๒๐

๏ ฝ่ายกีเซียงวันนั้นเอาขิมมาดีดเล่น เสียงไม่เพราะเหมือนแต่ก่อน ก็รู้ว่ากองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตรถึงแก่ความตาย จึงว่าเพราะลูกเราไม่ฟังคำเรา ขืนมาให้เขาฆ่าตายลำบาก บัดนี้นางขันกีจะเอาเนื้อลูกมาให้เรากิน ถ้าเราไม่กินก็จะฆ่าเสีย กีเซียงคิดแล้วก็ร้องไห้ พวกพ้องบ่าวไพร่เห็นดังนั้นจึงถามว่า ท่านนั่งดีดขิมอยู่ดีๆ เหตุใดจึงร้องไห้ กีเซียงก็มิได้บอกประการใด พอบูซูเอาขนมเปียมาให้บอกว่า เสด็จไปเล่นป่าได้เนื้อกวางเนื้อหมีมาทำขนมเปีย รับสั่งให้เราเอามาประทาน กีเซียงกราบลงแล้วแลดู รู้ว่าเนื้อกองจูเปกอิบโค้ผู้บุตร จึงทำเป็นว่ารับสั่งเอาของมาพระราชทานเรานี้หาพระคุณที่สุดมิได้ แล้วหยิบเอาขนมเปียมากินสิ้นทั้งสามอัน กินแล้วกีเซียงก็หัวเราะ แล้วว่ากับบูซูว่า ท่านช่วยพิดทูลให้ดีด้วย ถ้ามิตายจะแทนคุณท่าน ครั้นขุนนางบูซูไปแล้ว กีเซียงก็ร้องไห้ทุกข์ร้อนถึงกองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตร หาเป็นกินเป็นนอนไม่

๏ ขณะนั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ที่เหียนเก๋งเกียนตำหนักในพระราชวัง รับสั่งให้เสี้ยงไต้หูฮุยเล่นหมากรุกกันอยู่หน้าพระที่นั่ง พอขุนนางบูซูที่เอาขนมเปียไปพระราชทานกีเซียงเอาเนื้อความมากราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็คิดว่ากีเซียงกินเนื้อลูก คนทั้งปวงนับถือว่าเป็นนักปราชญนั้นหาสมไม่ ถึงจะปล่อยให้ไปบ้านเมืองก็จะทำไมใครได้ แล้วปรึกษาฮุยต๋งฮิวฮุนว่า เราจะปล่อยให้กีเซียงไปบ้านเมืองเสียท่านจะเห็นอย่างไร ฮิวฮุนฮุยต๋งจึงกราบทูลว่า กีเซียงคนนี้เป็นคนเจ้าความคิด ครั้นจะไม่กินเนื้อบุตรก็กลัวจะฆ่าเสีย ซึ่งจะปล่อยให้ไปนั้นข้าพระองค์ยังไม่ไว้ใจก่อน

๏ ขณะนั้นมีผู้เอาความไปบอกกีเซียงว่า พระเจ้าติวอ๋องตรัสจะให้พ้นโทษ ฮิวฮุนฮุยต๋งทัดทานไว้ กีเซียงจึงว่ากรรมของเรายังไม่สิ้น

๏ ฝ่ายคนใช้ซึ่งมากับกองจู๊เปกอิบโค้ ครั้นนายตายเสียแล้วก็กลับไปเมืองไซรกี เอาเนื้อความไปบอกแก่นางไทกี ผู้มารดากองจู๊เปกอิบโค้ กีฮวดผู้น้องให้แจ้ง นางไทกีกับกีฮวดก็ร้องไห้รักกองจู๊เปกอิบโค้ หลำจงกวดทหารเอกรู้ข่าวก็โกรธ ลุกขึ้นยืนร้องว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า กองจู๊เปกอิบโค้นายเราไปตายลำบาก กีเซียงก็ยังหาพ้นโทษไม่ จะเป็นเมืองขึ้นต่อไปจะต้องการอะไรเล่า จะยกไปตีเมืองจิวโก๋ ชิงเอากีเซียงนายเราออกจากโทษให้จงได้ ขุนนางทั้งปวงก็พลอยโกรธพร้อมกัน จะยกกองทัพไปตีเมืองจิวโก๋ ซันงีเสงห้ามว่า อย่าเพ่อวุ่นวายเราจะต้องปรึกษากีฮวดก่อน แล้วซันงีเสงก็ไปหากีฮวดพูดว่า หลำจงกวดกับขุนนางทั้งปวงคิดกันจะไปตีเมืองจิวโก๋ เหมือนจะแกล้งให้พระเจ้าติวอ๋องฆ่ากีเซียงเสีย ถึงเมื่อครั้งกองจู๊เปกอิบโค้จะไปเมืองจิวโก๋นั้น ข้าพเจ้าก็ได้ทัดทานหาฟังคำไม่ กีฮวดจึงว่าเราจะคิดอย่างไรดีเล่า บิดาจึงได้กลับมาเมือง ซันงีเสงจึงว่า ทุกวันนี้พระเจ้าติวอ๋องเชื่อถือฮุยต๋งฮิวฮุนทั้งสองนี้จะว่าก็สิทธิ์ขาด เราจะแต่งหนังสือกับข้าวของเงินทองให้คนใช้ที่สนิทไปให้ฮิวฮุนฮุยต๋ง ณ เมืองจิวโก๋ ให้ช่วยทูลขอโทษกีเซียงให้ได้กลับมาเมือง ถ้าฮิวฮุนฮุยต๋งรับแล้วก็เห็นจะได้โดยง่าย ถ้าไม่รับภายหลังจึงค่อยยกไปตีเมืองจิวโก๋ กีฮวดกับซันงีเสงก็ให้แต่งหนังสือสองฉบับ แล้วจัดสิ่งของเขี้ยวเพชรสิบสองคู่ ทองคำสองร้อยแท่ง แพรสีหกร้อยไม้ มอบให้ไทเตียนบู๋เตียน ไปให้ฮิวฮุนฮุยต๋ง ณ​ เมืองจิวโก๋ ฮิวฮุนฮุยต๋งรู้หนังสือนั้นแล้ว ก็ดีใจรับเอาของทั้งนั้นไว้ แล้วว่ากับผู้ถือหนังสือว่าท่านอย่าวิตกเลย ได้ทีเราจะขอโทษกีเซียงนายท่านให้จงได้

๏ วันหนึ่งพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ที่เตียะแซเหลา ทรงเล่นหมากรุกสู้กับฮุยต๋งฮิวฮุน พระเจ้าติวอ๋องชนะสองกระดานดีพระทัย จึงตรัสว่าเราคนเดียว ท่านช่วยกันสองคนยังแพ้เราอีก ถึงกีเซียงกับกองจู๊เปกอิบโค้พ่อลูกก็สู้เราไม่ได้ ฮุยต๋งฮิวฮุนเห็นพระเจ้าติวอ๋องตรัสถึงกีเซียง ได้ทีทูลว่าเดิมคนทั้งปวงเชื่อว่ากีเซียงเป็นกบฏ ข้าพระองค์จึงกราบทูลให้เอามาจำไว้ได้ถึงเจ็ดปีแล้วข้าพเจ้ามิไว้ใจ แต่งให้คนไปสอดแนมดูท่วงทีกิริยามิได้ขาด แจ้งว่ากีเซียงเป็นคนสัตย์ซื่อมั่นคงอยู่ เวลาค่ำเข้านอนจุดธูปเทียนบูชาเทวดาให้รักษาบ้านเมือง และถวายพรพระองค์ให้พระชันษายืนได้พันปี ข้าพเจ้าจึงเห็นว่ากีเซียงหาเป็นกบฏไม่ ขอให้พ้นโทษกลับไปบ้านไปเมืองเถิด พระเจ้าติวอ๋องทรงพระสรวลแล้วว่า เดิมเราก็หารู้ว่ากีเซียงจะเป็นกบฏไม่ ท่านมาว่าขึ้นเอง และบัดนี้กลับชมว่ากีเซียงเป็นคนดีมีสัตย์ จะมิเป็นคำสองไปหรือ ฮุยต๋งฮิวฮุนจึงทูลว่าเดิมคนทั้งปวงสรรเสริญว่า กีเซียงเป็นคนเจ้าปัญญาคิดกบฏ ข้าพเจ้าเป็นขุนนางต่างพระเนตรพระกรรณ รู้แล้วจะนิ่งเสียมิชอบ ครั้นนานมาก็เห็นว่าเป็นคนเจ้าความคิดไม่ เป็นแต่คนใจบุญ​ถือสัตย์ ถือศีลซื่อต่อพระองค์อยู่ พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้กีเซียงออกจากโทษแล้วก็ดีใจ จึงว่าแก่ฮุยต๋งฮิวฮุนว่า ท่านเมตตาข้าพเจ้าช่วยทูลให้พ้นโทษ บุญคุณหาที่สุดมิได้แล้ว ฮุยต๋งฮิวฮุนก็พากีเซียงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่าเดิมเราคิดว่าท่านเป็นกบฏ บัดนี้เห็นว่ามีน้ำใจสัตย์ซื่อมั่นคงจึงให้พ้นโทษ แล้วฮุยต๋งฮิวฮุนกราบทูลว่า เมืองไซรกีนั้นก็เป็นเมืองใหญ่มีหัวเมืองขึ้นเป็นอันมาก ขอให้กีเซียงเป็นที่บุนอ๋องเถิด พระเจ้าติวอ๋องก็ตั้งให้กีเซียงเป็นที่บุนอ๋อง พระราชทานเครื่องยศศักดิ์ให้ แล้วให้ตั้งพิธีแห่สามวันตามอย่างธรรมเนียม

๏ ขณะนั้นอึ้งปวยฮอทหารเอก ก็ขี่ม้ามาช่วยแห่บุนอ๋อง ราษฎรชาวเมืองชวนกันมาแห่ เห็นบุนอ๋องก็มีความรักใคร่ ต่างสรรเสริญให้พรทุกคน ขุนนางทั้งปวงก็นับถือบุนอ๋อง เชิญมาให้กินโต๊ะทุกวัน วันหนึ่งอึ้งปวยฮอให้เชิญบุนอ๋องไปกินโต๊ะที่บ้าน แล้วขับผู้คนทั้งปวงให้ออกไปเสีย อึ้งปวยฮอกับบุนอ๋องนั่งกินโต๊ะอยู่สองต่อสอง อึ้งปวยฮอจึงว่านานไปเมื่อหน้า ข้าพเจ้าหมายจะพึ่งบุญท่าน ท่านจะต้องการใช้สอยข้าพเจ้าหรือไม่ บุนอ๋องจึงว่าเราเหมือนคนเดนตาย พึ่งพ้นโทษซึ่งจะหมายพึ่งเรานั้นหาควรไม่ ท่านมาพูดดังนี้เหมือนหนึ่งเอาความตายมาให้เรา อึ้งปวยฮอจึงว่าทุกวันนี้พระมหากษัตริย์ เชื่อถือฟังคำคนพาลคอยยุยง เหมือนพระอาทิตย์เมื่อมืดฟ้ามัวฝน ถ้าท่านจะอยู่ไปในเมืองจิวโก๋ ช้าจนสี่วันเห็นว่าจะมีอันตรายอีกเป็นมั่นคง จงคิดหนีกลับไปบ้านเมืองเถิด บุนอ๋องเห็นว่าอึ้งปวยฮอเมตตาโดยสุจริตจึงคำนับแล้วว่า ท่านมาช่วยเตือนสติข้าพเจ้าขอบใจนัก แต่เมืองจิวโก๋นี้ด่านทางมีมากเป็นหลายตำบล จะรู้แห่งที่เล็ดลอดหนีออกยังไรได้ อึ้งปวยฮอจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะให้มีหนังสือเบิกด่านไปเป็นสำคัญ บุนอ๋องได้ฟังก็ดีใจ คำนับรับหนังสือแล้วก็ลาอึ้งปวยฮอ เวลาค่ำก็ใส่เสื้อหมวกแปลงตัวทำอย่างไพร่ อึ้งปวยฮอก็ให้คนตามไปส่งจนออกจากประตูเมืองแล้ว บุนอ๋องขึ้นขี่ม้าเดินไปตามทาง บุนอ๋องออกจากเมืองจิวโก๋ ไปทั้งกลางคืนกลางวันข้ามแม่น้ำฮองโห ไปถึงด่านต๋องก๋วนได้แล้ว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ