๏ ฝ่ายหลุยไขเร่งรีบตามทางทิศใต้มาจนเพลาค่ำ จึงให้ทหารจุดคบเพลิงเดินทางไปจนเพลาสองยามถึงตำบลหนึ่ง มีต้นสนใหญ่ศาลเทพารักษ์อยู่ใต้ต้นไม้ หลุยไขจึงคิดว่าเวลานี้ก็ดึกแล้ว จำจะหยุดพักก่อนต่อรุ่งเช้าจึงค่อยไป หลุยไขก็แวะเข้าไปที่ต้นสนใหญ่จึงลงจากม้า ให้ทหารเอาคบเพลิงขึ้นไปส่องดูบนศาลเทพารักษ์ พอเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งนอนหลับอยู่ ก็รู้จักว่าอินหองพระราชบุตร หลุยไขดีใจนัก จึงปลุกอินหองขึ้นแล้วบอกว่า พระบิดารับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตามเชิญท่านกลับเมืองหลวง อินหองตื่นขึ้นเห็นหลุยไขกับทหารจุดคบเพลิงล้อมอยู่ก็ตกใจ จึงว่าพระบิดาให้ท่านมาตามเราหวังจะเอาตัวเราไปฆ่าเสียเราก็แจ้งอยู่แล้ว หลุยไขจึงเชิญอินหองขึ้นม้ากลับมาถึงต้นทาง ยังมิได้เห็นอินโภ้ไป้กลับมา จึงหยุดคอยอินโภ้ไป้อยู่ตามคำที่ได้สัญญากันไว้

๏ ฝ่ายอินโภ้ไป้รีบเร่งทหารไปทางทิศตะวันออก เดินทางมาได้สามวันถึงตำบลฮ่องหุ่น แล้วเดินไปอีกทางประมาณร้อยยี่สิบเส้นเศษ ถึงบ้างเสียงหยงพอเพลาค่ำลงอินโภ้ไป้จึงคิดว่าจำจะเข้าไปคำนับเยี่ยมเยียนเสียงหยงผู้เป็นนายเก่าจะได้อาศัยนอนสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงจะตามพระราชบุตรสืบไป อินโภ้ไป้จึงลงจากม้าเดินเข้าไปในตึกที่เสียงหยงอยู่ พอแลเห็นเสียงหยงกับอินเฮาพระราชบุตรนั่งกินโต๊ะอยู่ก็ดีใจ เข้าไปคำนับเสียงหยงแล้วว่า บัดนี้มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าตามมาเชิญพระราชบุตรกลับไปเมืองหลวง เสียงหยงได้ยินอินโภ้ไป้บอกความดังนั้นก็โกรธจึงว่า ในเมืองจิวโก๋นั้นขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนประมาณสี่ร้อยคน หาผู้ใดจะกตัญญูช่วยเพ็ดทูลทัดทานไม่ พากันนิ่งเสียสิ้น จนพระเจ้าติวอ๋องรับสั่งให้ท่านมาตามจับพระราชบุตรไปทำโทษฉะนี้ไม่ควรนัก อินเฮาจึงว่าแก่เสียงหยงว่า พระบิดาให้มาตามจับข้าพเจ้าไปฆ่าเสีย ครั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้เห็นหน้าผู้ใดที่จะช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายขอโทษให้รอดจากความตาย อินเฮาว่าแล้วก็ร้องไห้ เสียงหยงจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะเข้าไปช่วยทูลขอโทษท่าน เสียงหยงจึงสั่งคนใช้ให้จัดแจงเสบียงอาหาร พรุ่งนี้จะเข้าไปเมืองจิวโก๋ อินโภ้ไป้จึงว่ารับสั่งใช้ข้าพเจ้ามาเป็นการเร็ว จะเชิญพระราชบุตรไปถวายก่อน เสียงหยงได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่อินเฮาว่า ท่านจงไปกับอินโภ้ไป้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจึงจะตามไปภายหลัง อินโภ้ไป้ก็คำนับลาเสียงหยง เชิญอินเฮาพระราชบุตรขึ้นม้ากลับมาในเพลากลางคืน

๏ ฝ่ายอินเฮามากับอินโภ้ไป้คิดถึงอินหองผู้น้องว่า ถึงตัวเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่วิตกอยู่แต่อินหองจะเป็นตายประการใดมิได้แจ้ง ว่าแล้วก็ร้องไห้ ขณะนั้นอินโภ้ไป้เชิญพระราชบุตรขี่ม้าในเพลากลางคืนจนรุ่ง ถึงต้นทางสองแพร่งเห็นหลุยไขได้อินหองมาคอยอยู่ จึงเข้าไปหาหลุยไข หลุยไขเห็นอินโภ้ไป้ได้อินเฮาพระราชบุตรผู้พี่มาถึงก็ดีใจ จึงว่าเดชะบุญเราทั้งสองได้พระราชบุตรมาครั้งนี้สมความคิดแล้ว

๏ ฝ่ายอินเฮาจึงยุดมืออินหองผู้น้องเข้าไว้ว่า เราทั้งสองกำพร้ามารดาแล้ว พระบิดาโกรธจะลงโทษถึงสิ้นชีวิต เราหาที่พึ่งมิได้จะหนีไปพึ่งตาเล่าพระบิดาก็ให้ตามจับตัวเรามา เราทั้งสองจะตายด้วยอาญาครั้งนี้เป็นมั่นคง ว่าแล้วก็ร้องไห้รักกัน อินโภ้ไป้กับหลุยไขครั้นได้พระราชบุตรทั้งสองมาพร้อมแล้วก็เชิญขึ้นขี่ม้ากลับไปเมืองหลวง

๏ ฝ่างอึ้งปวยฮอ ครั้นรู้ว่ามีรับสั่งให้อินโภ้ไป้กับหลุยไข ตามไปจับพระราชบุตรทั้งสองดังนั้นก็คิดวิตกอยู่ พอมีผู้เข้ามาบอกว่าอินโภ้ไป้กับหลุยไขจับพระราชบุตรทั้งสองมาถึงแล้ว อึ้งปวยฮอก็ถอนใจใหญ่ คิดว่าเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางเห็นจะสิ้นสูญเสีย สมดังคำทำนายหุนต๋งจู๊ครั้งนี้แล้วจำจะให้ประชุมขุนนางเชื้อพระวงศ์ทั้งปวง คอยเฝ้าทูลขอโทษพระราชบุตรทั้งสองไว้ จะได้สืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ไปภายหน้า อึ้งปวยฮอจึงสั่งทหารคนสนิทว่า เมื่อเราเข้าไปพร้อมอยู่กับขุนนางทั้งปวง ท่านทั้งสี่จงคอยดูท่วงที เราจะให้หน้ากระหยิบตาให้ทำประการใดจงทำตาม แล้วอึ้งปวยฮอก็พาทหารทั้งสี่ลงจากตึกเข้าไปในวัง จึงให้คนใช้ไปหาขุนนางทั้งปวงให้เข้ามาเตรียมเฝ้า คนใช้ก็คำนับลาไปบอกอาเสี้ยงปิกันหนึ่ง ปิจู๊หนึ่ง กีจู๊หนึ่ง ปิจู๊เค้หนึ่ง ปิจู๊หิมหนึ่ง เป๊กหยีหนึ่ง ซกฉีหนึ่ง กาแกะหนึ่ง เตียวคีหนึ่ง เอียวหยิมหนึ่ง ซุนอี๋นหนึ่ง ปึงเทียนเจียกหนึ่ง หลีหัวหนึ่ง หลีซุยหนึ่ง ขุนนางสิบสี่คนเข้ามาพร้อมกัน ณ ที่เฝ้า อึ้งปวยฮอเห็นขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่มาพร้อมแล้ว จึงว่าบัดนี้พระเจ้าติวอ๋องมีรับสั่งให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขไปตามจับพระราชบุตรมาได้ เราเห็นว่าพระเจ้าติวอ๋องจะให้ประหารชีวิตเสีย ท่านทั้งปวงจงช่วยกันทูลทัดทานขอชีวิตไว้ให้จงได้ อึ้งปวยฮอกับขุนนางทั้งปวงยังปรึกษากันอยู่ พอเป็นอินโภ้ไป้กับหลุยไขเชิญพระราชบุตรเข้ามาถึงประตูวัง ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็เข้าไปคำนับพระราชบุตรทั้งสอง อินเฮากับอินหองจึงร้องไห้ ว่าแก่ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงว่า จงช่วยทูลขอโทษเอาชีวิตข้าพเจ้าไว้ด้วย ปีจู้เค้ จึงว่าขอท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้ากับเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งปวงจะช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายขอโทษไว้ให้จงได้

๏ ฝ่ายอินโภ้ไป้กับหลุยไข จึงให้ผู้คุมคุมพระราชบุตรทั้งสองไว้แล้วก็ไปเฝ้า ณ ตำหนักที่พระบรรทม พระเจ้าติวอ๋องเห็นทหารทั้งสองมา จึงตรัสถามว่าอ้ายสองคนได้มาหรือไม่ อินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าไปตามพระราชบุตรทั้งสองมาแล้ว พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งว่าท่านอย่าเอามันมาให้เราเห็นหน้าเลย จงเอามันไปฆ่าเสียเถิด อินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้น้อยจะขอรับพระราชทานหนังสือรับสั่งออกไปเป็นสำคัญ พระเจ้าติวอ๋องจึงทรงพระอักษรส่งให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขคำนับรับหนังสือรับสั่ง ออกมาถึงประตูหงอหมุ่ยที่เสด็จออก

๏ ฝ่ายอึ้งปวยฮอยืนอยู่ริมประตู ขุนนางคนสนิททั้งสี่ก็ยืนคอยทีอึ้งปวยฮออยู่ พออินโภ้ไป้กับหลุยไขชูหนังสือรับสั่งออกมา อึ้งปวยฮอจึงว่ากับอินโภ้ไป้เป็นทีประชดว่า ครั้งนี้ท่านอุตส่าห์ติดตามได้พระราชบุตรมาถวายได้ความชอบหนักหนา อึ้งปวยฮอจึงพยักหน้าให้เตียวคีคนสนิท เตียวคีเห็นดังนั้นก็เข้าชิงฉวยได้หนังสือรับสั่งมาฉีกเสีย แล้วร้องว่าพระมหากษัตริย์ทรงพระโกรธจะให้ฆ่าพระราชบุตร ขุนนางทั้งปวงจงตีระฆังเชิญเสด็จออกมาช่วยกันทูลทัดทานไว้ก่อนจึงจะควร อึ้งปวยฮอจึงสั่งเตียวคีกับคนสนิททั้งนั้น ให้ไปอยู่กับพระราชบุตรอย่าให้ผู้ใดทำอันตราย แล้วจึงให้ตีระฆังเชิญเสด็จ

๏ ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่พระตำหนักที่บรรทมกับนางขันกี ครั้นได้ยินเสียงระฆังจึงตรัสกับนางขันกีว่า ขุนนางทั้งปวงเข้ามาตีระฆังให้เราออกไป ครั้งนี้เราเห็นว่าจะขอโทษอ้ายสองคนซึ่งให้ไปจับมา เจ้าจะเห็นประการใด นางขันกีทูลว่าขอให้พระองค์มีหนังสือรับสั่งออกไปว่า เวลาวันนี้จะให้ฆ่าอินเฮาอินหองเสียก่อน ต่อรุ่งพรุ่งนี้จึงจะออกไปว่าราชการ พระเจ้าติวอ๋องก็เชื่อฟัง จึงมีหนังสือรับสั่งตามคำนางขันกีแล้วสั่งให้ฮองงีกั๋วออกไปบอกแก่ขุนนางทั้งปวง ขุนนางทั้งปวงได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็รู้ว่าไม่เสด็จออก ก็พากันจนใจมิรู้ที่จะทำประการใด

๏ ขณะนั้นมีเทวดาสององค์ องค์หนึ่งชื่อเซียเจ๋งจู๊ อยู่ถ้ำหุนเสี้ยงต๋ง องค์หนึ่งชื่อก๋งซึงจู๊ อยู่ถ้ำโถวังต๋งที่เชิงเขากิวเสียน และเทวดาสององค์นี้ เทวดาผู้ใหญ่ให้ลงมาเป็นพนักงานสำหรับดูเหตุการณ์ทั้งแผ่นดิน วันนั้นพอเทวดาสององค์ออกจากถ้ำ ขี่เมฆเลื่อนลอยไปในกลางอากาศ หวังจะคอยช่วยผู้ซึ่งยังไม่ถึงตายให้รอดจากความตาย แลไปเห็นอินเฮาอินหองบุตรพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องจะฆ่าเสีย เทวดาสององค์พิจารณาดูก็รู้ว่าอินเฮาอินหองยังจะมีชีวิตสืบไปอยู่ จึงใช้เทวดาองค์หนึ่งชื่ออึงกิมเลกซู ท่านจงบันดาลเป็นพายุใหญ่พัดผงคลีกรวดทรายให้ฟุ้งขึ้นเป็นมืดคลุ้มไปทั้งเมืองจิวโก๋ แล้วจงอุ้มเอาพระราชบุตรทั้งสองมาให้แก่เรา อึงกิมเลกซูก็ทำตามสั่ง แล้วอุ้มเอาพระราชบุตรทั้งสองไปให้เทวดาผู้ใหญ่ เทวดาผู้ใหญ่ทั้งสององค์รับเอาพระราชบุตรองค์ละคนไปถ้ำที่อยู่

๏ ฝ่ายอึ้งปวยฮอกับขุนนางทั้งปวงนั่งอยู่พร้อมกันในที่เตรียมเฝ้า ครั้นพายุสงบแล้วมีผู้วิ่งเข้ามาบอกว่า พระราชบุตรทั้งสองซึ่งคุมไว้นั้นหายไปเมื่อขณะเกิดพายุแล้ว อึ้งปวยฮอกับขุนนางทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็ดีใจ ต่างคนพูดกันว่าพระราชบุตรทั้งสองมีบุญ เทวดาจึงช่วยพาเอาไปให้พ้นจากความตาย อินโภ้ไป้ครั้นพระราชบุตรหายไปก็ตกใจ รีบเข้าไปทูลแก่พระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็นึกตรึกตรองอยู่มิได้ตรัสประการใด

๏ ฝ่ายเสียงหยงครั้นอินโภ้ไป้พาพระราชบุตรไปในเพลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าก็รีบตามอินโภ้ไป้มาถึงเมืองหลวง ได้ยินชาวเมืองพูดกันว่าลมพายุหอบพระราชบุตรทั้งสองไป เสียงหยงตกใจจึงรีบเข้ามาถึงสะพานมังกร พอพบปิกันกับขุนนางทั้งปวงเดินออกมา เสียงหยงก็พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกลับเข้าไปที่เตรียมเฝ้า เสียงหยงจึงว่าบรรดาขุนนางและเชื้อวงศ์ทั้งนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็ตั้งแต่งชุบเลี้ยงให้กินเบี้ยหวัดตามสมควร บัดนี้พระเจ้าติวอ๋องทำผิดอย่างธรรมเนียม เหตุใดท่านจึงมิได้ทูลทัดทาน อื้งปวยฮอจึงว่าตั้งแต่ท่านออกไปอยู่บ้านเก่า นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้ทำโทษพระมเหสีถึงสิ้นชีวิต พระราชบุตรทั้งสองหนีไป ก็สั่งให้อินโภ้ไป้ตามจับเอามาจะให้ฆ่าเสีย พอเกิดพายุหอบพาพระราชบุตรทั้งสองไปได้พ้นจากความตาย ข้าพเจ้ากับขุนนางทั้งปวงแต่พากันเข้ามาเตรียมเฝ้าตีระฆังให้เสด็จออก จะได้ช่วยกันทูลทัดทานก็มิได้เสด็จออก เสียงหยงจึงว่าเราไปอยู่บ้านเก่าหวังจะหาความสบาย ครั้นได้ยินข่าวออกไปว่าเมืองวุ่นวายนัก จึงเข้ามาหมายจะทูลทัดทานเตือนพระสติ ถึงพระเจ้าติวอ๋องจะลงโทษประการใดก็ตามเถิด ขณะเมื่อเสียงหยงพูดกับอึ้งปวยฮออยู่ริมประตูที่เสด็จออก พอเห็นอินโภ้ไป้เดินออกจากประตูมาคำนับ เสียงหยงโกรธจึงประชดอินโภ้ไป้ว่าครั้งนี้ท่านอุตส่าห์ติดตามได้พระราชบุตรทั้งสองมาถวาย เพื่อท่านจะได้ความชอบมาก เรากับขุนนางทั้งปวงจะต้องฝากตัวท่านต่อไป อินโภ้ไป้ได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้านิ่งอยู่ เสียงหยงก็ไปตีระฆังเชิญเสด็จ

๏ ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ ณ ที่บรรทม แจ้งว่าพายุพาอินเฮาอินหองไปพระทัยไม่สบาย พอได้ยินเสียงระฆังก็เสด็จออก เสียงหยงกับขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่เฝ้าพร้อมกัน พระเจ้าติวอ๋องเห็นเสียงหยงเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถามว่าท่านลาเราออกไปอยู่บ้านเก่า เราก็ให้ไปแล้ว เรามิได้ให้หาเหตุใดจึงเข้ามา ท่านจะมาว่าความสิ่งใดหรือ เสียงหยงก็คุกเข่าลงคำนับแล้วทูลว่า ซึ่งพระองค์กรุณาโปรดให้ไปอยู่บ้าน ข้าพเจ้าหาความสุขมิได้ ด้วยได้ยินลือออกไปว่าพระองค์ไม่สบายพระทัย ข้าพเจ้าจึงเข้ามาเฝ้าหวังจะเตือนพระสติ แล้วเสียงหยงจึงทูลเป็นธรรมเนียมว่า กษัตริย์ซึ่งบำรุงแผ่นดินเป็นสุขมาแต่ก่อน มีพระทัยโอบอ้อมไพรฟ้าข้าแผ่นดิน ขุนนางและพระสนมจะเพ็ดทูลความสิ่งใด พระทัยหนักแน่นดังศิลามิได้หวาดไหวด้วยลม คือถ้อยคำคนสอพลอทูลยุยง ตรึกตรองต้องตามประเพณีแล้วจึงตรัส ครั้งเมื่อพระองค์ครองราชสมบัติใหม่นั้น ฝนฟ้าก็ตกตามฤดูข้าวปลาอาหารและผลไม้ก็บริบูรณ์ ขุนนางและราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข เพราะพระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรมเลื่องลือพระเกียรติยศไปทั้งแผ่นดิน หัวเมืองต่างประเทศเข้ามาขอเป็นเมืองออกถวายเครื่องราชบรรณาการ ตั้งแต่พระองค์เชื่อฟังนางขันกี ให้ฆ่าขุนนางผู้ใหญ่ที่สัตย์ซื่อต่อแผ่นดินเสีย ขุนนางและราษฎรได้ความเดือดร้อนเหมือนครั้งแผ่นดินพระเจ้าแฮเคียด ขอให้กำจัดนางขันกีเสียจากพระราชวัง แผ่นดินจะอยู่เย็นเป็นสุข แม้นมิฟังข้าพเจ้ากราบทูลแล้วจงเสวยสมบัติให้ทรงพระเจริญเถิด ข้าพเจ้าจะขอถวายบังคมลาตาย พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังเสียงหยงกราบทูลว่าจะให้ฆ่านางขันกีเสียก็ทรงพระโกรธ จึงสั่งทหารซึ่งถือกระบองทองยืนรักษาพระองค์อยู่ซ้ายขวา ให้ตีเสียงหยงเสียให้ตาย เสียงหยงได้ฟังดังนั้นก็โกรธลุกยืนขึ้นแล้วชี้มือร้องว่าแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า เราเป็นขุนนางมาถึงสามแผ่นดิน พระบิดาท่านได้ฝากแก่เราไว้ว่า ถ้าเห็นท่านทำผิดให้ทัดทาน บัดนี้เราเห็นว่าท่านทำมิชอบให้ทำโทษนางเกียงฮองเฮาซึ่งเป็นที่คำนับแก่ราษฎรทั้งแผ่นดิน จนนางเกียงฮองเฮาสิ้นชีวิต แล้วจะฆ่าบุตรเสียด้วยเล่า เราจึงเข้ามาว่ากล่าวห้ามปรามกลับโกรธ จะเลี้ยงอีขันกีไว้ก็ตามเถิด เสียงหยงก็เอาศีรษะโดนเสาศิลาตาย พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งเจ้าพนักงานให้เอาศพเสียงหยงไปทิ้งเสียนอกเมือง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ