท์อันนั้นก็เลื่องลือว่าเกียงจูแหยดูแน่ หญิงชายชาวเมืองมาหามิได้ขาด เกียงจูแหยได้ค่าจ้างดูค่อยมีอันจะกิน

๏ ฝ่ายปีแป๋ปีศาจซึงหนึงวาสีให้มาทำร้ายพระเจ้าติวอ๋องนั้น เข้าอาศัยอยู่ในกุฏิศพเก่าแก่แห่งหนึ่ง ข้างประตูทิศใต้ แล้วเข้าไปหานางขันกีในวังอยู่ด้วยกันหลายวัน เวลาค่ำวันหนึ่งพากันไปกินนางสาวใช้ ทิ้งกระดูกไว้ริมสระสวนดอกไม้ อยู่มาวันหนึ่งปีแป๋ปีศาจลานางขันกีออกจากวังจะไปที่อาศัย มาถึงกลางทางเห็นหญิงชายชาวเมืองชักชวนกันจะไปให้หมอดู ปีแป๋ปีศาจได้ยินก็ตกใจ กลัวหมอจะรู้ว่าเป็นปีศาจมาอาศัยอยู่ในกุฏิ จะมาทำอันตรายจำกูจะไปทดลองลวงให้ดู จะแน่จริงหรือไม่แน่ ปีแป๋ปีศาจจึงจำแลงเป็นหญิงสาวน้อย เดินปนไปกับหญิงชายชาวเมือง ครั้นมาถึงที่เกียงจูแหย ปีแป๋ปีศาจจึงว่ากับคนทั้งปวงว่า ข้าพเจ้ามีธุระร้อนจะด่วนไป จะขอให้ท่านดูก่อน เกียงจูแหยเห็นหญิงสาวนั้นตาแดงดุจแสงไฟ ก็รู้ว่าเป็นปีศาจจะแกล้งมาลองความรู้ตัว เกียงจูแหยจึงคิดว่าจำกูจะฆ่าปีศาจเสียให้ตาย พอปีแป๋ปีศาจยื่นมือมาให้ดู เกียงจูแหยเห็นก็ฉวยเอาข้อมือไว้ ปีแป๋ก็แสร้งทำมารยา ร้องว่าตัวเราเป็นหญิง ท่านดูแล้วเหตุใดยังหาปล่อยมือเราไม่ คนทั้งปวงเห็นดังนั้น ก็ว่าจินแสเป็นคนสูงอายุ เราท่านนับถือมาทำดังนี้ไม่ชอบ เกียงจูแหยจึงว่าหญิงคนนี้เป็นปีศาจมิใช่มนุษย์ ว่าแล้วก็เอาหินฝนหมึกต่อยศีรษะปีแป๋ปีศาจล้มลงกับที่ พอปิกันขุนนางผู้ใหญ่จะเข้าไปในวังมาถึง ได้ยินหญิงชายร้องว่า เกียงจูแหยหมอดูฆ่าคนตาย จึงแวะเข้าไปดูเห็นหญิงศีรษะแตกล้มลงอยู่กับหน้าร้านเกียงจูแหย เกียงจูแหยยังยุดข้อมือไว้ ปิกันจึงถามว่าเหตุใดตัวจึงฆ่าคนเสีย เกียงจูแหยจึงว่าหญิงผู้นี้มิใช่มนุษย์เป็นปีศาจ ปิกันจึงว่า ตัวว่าเป็นปีศาจทำไมจะเห็นจริงเล่า เกียงจูแหยจึงว่าถ้าท่านจะใคร่รู้ จงให้ไปเอาฟืนมาสุมไฟเผาหญิงผู้นี้ ก็จะได้เห็นดีและร้าย ปิกันจึงว่าความข้อนี้ใหญ่อยู่ เราจะไปกราบทูลให้ทราบก่อน ปิกันก็ให้คนคุมเกียงจูแหยไว้ ปิกันก็รีบเข้าในวัง

๏ พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกเสวยสุราอยู่กับนางขันกี ณ พระที่นั่งชมดาว ปิกันก็ขึ้นไปเฝ้าทูลความตามถ้อยคำเกียงจูแหยให้ทราบทุกประการ ฝ่ายนางขันกีนั่งรินสุราถวายอยู่ ได้ยินปิกันกราบทูลก็รู้ว่าปีแป๋พรรคพวกของตัวก็ตกใจ จึงคิดว่าปีแป๋ลาออกไปที่อยู่ ไม่พอที่จะซุกซนไปให้หมอดูเขาจับได้

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ