๒๖
๏ ครั้นฤดูหนาวพระเจ้าติวอ๋องเสวยโต๊ะอยู่กับนางขันกีบนพระที่นั่งลกไต๋ พอบังเกิดเป็นพายุกล้า เมฆหมอกมืดลูกเห็บตก พระเจ้าติวอ๋องชี้พระหัตถ์บอกให้นางขันกีดู ปิกันเข้าไปในวังให้ขันทีทูลว่าจะขอเข้าเฝ้า จึงมีรับสั่งโปรดให้เข้ามา ปิกันก็เข้าไปเฝ้า นางขันกีก็ลุกไปในมู่ลี่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า วันนี้มืดมัวนักท่านมาด้วยราชการร้อนเป็นอย่างไรหรือ ปิกันจึงทูลว่าข้าพเจ้าเห็นพระองค์เสด็จอยู่บนพระที่นั่งลกไต๋ ที่สูงต้องลมหนาวนัก ข้าพเจ้าเอาเสื้อขนอย่างดีมาถวาย พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่าเป็นเทศกาลหนาวท่านก็ชราแล้ว มีเสื้อดีไม่เอาไว้ใส่เอามาให้เราขอบใจนัก ปิกันก็คลี่เสื้อออกคลุมพระองค์ให้ พระเจ้าติวอ๋องมีความยินดี จึงตรัสว่าตั้งแต่ครองสมบัติมา เสื้ออย่างนี้ยังไม่ได้เคยใส่เลย ความชอบของอาครั้งนี้ไม่มีใครเปรียบได้ แล้วชวนปิกันเสพย์สุราด้วยพระองค์
๏ ฝ่ายนางขันกีนั่งอยู่ในมู่ลี่ เห็นปิกันเอาหนังเฮาหลีปีศาจพวกพ้องทำเสื้อมาถวาย ก็มีความแค้นเคืองนัก จึงคิดว่ากูจะอุบายฆ่าปิกันเสียให้จงได้ ถ้าฆ่ามันมิได้กูไม่ขออยู่ด้วยพระเจ้าติวอ๋องสืบไปเลย พระเจ้าติวอ๋องเสวยกับปิกัน ครั้นปิกันถวายบังคมลาไปแล้ว เสด็จเข้าในมู่ลี่ จึงตรัสบอกแก่นางขันกีว่าวันนี้หนาวนัก ปิกันเอาเสื้อขนมาให้ชอบใจนักหนา นางขันกีจึงทูลว่าพระองค์เป็นกษัตริย์หาควรจะมาทรงเสื้อของขุนนางไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นด้วย จึงถอดให้เอาไปไว้ที่คลัง
๏ อยู่มาวันหนึ่งนางขันกีกินสุรากับพระเจ้าติวอ๋องบนพระที่นั่งลกไต๋ นางขันกีจึงสำแดงเพศทำมารยารื่นเริงหน้าชื่นดังดอกโบตั๋นอันบาน ทำจริตกิริยาแสดงกายให้งามขึ้นกว่าแต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุราพลางเขม้นดู นางขันกีจึงทูลว่าเหตุไรพระองค์จึงเขม้นดูข้าพเจ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่าวันนี้ข้าดูเจ้างามขึ้นกว่าแต่ก่อนนักหนา นางขันกีจึงทูลว่าข้าพเจ้านี้ไม่งามนัก ยังมีน้องข้าพเจ้าอีกคนหนึ่งชื่อนางฮีบีบวชเรียนความรู้อยู่ที่วัดจีเสี้ยวเก๋ง รูปร่างงามกว่าข้าพเจ้าสักร้อยส่วน พระเจ้าติวอ๋องมีความยินดีนัก จึงตรัสว่าทำไมเราจะได้เห็น นางขันกีจึงทูลว่าน้องข้าพเจ้าคนนี้มีวิชาการมาก เมื่อจะจากกันไปนั้นได้สั่งไว้ว่า ถ้าคิดถึงให้จุดธูปเทียนขึ้นแล้วก็จะเหาะมาโดยเร็ว พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย แล้วตรัสสั่งพนักงานให้แต่งโต๊ะไว้คอยท่าในค่ำวันนี้ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระเจ้าติวอ๋องบรรทมหลับเป็นเวลาสงัด นางขันกีก็กลายรูปเป็นเฮาหลี แปลว่าเสือปลาเที่ยวไปพบนางฮีบีปีศาจ จึงอ้อนวอนว่าน้องอย่าอยู่ที่ซอกห้วยธารเขานี้เลยอดอยากนัก มาไปอยู่ในวังพระเจ้าติวอ๋องด้วยกันเถิด สารพัดจะบริบูรณ์ทุกประการ แล้วจะได้ช่วยกันคิดแก้แค้นปิกัน นางฮีบีก็รับคำว่าไปก่อนเถิด เวลาค่ำพรุ่งนี้เราจึงจะไป นางขันกีก็สั่งเสียทุกประการแล้วกลับมา ครั้นถึงในวังก็แปลงตัวเป็นคน เข้าไปนอนอยู่ด้วยพระเจ้าติวอ๋อง
๏ ครั้นเวลารุ่งขึ้นพระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสถามนางขันกีว่าน้องสาวเจ้านั้นมาหรือยัง นางขันกีจึงทูลว่าน้องข้าพเจ้าเป็นสาวเด็กจะมากลางวันก็อายอยู่ต่อเวลาค่ำจึงจะมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องแจ้งดังนั้น ตั้งพระทัยคอยรำพึงอยู่แต่เช้าจนเวลาเย็น แล้วตรัสบ่นว่าพระอาทิตย์เป็นไรมิรีบตกลงไปเลย พระจันทร์ขึ้นมาจะได้เห็นหน้านางฮีบีสำราญใจ ครั้นเวลาค่ำก็พานางขันกีเสด็จไปนั่งชมแสงเดือนเล่นบนพระที่นั่งลกไต๋ นางขันกีก็จุดธูปเทียนขึ้นตามคำที่ทูลไว้ ครั้นเลาสามยามเศษบังเกิดเป็นพายุกล้า เมฆหมอกมืดไปทั้งอากาศ เสียงดังประหลาด พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า เหตุไรจึงเป็นดังนี้เล่า นางขันกีจึงทูลว่า เหตุทั้งนี้เห็นว่านางฮีบีน้องข้าพเจ้าจะแผลงฤทธิ์ขี่เมฆมาทางอากาศ นางทูลยังมิทันจะขาดคำ ก็เห็นนางฮีบีมาทางอากาศ จึงเชิญพระเจ้าติวอ๋องให้เสด็จเข้าในมู่ลี่ เมฆหมอกที่มืดมัวในอากาศก็หายไป แสงเพลิงในพระตำหนักก็สว่างเห็นปรกติ
๏ ฝ่ายฮีบีครั้นมาถึงพระที่นั่งลกไต๋ ก็เข้าไปหานางขันกี นางขันกีก็ต้อนรับคำนับกันแล้ว นั่งรินน้ำชาสู่กันกิน ต่างพูดจาแย้มยิ้มโดยมารยา นางขันกีจึงว่าข้าจะให้เจ้าเข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋องในมู่ลี่ นางฮีบีทำอายแล้วจึงว่า ข้าเป็นหญิงทั้งรักษาศีลอยู่ จะให้ไปหาผู้ชายนั้นกลัวนักไปไม่ได้ นางขันกีจึงว่า เจ้าอย่ากลัวเลย พระเจ้าติวอ๋องเป็นผัวข้า ก็เหมือนเป็นพี่ของเจ้า ซึ่งจะถือว่าเป็นหญิงไปหาชายนั้นไม่ชอบ นางฮีบีแสร้งทำนั่งก้มหน้ายิ้มอยู่ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ในมู่ลี่ ทอดพระเนตรเห็นนางฮีบี ใส่เสื้อแดงดูงามดวงหน้าเป็นนวลดังดอกโบตั๋นอันบาน ลักษณะนางแต่ละสิ่งงามกว่าสตรีทั้งปวง แต่พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรชมพลางแล้วนึกว่า แม้นเราได้นางฮีบีเป็นเมียสมความคิดแล้ว ถึงจะเป็นไพร่ไม่ได้เป็นกษัตริย์ก็ตามเถิด นางขันกีชายตาดู เห็นพระเจ้าติวอ๋องแลตะลึง หลงรักรูปนางฮีบีสมคิดแล้ว จึงว่ากับนางฮีบีว่า เจ้าจงนั่งอยู่ที่นี่ข้าจะไปผลัดเสื้อเสียสักประเดี๋ยวหนึ่งก่อน ว่าแล้วก็ลุกไป พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกมาจากมู่ลี่ นั่งลงใกล้นางฮีบีรินสุราส่งให้ นางฮีบีรับสุรามากินแล้วจึงว่า พระองค์พระราชทานสุราให้ข้าพเจ้านี้ พระคุณหาที่สุดไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงสัพยอกยึดข้อมือนางฮีบี นางฮีบีทำมารยาโดยเพศสตรี แต่มิได้ว่าประการใด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมแสงเดือนเล่นข้างนอกด้วยกันจะไปหรือไม่ นางฮีบีก็รับว่าจะไป พระเจ้าติวอ๋องก็ยึดบ่านางฮีบี พาเดินเที่ยวชมแสดงเดือนเล่นตามสบาย แล้วตรัสปราศรัยว่า เจ้ารักษาศีลทรมานกายอยู่ที่จี่เสี้ยวเก๋งทำไม จงมาอยู่ในวังกับนางขันกีเถิด ข้าจะเลี้ยงเจ้าเป็นมเหสีให้เป็นสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน แล้วสัพยอกต่างๆ นางฮีบีก็มิได้ว่าประการใด พระเจ้าติวอ๋องก็พานางฮีบีเข้าที่บรรทม ฝ่ายนางขันกีทำเป็นโกรธ แกล้งเดินเข้าไปถึงในที่ แล้วว่ากับนางฮีบีว่า เจ้ามาทำการดังนี้เห็นชอบแล้วหรือ นางฮีบีก็ก้มหน้านิ่งอยู่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เจ้าอย่าโกรธอื้ออึงไปเลย นางฮีบีเป็นน้องของเจ้า ข้าจะทำนุบำรุงเลี้ยงไว้อยู่เป็นเพื่อนกันกับเจ้า ให้มีความสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน แล้วสั่งให้ยกโต๊ะมาเสวย แล้วชวนนางขันกีกับนางฮีบีเข้ากินด้วยแล้วก็บรรทมด้วย แต่พระเจ้าติวอ๋องมิได้เสด็จออกหลายวัน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยถึงเวลามาเตรียมเฝ้าตามเคย ไม่เห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ต่างคนจึงพูดกันว่า บัดนี้เจ้านายก็หลงไปด้วยนางขันกีนางฮีบี ไม่เสด็จออกว่าราชการเลย เราจะทำประการใดดี แต่เรามาเตรียมอยู่ทุกวันก็มิได้เฝ้า ราชการถ้อยความก็ค้างเกินเป็นอันมาก ปรึกษากันแล้วต่างคนก็กลับไปบ้าน
๏ ฝ่ายบูเสงอ๋องผู้เป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ว่าพระเจ้าติวอ๋องหลงอยู่ด้วยนางขันกีนางฮีบีปีศาจ ไม่ออกว่าราชการบ้านเมือง นานไปเห็นแผ่นดินจะไม่เป็นปรกติเหมือนแต่ก่อน ก็มีความวิตกนักจึงคุมทหารสี่สิบแปดหมื่นพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ ก็ไปรักษาอยู่ ณ เมืองโตเสีย เป็นเมืองด่านใกล้เมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ข่าวว่าเกียงบุนฮวนเจ้าเมืองตะวันออกยกทหารมาตั้งอยู่ ณ เขาแอหมาเนีย จะเข้าตีเอาตินตงก๋วนด่านเมืองจิวโก๋ จึงสั่งอึ้งจงเบ๋งกับฬ่อหยงให้คุมทหารสิบหมื่นไปป้องกันรักษาอยู่ ณ ด่านตินตงก๋วน แล้วบูเสงอ๋องก็กลับมาเมืองจิวโก๋
๏ ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องสาละวนแต่ชมเชยนางขันกีนางฮีบีทั้งกลางวันกลางคืน ลุ่มหลงไปมิได้เสด็จออกว่าราชการ วันหนึ่งนางขันกีนั่งอยู่กับพระเจ้าติวอ๋อง จึงแสร้งทำอุบายล้มลงแล้วนิ่งไป พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรเห็นก็ตกพระทัย พระเสโทไหลลงโซมองค์ พระพักตร์ซีดเผือดไป แล้วเสด็จนั่งริมตัวนางขันกี เห็นนางขันกีรากโลหิตออกมาก้อนหนึ่ง จึงตรัสว่าแต่นางขันกีอยู่กับเราก็นานแล้ว ไม่เคยเห็นเป็นโรคดังนี้เลย จะคิดอ่านรักษาประการใดดี นางฮีบีจึงทูลว่า แต่ก่อนนางขันกีเมื่ออยู่บ้านเมืองโรคเช่นนี้ก็เคยเป็น แต่ได้เตียวห้วนหมอซึ่งอยู่เมืองกีจิวมารักษา เอาตับมังกรต้มให้รับพระราชทานจึงหายโรค พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า เราจะให้ไปเอาตัวเตียวห้วนมารักษา นางฮีบีจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะให้ไปหาหมอถึงเมืองกีจิวนั้นเห็นไกลนัก ทางทั้งไปทั้งมาสักเดือนหนึ่งจึงจะได้รักษา ข้าพเจ้าเห็นว่านางขันกีจะตายเสีย พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า หมอที่เมืองนี้มีใครดีเจ้ารู้จักตัวหรือ นางฮีบีจึงว่าข้าพเจ้ามีความรู้จะดูให้รู้จัก ถ้าเขาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระองค์จะให้หาเข้ามารักษาได้หรือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ถึงจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอย่างไรก็อยู่ในบังคับเราสิ้น จะเอาตัวมาให้ได้ นางฮีบีจึงแสร้งทำเป็นนับนิ้วมือดู แล้วทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า หมอที่เมืองนี้ชื่อปิกันขุนนางผู้ใหญ่มีตับมังกรอยู่ในท้อง พระองค์จะให้หาเข้ามาที่ไหนได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่าเราจะหาตัวมาเอาตับมังกรในท้องต้มให้นางขันกีกินจงได้ แล้วพระองค์ก็เขียนหนังสือให้ขันทีไปหาตัวปิกันเข้ามาเป็นการเร็ว
๏ ฝ่ายปิกันนั่งอยู่ในตึกคิดวิตกถึงการบ้านเมืองอยู่ พอขันทีเอาหนังสือไปแจ้งว่ารับสั่งให้หาในทันใดนั้น แต่ขันทีถือหนังสือวิ่งซ้ำกันออกไปถึงหกคนบอกว่ารับสั่งเร่งนัก ปิกันเห็นผิดประหลาด จึงถามขันทีว่าราชการร้อนรนอย่างไรหรือ จึงซ้ำกันมาถึงห้าคนหกคนดังนี้ จงบอกความแก่เราให้รู้ก่อนจึงจะไป ขันทีจึงบอกว่าข้าพเจ้าได้ยินว่านางขันกีป่วยรากโลหิต จะเอาตับมังกรที่ในท้องของท่านต้มให้กิน ปิกันรู้ดังนั้นก็ตกใจนัก ครั้นจะว่าไม่ไปก็เกรงอาญาพระเจ้าติวอ๋อง จึงว่ากับตำรวจให้นั่งอยู่ท่าสักหน่อยหนึ่ง แล้วก็ลุกเข้าไปในห้อง จึงเรียกนางเบ๋งภรรยามา แล้วบอกความว่าข้าจะจากไปเดี๋ยวนี้เห็นจะตาย จะไม่ได้กลับคืนมาเห็นหน้ากันต่อไปแล้ว เจ้าจงอยู่รักษาบุตรผู้คนบ้านเรือนต่อไปจงดีเถิด นางเบ๋งได้ฟังผัวว่าดังนั้น ก็ร้องไห้แล้วว่า แต่ท่านทำราชการมาโดยสัตย์กตัญญูก็ช้านานแล้ว ไม่เคยได้ยินว่าดังนี้เลย ขอท่านจงหยุดอยู่ตรึกตรองดูให้ดีก่อน ปิกันจึงว่าบัดนี้มีรับสั่งเร่งเป็นการเร็วไม่รู้ที่จะคิดประการใด ปิจู๊ซึ่งเป็นบุตรชายจึงว่าแก่ปิกันผู้บิดาว่า เมื่ออาจารย์เกียงจูแหยมาพิเคราะห์ดูราศีท่านครั้งก่อนนั้นทายไว้ว่าเคราะห์ร้าย แล้วเขียนหนังสือบอกความรู้ไว้ว่า ถ้ามีเหตุการณ์ข้างหน้าอย่างไร ก็ให้ดูแก้ไขตามหนังสือนั้น ปิกันก็คิดขึ้นได้มีความยินดีหยิบเอาหนังสือมาดูแล้วเขียนยันต์ลงที่กระดาษใส่ในน้ำกินเข้าไป แล้วก็ลุกเดินออกมาขึ้นขี่ม้าไปในวังด้วยขันที ครั้นมาถึงประตูพระราชวัง ก็ลงจากม้าจะเข้าไปเฝ้า บูเสงอ๋องวิ่งเข้ามาคำนับแล้วถามว่า ท่านจะเข้าไปเฝ้าด้วยราชการสิ่งไร ปิกันจึงบอกว่าขันทีไปหาเรามาบอกว่านางขันกีป่วย จะเอาตับมังกรในท้องเราทำยาให้นางขันกีกินแล้วก็เดินไป บูเสงอ๋องได้ฟังปิกันบอกดังนั้นก็สงสัยนัก ก็เดินตามเข้ามาแอบฟังอยู่ริมพระที่นั่ง ปิกันเข้ามาถึงประตูชั้นห้า เห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่บนพระที่นั่งลกไต๋ก็เข้าไปเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า บัดนี้นางขันกีป่วยรากโลหิต จะต้องการตับมังกรต้มให้กินจึงจะหายโรค จะให้ไปหาตับมังกรที่ไหนก็ไม่มี เขาว่าจำเพาะมีอยู่แต่ที่ในท้องท่าน ท่านจงทำคุณแก่เรา จงให้ตับมังกรที่อยู่ในท้องของท่านนั้นแก่เราเถิด ปิกันจึงทูลว่าตับมังกรจะได้มีในท้องข้าพเจ้าหามิได้ แต่ปีศาจมันแกล้งทูลจะให้ข้าพเจ้าตาย พระองค์หลงเชื่อไม่ตรึกตรองดูให้ดีก่อน เสียแรงข้าพเจ้ามีความกตัญญูต่อพระองค์ ตั้งใจทำราชการโดยสัตย์ ช่วยรักษาแผ่นดินให้เป็นสุขมาช้านาน บัดนี้ตัวข้าพเจ้าก็มิได้มีความผิด ก็เหมือนพระองค์จะแกล้งฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจะรู้ที่ไปพึ่งผู้ใดเล่า พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตรัสว่าเสียแรงเราทำนุบำรุงเลี้ยงท่านมา จนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านยังไม่มีความรักเรา แต่จะต้องการของท่านเท่านี้ยังขัดไม่ให้ ท่านนี้หาควรเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ไม่ ปิกันโกรธทูลว่า เมื่อพระองค์รักเมียมากกว่าชีวิตข้าพเจ้าแล้วจะทำกระไรได้ พระองค์จงอยู่ให้เป็นสุขเถิด ข้าพเจ้าขอถวายบังคมลาตายในวันนี้แล้ว ปิกันก็ไปเอากระบี่ที่ทหารมาแหวะท้องของตัวออก ตัดตับแลหัวใจออกโยนให้ แล้วเอาเสื้อปิดท้องเข้าไว้ เดชะด้วยคุณยันต์ของเกียงจูแหยที่เข้าไปไว้นั้นจึงยังไม่ตาย ลุกขึ้นแล้วก็เดินออกมาพบขุนนางแลผู้ใดจะทักถามอย่างไรก็มิได้พูดขึ้นขี่ม้ารีบจะไปบ้าน