๔๑
๏ มอเลฮองมีอาวุธเหมือนร่ม ครั้นอาวุธหายแล้วก็เสียใจ พอมีคนมาบอกว่าพวกเมืองไซรกีมาชวนรบ มอเลฮองได้ฟังดังนั้นก็ยกทหารออกจากค่าย แลไปเห็นนายทหารคนหนึ่งขี่กิเลนยืนอยู่หน้าทหารทั้งปวง มอเลฮองจึงร้องถามว่าท่านชื่อไร จะมารบกับเราหรือ อึ้งเทียนฮัวจึงตอบว่าเราชื่ออึ้งเทียนฮัว บุตรผู้ใหญ่อึ้งปวยฮอซึ่งเป็นบูเสงอ๋อง เกียงจูแหยใช้ให้เรามาตัดศีรษะท่าน มอเลแฉผู้พี่มอเลฮองได้ฟังดังนั้นก็โกรธรำทวนออกไปจะแทงอึ้งเทียนฮัว อึ้งเทียนฮัวก็ตีด้วยกระบองสั้นสู้รบมอเลแฉได้ยี่สิบเพลง มอเลแฉจึงเอาประคำศิลาฟาดไปถูกอึ้งเทียนฮัวสลบพลัดตกลงจากกิเลน มอเลแฉจะตัดเอาศีรษะอึ้งเทียนฮัว โลเฉียเห็นจึงวิ่งเข้าไปรบป้องกันอึ้งเทียนฮัวไว้ มอเลแฉก็ฟาดด้วยประคำศิลา โลเฉียถอดกำไลรับประคำศิลา ประคำศิลาก็แตกเป็นประกายละเอียดไป มอเลฮองกับมอเลไฮเห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าไปช่วยมอเลแฉรบ มอเลไฮถือคันกระจับปี่เป็นอาวุธวิเศษเข้าสู้กับโลเฉีย โลเฉียเสียทีในเชิงรบจึงให้ทหารอุ้มอึ้งเทียนฮัวหนีเข้าเมือง มอเลแฉคิดเสียดายอาวุธประคำศิลาเสียใจนักพากันกลับเข้าค่าย
๏ ฝ่ายอึ้งปวยฮอ ครั้นทหารพาอึ้งเทียนฮัวผู้บุตรเข้ามาสำคัญว่าตายก็ร้องไห้ แล้วให้ยกอึ้งเทียนฮัวมาที่อยู่เกียงจูแหย เกียงจูแหยพิเคราะห์ดูก็รู้ว่าอึ้งเทียนฮัวสลบไปยังไม่สิ้นชีวิต พอเห็นคนเข้ามาบอกว่า โตต๋องเป็นศิษย์โต๊ะเต๊กจินกุ๋นจะเข้ามาหา เกียงจูแหยก็ให้โตต๋องเข้ามา แล้วถามว่าท่านมาด้วยธุระสิ่งใด โตต๋องจึงบอกว่าโต๊ะเต๊กจินกุ๋นครูข้าพเจ้ารู้ว่าอึ้งเทียนฮัวถูกประคำศิลาสลบอยู่ จึงใช้ข้าพเจ้ามาพาอึ้งเทียนฮัวไปจะได้แก้ไขให้รอดชีวิต เกียงจูแหยได้ฟังดังนั้นก็ดีใจนัก จึงว่าท่านจงพาอึ้งเทียนฮัวไปเถิด โตต๋องก็อุ้มอึ้งเทียนฮัวไปถึงประตูถ้ำ จึงวางอึ้งเทียนฮัวลงแล้วเข้าไปในถ้ำ บอกแก่โต๊ะเต๊กจินกุ๋นว่าได้ตัวอึ้งเทียนฮัวมาแล้ว โต๊ะเต๊กจินกุ๋นก็ออกมา เห็นอึ้งเทียนฮัวสลบอยู่ จึงใช้ให้โตต๋องลูกศิษย์ไปตักน้ำมาละลายยา แล้วเอาปลายกระบี่คัดปากอึ้งเทียนฮัวกรอกยาเข้าไป อำนาจยาวิเศษอึ้งเทียนฮัวก็ฟื้นขึ้น จึงถามว่เหตุไรข้าพเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ โต๊ะเต๊กจินกุ๋นจึงบอกว่า เราให้ไปเอาตัวท่านมาช่วยแก้ไขให้รอดชีวิต อึ้งเทียนฮัวก็คำนับแล้วว่าคุณของท่านครั้งนี้หาที่สุดมิได้ โต๊ะเต๊กจินกุ๋นจึงหยิบเหล็กเพชรแท่งหนึ่ง ยาวสิบนิ้วเป็นอาวุธอันวิเศษส่งให้อึ้งเทียนฮัว แล้วสั่งว่าท่านจงไปรบกับทหารพระเจ้าติวอ๋องทั้งสี่คนเถิดจะได้ชัยชำนะ อึ้งเทียนฮัวได้อาวุธก็ดีใจ อำลาอาจารย์แทรกแผ่นดินไปผุดขึ้นที่หน้าประตูตึกเกียงจูแหย แล้วคุกเข่าลงคำนับเล่าความให้ฟังทุกประการ เกียงจูแหยกับอึ้งปวยฮอเป็นอึ้งเทียนฮัวมาได้ก็ดีใจ ครั้นรุ่งเช้าอึ้งเทียนฮัวก็ใส่เกราะถืออาวุธขึ้นขี่กิเลนพาทหารออกไปจากเมือง จะรบด้วยมอเลแฉ มอเลแฉเห็นอึ้งเทียนฮัวยกมาถึงหน้าค่ายก็ถือกระบองเพลิงสองมือแกว่งเป็นไฟเข้ารบกับอึ้งเทียนฮัวได้สี่ห้าเพลง อึ้งเทียนฮัวทำเสียที มอเลแฉตีด้วยกระบองผิดไป อึ้งเทียนฮัวได้ทีทิ้งด้วยเหล็กเพชรถูกอกมอเลแฉตลอดถึงสันหลังตกลงจากม้าตาย มอเลฮองมอเลไฮเห็นดังนั้นก็โกรธเข้ารบกับอึ้งเทียนฮัว อึ้งเทียนฮัวก็เอาเหล็กเพชรทิ้งถูกมอเลฮอง มอเลไฮตาย มอเลซิวเห็นพี่ทั้งสามตายก็โกรธเข้ารบกับอึ้งเทียนฮัวจนสิ้นอาวุธ จึงล้วงลงไปที่ถุงเครื่อง หมายจะจับปรอทออกมาเสกเป็นช้างเผือกให้แทงอึ้งเทียนฮัว เอียวเจี้ยนทหารเกียงจูแหยซึ่งแปลงตัวเป็นปรอทกลายอยู่ในถุงเครื่องก็กัดมือมอเลซิวขาด พิษกลุ้มจับดวงใจ มอเลซิวก็ล้มลงขาดใจตาย อึ้งเทียนฮัวก็ตัดเอาศีรษะทหารทั้งสี่คน แล้วแลเห็นปรอทนั้นกลับเป็นคนยืนอยู่ที่นั้น อึ้งเทียนฮัวมิได้รู้จัก จึงถามว่าท่านนี้ชื่ออะไร เอียวเจี้ยนจึงบอกว่าเราชื่อเอียวเจี้ยน เกียงจูแหยใช้ให้เรามาแปลงตัวเป็นปรอทช่วยท่าน อึ้งเทียนฮัวกับเอียวเจี้ยนก็หิ้วศีรษะทหารทั้งสี่คนกลับเข้าเมือง ไปแจ้งความซึ่งได้รบกับข้าศึกมีชัยชนะให้เกียงจูแหยฟังทุกประการ เกียงจูแหยมีความยินดีนัก จึงสั่งให้เอาศีรษะข้าศึกทั้งสี่นั้นไปเสียบไว้บนกำแพงเมืองไซรกี ฝ่ายทหารมอเลแฉแตกหนีกลับไปด่านกีจุยก๋วน จึงแจ้งความแก่ฮั่นเอ๋งผู้เป็นขุนนางนายด่านว่า บัดนี้เกียงจูแหยไปอยู่เมืองไซรกี ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่คิดจัดทัพยกออกมารบฆ่าทหารเอกเสียทั้งสี่นาย ฮั่นเอ๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนัก จึงแต่งหนังสือให้ม้าใช้ถือไปเมืองหลวง
๏ ฝ่ายบุนไทสือออกมานั่งว่าราชการอยู่ พบม้าใช้ด่านกีจุยก๋วนถือหนังสือบอกเข้ามาส่งให้ บุนไทสือฉีกผนึกออกอ่านแจ้งความว่า แซ่มอพี่น้องสี่คนตายก็โกรธ จึงนำหนังสือบอกข้อราชการเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องแจ้งว่ากองทัพเมืองไซรกีกำเริบนัก จึงสั่งให้บุนไทสือเป็นแม่ทัพยกไปปราบเมืองไซรกีให้ราบคาบ บุนไทสือรับสั่งแล้วคำนับลาออกมาจัดแจงทหารสามสิบหมื่น บุนไทสือก็ขึ้นขี่กิเลนดำยกทัพออกจากเมืองหลวง
๏ ขณะนั้นกิเลนวิ่งคะนอง บุนไทสือตกลงจากหลังกิเลน อองเปียนเห็นดังนั้นจึงว่าซึ่งท่านยกทัพเวลานี้เป็นฤกษ์ร้ายอยู่ ขอให้งดหาฤกษ์เวลาอื่นจึงค่อยยกทัพ บุนไทสือจึงว่ากิเลนเราคะนองกำลังที่จะไปปราบข้าศึก เรามิทันรู้ตัวตกลง ท่านจะถือว่าเป็นฤกษ์ชั่วเราไม่เห็นด้วย ท่านอย่าห้ามเราเลย บุนไทสือก็กลับขึ้นหลังกิเลนยกทัพเดินทางมาหลายวันถึงเมืองด่านจี๋นตีก๋วน เตียวกุ๋ยบ๋องเจ้าเมืองด่านก็ออกมาคำนับ บุนไทสือจึงถามว่าทางจะไปเมืองไซรกีนั้นทางไหนจะตรง เตียวกุ๋ยบ๋องจึงบอกว่าทางจะยกทัพใหญ่ไปทางด่านเฉงหยงก๋วนเป็นทางตรง บุนไทสือก็ยกไปทางเฉงหยงก๋วน เป็นทางคับแคบเดินทัพไปวันหนึ่งถึงเขาอึ้งฮัวซัว จึงหยุดพักทหารที่เชิงเขา แล้วชักกิเลนขึ้นไปบนเขาสูงดูที่ชัยภูมิตั้งค่าย พอแลเห็นคน ๆ หนึ่งหน้าเขียวสีคราม ผมและหนวดแดง เขี้ยวงอกออกจากปาก ใส่เกราะทองคำ ขี่ม้าดำถือขวานใหญ่มีทหารเป็นอันมาก เดินตามทางมาพบกองทัพบุนไทสือ เต๋งเถียนกุ๋นก็โกรธร้องตวาดว่า ผู้ใดเป็นนายใหญ่ยกทัพล่วงแดนเราเข้ามาไม่เกรงใจเรา บุนไทสือได้ยินดังนั้นก็ขับกิเลนลงมาจากเนินเขาแล้วตอบว่าเราจะขอมาอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งเราเข้ามาในแดนท่านและมิได้บอกกับท่านนั้นเราขออภัยเสียเถิด เต๋งเถียนกุ๋นได้ฟังดังนั้นก็โกรธขับม้าเข้ารบกับบุนไทสือ เต๋งเถียนกุ๋นเอาขวานใหญ่ฟันบุนไทสือ บุนไทสือรับด้วยกระบอง แล้วทำเสียทีขับกิเลนหนีออกมา แกว่งกระบองเป็นกำแพงศิลาล้อมเต๋งเถียนกุ๋นไว้ ทหารเต๋งเถียนกุ๋นเห็นดังนั้นก็ตกใจพากันแตกหนีมาบอกโตเถียนกุ๋นกับเตียวเถียนกุ๋น เตียวเถียนกุ๋นก็ใส่เกราะขึ้นม้าถือกระบี่พาทหารรีบมา เห็นบุนไทสือมีตาสามแห่ง โตเถียนกุ๋นจึงถามบุนไทสือว่าท่านชื่อไร มาแต่ไหนจึงบังอาจจับเอาเราไว้ ถ้ามิปล่อยพี่เรามาเราจะฆ่าท่านเสีย ว่าแล้วก็เข้ารบกับบุนไทสือ บุนไทสือแกว่งกระบองมาเป็นกำแพงให้มีหนามรกชัฏล้อมโตเถียนกุ๋นไว้ แล้วแกว่งกระบองเป็นน้ำล้อมเตียวเถียนกุ๋นไว้ บุนไทสือก็ขับกิเลนขึ้นไปบนเขา เห็นทหารผู้หนึ่งหน้าแดงดังชาด เขี้ยวงอกออกพ้นปาก ใส่หมวกเหมือนรูปศีรษะเสือ ถือกระบองเหล็กเหาะมาเข้ารบกับบุนไทสือ บุนไทสือเห็นทหารนั้นมีกำลังและฝีมือเข้มแข็งนัก จึงเรียกอึ้งกิมเลกซูซึ่งเป็นคนใช้เทวดารักษาภูเขานั้นยกภูเขาครอบทหารนั้นลงไว้