๘๗

๏ ฝ่ายเอียวหยิมซึ่งเป็นทหารเกียงจูแหย ฝ่ามือนั้นมีจักขุทั้งสองข้างเห็นบนอากาศแลใต้ดิน ครั้นเวลาสองยามเดินเที่ยวตรวจค่าย ยกมือขึ้นส่องดูเห็นเตียวแก๋ดำดินมาถึงที่เกียงจูแหยอยู่ เอียวหยิมก็ร้องบอกทหารทั้งปวง ให้จุดคบเพลิงส่องค้นจับตัวเตียวแก๋ เตียวแก๋รู้ก็หนีไป เกียงจูแหยคิดสงสัยนัก จึงถามว่าเหตุผลเป็นประการใดจึงอื้ออึงดังนี้ เอียวหยิมจึงบอกว่า เตียวแก๋ดำดินมาจะทำร้ายแก่ท่าน บัดนี้หนีไปแล้ว เกียงจูแหยรู้ก็ตกใจ จึงว่าเตียวแก๋นี้โลเฉียบอกเราว่าตายแล้ว เหตุไรจึงกลับมาได้เล่า เอียวหยิมจึงว่าเป็นความจริง เตียวแก๋หาตายไม่ดำดินไป โลเฉียไม่รู้จึงว่าตาย เอียวเจี้ยนจึงว่ากับเกียงจูแหยว่า ท่านอย่าวิตกเลย พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะอาสาออกต่อสู้กับเตียวแก๋

๏ ฝ่ายเตียวแก๋ครั้นกลับไปถึงเมืองภรรยาถามว่า ท่านไปฆ่าพวกกองทัพเมืองไซรกีหมดแล้วหรือ เตียวแก๋สั่นศีรษะแล้วว่า อันทหารพวกเกียงจูแหยนั้นมีวิชารู้รวดเร็วดังผ่าไม้ไผ่ ภรรยาจึงว่าถ้ากระนั้นท่านจงเร่งบอกหนังสือไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง ขอทหารที่มีฝีมือแลความรู้มาช่วย เตียวแก๋เห็นด้วย จึงแต่งหนังสือแจ้งข้อความให้ทหารรีบไปเมืองจิวโก๋

๏ ฝ่ายเอียวเจี้ยนครั้นรุ่งขึ้น ก็ลาเกียงจูแหยขี่ม้าพาทหารมาหน้าเมือง ร้องเรียกเตียวแก๋ให้ออกมารบ เตียวแก๋จัดแจงทหาร แล้วออกมาเห็นเอียวเจี้ยน จึงว่าท่านฆ่ามารดาเราเสีย วันนี้เราจะเอาชีวิตท่านให้หายแค้น เอียวเจี้ยนจึงตอบว่า ทีนี้ท่านกลัวฝีมือแลฤทธิ์ทหารเมืองไซรกีแล้วหรือ เตียวแก๋โกรธก็เข้ารบกับเอียวเจี้ยนได้สามเพลง เอียวเจี้ยนแปลงตัวเป็นสุนัข วิ่งไปจะกัดเตียวแก๋ เตียวแก๋ตกใจกลัวแทรกแผ่นดินหนีไป เอียวเจี้ยนก็กลับมาแจ้งความแก่เกียงจูแหย เกียงจูแหยจึงให้จดหมายความชอบเอียวหยิมไว้ แล้วตั้งเอียวหยิมเป็นเจ้าพนักงานเที่ยวตรวจค่ายทั้งสิ้น

๏ ฝ่ายเตียวแก๋ครั้นมาถึงเรียกภรรยามาปรึกษาว่า การศึกครั้งนี้เห็นเหลือกำลังจะช้าอยู่มิได้ จำเราจะคิดอ่านทิ้งเมืองเสียหนีไปเถิด ภรรยาจึงว่าซึ่งท่านคิดนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย พระเจ้าติวอ๋องชุบเลี้ยงเรามีพระคุณยิ่งนัก ชอบแต่จะอยู่ต่อสู้ข้าศึก สู้เสียชีวิตแทนพระคุณจึงจะควร การศึกทั้งนี้ไว้ธุระข้าพเจ้าเถิด ท่านอย่าวิตกเลย ครั้นรุ่งขึ้นนางโกลั่นเองก็ขี่ม้าพาทหารออกไป

๏ ฝ่ายนางเตงตันหยกภรรยาโทเฮงสุน เห็นภรรยาเตียวแก๋ยกมา จึงเข้าไปคำนับเกียงจูแหยรับอาสาคุมทหารออกมาหน้าค่าย ต่างพูดจาโต้ตอบกันแล้วเข้ารบกันได้ยี่สิบเพลง นางเตงตันหยกทำเป็นหนีครั้นนางโกลั่นเองไล่ติดตามมา จึงเอาก้อนศิลาทิ้งถูกหน้าฟันหัก นางโกลั่นเองจะต่อสู้มิได้ก็หนีไป นางเตงตันหยกกลับมาแจ้งความกับเกียงจูแหย

๏ ฝ่ายโทเฮงสุนไปขนลำเลียงมาถึง แล้วเข้าไปคำนับเกียงจูแหยไม่เห็นอึ้งปวยฮอกับบุตรแลบุนเพ่งกีซกเบ๋งกีซกเสงจึงถามทหารทั้งปวงว่าไปไหน โลเฉียจึงบอกว่าออกไปรบกับเตียวแก๋ เตียวแก๋ฆ่าตาย แล้วเล่าความให้ฟังว่าเตียวแก๋ดำดินมาในค่าย โทเฮงสุนจึงว่าเมืองเสงติก๋วน เขามีคนรู้วิชาดี เราจะอาสาออกไปรบ จึงมาชวนภรรยาว่าพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าออกรบกับเตียวแก๋ ครั้นเช้าโทเฮงสุนก็คำนับเกียงจูแหย ว่าข้าพเจ้าขออาสาท่านออกต่อสู้ลองฝีมือเตียวแก๋ดูสักครั้งหนึ่ง เกียงจูแหยก็สั่งให้เอียวเจี้ยนโลเฉียไปด้วยโทเฮงสุน โทเฮงสุนขี่ม้าชวนภรรยาไปหน้าเมืองเสงติก๋วน เตียวแก๋รู้ก็ออกมาเห็นโทเฮงสุนเป็นเด็กยืนอยู่หน้าทหารทั้งปวงจึงถามชื่อ โทเฮงสุนบอกแล้วก็ขับม้าเข้ารบกับเตียวแก๋ได้สามเพลง ทหารทั้งปวงก็เข้ารุมกันรบเตียวแก๋ เตียวแก๋ก็ลงจากม้าดำดินไป โทเฮงสุนก็ดำดินไล่ติดตามทันสู้กันใต้ดิน เตียวแก๋เห็นจะสู้ฝีมือโทเฮงสุนไม่ได้ ก็หนีด้วยกำลังเร็ว โทเฮงสุนกำลังฤทธิ์น้อยตามไม่ทัน จึงกลับมาค่ายบอกเกียงจูแหยตามที่ได้รบกับเตียวแก๋ เกียงจูแหยจึงว่าอาจารย์ของท่านมีความรู้นัก เราจะเขียนหนังสือให้ ท่านไปหาครูเรียนความรู้มาจับตัวเตียวแก๋ให้ได้ โทเฮงสุนก็รับคำได้หนังสือแล้วคำนับเกียงจูแหยออกมาสั่งภรรยาแล้วก็รีบไป

๏ ฝ่ายเตียวแก๋ครั้นหนีโทเฮงสุนไปถึงเมืองแล้ว เรียกภรรยามาปรึกษาด้วยการศึก จะคิดทำหนังสือบอกไปอีก พอบังเกิดพายุหนัก ธงใหญ่ซึ่งปักอยู่นั้นก็ขาดไป ผัวเมียเห็นก็ตกใจ ไม่รู้ว่าจะเกิดความร้ายดีประการใด จึงให้ยกโต๊ะมาแต่งเครื่องบูชาออกไปตั้ง เอาอีแปะสองอันทอดดู นางโกลั่นเองจึงบอกผัวว่าจะมีเหตุ ด้วยบัดนี้โทเฮงสุนไปเรียนความรู้เขาเทียนเหลงจะมาทำร้ายแก่ท่าน เตียวแก๋จึงว่าโทเฮงสุนมีฤทธิ์เดินทางได้วันละหมื่นสองพันห้าร้อยเส้น  เรามีกำลังฤทธิ์เดินทางได้วันหนึ่งถึงหมื่นแปดพันเจ็ดร้อยห้าสิบเส้น มากกว่าหกพันสองร้อยห้าสิบเส้น โทเฮงสุนเห็นจะไม่พ้นเรา ว่าแล้วก็สำแดงฤทธิ์รีบไปสกัดซุ่มอยู่ โทเฮงสุนเดินมาพอแลเห็นภูเขาที่อาจารย์อยู่ มีความยินดีรีบเดินไป เตียวแก๋เห็นโทเฮงสุนมาใกล้ร้องตวาดแล้วเอาง้าวฟันโทเฮงสุนตาย ตัดศีรษะได้กลับมาบอกความแก่ภรรยา แล้วเอาศีรษะแขวนไว้หน้าเมือง พวกทหารเห็นก็วิ่งไปแจ้งความแก่เกียงจูแหยเ เกียงจูแหยไม่เชื่อ จึงจับยามดูก็รู้ว่าโทเฮงสุนตายจริง นางเตงตันหยกรู้ว่าผัวตายก็ร้องไห้ เข้ามาคำนับเกียงจูแหยว่า ข้าพเจ้าจะขอออกรบกับเตียวแก๋ แก้แค้นซึ่งฆ่าผัวข้าพเจ้าเสีย เกียงจูแหยห้ามก็ไม่ฟัง ขึ้นม้ารีบไปเรียกเตียวแก๋ เตียวแก๋รู้จะออกรบ ภรรยาจึงห้ามไว้ว่า ข้าพเจ้าจะออกต่อสู้กับภรรยาโทเฮงสุนเอง แล้วขึ้นขี่ม้าถือง้าวกับน้ำเต้าออกมาถึงที่รบ จึงเอาเข็มในน้ำเต้าออก ทิ้งไปถูกจักขุนางเตงตันหยกล้มคว่ำลง แล้วเอาง้าวฟันนางเตงตันหยกก็ตาย ตัดศีรษะไปแขวนไว้ด้วยกับศีรษะผัว เกียงจูแหยรู้ก็มีความสงสาร แล้วกำชับทหารว่า เตียวแก๋มีความรู้วิชาเชี่ยวชาญนัก อย่าให้ผู้ใดเลินเล่อให้รักษาค่ายคูหน้าที่ไว้จงมั่นคง หลำจงกวดจึงว่าข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเมืองเสงติก๋วนนี้ก็เป็นเมืองน้อย แต่หากว่าเราทำการครั้งนี้นานช้า เตียวแก๋จึงได้ฆ่าทหารล้มตายเนือง ๆ กำเริบใจขึ้นทุกวัน ถ้านานไปข้าพเจ้าเห็นจะเสียทีเป็นมั่นคง ขอท่านจงเร่งคุมทหารเข้าหักเอาในเวลาหนึ่งสองเวลา เตียวแก๋ไหนจะเอาปัญญาความรู้รับรองได้ ด้วยมากกว่ากันนัก เมืองนิดหนึ่งเท่านี้ก็จะแหลกราบไปด้วยสติปัญญาท่านแลฝีมือทหารทั้งปวง เกียงจูแหยก็เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารพร้อมแล้ว ให้ตีกลองแลม้าล่อเป็นสัญญา แล้วขึ้นขี่ซูปุดเสียงยกทหารตรูเข้าล้อมเมือง ตีระดมจุดประทัดทิ้งคบเพลิงแลปีนกำแพงทำการเป็นสามารถ เตียวแก๋เห็นดังนั้นก็ไม่ออกต่อสู้ ให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินป้องกันไว้ มิให้ทหารเกียงจูแหยทำอันตรายได้ แต่เกียงจูแหยยกมาล้อมเมืองถึงสองคืนสองวันแล้วไม่ได้เมืองก็เสียใจ พาทหารกลับมาตั้งอยู่ค่ายมั่น เตียวแก๋ครั้นเห็นข้าศึกกลับไปแล้ว จึงแต่งหนังสือให้รีบไปเมืองจิวโก๋อีกฉบับหนึ่ง ผู้ถือหนังสือไปถึงด่านอึ่งฮอเบ๋งจิ๋น เห็นพวกทิศใต้แลทิศเหนือตั้งอยู่ ก็หลีกไปทางก๋วนเอี้ย ครั้นถึงเมืองจิวโก๋แล้วจึงแจ้งความแก่หมุยจู หมุยจูก็เข้าไปเฝ้าในพระที่นั่งหลกไต๋ เห็นพระเจ้าติวอ่องกำลังเสวยสุราเป็นสุขอยู่กับนางขันกี จึงร้องกราบทูลว่า เตียวแก๋บอกมาด้วยมีศึกเป็นการร้อน พระเจ้าติวอ๋องทรงทราบแล้ว ตรัสเรียกหมุยจูเข้าไป เอาหนังสือคลี่ออกทอดพระเนตร แจ้งความว่ากีฮวดกับเกียงจูแหยยกกองทัพมาตีด่านล่วงเข้ามาถึงสี่ตำบลแล้ว บัดนี้เข้าประชิดเมืองเสงติก๋วนเตียวแก๋เหลือกำลังที่จะต่อสู้ ขอทหารเพิ่มเติมไปช่วย ถ้าช้าไปวันหนึ่งสองวันจะเสียเมือง พระเจ้าติวอ๋องครั้นทราบแล้วตกตะลึงไป หมุยจูจึงทูลว่าระยะทางแต่เมืองเสงติก๋วนจะถึงเมืองจิวโก๋นี้เป็นทางสี่พันห้าเส้น ที่ตำบลด่านอึ่งฮอเบ๋งจิ๋นนั้นพวกน่ำเปกเฮาปักเปกเฮาก็มาอยู่จะไว้ใจมิได้ ครั้งนี้เมืองเราเห็นจะเสียแก่ข้าศึกแล้ว พระเจ้าติวอ่องก็โกรธจึงตรัสว่า กีฮวดเป็นแต่ลูกเด็กจะคิดกบฏทำองอาจ ยกมารบหัวเมืองแลตีด่านล่วงเกินเข้ามาดังนี้ เราจะยกออกไปจับตัวให้ได้ ปวยเหลียมจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะเสด็จไปนั้น ข้าพระองค์ทราบว่าพวกที่มาตั้งซุ่มอยู่สี่ร้อยจะเป็นกลศึกประการใดยังไม่แจ้ง เกลือกจะทำอันตรายภายหลัง จะเสด็จกลับมาโดยยากจะเสียท่วงทีแก่ข้าศึก ทหารในเมืองเราก็ยังมีมากอยู่ ถ้าเขียนหนังสือปิดไว้ที่ประตูเมือง แม้นผู้ใดมีน้ำใจสามิภักดิ์อาสาปราบปรามศัตรูครั้งนี้ได้ จะปูนบำเหน็จชุบเลี้ยงให้ถึงขนาด พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบ ให้เขียนหนังสือใบปิดไว้

๏ ฝ่ายผู้มีวิชาสามคนซึ่งอยู่​ ณ เขาบุ๋นสัน คนหนึ่งชื่ออวนหองเป็นชะนี คนหนึ่งชื่อง่อเหลงเป็นตะขาบ คนนหนึ่งชื่อเสียงเฮาเป็นงู สัตว์ทั้งสามแปลงเป็นคนมา เห็นหนังสือแล้วก้เข้าไปหาปวยเหลียมคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปจับข้าศึกมาให้จงได้ ปวยเหลียมก็มีความยินดีเชิญให้นั่งที่สมควร คนทั้งสามจึงว่าข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยจะนั่งเทียมท่านไม่ควร ปวยเหลียมจึงถามว่าท่านทั้งสามชื่อไรอยู่เมืองไหน คนทั้งสามจึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่ออวนหอง ข้าพเจ้าชื่อง่อเหลง ข้าพเจ้าชื่อเสียงเฮาอยู่เขาบุ๋นสัน ปวยเหลียมครั้นแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาทหารสามนายเข้าไปเฝ้า เห็นพระเจ้าติวอ่องทรงหมากรุกอยู่กับขุนนางผู้หนึ่งชื่อออกไหล ที่พระที่นั่งเฮี่ยนเค่งเตี้ยน แปลว่าที่เสด็จออกขุนนาง ปวยเหลียมกราบถวายบังคมแล้วทูลว่า มีคนสามคนชื่ออวนหองชื่อง่อเหลงชื่อเสียงเฮา จะมารับอาสาต่อสู้ข้าศึกเอาชัยชนะให้จงได้ พระเจ้าติวอ๋องทรงทราบแล้วดีพระทัยให้หาเข้ามา คนทั้งสามก็เข้าไปกราบถวายบังคมพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสถามว่า ซึ่งจะรบกับข้าศึกนั้นจะคิดทำประการใด อวนหองจึงทูลว่าเกียงจูแหยคนนี้หามีความสัตย์ไม่ เป็นแต่คนช่างพูดเที่ยวเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวงให้เชื่อถือเข้าด้วย จึงทำการศึกได้ทั้งนี้ข้าพเจ้าคิดกันว่าจะทำกลอุบายจับตัวเกียงจูแหยให้ได้ บรรดาหัวเมืองขึ้นแก่เมืองไซรกีทั้งแปดร้อยนั้น จะกลับคืนมาให้เข้าด้วยพระองค์เหมือนแต่ก่อนก็จะสิ้นเสี้ยนศัตรู พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นดีพระทัยนัก ตั้งอวนหองเป็นไต้เจียงกุ๋นแม่ทัพหลวง ให้ง่อเหลงกับเสียงเฮาเป็นแม่ทัพหน้า ให้ลุยไขเป็นงอกุนจ๋งต๊กที่ยกกระบัตรทัพ ให้อินโภ้ไป้เป็นชำกุ๋นกำกับปีกซ้ายขวา ให้อินเสงซิวลุยฮุนลุยเผงเหล่าหยินเกียดเป็นเกียกกายกองหนุน ครั้งจัดแจงเสร็จแล้วพระเจ้าติวอ๋องจึงพระราชทานสุราให้กินเสร็จแล้ว เหล่าหยินเกียดจึงเข้าไปใกล้ทูลว่า ซึ่งพระองค์จะตั้งอวนหองเป็นแม่ทัพนั้น ข้าพระองค์ยังสงสัยอยู่ ยังมิได้เห็นฝีมือแลความรู้เป็นประการใด จะทดลองดูก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่การศึกครั้งนี้เห็นเป็นการร้อน ข้าศึกจวนจะมาถึงเมืองเราอยู่แล้ว จะให้ทดลองก็จะช้าวันเวลาไปเห็นจะไม่ทันท่วงทีข้าศึก ตัวท่านกับขุนนางทั้งปวงก็กำกับไปด้วยเป็นหลายนาย ถ้าเห็นเพลี่ยงพล้ำเป็นประการใด จงช่วยกันคิดอ่านสุดแต่ให้ได้ชัยชนะเถิด จงเร่งเกณฑ์ทหารให้ได้ยี่สิบหมื่น รีบไปให้ทันช่วยเตียวแก๋จึงจะชอบ อวนหองไต้เจียงกุ๋นกับขุนนางทั้งปวงก็กราบถวายบังคมลาออกมา จัดแจงทหารทั้งปวงพร้อมแล้ว ได้ฤกษ์ก็ยกทัพไปจากเมืองจิวโก๋

๏ ฝ่ายเตียวแก๋ครั้นบอกหนังสือไปหลายเวลาแล้ว ก็ยังไม่เห็นกองทัพมาถึง มีความวิตกจึงปรับทุกข์กับภรรยาว่า เกียงจูแหยก็มารบอยู่ทุกเวลา พวกน่ำเปกเฮาปักเปกเฮา ซึ่งไปเข้าด้วยบูอ๋องก็มาตั้งซุ่มสกัดอยู่ที่ด่านอึ่งฮอเบ๋งจี๋น เป็นศัตรูกระนาบอยู่ถึงสองทาง เสบียงอาหารในเมืองเราก็เบาบางอยู่แล้ว เห็นจะต่อสู้เคี่ยวเข็ญไปมิได้ ภรรยาจึงว่าข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่า อวนหองยกกองทัพเมืองหลวงมาแล้ว ถ้าถึงด่านอึ่งฮอเบ๋งจี๋น ตีพวกน่ำเปกเฮาปักเปกเฮาแตกแล้ว ก็รีบจะมาช่วยเรา กองทัพเกียงจูแหยเล่าก็มาตั้งอยู่ช้านาน เห็นเสบียงอาหารก็จะเบาบางลง ถ้ากองทัพเมืองหลวงมาถึงแล้ว เรายกทหารเมืองเราออกสมทบทุ่มเทเอา เวลาหนึ่งสองเวลา เกียงจูแหยไหนจะทนฝีมือได้ ก็จะแตกยับเยินไป เราก็จะได้ความชอบ เตียวแก๋ก็เห็นดีด้วย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ