๕๓
๏ ฝ่ายทหารบุนไทสือเห็นนายตายแล้ว ก็รีบมาแจ้งความแก่ฮั่นหยงนายด่านกีจุยก๋วน ฮั่นหยงก็แต่งหนังสือให้ม้าเร็วรีบเข้าไปเมืองจิวโก๋ มุ่ยจือขุนนางผู้ใหญ่แจ้งว่าบุนไทสือตายก็ตกใจนัก จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องถามว่าเรามิได้ให้หา ท่านเข้ามาด้วยราชการสิ่งใด มุ่ยจือก็กราบทูลความซึ่งบุนไทสือเสียทีมาจนตาย ณ เขาจวดเหล็กเนี้ยนั้นทุกประการ พระเจ้าติวอ๋องก็เสียพระทัยนัก คิดสงสารบุนไทสือจนน้ำพระเนตรตก จึงตรัสเล่าพระสุบินให้มุ่ยจือฟัง แล้วให้หาขุนนางทั้งปวงเข้าไปเฝ้าพร้อมกัน ตรัสปรึกษาว่าบุนไทสือตายแล้วผู้ใดจะตีเมืองไซรกีแก้แค้นเราได้ ขุนนางทั้งปวงยังมิได้กราบทูลประการใด เสียงไต้หูกิมเสงจึงทูลว่า การศึกครั้งนี้เป็นการใหญ่ ข้าพระองค์เห็นแต่เตงจิวก๋งด่านซ้ำโซก๋วนด้วยเคยทำศึกชนะมาหลายครั้ง แล้วมีสติปัญญารอบคอบควรเป็นแม่ทัพไปตีเมืองไซรกีเห็นจะได้โดยสะดวก พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบ จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า กีฮวดตั้งตัวเป็นเจ้าซ่องสุมผู้คนแข็งเมืองไซรกี ครั้นบุนไทสือยกไปปราบปรามก็เสียทีจนตัวตาย เห็นว่ากีฮวดจะมีน้ำใจกำเริบยกมาทำแก่เมืองหลวง ราษฎรจะได้ความเดือดร้อน ให้เตงจิวก๋งเร่งยกไปกำจัดกีฮวดเสียให้ได้ ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะให้เป็นเจ้าเมืองไซรกี แล้วเอาเสื้ออย่างดีกับกระบี่อาญาสิทธิ์ให้เห้งเจ๋งเอาไปพระราชทานเตงจิวก๋ง ณ ด่านซ้ำโซก๋วน เห้งเจ๋งก็ถวายบังคมลาไป ครั้นถึงประตูด่านเตงจิวก๋งรู้ก็ออกมาคำนับตามธรรมเนียม ครั้นแจ้งในข้อรับสั่งแล้ว ก็จัดแจงทหารไว้พร้อม พอนายประตูมาบอกว่า คนเตี้ยชื่อโทเฮงสุนจะเข้ามาหา เตงจิวก๋งก็ให้พาเข้ามา โทเฮงสุนก็เข้าไปคำนับ เอาหนังสือส่งให้เตงจิวก๋ง เตงจิวก๋งคลี่อ่านดูแจ้งแล้วพิเคราะห์ดูรูปร่างโทเฮงสุนเตี้ยต่ำนักหาสมเป็นทหารไม่ แล้วคิดว่าถ้ามิเอาไว้บัดนี้ซินกงป้าก็จะน้อยใจ เตงจิวก๋งนิ่งตรึกตรองอยู่ช้านาน แล้วว่ากับโทเฮงสุนว่า ท่านมาจวนเสียนัก ทหารทัพหน้าทัพหลังทั้งปวงก็จัดแจงแล้ว ครั้นจะผลัดเปลี่ยนบัดนี้ผู้คนก็จะหาเรียบร้อยไม่ ท่านจงเป็นกองลำเลียงก่อนเถิด โทเฮงสุนก็รับเป็นกองลำเลียง ครั้งเวลาเช้าเตงจิวก๋งให้ไทหลวนเป็นทัพหน้าชั้นหนึ่ง ให้เตงสือเป็นทัพหน้าชั้นสอง ให้เตียเสงเป็นปีกซ้าย สึงเทาหง้อเป็นปีกขวา ให้นางเตงตันหยกผู้บุตรเป็นกองหลัง เตงจิวก๋งเป็นแม่ทัพยกออกจากด่านไปเมืองไซรกี เดินทางประมาณเดือนหนึ่ง ผู้นำทางบอกเตงจิวก๋งว่า ใกล้จะถึงเมืองไซรกีแล้ว เตงจิวก๋งก็ให้หยุดทหารตั้งค่ายมั่นลงแปดค่ายปักธงห้าสี ม้าใช้เมืองไซรกีก็เอาความไปแจ้งเกียงจูแหยทุกประการ เกียงจูแหยจึงถามทหารทั้งปวงว่า เตงจิวก๋งคนนี้ฝีมือกล้าแข็งประการใด อึ้งปวยฮอจึงบอกว่า เตงจิวก๋งคนนี้มีฝีมือเข้มแข็ง แล้วสติปัญญาก็เฉลียวฉลาดชำนาญการศึกนัก เกียงจูแหยจึงว่าเราจะออกไปดูฝีมือเตงจิวก๋งสักเวลาหนึ่งก่อนจึงจะประมาณได้ ครั้นเวลารุ่งเช้าเตงจิวก๋งจึงสั่งไทหลวนว่า ท่านจงออกไปรบกับชาวเมืองไซรกีดูฝีมือว่าจะเข้มแข็งสักเพียงไร ไทหลวนก็มาแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถือง้าวยกทหารออกจากค่าย ครั้นมาถึงเมืองไซรกีจึงให้ทหารเลวร้องเข้าไปว่า ให้เกียงจูแหยเร่งยกออกมารบกัน เกียงจูแหยแจ้งดังนั้นจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะออกไปรบกับทหารเตงจิวก๋งได้บ้าง หลำจงกวดก็รับอาสาแล้วใส่เกราะขึ้นม้าถืออาวุธดังพัด คุมทหารเปิดประตูเมืองยกออกไป แลเห็นทหารเตงจิวก๋งนั้นหน้าดังปูหนวดเหลือง หลำจงกวดจึงถามว่าท่านนี้ชื่อไร ไทหลวนจึงบอกว่าเราชื่อไทหลวนเป็นแม่ทัพหน้าเตงจิวก๋ง มีรับสั่งให้มาจับพวกขบถส่งขึ้นไปเมืองหลวง ถ้าท่านรู้ว่าตัวผิดจงลงจากม้ามาคำนับเรา หลำจงกวดหัวเราะแล้วว่า บุนไทสือ มอเลฮอง มอเลเฉ มอเลไฮ มอเลซิว เตียวกุ๋ยหอง ทหารเหล่านี้ก็พากันมาตายเสียสิ้น แลตัวท่านนี้ก็ยังหามีชื่อเสียงปรากฏไม่ อุปมาเหมือนหิ่งห้อยจะมีแสงสักเพียงไร ปีกแมลงวันจะบินไปได้ถึงไหน ท่านจงกลับไปเสียเถิดจะได้รอดชีวิต ไทหลวนได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำง้าวเข้ารบกับหลำจงกวดได้สามสิบเพลง ไทหลวนเอาง้าวฟันถูกหลำจงกวดเชือกรัดเกราะขาด หลำจงกวดตกใจควบม้าหนีกลับเข้าเมือง ไทหลวนก็ไล่ฆ่าฟันทหารหลำจงกวดแตกกระจัดกระจายไป แล้วพาทหารกลับมาค่าย แจ้งความซึ่งมีชัยชนะแก่หลำจงกวดให้เตงจิวก๋งฟังทุกประการ เตงจิวก๋งก็มีความยินดี
๏ ฝ่ายหลำจงกวดก็เข้าไปหาเกียงจูแหย เล่าความให้ฟังทุกประการแล้วว่าซึ่งข้าพเจ้าเสียทีมาครั้งนี้โทษผิดนัก เกียงจูแหยจึงว่าเป็นทหารก็ย่อมมีแพ้แลชนะด้วยกันทุกคน ท่านอย่าเสียใจเลย ครั้นเพลาเช้าเกียงจูแหยจัดแจงทหารจะยกไปตีค่ายเตงจิวก๋ง พอได้ยินเสียงประทัดแลม้าฬ่ออื้ออึงขึ้นนอกเมือง ทหารมาบอกว่าเตงจิวก๋งยกมาตั้งอยู่หน้าเมืองด้านตะวันออกใกล้เชิงกำแพงประมาณสามสิบเส้น เกียงจูแหยก็ให้เปิดประตูเมืองยกทหารออกมาตั้งกระบวนอยู่ เตงจิวก๋งเห็นกองทัพเกียงจูแหยนั้น มีทหารใส่เกราะเขียวถือธงเขียวอยู่ฝ่ายซ้าย ทหารใส่เกราะขาวถือธงขาวอยู่ฝ่ายขวา ทหารใส่เกราะดำถือธงดำอยู่ข้างหลัง ทหารเอกยี่สิบสี่คนขี่ม้าถืออาวุธล้อมอยู่ทั้งสี่ด้าน แลตัวเกียงจูแหยใส่เกราะแดงถือธงอาญาสิทธิ์สีแดง ขี่ซูปุดเสียงอยู่กลางทหารมีธงเหลืองจารึกชื่อ แลทหารเลวทั้งปวงก็พรักพร้อมมีทางเข้าทางออกห้าแห่ง เตงจิวก๋งดูแล้วก็ทอดใจใหญ่คิดว่า เกียงจูแหยคนนี้มีสติปัญญาสมกับคำคนสรรเสริญ กระนี้หรือทหารเมืองจิวโก๋จะมิพากันมาตายเสียสิ้น เตงจิวก๋งคิดแล้วขับม้าขึ้นไปหน้าทหารทั้งปวงร้องว่ากับเกียงจูแหยว่า ท่านก็ได้เป็นศิษย์สำนักเขากุนหลุนซัว ขนบธรรมเนียมผิดชอบก็รู้อยู่สิ้น เหตุไรจึงมาคบคิดกันเป็นกบฏเหมือนคนไม่มีศีรษะ ถ้ารู้จักโทษตัวจงมาคำนับเราจะได้รอดชีวิต เกียงจูแหยก็หัวเราะจึงว่าซึ่งท่านว่านี้เหมือนคนนอนฝันเห็น ราษฎรทั้งแผ่นดินเห็นว่าบูอ๋องเป็นผู้มีบุญก็มาสมัครเข้าด้วยบูอ๋องสิ้น แต่ทหารเมืองจิวโก๋เอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่หนักหนาแล้ว ถ้าจะเก็บแต่กระดูกศีรษะกองไว้ก็สูงเท่าภูเขา ซึ่งท่านยกมาครั้งนี้มีทหารเอกสักสิบคน ทหารเลวเต็มมากก็สักยี่สิบหมื่น อุปมาเหมือนต้อนแพะเข้าปากเสือ ถ้ามีกตัญญูต่อพระเจ้าติวอ๋องอยู่ จงกลับไปทูลว่าเราหาเป็นกบฏไม่ ต่างคนรักษาเมืองไว้ให้เป็นสุข อย่ารบพุ่งกันเลย ถ้าท่านมิฟังคำเราดื้อดึงอยู่ก็จะตายเช่นบุนไทสือ เหมือนหากตัญญูต่อพระเจ้าติวอ๋องไม่ เตงจิวก๋งได้ฟังก็โกรธ จึงว่าอ้ายคนขายตะกร้า บังอาจออกพระนามพระเจ้าติวอ๋อง ถ้ามิได้ตัดศีรษะเสียบประจานไว้ก็ไม่หายความแค้น แล้วขับม้าแกว่งมีดออกไปจะฟันเกียงจูแหย อึ้งปวยฮอก็ขับโครำทวนเข้ารบกับเตงจิวก๋ง โลเฉียก็รำทวนออกไปช่วยอึ้งปวยฮอ เตงสือบุตรเตงจิวก๋งก็ขับม้าเข้าช่วยบิดารบ อึ้งเทียนฮัวก็ขับกิเลนรำกระบองเข้ารบกับเตงสือ ไทหลวนก็ขับม้ารำง้าวเข้าช่วยเตงสือ บูกิดก็ขับม้ารำทวนเข้ารบกับไทหลวน เตียะเซ่งก็ขับม้ารำทวนเข้าช่วยไทหลวน ไทเตี้ยนก็ขับม้ารำกระบี่เข้ารบกับเตียะเซ่ง สึงเทาหงอทหารเตงจิวก๋งก็ขับม้าเข้าไปจะช่วยไทหลวน อึ้งเทียนหลกก็ขับม้าเข้ารบกับสึงเทาหงอ ทหารทั้งสองฝ่ายรบพุ่งกันเป็นสามารถ เสียงเท้าม้าแลกลองรบดังแผ่นดินจะไหว ผงคลีตลบมืดไปทั้งอากาศ โลเฉียขณะเมื่อรบกับเตงจิวก๋งอยู่นั้น เตงจิวก๋งมีกำลังมากนัก เห็นจะเอาชัยชนะด้วยเพลงทวนไม่ได้ จึเอากำไลทองขว้างไปถูกไหล่เตงจิวก๋งซบลงกับหลังม้า ทหารเตงจิวก๋งเห็นดังนั้นก็เข้าช่วยป้องกันแล้วพากลับมาค่าย ขณะนั้นเตียะเซ่งทหารเตงจิวก๋งรบกับไทเตี้ยน เตียะเซ่งอ้าปากพ่นเปลวเพลิงถูกไทเตี้ยนเจ็บเป็นสาหัส เกียงจูแหยก็พาตัวไทเตี้ยนแลทหารทั้งปวงกลับเข้าเมือง เกียงจูแหยเห็นไทเตี้ยนเจ็บป่วยมาก ก็ให้หมอไปพยาบาลอยู่
๏ ฝ่ายเตงจิวก๋งครั้นกลับมาถึงค่าย แผลอาวุธนั้นกำเริบหนักขึ้น นางเตงตันหยกเห็นบิดาป่วยก็คิดแค้นโลเฉียนัก จึงว่ากับบิดาว่า ข้าพเจ้าจะอาสาไปจับโลเฉียมาแก้แค้นให้จงได้ เตงจิวก๋งจึงว่าเจ้าจะออกรบนั้น จงรักษาตัวอย่าประมาท ครั้นเวลาเช้านางเตงตันหยกจัดแจงทหารพร้อมแล้ว ก็ใส่เกราะขึ้นม้าถือกระบี่สองมือยกทหารออกจากค่าย แล้วให้ทหารเลวไปร้องท้าทายถึงริมเชิงกำแพงเมือง ทหารก็เข้าไปบอกเกียงจูแหยว่าทัพยกมาวันนี้นายทหารนั้นเป็นผู้หญิง เกียงจูแหยได้ฟังดังนั้นก็นิ่งตรึกตรองอยู่ช้านาน อึ้งปวยฮอจึงว่าเวลาวันนี้ท่านออกรบก็หาแพ้ชนะกันไม่ บัดนี้ผู้หญิงมาชวนรบ เหตุไรท่านจึงนิ่งอยู่เล่า เกียงจูแหยจึงว่า การศึกนั้นห้ามอยู่สามประการคือ โตหยินแปลว่าพราหมณ์หนึ่ง เจ๋งหยินแปลว่าพระหนึ่ง กับสตรีหนึ่งทั้งสามนี้มักทำด้วยลัทธิต่างๆ ถ้ามิตรึกตรองก็จะเสียที โลเฉียจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาออกรบ เกียงจูแหยจึงว่าท่านจะไปครั้งนี้เร่งระวังตัวจงหนัก โลเฉียก็มาจัดแจงทหารพร้อมแล้วขึ้นเหยียบจักรถือทวนยกออกจากเมืองไซรกี นางเตงตันหยกจึงร้องถามว่าท่านนี้ชื่อไร โลเฉียก็บอกว่าชื่อโลเฉีย แล้วว่าเจ้าเป็นผู้หญิงชอบแต่จะเรียนปักเย็บอยู่ในเรือนมิให้ผู้ชายเห็นตัว นี่เจ้ามาทำศึกกับเราหามีความอายไม่หรือ เร่งกลับไปให้ทหารที่มีชื่อเสียงมารบกับเรา นางเตงตันหยกได้ฟังก็โกรธ จึงว่าเราจะแก้แค้นท่านให้ได้ แล้วขับม้ารำกระบี่สองมือเข้ารบกับโลเฉียพักหนึ่ง แล้วนางเตงตันหยกก็ทำชักม้าหนี โลเฉียก็ไล่ตามไปทางประมาณสองเส้น นางเตงตันหยกเห็นได้ทีก็เอาดวงแก้ววิเศษทิ้งถูกหน้าโลเฉีย โลเฉียเจ็บสาหัสเห็นจะสู้มิได้ก็รีบหนีเข้าเมืองไซรกี แล้วเล่าความซึ่งเสียทีนางเตงตันหยกให้เกียงจูแหยฟังทุกประการ อึ้งเทียนฮัวจึงว่าธรรมดาเป็นทหารจักขุดูให้ได้สี่ด้าน หูตรับฟังทั้งแปดทิศ นี่ท่านหาระวังตัวไม่ จึงต้องศิลาเข้าที่แก้ม ถ้าถูกจมูกขาดจะมิเป็นคนพิการเสียหรือ โลเฉียได้ฟังดังนั้นก็คิดแค้นนัก จึงว่าเราเสียทีแต่เพียงนี้หาควรจะเยาะเย้ยกันไม่ การศึกยังมีมากอยู่ท่านรักษาตัวให้ดีเถิด อึ้งเทียนฮัวเห็นโลเฉียโกรธก็มิได้ว่าประการใด แล้วเดินไปที่อยู่
๏ ฝ่ายนางเตงตันหยกครั้นกลับมาค่าย ก็เล่าความซึ่งมีชัยชนะโลเฉียนั้นให้บิดาฟังทุกประการ เตงจิวก๋งก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้านางเตงตันหยกก็ใส่เกราะขึ้นม้าถือกระบี่ยกทหารออกจากค่าย แล้วใช้ทหารเลวเข้าไปร้องท้าทายถึงริมประตูเมืองไซรกี เกียงจูแหยแจ้งดังนั้นจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะออกรบกับนางเตงตันหยก อึ้งเทียนฮัวจึงว่าข้าพเจ้าจะขอออกรบ จับตัวนางเตงตันหยกให้จงได้ เกียงจูแหยจึงว่าท่านจะไปรบก็ตามเถิด แต่อย่าประมาท อึ้งเทียนฮัวก็มาใส่เกราะขึ้นขี่กิเลนถือกระบอง คุมทหารยกออกจากเมือง นางเตงตันหยกเห็นทหารยกออกมาจึงร้องถามว่า ซึ่งเป็นนายทหารนั้นชื่อไร อึ้งเทียนฮัวจึงว่าเราเป็นบุตรอึ้งปวยฮอชื่ออึ้งเทียนฮัว แล้วว่านางคนนี้หรือที่เอาดวงแก้วทิ้งโลเฉียเพื่อนเราเมื่อวานนี้ นางเตงตันหยกจึงว่าท่านเป็นเพื่อนกับโลเฉีย แล้วจะวิ่งหนีเราเหมือนโลเฉียดอกกระมัง อึ้งเทียนฮัวได้ฟังก็โกรธ ขับกิเลนรำกระบองเข้ารบกับนางเตงตันหยกได้สิบเพลง นางเตงตันหยกก็ทำเป็นชักม้าหนี แล้วร้องว่าอึ้งเทียนฮัวถือว่ามีฝีมือจงตามเรามาเถิด อึ้งเทียนฮัวคิดว่า ถ้าไม่ตามจับนางคนนี้ให้ได้ก็อัปยศโลเฉียนัก แล้วอึ้งเทียนฮัวก็ขับกิเลนไล่ตามไป นางเตงตันหยกก็รอม้าอยู่ พออึ้งเทียนฮัวใกล้เข้ามา นางเตงตันหยกก็เอาดวงแก้วขว้างไปถูกแก้มอึ้งเทียนฮัว อึ้งเทียนฮัวเจ็บเป็นสาหัส ก็ขับกิเลนหนีเข้าเมืองไซรกี แล้วแจ้งความแก่เกียงจูแหยทุกประการ เกียงจูแหยจึงว่าเราได้กำชับแล้ว ท่านหาระวังตัวไม่ อึ้งเทียนฮั้วจึงว่า นางคนนี้ว่องไวนัก ข้าพเจ้าจึงเสียที โลเฉียนอนป่วยอยู่ แจ้งว่าอึ้งเทียนฮัวเสียทีมา ก็ออกไปว่ากับอึ้งเทียนฮัวว่า ตาดูหูฟังอยู่แล้วเป็นไรจึงแพ้ผู้หญิงจนถูกอาวุธแทบจมูกจะขาด ถ้าเป็นใจของเราแล้วสักร้อยปีก็ไม่หายแค้น อึ้งเทียนฮัวได้ฟังก็โกรธจึงว่า ซึ่งเราว่าท่านวานนี้เพราะจะเตือนสติ ทำไมท่านจึงผูกใจเจ็บเแค้นเยาะเย้ยเราฉะนี้ โลเฉียจึงว่าเวลาวานนี้ ท่านแกล้งเยาะเราให้ได้ความอัปยศแก่ทหารทั้งปวง ยังว่าเตือนสติอีกเล่า อึ้งเทียนฮัวกับโลเฉียก็ทุ่มเถียงกันขึ้น เกียงจูแหยจึงร้องตวาดออกไปว่า แพ้ผู้หญิงมาทั้งสองคนแล้วจะมาวิวาทกันหามีความละอายไม่ อึ้งเทียนฮัวกับโลเฉียเกรงเกียงจูแหยนักต่างคนก็ไปที่อยู่ นางเตงตันหยกก็กลับมาค่าย ก็เล่าความให้บิดาฟังทุกประการ ครั้นเวลาเช้านางเตงตันหยกมีใจกำเริบ ก็แต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถือกระบี่ยกทหารเข้าไปหน้าเมืองไซรกี เกียงจูแหยจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะออกรบกับนางเตงตันหยกได้บ้าง เอียวเจี้ยนจึงว่ากับเหลงชิวเฮาว่า นางคนนี้มีศิลาเป็นอาวุธ พี่จงรับอาสาเถิดข้าพเจ้าจะออกไปด้วย เหลงชิวเฮาได้ฟังเอียวเจี้ยนว่าดังนั้น จึงว่ากับเกียงจูแหยว่า ข้าพเจ้าจะขอออกไปลองฝีมือกับนางเตงตันหยกดูสักครั้งหนึ่ง เกียงจูแหยก็มีความยินดี เหลงชิวเฮากับเอียวเจี้ยนก็จัดแจงทหารยกออกไป นางเตงตันหยกเห็นเหลงชิวเฮานั้นหน้าเป็นมังกร มีเท้าข้างเดียวโดดออกมา ก็กลั้นหัวเราะไม่ได้ จึงร้องถามว่านายทหารซึ่งมานี้ชื่อไร เหลงชิวเฮาจึงว่าเราเป็นทหารเกียงจูแหยชื่อเหลงชิวเฮา นางเตงตันหยกจึงว่าตัวมีเท้าข้างเดียวก็จะมาทำศึกด้วยเล่า เหลงชิวเฮาได้ฟังก็โกรธ เอาศิลาทิ้งไปดังฝูงผึ้ง ผงคลีก็ตลบเป็นควันแล้วมีเสียงดังฟ้าร้อง นางเตงตันหยกตกใจนักก็ควบม้าหนี เหลงชิวเฮาก็กระโดดไล่ตามไป นางเตงตันหยกเห็นเหลงชิวเฮาตามมาใกล้ก็เอาดวงแก้วห้าสีทิ้งไปถูกหน้าผากเหลงชิวเฮา เหลงชิวเฮากลับโดดหนี นางเตงตันหยกเอาศิลาทิ้งซ้ำไปถูกขาเหลงชิวเฮาล้มลง แล้วชักม้ากลับมาจะตัดเอาศีรษะเหลงชิวเฮา