๒๓
๏ ชาวเมืองทั้งปวงมีความรักใคร่บุนอ๋องเป็นอันมาก จำใจรับเอาค่าจ้าง รีบทำการลกไต๋จนแล้ว บุนอ๋องก็มีความยินดี จึงพาขุนนางทั้งปวงขึ้นไปชมชอบอัชฌาสัยนัก แต่มิได้ว่าประการใด ซันงีเสงจึงว่าลกไต๋อันนี้ได้เสียเงินเป็นอันมาก ท่านไม่ชอบใจหรือ จึงมิได้ยินว่าประการใดบ้าง บุนอ๋องจึงว่าเราดูก็งดงามอยู่แล้ว แต่คิดว่าจะใคร่ทำสวนขุดสระสักแห่งหนึ่ง ให้เป็นคู่กับลกไต๋ เหมือนหนึ่งเดือนกับตะวัน แต่เห็นว่าไพร่อิดโรยอยู่แล้ว จะซ้ำลำบากไปอีก ซันงีเสงจึงว่า คนในเมืองเรามีอยู่เป็นอันมาก การสวนและสระเท่านี้ ถ้าจะขอแรงเอาแต่สักเวลาเดียวก็จะแล้ว ราษฎรชาวเมืองแจ้งดังนั้น ต่างคนมากระทำการสวนขุดสระเป็นอันมาก บุนอ๋องกับขุนนางทั้งปวงก็พากันไปดูอยู่ที่นั้น และคนขุดพวกหนึ่งได้กระดูกผีก็ขนไปทิ้งเสีย บุนอ๋องเห็นจึงถามว่า ซึ่งขนขึ้นมากับมูลดินนั้นอะไร คนทั้งปวงจึงบอกว่ากระดูกผีตาย บุนอ๋องก็ให้เก็บเอากองไว้ คนทั้งปวงก็สรรเสริญบุนอ๋องว่า แต่กระดูกผู้ซึ่งตายไปแล้ว บุนอ๋องยังมีใจกรุณาเหมือนบิดารักบุตร จึงเร่งทำการสวนขุดสระแล้วแต่ในเวลาเดียว บุนอ๋องก็มีความยินดีนัก เวลาบ่ายจึงพาขุนนางทั้งปวงเที่ยวชมสวนสระเป็นที่สบาย
๏ ครั้นเวลาค่ำบุนอ๋องก็ขึ้นนอนอยู่บนลกไต๋ ขุนนางทั้งปวงก็นอนล้อมวงอยู่ข้างใต้ ในเวลาสามยามบุนอ๋องฝันว่าเสือคิ้วขาวมีปีกเข้าไปถึงที่นอน บุนอ๋องตกใจตื่นขึ้น ครั้นเวลาเช้าขุนนางทั้งปวงเข้าไปพร้อม บุนอ๋องก็เล่าความฝันให้ฟัง ซันงีเสงจึงว่าฝันนี้ดีนัก และเมื่อครั้นพระเจ้าเหงียวเต้ทรงพระสุบินว่าหมีเข้าไปในที่พระบรรทม ก็ได้ผู้มีสติปัญญาคนหนึ่งชื่ออิวอุ๋น ได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งท่านฝันนี้จะได้คนดีมีสติปัญญาเป็นมั่นคง บุนอ๋องก็มีความยินดี พาขุนนางทั้งปวงกับเข้าไปเมือง
๏ ฝ่ายเกียงจูแหยเมื่อออกจากเมืองจิวโก๋นั้น มาอาศัยอยู่ริมแม่น้ำผวนเขแดนเมืองไซรกี วันหนึ่งนั่งตกเบ็ดอยู่ริมฝั่งอ่านโคลงว่า มาจากเขาคุณหลุนซัวประเดี๋ยวใจ ได้สี่ปีแล้วได้เป็นขุนนางในเมืองจิวโก๋ครึ่งปี พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในยุติธรรม เราก็ได้ทัดทานเป็นหลายครั้ง จนจากเมืองมาอยู่ที่นี่เมื่อไรจะพบผู้มีบุญ เหมือนได้เห็นพระจันทร์ออกจากเมฆ
๏ ขณะนั้นบูกิดชาวเมืองไซรกี หาบฟืนมาได้ยินเสียงทำเพลงก็แวะเข้าไป วางหาบฟืนลงแล้วจึงว่า ข้าพเจ้ามาเก็บฟืนครั้งไรก็พบท่านตกเบ็ดอยู่ที่นี่ทุกครั้ง คิดจะใคร่เจรจาด้วยท่าน เกียงจูแหยจึงว่า ว่ากระไรก็ว่าไปเถิด บูกิดจึงว่าข้าพเจ้าเก็บฟืนเลี้ยงชีวิต กับท่านตกเบ็ดอยู่นี้ใครจะดีกว่ากัน เกียงจูแหยก็หัวเราะแล้วว่า ท่านพูดนี้ก็ชอบอยู่ บูกิดจึงถามว่าท่านชื่อไรแซ่ไร เกียงจูแหยจึงบอกว่าเราแซ่เกียงชื่อเสียง อีกชื่อหนึ่งหนึ่งนั้นเต้าฮ้อปวยหิม บูกิดก็หัวเราะแล้วว่า ท่านแต่ก่อนที่มีสติปัญญาเหมือนอิวอึนเปายวด ควรจะมีชื่อปวยหิมได้ นี่ท่านเป็นแต่คนตกเบ็ดเลี้ยงชีวิต ก็พลอยชื่อปวยหิมด้วยเล่า เกียงจูแหยจึงว่าซึ่งว่าเราไม่ควรชื่อปวยหิมนั้น เพราะหารู้จักความดีของเราไม่ เราจะสำแดงวิชาเราให้เห็นประจักษ์ แล้วเกียงจูแหยก็ดูลักษณะบูกิด เห็นจักขุข้างซ้ายแดง ข้างขวาเขียว ประจวบเคราะห์อยู่ จึงทายว่าท่านหาบฟืนไปเวลาวันนี้จะตีคนตาย บูกิดก็หัวเราะแล้วว่า ใจข้าพเจ้าหาองอาจดังนั้นไม่ แล้วก็หาบฟืนกลับเข้าไปในเมืองไซรกี เวลานั้นพอบุนอ๋องออกไปชมลกไต๋บูกิดเห็นก็หลบเข้าแอบอยู่ริมประตู ปลายคานไปถูกตาออกเสียงผู้รักษาประตูขาดใจตาย เหล่าทหารจึงเอาความไปบอกแก่บุนอ๋อง บุนอ๋องก็สั่งให้เอาตัวบูกิดจำไว้ ต่อถึงเดือนเก้าเดือนสิบเดือนสิบเอ็ด จึงจะให้ฆ่าเสียตามโทษ บูกิดก็ร้องไห้ร่ำว่าเคยหาบฟืนมาขายเลี้ยงมารดา เมื่อแลมาต้องโทษฉะนี้ มารดาจะได้อาหารที่ไหนเลี้ยงชีวิตเล่า ซันงีเสงได้ยินดังนั้น จึงแวะเข้าไปถามว่า คนนี้หรือที่ตีนายประตูตาย บูกิดก็บอกว่าข้าพเจ้านี้แหละ แล้วบูกิดก็ร้องไห้อ้อนวอนซันงีเสง ว่าถึงข้าพเจ้าจะตาย ขอให้ไปสั่งมารดาสักหน่อยเถิด ซันงีเสงมีความสงสารจึงว่า ก็ยังไม่ถึงกำหนดฆ่าคนโทษ เราจะอ้อนวอนบุนอ๋องให้ปล่อยท่านไป ถ้าถึงกำหนดเดือนเก้าเดือนสิบเดือนสิบเอ็ดแล้วจงกลับมาให้ฆ่าเสียตามโทษ อย่าให้มีผิดถึงเรา บูกิดก็รับปฏิญาณ ซันงีเสงก็ไปว่ากับบุนอ๋อง บุนอ๋องสั่งให้ปล่อยบูกิดไป บูกิดก็กลับไปหามารดา แล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ