๙๒
๏ ฝ่ายเอียวเจี้ยนบูกิดหลำจงกวด ก็ให้ทหารเอาศิลาสมทบปิดปากถ้ำแน่นหนา แล้วเอาไฟจุดสายชนวนฝักแค แล่นตลอดถึงธนูเกาทัณฑ์ไฟ หม้อดินก็ลุกพลุ่งขึ้นติดฝอยฟืนที่กองไว้ เผาบุนฮั่วไหม้เป็นจุณไป เอียวเจี้ยนบูกิดหลำจงกวดก็กลับมาแจ้งความแก่เกียงจูแหย เกียงจูแหยมีความยินดีนัก จึงปรึกษาเอียวเจี้ยนว่า เราคิดฆ่าบุนฮั่วตายแล้ว เราจะคอยถ้าตังเปกโหจู๋เฮา มาพร้อมกันแล้วจึงจะคิดฆ่าอวนหองเสีย
๏ ฝ่ายทหารบุนฮั่วตามไปภายหลัง ถึงถ้ำก็รู้ว่าบุนฮั่วตาย จึงกลับมาบอกกับอวนหองว่า เกียงจูแหยล่อลวงบุนฮั่วไปเผาเสียในถ้ำผัวเหลงเงียตายแล้ว อวนหองรู้เหตุทั้งแค้นทั้งเสียน้ำใจนัก ขณะนั้นมีจู๋จี๋นผู้หนึ่งเข้ามาหาอวนหอง อวนหองถามว่าท่านชื่อไรมาแต่ข้างไหน จู๋จี๋นบอกว่าชื่อจู๋จี๋นอยู่เขาโปยซัว รู้ว่าข้าศึกเหยียบแดนเมืองจิวโก๋เข้ามา ข้าพเจ้าคิดถึงพระคุณพระเจ้าติวอ๋อง จึงมาช่วยท่านกำจัดข้าศึก อวนหองจึงว่าเราขอบใจที่ท่านสามิภักดิ์จึงตั้งให้จู๋จี๋นเป็นยกระบัตรทัพ แล้วเลี้ยงโต๊ะตามธรรมเนียม ครั้นเวลารุ่งเช้าจู๋จี๋นถือกระบี่กับรี้พลออกไปยืนอยู่หน้าค่าย ร้องเรียกเกียงจูแหยว่าทหารท่านคนไรที่มีฝีมือ ให้เร่งออกสู้รบกับเรา เกียงจูแหยจึงให้ล่ำเปกฮอคุมทหารออกไปจากค่าย ล่ำเปกฮอเห็นจู๋จี๋นหน้าดำเหมือนสีรัก ในตาขวางหูยานคางยื่นถึงชายพก ล่ำเปกฮอร้องถามว่าตัวท่านชื่อไรมาแต่สำนักไหน จู๋จี๋นบอกว่าเราชื่อจู๋จี๋นเป็นอาจารย์อยู่เขาโปยซัว จะมาปราบพวกผู้กระทำผิดในแผ่นดิน ล่ำเปกฮอจึงตอบว่าท่านเป็นคนโฉดเหมือนตั๊กแตนจะบินเข้าดับกองเพลิง เห็นจะพ้นความตายไปแล้วหรือ จู๋จี๋นโกรธเอากระบี่เข้าไล่ฟันลำเปกฮออิดจ๋งเข้าช่วย ล่ำเปกฮอเอากระบองตี จู๋จี๋นเอากระบี่รับต่อสู้กันได้ยี่สิบเพลง จู๋จี๋นทำเป็นหนี เกียงจูแหยยืนดูอยู่บนหอคอยจึงตีกลองสัญญา อิดจ๋งก็ไล่จู๋จี๋น จู๋จี๋นร่ายมนต์ให้เป็นหมอกมืดแล้วกลับเป็นหมู บังหมอกเข้าคาบเอากลางตัวอิดจ๋งขาดไปครึ่งหนึ่ง อิดจ๋งก็ตาย เอียวเจี้ยนเอากระจกส่อง รู้ว่ากำเนิดจู๋จี๋นเป็นสุกร เอียวเจี้ยนเอากระบี่ไล่ฟัน จู๋จี๋นกลายเป็นหมูใหญ่คาบเอาเอียวเจี้ยนไป เกียงจูแหยเห็นเสียทีสั่งให้เลิกทัพกลับเข้าค่าย จู๋จี๋นคาบเอาตัวเอียวเจี้ยนมาหาอวนหองอวนหองเห็นก็ยินดี ว่าได้ตัวสำคัญมาแล้ว อย่าไว้ชีวิตมันให้ช้า หมูใหญ่ก็กลืนเอียวเจี้ยนเข้าไปในท้อง หมูใหญ่ก็กลับเป็นจู๋จี๋นดังเก่า อวนหองสั่งให้ทำโต๊ะจะเลี้ยงกัน
๏ ขณะนั้นเอียวเจี้ยนอยู่ในท้องจู๋จี๋น ร้องขึ้นว่าอวนหองดีใจ สำคัญว่าเราตายแล้วหรือ จู๋จี๋นก็ตกใจเป็นกำลัง จึงแข็งใจว่าเราเคี้ยวกินกลืนลงไปถึงท้องแล้ว ยังอวดตัวว่าไม่ตาย ถ้ามีฤทธิ์จงออกมาต่อสู้กันให้จนถึงแพ้แลชนะ เอียวเจี้ยนก็เอามือคั้นไส้พุงตับปอดจู๋จี๋น จู๋จี๋นเจ็บปวดเหลือทน ลืมความอายร้องขอชีวิต เอียวเจี้ยนจึงว่า ถ้าจะใคร่รอดจากความตาย ก็สำแดงเพศของตัวให้เห็นประจักษ์ก่อน จู๋จี๋นสิ้นสติก็กลับเพศเป็นหมูต่อหน้าอวนหอง อวนหองได้ความอับอายนัก หมูนั้นทนความเจ็บมิได้ วิ่งไปเข้าค่ายเกียงจูแหย เอียวเจี้ยนเด็ดเอาหัวใจแล้วสำแดงกายออกมาจากท้องหมู ให้หลำจงกวดตัดศีรษะหมูเสียบประจานไว้หน้าค่าย อวนหองเห็นดังนั้นได้ความอัปยศนัก คิดตรึกตรองที่จะตอบแทนข้าศึก พอนายประตูเข้ามาแจ้งว่า อาจารย์ผู้หนึ่งจะเข้ามาหาท่าน อวนหองก็ให้เชิญเข้ามา ต่างคนต่างคำนับให้นั่งที่สมควร แล้วถามว่าท่านชื่อไร มาแต่สำนักไหน เอียวเฮียนบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเอียวเฮียนอยู่เขาโปยซัวมีความเดือดร้อนด้วยบูอ๋องเกียงจูแหย ฆ่าพวกพ้องตายเสียหลายคน ข้าพเจ้าจะมาช่วยทำการศึก อวนหองยินดีให้เลี้ยงโต๊ะตามธรรมเนียม
๏ ขณะนั้นมีรับสั่งพระเจ้าติวอ๋อง ให้ทหารผู้หนึ่งชื่อหลีหยกออกมาช่วยอวนหอง อวนหองเห็นทหารเพิ่มเติมมาอีกก็ยินดี จึงจัดทหารที่มีฝีมือยกออกไปหน้าค่าย ร้องเรียกเกียงจูแหยให้ออกมาพูดกัน เกียงจูแหยก็พาทหารที่มีฤทธิ์ต่างๆ กับรี้พลออกมาใกล้ทัพอวนหอง เกียงจูแหยร้องว่าท่านยกออกมาจะเข้าตีชิงเอาศีรษะสุกรหรือ อวนหองทั้งอายทั้งแค้น ขืนใจทำหัวเราะร้องตอบว่า ท่านทำการศึกเหมือนทารกเขายื่นกล้วยอ้อยให้กินก็ดีใจ ไม่รู้ว่ายาพิษอยู่ในนั้น วันนี้ชีวิตท่านเห็นจะไม่รอดไปจนเวลาเที่ยง ว่าแล้วสั่งทหารให้ตีทัพเกียงจูแหย เอียวเฮียนทำทวนขับม้าเข้าไล่แทงเกียงจูแหย เอียวเจี้ยนเอากระจกส่องรู้ว่าเอียวเฮียนกำเนิดเป็นแพะ เอียวเจี้ยนถือทวนสองมือ วิ่งเข้าปะทะเอียวเฮียน ถ้อยทีหนีไล่ต่อสู้กันไปจนกระทั่งแม่น้ำเฮาเฮียบไกลค่ายทางห้าสิบเส้น ใต้หลีทหารอวนหองถือดาบสองมือขับม้าออกไปช่วยเอียวเฮียน โลเฉียแลเห็นก็รำทวนออกไป สกัดแทงใต้หลี ใต้หลีรับด้วยดาบ ต่อสู้กันได้หลายเพลง เอียวเฮียนขับม้าหนี เอียวเจี้ยนไล่ติดตามไป เอียวเฮียนร่ายมนต์เป่าเป็นละอองขาวลอยไปจะให้ถูกเอียวเจี้ยน เอียวเจี้ยนกลายเป็นเสือโคร่งขาว เอียวเฮียนกลัวเร่งขับม้าหนี เสือโคร่งตามทันกัดเอาเอียวเฮียนขาดกลางตัว เอียวเฮียนตายกลับสำแดงเพศเป็นแพะ เสือโคร่งก็คืนเป็นเอียวเจี้ยนเอากระบี่ตัดศีรษะแพะหิ้วมา ใต้หลีร่ายมนต์เป็นแก้วแดงดวงหนึ่งขว้างไป จะให้ถูกโลเฉีย โลเฉียหลบได้ เอียวเจี้ยนขับม้าเข้าช่วยโลเฉีย เอียวเจี้ยนเอาสามง่ามแทงใต้หลี ใต้หลีชักม้าหนี เอียวเจี้ยนขับม้าไล่ ใต้หลีอ่านมนต์เป็นแก้วดวงหนึ่งขว้างมา เอียวเจี้ยนร่ายมนต์เป็นมังกรโยนขึ้นไปคาบเอาแก้ว แล้วซ้ำคาบเอาตัวใต้หลีไว้ เอียวเจี้ยนก็เอาทวนแทงใต้หลีตายตกจากหลังม้า เอียวเจี้ยนโลเฉียชนะแล้ว พากันกลับมาคำนับเกียงจูแหย อวนหองเห็นเอียวเฮียนใต้หลีตายก็สลดใจนัก ถอยทัพกลับคืนเข้าค่ายแล้วมีทหารผู้หนึ่งสูงสิบสองศอกเศษ ศีรษะมีเขาสองเขาปากเสี้ยมหูยาน เข้ามาหาอวนหอง อวนหองถามว่าท่านมาแต่ไหน กิมใต้เซงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อกิมใต้เซง อยู่เขาโปยซัวจะมาช่วยท่านทำศึก อวนหองก็ให้เป็นทหารใหญ่ เวลารุ่งเช้ากิมใต้เซงถือทวนสามง่าม ขึ้นขี่สัตว์เขาเดียวออกไปยืนอยู่หน้าค่าย ร้องว่าผู้ใดที่มีฝีมือออกมารบลองฤทธิ์กันเล่น เกียงจูแหยให้แต้หลุนออกรบ แต้หลุนถือกระบองรูปสากขี่สัตว์ซินเจ๋งออกไปยืนอยู่หน้าค่าย ถ้อยทีร้องท้าทายกัน กิมใต้เซงเอาทวนไล่แทงแต้หลุน แต้หลุนเอากระบองรับรบกันได้หลายเพลง กิมใต้เซงเป่าลมไปเป็นไฟเผาแต้หลุนไหม้ทั้งตัว กิมใต้เซงฟันซ้ำด้วยกระบี่ถูกกลางตัวแต้หลุนขาดเป็นสองท่อนตาย กิมใต้เซงชนะแล้วกลับเข้าค่าย เกียงจูแหยคิดถึงแต้หลุนว่าเคยชนะศึกมาหลายครั้ง บัดนี้มาตายเสียคิดเสียดาย เป็นกำลังน้ำตาตก จึงว่ากับเอียวเจี้ยนว่า เราเห็นหน้าแต่ท่านจะตอบแทนแก้แค้นข้าศึกได้ ท่านจงออกไปฆ่ากิมใต้เซงเสียให้ตายตามแต้หลุน เอียวเจี้ยนก็รับคำเกียงจูแหย เวลารุ่งเช้าเอียวเจี้ยนถือทวนขี่ม้าออกหน้าค่าย ร้องเรียกกิมใต้เซงให้ออกมารบกัน กิมใต้เซงรู้ว่าเอียวเจี้ยนมาชวนรบก็ดีใจ แต่งตัวขึ้นขี่สัตว์เขาเดียวออกมาจากค่าย ร้องว่าเราเห็นเอียวเจี้ยนเหมือนอาหารที่ชอบปาก อยากจะเคี้ยวให้มันสิ้น เอียวเจี้ยนจึงตอบว่าตัวท่านเป็นคนโฉด ไม่รู้จักฟ้าต่ำดินสูงมาเข้าด้วยอวนหอง เหมือนยื่นคอเข้ารับคมกระบี่ กิมใต้เซงแค้นเคืองเป็นกำลัง กระทืบสัตว์เขาเดียวรำทวนเข้าไล่แทง เอียวเจี้ยนก็รับด้วยทวน ต่อสู้กันได้สามสิบเพลง เอียวเจี้ยนเอากระจกส่อง จึงรู้ว่ากิมใต้เซงกำเนิดเป็นควายปากพ่นเป็นไฟได้ เอียวเจี้ยนร่ายมนต์เป็นไฟสีฟ้าป้องกันตัวไว้พอได้กลิ่นหอม แหงนหน้าขึ้นไปดูบนอากาศ เห็นหนึงวาสีเหยียบกลีบเมฆลอยอยู่บนอากาศมีบริวารแวดล้อม เอียวเจี้ยนก็คำนับ หนึงวาสีจึงว่าเมืองจิวโก๋กับเมืองไซรกีทำศึกกันครั้งนี้เรารู้แล้ว บรรดาสัตว์ที่เขาโปยซัว มันแปลงเพศเป็นมนุษย์ไปเข้าด้วยเมืองจิวโก๋ เราจะมาทำลายพวกสัตว์เหล่านี้ให้ฉิบหาย ว่าแล้วสั่งให้เซงหุนลิต๋องเอาเชือกมีฤทธิ์ไปมัดเอาสัตว์ตัวร้ายนั้นมา เซงหุนลิต๋องคำนับหนึงวาสีแล้วลงมาจากอากาศ ร้องตวาดกิมใต้เซงว่าอ้ายสัตว์เดียรัจฉาน จะเที่ยวกินหญ้าอยู่ตามวิสัยตัวว่าไม่เป็นสุข วิ่งมาพลอยตายด้วยเขา กิมใต้เซงได้ฟังก็โกรธ รำทวนเข้าแทงเซงหุนลิต๋อง เซงหุนลิต๋องเอาเชือกโยนไปร้อยจมูกกิมใต้เซงกลับเพศเป็นกระบือ หนึงวาสีให้เอียวเจี้ยนจูงเอากระบือไปยังค่ายเกียงจูแหยเถิด แล้วว่าเราจะช่วยจับชะนีเผือกให้เสียด้วย
๏ ขณะนั้นเกียงจูแหยนั่งอยู่บนหอรบ คอยดูเอียวเจี้ยนรบกับกิมใต้เซง แลเห็นเมฆเป็นแสงทองลอยปลิวไปเฉียงใต้ มีทหารใหญ่คนหนึ่งเหาะไล่ตามไป ไม่รู้ว่าร้ายดีประการใด พอเอียวเจี้ยนจูงกระบือเข้ามาคำนับ แล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ เกียงจูแหยสั่งให้หลำจงกวดตัดศีรษะควายเสียบประจานไว้หน้าค่าย ทหารเลวในกองทัพเกียงจูแหยแปดสิบหมื่น บ้างก็จุดประทัดร้องรำเอิกเกริกขึ้นพร้อมกัน เสียงสนั่นหวั่นไหวไปจนถึงค่ายอวนหอง อวนหองได้ยินก็มีความสะดุ้งตกใจเป็นกำลัง
๏ ฝ่ายเกียงจูแหยถามเอียวเจี้ยนว่า พวกเราปราบสัตว์ที่มาแต่เขาโปยซัวสิ้นไปเท่าไรแล้ว เอียวเจี้ยนบอกว่าเราฆ่าตายเสียได้หกตัวแล้ว ยังตัวเดียวแต่อวนหอง เกียงจูแหยจึงสั่งเอียวเจี้ยน ให้เตรียมทหารไว้ให้พร้อมเวลาสองยาม เราจะยกเข้าปล้นค่ายจับตัวอวนหองเสียให้จงได้
๏ ฝ่ายอวนหองเสียใจด้วยกิมใต้เซง ในเวลาค่ำให้คิดพรั่นตัวเป็นกำลัง ด้วยความตายจะถึงตัวให้เกิดวิปริต เป็นลางในกายนอกกายต่าง ๆ ให้เยือกเย็นในอกในใจ เหมือนศีรษะไม่ติดอยู่กับตัว จึงเรียกอินโพ้ไป้หลุยไขมาปรึกษา ว่าพระเจ้าติวอ๋องใช้ให้เรามาตั้งทัพรับข้าศึกอยู่ที่นี่ เห็นเป็นรองลงทุกวัน ถึงทหารในเมืองจิวโก๋ยกเพิ่มเติมอุดหนุนมาเนือง ๆ ก็จริง แต่ออกรบคนไรก็ตายคนนั้น เหมือนเอากระดาดฟางทิ้งเข้าในกองไฟ เราจำจะทำหนังสือบอกเข้าไป ขอกองทัพทหารเพิ่มเติมออกมาอีกจึงจะได้ พอถึงเวลาสองยาม เกียงจูแหยขึ้นขี่ซูปุดเสียงยกทหารออกจากค่าย จัดแยกย้ายเป็นกองร้อยกองพันกองหมื่น รายล้อมรอบจึงให้จุดประทัดเป็นสัญญา ทหารทั้งปวงพร้อมกัน เข้าระดมตีแหกค่ายอวนหอง ทหารในค่ายทั้งปวงไม่รู้ตัวแตกระส่ำระสาย อวนหองก็แผลงฤทธิ์เป็นรัศมีบังตัว เอียวเจี้ยนเอากระบี่ไล่ฟันอวนหอง อวนหองบันดาลเป็นเมฆขาวบังตัวไป เอียวเจี้ยนก็ร้องตวาด ว่าอ้ายสัตว์เดียรัจฉานชาติชะนี ถึงจะทำเล่ห์กลประการใดเรารู้เท่าสิ้น จะตัดศีรษะถลกหนังเชือดเอาเนื้อเซ่นอารักษ์เสียในวันนี้ อวนหองโกรธเป็นกำลัง ก็แผลงฤทธิ์เข้าต่อสู้กับเอียวเจี้ยนพลางเหลียวไปดูทหาร เห็นแตกกระจัดกระจายไปสิ้น จะต่อสู้อยู่แต่ตัวผู้เดียวมิได้ ก็กลับเพศเป็นชะนีหนีไปเขาโปยซัว พอเวลารุ่งสว่างเกียงจูแหยพารี้พลกลับคืนไปค่าย แต่เอียวเจี้ยนคุมทหารติดตามอวนหองไป อวนหองเห็นเอียวเจี้ยนตามจวนตัวเข้าก็จำแลงกายเป็นหินก้อนหนึ่งกลิ้งอยู่ริมทาง เอียวเจี้ยนเห็นอวนหองหายไป จึงเอากระจกส่องดูก็เห็นอวนหองเข้าอยู่ในก้อนหิน เอียวเจี้ยนจึงนิมิตเป็นค้อนเหล็ก ต่อยก้อนศิลาแตกกระจาย อวนหองกลายเป็นลมพัดหนีไป เอียวเจี้ยนก็รีบตามลมไป จนถึงเขาโปยซัว อวนหองก็จำแลงเป็นชะนี มีบริวารเป็นอันมากถือกระบองเหล็กกลุ้มรุมกันเข้าล้อมเอียวเจี้ยน เอียวเจี้ยนถอยหนีลงมาจากเขาโปยซัว รำลึกถึงหนึงวาสีสั่งไว้ ว่าจะมาช่วยจับชะนี จึงแหงนขึ้นไปบนฟ้าก็เห็นหนึงวาสีเหาะลอยอยู่มีบริวารแวดล้อม เอียวเจี้ยนก็ทำคำนับหนึงวาสีจึงร้องว่าเอียวเจี้ยนนี้เป็นลูกศิษย์ของหยกเตงจินหยิน ได้เรียนความรู้จำแลงได้ถึงเจ็บสิบสองอย่าง แต่จะชนะอวนหอง ซึ่งเป็นชะนีก็ทั้งยาก เราจะให้ของวิเศษแก่ท่านสิ่งหนึ่ง ไปจับอวนหองเสียให้ได้ ว่าแล้วจึงเลื่อนลอยลงมาหาเอียวเจี้ยน เอายันต์อันหนึ่งมีฤทธิ์ส่งให้เอียวเจี้ยน บอกอุปเท่ห์ให้ทำทุกประการแล้วหนึงวาสีก็หายไป เอียวเจี้ยนจึงเอายันต์ไปปิดบนต้นไม้ใหญ่ที่เชิงเขา เอียวเจี้ยนก็ขึ้นไปบนเขาโปยซัว อวนหองซึ่งเป็นชะนีเผือก ก็ถือกระบองเหล็กเข้าไล่ตีเอียวเจี้ยน เอียวเจี้ยนเอาทวนแทงชะนี ถ้อยทีไม่ถูกอาวุธต่อสู้กันได้เพลงหนึ่ง เอียวเจี้ยนทำเป็นหนีลงจากเขาโปยซัว ขึ้นสู่เชิงเขาอันหนึ่งที่ปิดยันต์ไว้บนต้นไม้ ชะนีก็ไล่ติดตามมาถึงต้นไม้ที่ปิดยันต์ไว้ จะไล่เอียวเจี้ยนต่อไปก็มิได้ บันดาลเป็นตะรางเหล็กแวดล้อมชะนีไว้จะหนีกลับไปก็ไม่ได้ ให้หิวโหยสิ้นแรง แลไปเห็นไม้ต้นหนึ่ง มีผลสุกแดงตกระย้าไปทุกกิ่ง ทรงกลิ่นหอมยิ่งนัก ชะนีมีความอยากเป็นกำลังก็โดดขึ้นไปบนต้นไม้ เด็ดเอาลูกไม้ได้พวงหนึ่ง ลงมานั่งกินอยู่ที่แผ่นศิลาใต้ร่มไม้ ครั้นอิ่มแล้วจะลุกไปจากที่ก็มิได้ นั่งติดศิลาแน่นอยู่ ดุจหนึ่งพืดเหล็กรัดรึงไว้ เอียวเจี้ยนจึงเดินเข้ามาใกล้ชะนีแล้วจึงว่า ตัวท่านชื่ออวนหองเป็นทหารใหญ่ในเมืองจิวโก๋ พระเจ้าติวอ๋องให้เป็นแม่ทัพ คุมทหารนับด้วยแสนออกมาตั้งค่ายรับข้าศึก ครั้นเสียทีทำการไม่สมภูมิที่เป็นแม่ทัพกลับเพศเป็นชะนี มานั่งเซอะอยู่ที่แผ่นศิลา จะแผลงฤทธิ์สู้รบต่อไปประการใดก็เร่งทำเสียให้สิ้นฝีมือ ชะนีเผือกก็สิ้นความคิด ไม่รู้ที่จะโต้ตอบประการใด เอียวเจี้ยนก็จิกศีรษะเอาเชือกวิเศษผูกมัดให้มั่นคง แล้วเลิกเอายันต์มาจากต้นไม้ ผินหน้ามาคำนับหนึงวาสีแล้วจูงเอาชะนีเผือกมาถึงค่าย เข้าไปหาเกียงจูแหยเล่าความให้ฟังทุกประการ เกียงจูแหยมีความยินดีนัก จึงว่ากับทหารทั้งปวงว่าพวกเราล้มตายเป็นอันมาก เพราะอ้ายสัตว์เดียรัจฉานตัวนี้ เอียวเจี้ยนเร่งเอาชะนีไปตัดศีรษะเสียหน้าค่าย เอียวเจี้ยนจูงเอาชะนีออกไปนอกค่าย เอากระบี่ตัดศีรษะชะนีขาดกระเด็นตกลงในแผ่นดินหามีเลือดไม่ เป็นควันเขียวพลุ่งออกจากคอหอย แล้วเกิดเป็นดอกบัวดอกหนึ่งงอกขึ้นมาจากลำคอ ดอกบัวนั้นบานแล้วตูม ตูมแล้วบาน เอียวเจี้ยนเอากระบี่ฟันดอกบัวซ้ำเป็นหลายที ดอกบัวก็ยังเป็นอยู่ดังนั้น เอียวเจี้ยนเห็นอัศจรรย์ประหลาดใจนัก จึงเอาความเข้าไปบอกกับเกียงจูแหย เกียงจูแหยออกมาดูก็รู้เหตุว่าชะนีตัวนี้ มันได้ความรู้มาจากเทวดา มันจึงมีฤทธิ์จำแลงได้ต่าง ๆ เกียงจูแหยให้จุดธูปเทียนเครื่องบูชาตั้งบนโต๊ะแล้ว เอาน้ำเต้าอันมีฤทธิ์เปิดฝาออกเอาปากคว่ำลงรมควันธูป ก็บันดาลเป็นควันขาวพลุ่งออกมาจากปากน้ำเต้า สูงขึ้นไปประมาณสามสิบศอกเศษ เกียงจูแหยก็คำนับอาจารย์ แล้วบันดาลเป็นกระบี่น้อยเล่มหนึ่งลอยไปฟันคอชะนี ดอกบัวนั้นก็หายไป เลือดก็ไหลออกมาตามคอชะนี ชะนีนั้นก็ตาย
๏ ฝ่ายทหารทั้งปวงเห็นน้ำเต้าวิเศษ จึงถามว่าชะนีตัวนี้ได้น้ำเต้าวิเศษมาฆ่าจึงตายหรือ เกียงจูแหยบอกว่าน้ำเต้านี้อาจารย์เลกเซียนโลสูประสิทธิ์ให้เราไว้สำหรับตัว เมื่ออับจนแต่ครั้งไปตีบ้านเซียนติ้นแตก ทั้งนี้เพราะบุญของพระเจ้าบูอ๋องมากจึงเผอิญให้เราได้ของวิเศษไว้สำหรับรักษาแผ่นดิน
๏ ฝ่ายทหารในค่ายอวนหองเมื่อเสียแม่ทัพแล้ว ก็แตกระส่ำระสายล้มตายเป็นอันมาก อินโพ้ไป้หลุยไขกับทหารที่เหลือตาย พากันหนีไปเมืองจิวโก๋ ทูลความพระเจ้าติวอ๋องทุกประการ แล้วว่ากองทัพบูอ๋องมีกำลังด้วยหัวเมืองขึ้นเมืองจิวโก๋ยกไปเข้าด้วยบูอ๋องสิ้น บัดนี้ตีล่วงด่านแดนเข้ามาจวนจะถึงกำแพงเมืองจิวโก๋อยู่แล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็สิ้นสติตกตะลึง หาตรัสประการใดไม่ ขุนนางทั้งปวงก็ต่างคนต่างแลดูกันอยู่ ใต้หูหุนเหงียมจึงกราบทูลว่า จะนิ่งอยู่ฉะนี้เห็นไม่ได้ ขอให้ทำหนังสือรับสั่งไปปิดไว้ที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศว่า ถ้าผู้ใดรับอาสาปราบข้าศึกบูอ๋องได้สำเร็จราชการแล้ว จะบำเหน็จรางวัลให้เกียรติยศยิ่งกว่าคนทั้งปวง พระเจ้าติวอ๋องเห็นด้วยจึงให้ทำหนังสือไปปิดประตูทั้งสี่ทิศ
๏ ฝ่ายเหลายินเกียดจึงเข้ามาเฝ้าพระเจ้าติวอ๋องทูลว่าจะขอรับอาสาตีทัพบูอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็สั่งให้เหลายินเกียดเป็นแม่ทัพ คุมทหารออกไปตั้งค่ายรับนอกกำแพงเมือง