๑๑

๏ ครั้นเวลารุ่งเช้าปิกันจึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า จะขอศพงกจงฮูเกียงฮวนฌ้อไปฝังตามธรรมเนียม และกีเซียงนั้นมาอยู่นานแล้ว หัวเมืองตะวันตกนั้นก็ว่างเปล่าอยู่ เกลือกราษฎรจะกำเริบ ขอให้กีเซียงกลับไปเมืองไซรกี พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงค่อยกระซิบทูลว่า ซึ่งจะปล่อยกีเซียงไปครั้งนี้ เหมือนปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยมังกรลงน้ำ ข้าพเจ้าเห็นจะไปร่วมคิดกับซุนเอ๋งบุตรงกจกฮู ซึ่งอยู่เมืองนำเป๊กเฮา เกียงฮุนขวัน บุตรเกียงฮวนฌ้อ ซึ่งอยู่เมืองตังลู้ยกมากระทำกับเมืองหลวง เห็นจะเคืองพระทัยนัก พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งท่านว่าก็ชอบอยู่ แต่เราเป็นกษัตริย์ได้ออกวาจาให้เขาไปแล้วจะคืนคำเสียก็มิควร ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่า ขณะเมื่อกีเซียงจะไปนั้น เห็นขุนนางในเมืองจะตามส่งเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจะลอบไปดูกิริยากีเซียง ถ้าเห็นสุจริตอยู่ก็จะปล่อยไป ถ้าเห็นไม่สุจริตจึงค่อยมีรับสั่งให้หากลับมา พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย ฮิวฮุนฮุยต๋งก็กลับมา ณ บ้าน ให้คนใช้คอยดูอยู่ว่ากีเซียงจะไปเวลาใด

๏ ฝ่ายปิกันครั้นออกจากเฝ้า ก็แวะไปหากีเซียง ณ บ้าน กีเซียงก็ออกมารับคำนับตามประเพณีเชิญให้นั่งที่สมควร ปิกันจึงว่าเวลานี้ข้าพเจ้ากราบทูลให้ท่านกลับไปเมืองไซรกี พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ แต่ข้าพเจ้าวิตกอยู่ว่าเกลือกจะมีผู้ทูลขัดขวาง ท่าจะมิได้ไปโดยสะดวก ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์มาเตือนสติท่าน ให้ท่านเร่งทูลลาไปในวันพรุ่งนี้ กีเซียงได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับปิกันแล้วว่า ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าครั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ สืบไปเมื่อหน้าข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน ปิกันจึงยุดเอามือกีเซียงไว้แล้วกระซิบว่า ในเมืองหลวงทุกวันนี้กฎหมายขนบธรรมเนียมก็ฟั่นเฟือนไป เพราะพระมหากษัตริย์เชื่อฟังแต่คำคนพาล เราพิเคราะห์ดูเห็นจะไม่มีความสุข กีเซียงก็มิได้ตอบประการใด เป็นแต่ถอนใจใหญ่อยู่ ปิกันก็ลาไป ครั้นเวลารุ่งเช้ากีเซียงก็เข้าไปกราบทูลถวายบังคมลาพระเจ้าติวอ๋องแล้วก็มาจัดแจงทหารและบ่าวไพร่ของตัว ยกออกจากเมืองหลวงไปทางประตูตะวันตก ปิกัน บูเซียงอ๋อง มุยจื้อ กิจื้อ กับขุนนางทั้งปวง รู้ว่ากีเซียงจะกลับไปเมือง ก็ชวนกันออกไปตามส่ง และขณะเมื่อกีเซียงออกจากเมืองหลวงไปทางประมาณพันเส้น เหลือบมาเห็นขุนนางตามมาส่งเป็นอันมาก จึงลงจากม้าแวะเข้าหยุดอยู่ที่กงก๋วน ขุนนางทั้งปวงก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับกันตามผู้ใหญ่ผู้น้อย บูจือจึงว่ากับกีเซียงว่าข้าพเจ้าจะเตือนสติท่านสิ่งหนึ่ง ถ้าท่านรับคำข้าพเจ้าได้ คุณท่านจะอยู่กับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ถึงข้าพเจ้าจะตายก็ไม่ลืมคุณท่าน กีเซียงจึงว่าท่านจะสั่งสอนข้าพเจ้าประการใดก็ตามเถิด บูจือจึงว่าครั้งนี้ท่านหามีความผิดไม่ พระเจ้าติวอ๋องจะให้ฆ่าเสีย หากขุนนางทั้งปวงทูลขอท่าน ท่านจึงได้รอดชีวิต ซึ่งท่านจะกลับไปเมืองไซรกีครั้งนี้ ท่านอย่าได้มีใจแค้นพระเจ้าติวอ๋องเลย จงคิดถึงคุณพระมหากษัตริย์ ซึ่งผ่านสมบัติมาแต่ก่อนนั้นเถิด กีเซียงจึงว่าความข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายก็ไม่ละความกตัญญูเสีย ขณะเมื่อกีเซียงกับขุนนางทั้งปวงพูดกันอยู่นั้น พอแลเห็นฮิวฮุนฮุยต๋งควบม้ามาตาม ขุนนางทั้งปวงรังเกียจฮิวฮุนฮุยต๋งนัก ต่างคนคำนับลากีเซียงกลับไป ฮิวฮุนฮุยต๋งก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับกีเซียง กีเซียงก็รับคำนับแล้วว่า เรามิได้มีคุณสิ่งไรแก่ท่าน ซึ่งท่านอุตส่าห์มาส่งเราถึงนอกเมืองเราขอบใจนัก ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงตอบว่า ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยจำมาส่งตามธรรมเนียม ฮิวฮุนฮุยต๋งก็รินสุราคำนับส่งให้กีเซียงเป็นหลายที ครั้นเห็นกีเซียงเมาสุราตึงตัวอยู่แล้ว ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เขาเล่าลือว่า ท่านรู้การในอากาศว่าดีและร้าย การแผ่นดินเล่าท่านก็รู้ในเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กีเซียงจึงแกล้งถ่อมตัวว่า ตำราทั้งปวงเราก็ได้เรียนอยู่บ้างแต่หาเหมือนคำคนสรรเสริญไม่ ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงถามว่าทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็ละอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนเสีย ผู้ใดจะทัดทานก็มิได้เชื่อฟัง ฆ่าขุนนางผู้ใหญ่หาความผิดมิได้เสียเป็นอันมาก สืบไปเมื่อหน้าท่านจะเห็นประการใด กีเซียงได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ แล้วว่าซึ่งเราจะทำนายนั้นไม่ควร จงกำหนดแต่ปีมะเมียจนถึงปีชวดก็จะเห็นประจักษ์ ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงว่าเมื่อพระเจ้าติวอ๋องจะสิ้นพระชนม์นั้นด้วยเหตุประการใด กีเซียงกำลังเมาสุราไม่ทันคิดจึงว่า พระเจ้าติวอ๋องจะสิ้นบุญนั้นหาสู้ดีไม่ ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงว่า ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ก็วิตกอยู่ว่า เมื่อจะตายนั้นจะเป็นประการใดบ้าง กีเซียงพิเคราะห์ดูลักษณะฮิวฮุนฮุยต๋งแล้ว คิดแต่ในใจว่าคนทั้งสองนี้ลักษณะร้ายนักลูกเห็บจะตกถูกตาย แล้วเกียงจูแหยจะเอาศพไปเส้นเทพยดาที่เขากีซัว ครั้นจะบอกตามจริงบัดนี้ฮิวฮุนฮุยต๋งจะเสียใจนัก กีเซียงจึงแกล้งว่าเมื่อท่านทั้งสองจะตายนั้นประหลาดหาเหมือนคนทั้งปวงไม่ ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงว่าธรรมดาเกิดมาเป็นคนแล้วก็ย่อมตายด้วยป่วยไข้ ประการหนึ่งก็ตายด้วยเชือกและอาวุธต่างๆ ซึ่งท่านว่าข้าพเจ้าจะตายประหลาดกว่าคนทั้งปวงนั้น ข้าพเจ้าสงสัยอยู่ กีเซียงจึงว่าเราจะทำนายต่อไปนั้นเหลือรู้เรานัก ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงอ้อนวอนว่าท่านได้เมตตาข้าพเจ้า แล้วอย่าคิดรังเกียจเลย จงทำนายให้ประจักษ์เถิด กีเซียงขัดมิได้จึงว่าท่านทั้งสองนี้จะต้องลูกเห็บตาย ฮิวฮุนฮุยต๋งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ จึงว่าข้าพเจ้าทั้งสองนี้ท่านว่าต้องลูกเห็บแล้ว ตัวท่านจะตายด้วยเหตุประการใดเล่า กีเซียงจึงว่าตัวเรานี้จะตายโดยปรกติดุจหนึ่งนอนหลับอยู่ ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงแกล้งสรรเสริญว่าท่านได้เรียนวิชาชำนิชำนาญนักหาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้าคิดจะใคร่สนทนาด้วยท่านให้ได้คติไว้ วิตกด้วยราชการในพระราชวัง แล้วฮิวฮุนฮุยต๋งก็คำนับลากีเซียงขึ้นม้ากลับมา ฮิวฮุนจึงว่ากับฮุยต๋งว่า กีเซียงนั้นมันเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ตัวมันจะตายวันนี้พรุ่งนี้หารู้ไม่กลับมาทำนายเราเสียอีกเล่า ฮิวฮุนฮุยต๋งพูดกันแล้วก็รีบเข้าไปในวังทูลพระเจ้าติวอ๋อง ตามซึ่งได้พูดกับกีเซียงทุกประการ แล้วว่ากีเซียงนั้นหยาบช้าต่อพระองค์นัก พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงพระโกรธ จึงว่ากีเซียงนั้นโทษถึงตายแล้ว เรายกโทษเสียให้กลับไปเมืองไซรกียังหารู้คุณไม่ จำจะให้เอาตัวมาตัดศีรษะแขวนไว้ที่ประตูเมืองจึงจะหายความแค้น แล้วสั่งเตียวฉานนายทหารเอกให้รีบตามไปจับตัวกีเซียงมาให้จงได้ เตียวฉานรับสั่งแล้วออกมาขึ้นม้าพาทหารทั้งปวงรีบตามไป

๏ ฝ่ายกีเซียงครั้นฮิวฮุนฮุยต๋งกลับไปแล้ว ก็ขึ้นม้าพาทหารออกจากกงก๋วนเดินไปทางตะวันตก แล้วคิดถึงคำที่พูดกับฮิวฮุนฮุยต๋งก็สะดุ้งใจเห็นว่าจะมีเหตุแล้ว พอได้ยินเสียงทหารเรียกมาว่าให้กีเซียงหยุดอยู่ก่อน กีเซียงเหลียวไปเห็นเตียวฉานจึงว่ารู้ตัวอยู่แล้ว กีเซียงจึงสั่งแก่ทหารทั้งปวงว่าท่านจงพากันกลับไปเมืองไซรกีก่อนเถิด แล้วบอกแก่บุตรทั้งสองให้บำรุงรักษามารดาจงดี กิจการบ้านเมืองทั้งปวงก็ให้ว่าตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ทหารทั้งปวงได้ยินกีเซียงว่าดังนั้นก็ร้องไห้ กีเซียงจึงว่าท่านอย่าเศร้าโศกนักเลย จงฟังข่าวเราในเจ็ดปีเถิด ทหารทั้งปวงก็คำนับลาไป เตียวฉานก็พากีเซียงเข้ามาถึงพระราชวัง ผู้ซึ่งเฝ้าประตูเห็นดังนั้น ก็รีบเอาเนื้อความไปบอกอึ้งปวยฮอ อึ้งปวยฮอก็ตกใจ จึงคิดว่ามีรับสั่งโปรดให้กีเซียงไปเมืองไซรกีแล้ว เหตุไรจึงหาตัวกลับมาเล่า ชะรอยอ้ายฮิวฮุนฮุยต๋งจะทูลขัดขวาง อึ้งปวยฮอก็ให้จิวจือไปบอกขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวง ให้เข้าไปเตรียมคอยเฝ้า อึ้งปวยฮอก็เข้าไปในพระราชวัง เห็นเตียวฉานคุมตัวกีเซียงอยู่ อึ้งปวยฮอจึงถามกีเซียงว่ามีรับสั่งโปรดท่านให้กลับไปเมืองแล้ว เหตุไรท่านจึงกลับมาเล่า กีเซียงจึงว่าจะมีเหตุสิ่งไรข้าพเจ้ามิได้รู้ พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก เตียวฉานก็พาตัวกีเซียงเข้าไปในที่เฝ้า พระเจ้าติวอ๋องเห็นกีเซียงก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่าตัวทำผิดเรายกโทษเสียแล้ว และตัวยังหยาบช้าหามีกตัญญูต่อเราไม่ กีเซียงจึงตอบว่าข้าพเจ้ามีกตัญญูอยู่ถึงห้าประการ ประการหนึ่งรู้จักคุณบิดามารดา คุณครูอาจารย์ซึ่งสั่งสอนข้าพเจ้าแล้วรู้จักคุณฟ้าคุณดินคุณพระพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าคิดจะสนองอยู่มิได้ขาด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งมึงว่ามีกตัญญูต่อท่านผู้มีคุณนั้นจะพูดแก้ตัวหรือ ถ้ามึงมีกตัญญูรู้จักคุณกูแล้วทำไม มึงหยาบช้าว่ากูไม่ดีเล่า กีเซียงจึงทูลซึ่งข้าพเจ้าจะได้ทรยศหยาบช้าหามิได้ ข้าพเจ้าว่านั้นตามตำราสินหลงฮวดฮี ซึ่งข้าพเจ้าได้เรียนไว้แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ตัวสิอวดว่าได้เรียนตำราดูแม่นยำแล้ว จะทำนายชะตาเมืองเราจะเป็นประการใดบ้าง กีเซียงจึงทูลว่าซึ่งการแผ่นดินทั้งปวง ข้าพเจ้าได้พูดไว้กับฮิวฮุนฮุยต๋งแล้ว แต่จะได้หยาบช้าสิ่งใดหามิได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งตัวว่าเราจะตายไม่ดีนั้นหาเป็นข้อหยาบช้าไม่หรือ ส่วนตัวสิยกย่องว่าจะตายโดยปรกติเล่า ซึ่งตัวพูดจาทั้งนี้หวังจะให้คนทั้งปวงลุ่มหลง ตัวสิทำนายไว้ว่าจะตายดีแล้ว ก็เราจะให้ฆ่าเสียบัดนี้ ตัวจะทำนายถูกหรือ หรือเราจะทำนายถูก แล้วสั่งบูซูให้เอาตัวกีเซียงไปฆ่าเสีย บูซูก็ฉุดตัวกีเซียงออกไป อึ้งปวยฮอจึงร้องห้ามบูซูว่าอย่าเพ่อวุ่นวายก่อนแล้วเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งโปรดให้กีเซียงกลับไปเมืองไซรกี ขุนนางและราษฎรก็มีความยินดีนัก ซึ่งกีเซียงกระทำให้ขัดเคืองพระทัยทั้งนี้ เพราะเป็นคนซื่อว่าตามตำรา ใช่จะแกล้งหยาบช้าต่อพระองค์หามิได้ จะขอพระราชทานโทษกีเซียงไว้ก่อน พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่โปรดให้ ปิกันจึงทูลว่ากีเซียงเป็นคนสัตย์ซื่อ แล้วมีใจเจ็บร้อนต่อแผ่นดิน ขุนนางและราษฎรนับถือ ซึ่งจะฆ่ากีเซียงเสียนั้น ขุนนางซึ่งมีกตัญญูต่อแผ่นดินก็จะเสียใจ การซึ่งจะรักษาแผ่นดินสืบไปเมื่อหน้าเป็นการใหญ่ และกีเซียงทำนายการทั้งปวงนั้นตำราก็ยังมีเป็นพยานอยู่ ขอให้กีเซียงทายในวันหนึ่งสองวัน ในเมืองจิวโก๋จะมีเหตุประการใดบ้าง ถ้ากีเซียงทายถูกจะขอให้พ้นโทษ ถ้าไม่สมเหมือนคำกีเซียงจึงลงพระราชอาญา พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงหากีเซียงเข้ามาเฝ้า ให้ทำตามคำปิกันว่า กีเซียงก็ให้เอาอีแปะมาสามอัน ใส่เข้าในเตาตามสังเกต ดูตามตำรารู้ว่าเหตุร้ายก็ตกใจนัก จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า พรุ่งนี้เพลาเที่ยงจะบังเกิดเพลิงไหม้ ณ พระตำหนักไทเบีย ซึ่งไว้รูปพระมหากษัตริย์แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องแจ้งดังนั้น ก็มีรับสั่งให้งดโทษกีเซียงไว้ก่อน กีเซียงกับขุนนางทั้งปวงออกมาจากที่เฝ้า

๏ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสกับฮิวฮุน ฮุยต๋งว่า ครั้งนี้จะได้ดูเท็จจริงกีเซียง ฮิวฮุนจึงว่าซึ่งกีเซียงดูว่าจะเกิดเพลิงไหม้พระราชวังนั้น ข้าพเจ้าจะให้ไปสั่งผู้ซึ่งรักษาพระตำหนักไทเบีย ให้ดับธูปและตะเกียงเสียให้สิ้น ก็เห็นว่าจะหาเกิดเพลิงเหมือนคำกีเซียงไม่ พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วยก็ให้ไปสั่งตามคำฮิวฮุนว่า อึ้งปวยฮอครั้นกลับมา​ ณ บ้านจึงสั่งบุตรทั้งเจ็ดคน ให้คุมบ่าวไพร่ไปเตรียมอยู่ริมพระราชวังคอยจะดับเพลิง แล้วสั่งอีเหมียงผู้รักษาตำหนักไทเบียว่า ถ้าเกิดเพลิงขึ้นก็ให้มาบอกโดยเร็ว ครั้นเพลาเที่ยงขุนนางทั้งปวงต่างคนคิดว่าซึ่งกีเซียงทำนายไว้เห็นจะผิดเสียแล้ว

๏ ขณะนั้นอัสนีบาตผ่าลงที่พระตำหนักไทเบียเป็นเพลิงติดขึ้น ขุนนางทั้งปวงได้ยินเสียงฟ้าก็ตกใจ พออีเหมียงวิ่งร้องออกมาว่าเพลิงไหม้พระตำหนักไทเบียขึ้นแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปจะดับเพลิง และเปลวเพลิงร้อนนัก ต่างคนเข้าใกล้ไม่ได้ก็จนใจยืนตะลึงอยู่ ปิกันคิดถึงคำกีเซียงทำนายไว้ก็ถอนใจใหญ่ ว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า ซึ่งไฟไหม้พระตำหนักไทเบียนี้ เหมือนจะบอกเหตุว่าวงศ์เสี่ยงทางจะสูญแล้ว ขณะเมื่อเพลิงไหม้ขึ้นนั้น พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่พระที่นั่งออกขุนนาง ฮ่องยี่กั๋วเข้าไปกราบทูลว่าไฟไหม้พระตำหนักไทเบีย พระเจ้าติวอ๋องก็ตกพระทัยนัก จึงให้ไปกำชับขุนนางทั้งปวงให้คอยรักษาอย่าให้เพลิงไหม้ลามไปได้ แล้วตรัสกับฮิวฮุน ฮุยต๋งว่า เมื่อกีเซียงทายถูกดังนี้ ท่านทั้งสองจะคิดประการใด ฮิวฮุน ฮุยต๋งจึงทูลว่า ซึ่งจะปล่อยตัวกีเซียงกลับไปเมืองไซรกีนั้นไม่ได้ ขอให้เอาตัวคุมไว้ในเมืองหลวงก่อนแผ่นดินจึงจะเป็นสุข ข้าพเจ้าและราษฎรทั้งปวงจะได้พึ่งพระบารมีสืบไป

๏ พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย ปิกัน มุยจือ อึ้งปวยฮอ ทั้งสามคนจึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งเพลิงไหม้พระตำหนักไทเบียนั้นต้องคำกีเซียงที่ทำนายไว้ ข้าพเจ้าขอพระราชทานให้กีเซียงพ้นโทษ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งโทษถึงตายนั้นเรายกเสีย แต่ซึ่งจะให้กลับไปเมืองไซรกีนั้นยังไม่ได้ เราจะให้อยู่ที่จำสงัดก่อน ถ้าบ้านเมืองสงบอยู่จึงจะให้กลับไป ปิกันก็ไปบอกกีเซียงตามรับสั่ง แล้วว่าท่านทรมานอยู่ก่อนเถิด ถ้าพระเจ้าติวอ๋องค่อยสบายพระทัยแล้ว เราจึงจะกราบทูลให้ท่านไปเมืองไซรกีจงได้ กีเซียงจึงว่าถึงข้าพเจ้าจะได้ความลำบากประการใด ก็มิลืมคุณพระมหากษัตริย์ บูซูก็พาตัวกีเซียงไปไว้ที่จำสงัด ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงรู้ ก็จัดของมาเยือนกีเซียงเป็นอันมากเสียงอื้ออึงนัก ขณะเมื่อกีเซียงอยู่ในที่จำสงัด ก็สั่งสอนราษฎรให้รู้จักขนบธรรมเนียมทุกประการ ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญาก็ให้เรียนฤกษ์บนตำราปวยกั้วนั้น แต่ก่อนผู้จะเล่าเรียนยากนัก กีเซียงก็แก้ไขให้จะแจ้งออก ผู้มีสติปัญญาน้อยก็รู้ง่าย ชาวเมืองทั้งปวงก็ไปมาหากีเซียงมิได้ขาด

๏ ขณะนั้นม้าใช้มาบอกอึ้งปวยฮอว่า งกซุยเอ๋งบุตรงกจงฮูอยู่ ณ เมืองนำเป๊กเฮา คุมทหารยี่สิบหมื่นเศษมาติดด่านลำสัวก๋วน เกียงฮุนขวันบุตรเกียงฮวนฌ้อเมืองตังลู้ คุมทหารสี่สิบหมื่นมาติดด่านฮิวฮุนก๋วน อึ้งปวยฮอแจ้งดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วว่าแผ่นดินเป็นจลาจลดังนี้เห็นราษฎรจะไม่มีความสุข จึงเกณฑ์ทหารเติมไปให้ช่วยรักษาด่านทั้งสองตำบลไว้

๏ ฝ่ายไทอิดจินหยิน ซึ่งเป็นเทพารักษ์อยู่ในถ้ำกี๋มกวางตั้ง ณ เขาเขียนงวนซัว คิดว่าบัดนี้ศักราชได้พันห้าร้อยแล้ว เทพยดาซึ่งลงไปเกิดในแผ่นดินจะบังเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกัน เกียงจูแหยจะต้องลงไปปราบปราม แซ่เสี่ยงทางกำหนดจะสูญแล้ว แซ่บูอ๋องจะจำเริญรุ่งเรืองขึ้น และเขากุนหลุนซัวนั้นมีเทพยดาอยู่องค์หนึ่ง ครั้นศักราชได้พันห้าร้อยแล้ว จึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่ง ให้แปะเฮาะทองจือเอาไปให้เทพยดาไทอิดจินหยิน ณ เขียนงวนซัว ไทอิดจินหยินคำนับแล้วคลี่หนังสือออกอ่าน ได้ความว่าศักราชครบพันห้าร้อยแล้ว เราจะให้เกียงจูแหยลงไปปราบปรามแผ่นดิน ท่านจงให้เลงจู๊จือซึ่งเป็นศิษย์ท่านลงไปช่วยเกียงจูแหยด้วย ไทอิดจินหยินจึงว่าเราแจ้งแล้ว แปะเฮาะทองจือคำนับลากลับมา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ