๖๖
๏ ฝ่ายบูอ๋องขี่ม้าขึ้นไปบนภูเขาที่อินเฮาหนีแทรกอยู่นั้น แลดูกองทัพล้อมไว้ทั้งสี่ทิศหวังจะจับอินเฮาฆ่าเสีย บูอ๋องคิดสังเวชใจลงจากม้า คุกเข่าคำนับแล้วจึงร้องว่าแก่อินเฮาว่า เขาล้อมท่านไว้ดังนี้ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็หาสบายใจไม่ ฝ่ายเกียงจูแหยตามบูอ๋องขึ้นไปด้วย จึงจับมือบูอ๋องให้ลุกขึ้นแล้วว่า ท่านคำนับติวอ๋องทำไม อินเฮาคนนี้เป็นคนชั่วหาตั้งอยู่ในคำอาจารย์สั่งไม่ จะถึงแก่ความตายครั้งนี้เพราะกรรมที่ตนทำมิชอบ บูอ๋องจึงว่าอินเฮานี้เป็นบุตรพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องเป็นเจ้าของเรา เมื่อเราทำร้ายแก่อินเฮาก็เหมือนทำร้ายแก่พระเจ้าติวอ๋องผู้มีพระคุณแก่เรา ท่านจงให้เลิกทัพกลับไปเสียเถิด ฝ่ายเหยียนเต๋งโตหยินได้ยินบูอ๋องว่าแก่เกียงจูแหยดังนั้นก็หัวเราะ จึงร้องว่ากับบูอ๋องว่าท่านรู้หรือไม่ว่า อินเฮานี้กรรมมาถึงตัวแล้วท่านอย่าห้ามเลย ฝ่ายบูอ๋องมีกตัญญูต่อพระเจ้าติวอ๋องยิ่งนัก ก็ร้องห้ามเหยียนเต๋งโตหยินแลนายทหารทั้งปวงมิให้ทำร้ายแก่อินเฮา เกียงจูแหยจึงว่าแก่บูอ๋องว่าท่านจะห้ามทหารไว้หาควรไม่ ข้าพเจ้าให้ยกกองทัพมาล้อมอินเฮาครั้งนี้ เพราะกระทำตามเยี่ยงอย่างแต่ก่อน ขณะนั้นบูอ๋องก็จุดธูปปักไว้เป็นคำนับแล้วปฏิญาณตัวว่า ข้าพเจ้าก็มีกตัญญูคิดว่าลูกเจ้า ทหารซึ่งมาล้อมไว้ทั้งนี้เขาก็ทำตามเยี่ยงอย่าง ข้าพเจ้าได้ห้ามปรามนักแล้ว ฝ่ายเหยียนเต๋งโตหยินจึงลวงบูอ๋องว่า เชิญท่านลงจากภูเขาเลิกทัพไปเถิด บูอ๋องกับเกียงจูแหยก็ลงจากภูเขา เหยียนเต๋งโตหยินก็ใช้ให้เลิกทัพไป จึงกลับสั่งบูกิดให้เอาไถเหล็กไปไถในซอกเขาที่อินเฮาอยู่นั้น ขณะเมื่อบูกิดไปไถนั้น เห็นกระดูกอินเฮาแตกหักกระจัดกระจายอยู่ บูกิดก็ร้องไห้คิดกรุณาว่า ข้าพเจ้ามาไถท่านทั้งนี้ใช่กระทำตามอำเภอตนหามิได้ ท่านผู้เป็นนายใช้จึงได้มาทำแก่ท่านถึงเพียงนี้ เมื่อบูกิดไถที่หลุมยับย่อยแล้ว ดวงจิตอินเฮาก็ลอยขึ้นไปจากหลุมเป็นลมพัดไปสู่เมืองจิวโก๋
๏ ขณะนั้นพระเจ้าติวอ๋องนั่งเสวยสุราอยู่บนลกไต๋กับนางขันกี นางฮีบี นางอึ้งกุยหยิน มเหสีสามคน ดวงจิตอินเฮาเป็นลมพัดมาต้องพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องให้ง่วงเหงาหาวนอนซบหลับไป ดวงจิตอินเฮาก็เข้าฝันพระเจ้าติวอ๋องให้เห็นเป็นคนสามหัวมายืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ เรียกพระเจ้าติวอ๋องว่าบิดา แล้วบอกว่าข้าพเจ้าชื่ออินเฮา เพราะข้าพเจ้าหาตั้งอยู่ในคำอาจารย์ไม่ เขาจึงฆ่าข้าพระองค์เสีย พระบิดายังอยู่รักษาบ้านเมืองต่อไปจงเลี้ยงทหารที่มีสติปัญญาไว้จะได้ต่างพระเนตรพระกรรณ แลยังมีทหารคนหนึ่งชื่อง่วนหยง เป็นขุนนางเก่ามีสติปัญญาความรู้มาก พระบิดาจงไปเอามาตั้งแต่งเลี้ยงให้ดี จะได้ช่วยราชการบ้านเมือง บัดนี้ข้าพระองค์จะลาไปอยู่ห้องสินไต้ แลผู้รักษาห้องสินไต้จะให้ข้าพระองค์อยู่หรือไม่ให้อยู่ยังหารู้ไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็ตกใจตื่นขึ้น แล้วบ่นว่าประหลาดใจหนักหนา มเหสีทั้งสามก็ถามว่าเหตุไฉนพระองค์ตรัสดังนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็เล่าความฝันให้ฟัง มเหสีทั้งสามจึงทูลว่า พระองค์จะเชื่ออะไรแก่ฝัน เชิญเสวยสุราให้สบายเถิด แล้วก็รินสุราให้พระเจ้าติวอ๋องเสวย ขณะนั้นฮั่นเอ๋งอยู่หัวเมืองกีจุยก๋วน ให้คนถือหนังสือมาถึงปิจู๊ขุนนางเมืองจิวโก๋ ครั้นปิจู๊ได้แจ้งหนังสือนั้นก็เสียใจ เอาหนังสือเข้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงอ่านใจความว่าอินเฮาพระราชบุตรกับเตียวสัน ไปรบกับเกียงจูแหยที่เขากีสาน เสียทีแก่ข้าศึก ข้าศึกฆ่าอินเฮากับเตียวสันเสีย พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า กีฮวดฆ่าทหารเอกของเราเสียหลายคนแล้ว บัดนี้ซ้ำฆ่าอินเฮาซึ่งเป็นบุตรเราเสีย เห็นจะมีใจกำเริบยกมาทำถึงเมืองเรา ครั้นจะละให้ล่วงด่านเข้ามาก็ซ้ำจะเสียเกียรติยศ จำจะชิงไปกำจัดเสีย ขุนนางทั้งปวงจะเห็นผู้ใดที่จะปราบปรามกีฮวดได้ หลีเต๋งขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่ากีฮวดตั้งตัวเป็นเจ้า หัวเมืองฝ่ายตะวันตกก็อยู่ในอำนาจสิ้น ทหารเอกทหารเลวก็มีเป็นอันมาก แล้วเกียงจูแหยซึ่งเป็นแม่ทัพก็มีสติปัญญา ทหารในเมืองหลวงนี้นอกกว่าอังกิ๋มนายด่านซำซันก๋วนแล้ว ข้าพระองค์ไม่เห็นผู้ใดที่จะสู้ปัญญาแลฝีมือเกียงจูแหยได้ ด้วยอังกิ๋มชำนาญการศึกนัก พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็เห็นด้วยจึงให้มีหนังสือรับสั่งไปถึงอังกิ๋ม ให้อังกิ๋มจัดแจงทหารยกไปตีเมืองไซรกีจงได้ อังกิ๋มแจ้งในหนังสือรับสั่งดังนั้น ก็จัดแจงทหารสิบหมื่นยกไปถึงแดนเมืองไซรกีตั้งค่ายมั่นอยู่ แล้วปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า ทหารเมืองไซรกีเกียงจูแหยเป็นแม่ทัพ มีสติปัญญาทั้งฝีมือก็เข้มแข็ง จะรบกับเกียงจูแหยเหมือนรบกับเมืองอื่นนั้นไม่ได้ ท่านจงกำชับนายทัพนายกองทั้งปวงให้แข็งเมืองจงทุกคน
๏ ฝ่ายเกียงจูแหยรู้ว่าทัพจิวโก๋ยกมาก็หัวเราะ จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่าเมืองจิวโก๋นี้คิดว่าจะไปตีอีก บัดนี้กลับให้ทหารยกมารบเราอีกเล่าก็สมคะเนแล้ว ทหารผู้ใดจะออกไปรบกับอังกิ๋มได้ หลำจงกวดก็รับอาสาแล้วใส่เกราะขึ้นขี่ม้าถือทวน ยกทหารออกไปหน้าค่ายอังกิ๋ม อังกิ๋มก็ให้กุยก๋องออกรบ กุยก๋องก็ขึ้นม้าถือง้าวยกทหารออกจากค่าย หลำจงกวดจึงร้องถามว่าใครจะต่อสู้กับเรา กุยก๋องก็บอกว่าเราชื่อกุยก๋องเป็นทหารอังกิ๋ม หลำจงกวดได้ฟังก็หัวเราะจึงร้องว่า แต่ข้าศึกตายเพราะฝีมือเรานับพันแล้ว ท่านจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า ๆ กุยก๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธขับม้ารำง้าวเข้ารบกับหลำจงกวดได้สามสิบเพลง กุยก๋องก็ร่ายมนต์เป็นลมดำพลุ่งขึ้น แล้วกลายเป็นสุนัขโตใหญ่โจนขึ้นกัดรักแร้หลำจงกวดเสื้อเกราะขาด หลำจงกวดก็ขับม้าหนี กุยก๋องก็กลับเข้าค่ายแล้วแจ้งเนื้อความซึ่งมีชัยชนะแก่ข้าศึกนั้นให้อังกิ๋มฟัง อังกิ๋มก็ดีใจนักจึงว่าเพลาวันนี้กุยก๋องออกรบมีชัยชนะแล้ว เพลาพรุ่งนี้เปกเฮียนหยงจงออกรบกับทหารเมืองไซรกี ครั้นเพลารุ่งเช้าเปกเฮียนหยงก็ขึ้นม้าถือทวนยกออกจากค่าย เข้าไปตั้งชิดเชิงกำแพงเมืองไซรกี เกียงจูแหยแจ้งดังนั้นก็ให้เตงจิวก๋งออกไปรบ เตงจิวก๋งก็ขึ้นม้าถือกระบี่สองมือยกทหารออกจากเมืองแล้วร้องว่าแก่เปกเฮียนหยงว่า ท่านหารักชีวิตไม่หรือจะมารบกับเรา เปกเฮียนหยงจึงว่าท่านเป็นพวกทรชนหารู้คุณเจ้าแผ่นดินไม่ เราทหารเมืองหลวงจะมาล้างชีวิตเสีย เตงจิวก๋งได้ฟังก็โกรธ ขับม้ารำกระบี่เข้ารบกับเปกเฮียนหยงได้สามสิบเพลง เตงจิวก๋งก็เอากระบี่ฟันเปกเฮียนหยงตกม้าตาย แล้วตัดเอาศีรษะมาให้เกียงจูแหย เกียงจูแหยก็ให้เอาศีรษะเปกเฮียนหยงไปเสียบประจานไว้ที่ประตูเมือง ฝ่ายอังกิ๋มรู้ว่าเปกเฮียนหยงตายก็โกรธนักกระทืบเท้ากัดฟันว่า ถ้าเราไม่ล้างมันเสียให้สิ้นทั้งพวกก็หาหายความแค้นไม่ แล้วอังกิ๋มขึ้นม้าถือง้าวยกทหารสิบหมื่นไปตั้งประชิดใกล้เมือง แล้วร้องท้าทายว่าให้เกียงจูแหยยกออกมารบกัน เกียงจูแหยรู้ก็จัดแจงทหารเสร็จแล้วใส่เกราะเงิน ถือตั้วกี๋ แปลว่าธงเหลืองเป็นอาวุธ ขึ้นขี่ซูปุดเสียงยกทหารเปิดประตูเมืองออกตั้งกระบวนอยู่ อังกิ๋มจึงร้องถามว่ากองทัพใคร เกียงจูแหยบอกว่ากองทัพชื่อว่าเกียงจูแหย แล้วร้องถามไปว่าท่านชื่อไร อังกิ๋มก็บอกว่าเราชื่ออังกิ๋ม แล้วว่าท่านเป็นคนทรชนไม่รู้คุณพระเจ้าติวอ๋อง ตั้งตัวเป็นใหญ่แข็งเมืองหาไปคำนับพระเจ้าติวอ๋องไม่ เกียงจูแหยจึงว่าตัวท่านอุปมาดังคลองน้อย ยังจะรู้กระแสน้ำในทะเลใหญ่เป็นประการใด พวกทหารเหล่านี้หาตั้งอยู่ในยุติธรรมไม่ เที่ยวรบตีบ้านเมืองอื่นทำให้ยากแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ซึ่งท่านมารบกับเราจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า จะหนีไปจากเงื้อมมือเรานั้นหาพ้นไม่ ถ้ารักชีวิตจงลงมาคำนับเราเสียโดยดีเถิด
๏ ฝ่ายอังกิ๋มได้ฟังก็โกรธร้องด่าเกียงจูแหยว่า อ้ายคนแก่พูดโอกโขยกใครจะไปคำนับกับคนทรชน แล้วขับม้ารำง้าวเข้าไปจะฟันเกียงจูแหย กีซกเบ๋งบุตรบุนอ๋องที่เจ็ดสิบสอง เป็นคนร้ายกล้าหาญนัก ยืนอยู่ข้างเกียงจูแหยเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ารบกับอังกิ๋มพักหนึ่ง อังกิ๋มก็ทำเป็นขับม้าหนี กีซกเบ๋งก็ไล่ตามไป อังกิ๋มก็โบกธงขาวเป็นสำคัญ ทหารทั้งปวงก็ล้อมกีซกเบ๋งเข้าไว้ แล้วโบกธงสำคัญขึ้น ทหารทั้งปวงก็แหวกออกเป็นช่อง มีประตูทั้งสี่ทิศ ทหารถือธงยืนประจำอยู่ทั้งสี่ประตู แล้วอังกิ๋มกลับเข้ารบกับกีซกเบ๋งอีกสี่สิบเพลง แล้วอังกิ๋มก็โบกธงให้ปิดประตูเสียสามประตู เปิดไว้ประตูหนึ่ง แล้วทำเป็นชักม้าหนีเข้าแอบธงใหญ่ในประตูที่เปิด กีซกเบ๋งโกรธร้ายไม่ทันคิดก็ขับม้าไล่ตามไป อังกิ๋มได้ทีก็เอาง้าวฟันกีซกเบ๋งตกจากม้าตาย อังกิ๋มก็โบกธงสัญญา ทหารที่ล้อมอยู่นั้นก็คลายเป็นกระบวนประชุมกันอยู่อย่างเก่า อังกิ๋มก็ออกไปยืนม้าร้องท้าทายเกียงจูแหยว่า ท่านอวดฝีมือดีจงออกมารบกัน นางเตงตันหยกยืนอยู่ข้างหลังเกียงจูแหยได้ยินอังกิ๋มท้าทายก็โกรธ ขับม้ารำกระบี่สองมือเข้ารบกับอังกิ๋ม อังกิ๋มก็โบกธงให้ทหารล้อมเข้า แล้วก็ทำเป็นชักม้าหนีหลบเข้าแอบธงอยู่ นางเตงตันหยกก็หาไล่ตามไปไม่ แล้วเอาศิลาแก้วทิ้งไปถูกศีรษะอังกิ๋มแตก อังกิ๋มก็โบกธงสัญญาให้ทหารกลับเข้าค่าย ทัพเกียงจูแหยก็กลับเข้าเมือง ฝ่ายอังกิ๋มครั้นมาถึงค่าย ก็เอายาวิเศษปิดแผลที่ศีรษะนั้นคืนเดียวก็หาย ครั้นรุ่งเช้าก็พาทหารออกจากค่ายแล้วร้องว่า ให้เกียงจูแหยแต่งทหารผู้หญิงคนนั้นออกมารบกันอีก เกียงจูแหยได้ฟังก็สั่งนางเตงตันหยกให้ออกรบ โทเฮงสุนผัวนางเตงตันหยกจึงว่า เจ้าจะออกรบจงระวังกลศึกอังกิ๋มที่ประตูสี่แห่ง อย่าล่วงไล่ให้เกินเข้าไปจะเสียที ลงเกียดก๋งจู๊ทหารผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ยินโทเฮงสุนกำชับเมีย ก็ร้องถามว่าท่านพูดจาสั่งเสียอะไรกัน โทเฮงสุนจึงว่าเราสอนเมียให้ระวังกลศึกอังกิ๋ม ลงเกียดก๋งจู๊ก็ว่ากลัวอะไรกับความคิดอังกิ๋ม ถึงจะให้เราออกมารบเราก็ไม่พรั่น โทเฮงสุนก็ไปบอกกับเกียงจูแหยว่า ลงเกียดก๋งจู๊จะอาสาออกรบ เกียงจูแหยก็สั่งให้ลงเกียดก๋งจู๊ออกรบ ลงเกียดก๋งจู๊ก็จัดทหารเสร็จแล้วขึ้นขี่ม้าสีชมพูชื่อว่า ไกฮัวแปะ ถือกระบี่ยกทหารออกไป อังกิ๋มแลเห็นก็รู้ว่ามิใช่นางเตงตันหยกจึงถามว่าเจ้าชื่อไร ลงเกียดก๋งจู๊จึงว่าจะถามเราทำไมเร่งลงจากม้ามาคำนับเราเถิด อังกิ๋มก็โกรธขับม้าเข้ารบกับลงเกียดก๋งจู๊ได้สี่เพลง แล้วขับม้าหนีเข้าไปแฝงอยู่ที่ธง ลงเกียดก๋งจู๊ก็โบกธงอันมีฤทธิ์ปิดบังตามิให้ข้าศึกแลเห็น แล้วขับม้าเข้าไปเอากระบี่ฟันอังกิ๋มเสื้อเกราะขาด อังกิ๋มเห็นจะสู้รบมิได้ก็ขับม้าหนี ลงเกียดก๋งจู๊ก็ขับม้าไล่ตามไปแล้วร้องว่า ท่านจะหนีไปนั้นเห็นจะพ้นมือเราแล้วหรือ เราเป็นลูกเทวดาชื่อเอี๋ยวตี๋เสียงโป๊ แม่เราให้ลงมาช่วยบูอ๋องล้างเมืองจิวโก๋ ถึงท่านจะหนีไปบนฟ้าก็มิพ้น จะดำดินไปเราก็จะตามไปฆ่าเสียให้ได้ อย่าหนีไปเลยให้เหนื่อยกาย จงลงจากม้ามาให้เราตัดศีรษะเสียดี ๆ เถิด อังกิ๋มก็ลงจากม้ากระทำฤทธิ์หนีแทรกแผ่นดินไป ลงเกียดก๋งจู๊ก็ตามอังกิ๋มไปบนดิน อังกิ๋มไปถึงไหนก็แลเห็นตัว อังกิ๋มไปถึงทะเลใหญ่ชื่อว่าปักไฮ้ จึงเอาของวิเศษที่อาจารย์ให้ไว้ ทิ้งลงในน้ำก็เป็นมังกรว่ายอยู่ อังกิ๋มก็ขึ้นขี่หลังมังกรหนีไป ลงเกียดก๋งจู๊ก็เอาของวิเศษทิ้งลงในน้ำ เป็นก้อนศิลาแล้วขึ้นขี่ก้อนศิลาตามไปทันอังกิ๋ม จึงเอาก้อนศิลาทับอังกิ๋มกับมังกรไว้ แล้วร่ายมนตร์เรียกผีพรายในทะเลให้ขึ้นมามัดอังกิ๋มเข้า แล้วสั่งว่าให้เอาตัวไปส่งยังเมืองไซรกี พรายน้ำก็จับตัวอังกิ๋มมัดให้มั่นโยนขึ้นไปครึ่งฟ้าตกลงในเมืองไซรกีตรงหน้าเกียงจูแหย เกียงจูแหยเห็นอังกิ๋มก็รู้ว่าจับโยนมาเป็นมั่นคง พอลงเกียดก๋งจู๊มาถึง เกียงจูแหยก็สั่งหลำจงกวดให้เอาตัวอังกิ๋มไปฆ่าเสียนอกเมือง หลำจงกวดก็พาตัวอังกิ๋มออกมา