๖๓
๏ เหยียนเต๋งโตหยินเห็นก็เอามือชี้ขึ้นไปนกอินทรีก็ตกลง เหยียนเต๋งโตหยินจึงถามว่าเหตุไรท่านจึงมาคิดร้ายจะกินเราดังนี้ นกอินทรีจึงว่าข้าพเจ้าไปทำศึกกับชาวเมืองไซรกีมีความแสบท้องนัก จึงบินมามิได้รู้ว่าท่านเป็นผู้วิเศษจึงคิดร้ายดังนี้เพราะแสบท้อง ซึ่งโทษข้าพเจ้าผิดนั้นขอเสียครั้งหนึ่งเถิด เหยียนเต๋งโตหยินก็ยกโทษให้แล้วบอกว่า ซูไฮโตหยินอยู่ที่เขาจิวหุนไหงยังนั่งกินของอยู่ ท่านจงไปตรงนี้ทางประมาณสองพันห้าร้อยเส้นก็จะถึง จงขออาหารกินเถิด นกอินทรีได้ฟังก็ยินดีจึงรีบบินไป พอซูไฮโตหยินกินอิ่มแล้ว ศิษย์ยกสำรับเปล่าออกมา นกอินทรีจึงว่าแก่ศิษย์ว่าเราขอของกินบ้าง ศิษย์ผู้นั้นจึงว่าท่านมาขอเมื่อของสิ้นเสียแล้ว ต่อพรุ่งนี้จึงมากินเถิด นกอินทรีจึงตอบว่าแสบท้องนักจะกินเดี๋ยวนี้ ศิษย์ผู้นั้นว่าผัดไว้ต่อพรุ่งนี้จึงจะหาให้กิน นกอินทรีจึงว่าถึงของที่สำรับหมดแล้ว ของที่อื่นหาอยู่บ้างหรือไม่ ถ้าท่านไม่ให้อาหารแก่เรา เราจะกินท่านเสีย ศิษย์นั้นก็ตกใจกลัวจึงบอกว่า ยังเหลืออยู่แต่หมี่ท่านจะกินหรือจะเอามาให้ นกอินทรีก็บอกว่าเอามาเถิด ศิษย์นั้นจึงไปเอาหมี่มาให้นกอินทรีกิน หมี่สิ้นร้อยแปดชาม ครั้นอิ่มแล้วก็บินขึ้นจะกลับไปเมืองไซรกี
๏ ขณะนั้นเหยียนเต๋งโตหยินยังนั่งอยู่ที่ปากถ้ำ เห็นนกอินทรีบินกลับมา ก็รู้ว่าจะไปทำศึกกับเมืองไซรกีอีก จึงเอานิ้วมือชี้ขึ้นไปนกอินทรีก็ตกลงมาดิ้นอยู่ เหยียนเต๋งโตหยินก็เดินมาถามนกอินทรีว่า เหตุใดท่านจึงมานอนดิ้นอยู่ดังนี้ นกอินทรีจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไปขอหมี่ที่ศิษย์ซูไฮโตหยินกิน ครั้นบินมาถึงที่นี่ก็ตกลง เหยียนเต๋งโตหยินจึงว่าท่านโลภกินอาหารเหลือกำลังจนบินไม่ไหวจึงตกลง สำรอกหมี่ออกมาเสียก็จะบินไปได้ดอก นกอินทรีก็สำรอกออกมาเป็นเนื้อไก่ทั้งนั้น เหยียนเต๋งโตหยินก็ด่าว่า นกอินทรีพูดหาจริงไม่ จึงให้ศิษย์มัดนกอินทรีไว้กับต้นสน แล้วว่าท่านไม่รู้หรือว่าง่วนสีเทียนจุ๋นอาจารย์ผู้ใหญ่ ให้เกียงจูแหยมาช่วยบูอ๋องบำรุงแผ่นดินเมืองไซรกี ท่านยังไปรบกับเกียงจูแหย ทำดังนี้หากลัวง่วนสีเทียนจุ๋นไม่หรือ นกอินทรีก็อ้อนวอนว่าข้าพเจ้าเป็นคนโฉดเขลา หารู้ถึงความไม่ เตียวสันเขายุยงข้าพเจ้าจึงได้ไปรบกับเกียงจูแหย โทษข้าพเจ้าผิดนัก ตั้งแต่นี้ไปมิได้ทำแก่เมืองไซรกีอีกแล้ว ข้าพเจ้าจะขออยู่เป็นศิษย์ให้ท่านสั่งสอนสืบไป
๏ เหยียนเต๋งโตหยินได้ฟังดังนั้นก็แก้มัดนกอินทรี นกอินทรีจึงสำรอกลูกประคำร้อยแปดออกมา ก็กลับเป็นอิเอ๊กเซียนดังเก่า แล้วอยู่ด้วยเหยียนเต๋งโตหยินในที่นั้น
๏ ฝ่ายง่วนสีเทียนจุ๋นอาจารย์ใหญ่ รำพึงถึงบูอ๋องว่าแต่ให้เกียงจูแหยไปช่วยคิดการบำรุงแผ่นดินก็ไม่ราบคาบ จะต้องยกทัพไปตีเมืองจิวโก๋ ซึ่งจะไว้ใจแก่เกียงจูแหยผู้เดียวนั้นมิได้ จึงสั่งให้ศิษย์ผู้หนึ่งไปบอกก๋งเสงจู๊ซึ่งจำศีลอยู่ในถ้ำโทหึงตงว่า เราให้เร่งไปเมืองไซรกีช่วยเกียงจูแหยยกทัพไปตีเมืองจิวโก๋ ศิษย์นั้นคำนับแล้วก็ไปบอกก๋งเสงจู๊ตามคำง่วนสีเทียนจุ๋นสั่ง ครั้นก๋งเสงจู๊ได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า อินเฮาบุตรพระเจ้าติวอ๋องหนีบิดามาพึ่งอยู่เป็นศิษย์ก็นานแล้ว จำจะสงเคราะห์อินเฮาให้ได้ดี จึงว่าแก่อินเฮาว่าพระเจ้าติวอ๋องบิดาของท่านมิได้อยู่ในยุติธรรม หัวเมืองทั้งปวงก็ไปเข้าด้วยบูอ๋องสิ้น ง่วนสีเทียนจุ๋นก็ให้เกียงจูแหยไปช่วยบูอ๋อง ณ เมืองไซรกี เข้าพร้อมกันจะยกทัพไปตีเมืองจิวโก๋ บัดนี้ถึงกำหนดจะสิ้นบุญพระเจ้าติวอ๋องอยู่แล้ว ท่านจงไปช่วยเกียงจูแหยทำความชอบไว้ในบูอ๋องเถิด เบื้องหน้าคงจะได้ดี อินเฮาจึงว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความแค้นนางขันกีนัก ด้วยฆ่ามารดาข้าพเจ้าเสีย ซึ่งอาจารย์จะให้ข้าพเจ้าไปช่วยเกียงจูแหยนั้นก็มีความยินดี แต่จะได้คิดทรยศต่อพระเจ้าติวอ๋องผู้เป็นพระราชบิดานั้นหามิได้ พยาบาทอยู่แต่นางขันกี จะแก้แค้นแทนมารดาให้จงได้ ก๋งเสงจู๊จึงว่าท่านจงไปชุบตัวที่ถ้ำไซจูไหงให้มีฤทธิ์เสียก่อนแล้วจึงกลับมา เราจะให้ของวิเศษไปสำหรับตัว อินเฮาได้ฟังดังนั้นก็คำนับลาอาจารย์แล้วเดินไป ครั้นถึงไซจูไหงเห็นสะพานศิลาพาดอยู่ปากถ้ำ ก็เดินเข้าไปถึงในถ้ำ เห็นโต๊ะศิลาอันหนึ่งร้อนเป็นอายเพลิง มีถั่วอยู่บนโต๊ะเจ็ดเมล็ด อินเฮาหยิบกินดูเมล็ดหนึ่ง ถั่วนั้นมีรสอร่อยยิ่งนักก็เก็บกินสิ้นทั้งเจ็ดเมล็ด ศีรษะอินเฮาก็เป็นสามศีรษะหน้าเขียวดังทาคราม มีเขี้ยวงอกออกจากปาก มือนั้นมีขึ้นข้างละสามเป็นหกมือ อินเฮาก็ตกใจจึงกลับมาหาอาจารย์ อาจารย์เห็นก็ตบมือหัวเราะแล้วว่า พระเจ้าบูอ๋องมีบุญมากจึงเกิดคนมีฤทธิ์อย่างนี้ แล้วก๋งเสงจู๊จึงพาอินเฮาเข้าไปในถ้ำโทหุย ให้ทวนเชิงเล่มหนึ่งกับดึงใหญ่แลตรามีฤทธิ์ดวงหนึ่งกระบี่สองเล่ม แล้วสอนว่าถ้าท่านซื่อสัตย์ต่อเราไปช่วยบูอ๋องโดยสุจริต นานไปสมบัติในเมืองจิวโก๋จะเป็นของท่าน อินเฮารับอาวุธแล้วสาบานต่ออาจารย์ว่า ถ้าข้าพเจ้ามิได้นับถือซื่อตรงต่อคำอาจารย์สั่งสอน กลับไปเข้าข้างบิดา ก็ให้ข้าพเจ้าต้องอาวุธตายเถิด แล้วอินเฮาก็คำนับลาอาจารย์เหาะไป ครั้งถึงเขาสูงแห่งหนึ่งสันฐานดังรูปมังกร มีศาลเทพารักษ์อยู่ที่เนินเขานั้นศาลหนึ่ง ดูร่มรื่นเย็นสบาย ก็ลงมานั่งหยุดพักอยู่ แล้วหยิบม้าฬ่อที่ศาลนั้นขึ้นตีเจ็ดทีแปดที
๏ ขณะนั้นฮุนเหลียงกับแบเซียนนายชุมนุม ซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขาฟากข้างหนึ่ง ได้ยินเสียงม้าฬ่อก็ประหลาดใจ จึงขี่ม้าควบขึ้นไปดูเห็นคนสามศีรษะหกมือ จึงถามว่าท่านนี้ชื่อใดมาแต่ไหนจึงมาอยู่ที่นี่ อินเฮาจึงบอกว่าเราชื่ออินเฮา เป็นบุตรพระเจ้าติวอ๋อง ท่านทั้งสองชื่อไรจึงมีจักขุคนละสามจักขุ เขี้ยวงอกออกจากปากดังนี้ ฮุนเหลียงแบเซียนรู้ว่าอินเฮาเป็นบุตรพระเจ้าติวอ๋อง ก็ลงจากม้าแล้วคำนับบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อฮุนเหลียงคนนี้ชื่อแบเซียน อินเฮาจึงว่าท่านทั้งสองมีจักขุถึงสามจักขุประหลาดกว่าคนทั้งปวงเห็นจะมีฤทธิ์อยู่ ท่านจงมาไปเมืองไซรกีกับเราเถิด จะได้ช่วยบูอ๋องรบเมืองจิวโก๋เอาความชอบ ฮุนเหลียงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านสิเป็นบุตรพระเจ้าติวอ๋อง ก็เหตุใดจึงจะไปช่วยบูอ๋องรบเมืองจิวโก๋เล่า อินเฮาจึงว่าอาจารย์บอกแก่เราว่า ถึงกำหนดเมืองจิวโก๋จะเสียเป็นแน่แล้ว จึงให้เราไปทำความชอบไว้ในพระเจ้าบูอ๋อง นานไปเราจะได้เป็นที่พึ่งแก่เมืองจิวโก๋ เราจึงมาตามคำอาจารย์ ฮุนเหลียงแบเซียนจึงว่าข้าพเจ้าทั้งสองจะขอตามท่านไปด้วย แล้วเชิญอินเฮาลงมาที่ชุมนุม แต่งโต๊ะเลี้ยงโดยคำนับเป็นอันดี ครั้นรุ่งเช้าจะยกไปก็ผูกม้าเครื่องทองมาให้อินเฮาขี่ม้าหนึ่ง ฮุนเหลียงกับแบเซียนเลิกชุมนุมยกทหารแห่อินเฮาไปตามทาง
๏ ฝ่ายซินกงป้ารู้ว่าอินเฮาจะยกไปช่วยเมืองไซรกี ก็ขี่เสือมายืนคอยอยู่ ครั้นทหารกองหน้ามาถึงก็ห้ามไว้ ให้บอกแก่อินเฮาว่าเราจะขอพบพูดด้วยสักสองสามคำ ทหารก็มาบอกอินเฮา อินเฮาก็ให้รับเอาซินกงป้านั้นมา อินเฮาคำนับแล้วถามว่าอาจารย์ชื่อไรมาแต่ไหน ซินกงป้าจึงบอกว่าเราชื่อซินกงป้า ซึ่งท่านยกมาจะไปข้างไหน อินเฮาก็บอกว่าข้าพเจ้ายกไปช่วยบูอ๋องตีเมืองจิวโก๋ ซินกงป้าจึงว่าพระเจ้าติวอ๋องเป็นบิดาของท่าน เหตุไรจึงมิยกไปช่วย กลับจะไปช่วยผู้อื่นอีกเล่า ท่านก็เป็นบุตรผู้ใหญ่ควรจะคิดป้องกันเมืองจิวโก๋จึงจะชอบ ถ้าพระเจ้าติวอ๋องหาบุญไม่สมบัติก็จะเป็นของท่าน ควรหรือจะยกบ้านเมืองให้แก่บูอ๋องโดยง่ายฉะนี้ เสียแรงเกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีของวิเศษสำหรับตัวก็หลายสิ่ง ชั่งไม่คิดรักษาแผ่นดินแทนบิดาต่อไปจะมาหมายพึ่งผู้อื่นเห็นว่าจะมีความสุขแล้วหรือ อินเฮาจึงตอบว่าอาจารย์สั่งให้ไปช่วยข้างเมืองไซรกี แลท่านคิดจะให้ไปช่วยข้างเมืองจิวโก๋นอกคำอาจารย์สั่งนั้น เราหาทำล่วงเกินได้ไม่ ด้วยเกียงจูแหยมาช่วยอยู่ข้างบูอ๋องจะบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข ซินกงป้าได้ฟังดังนั้นเห็นว่าอินเฮาหาเชื่อฟังถ้อยคำของตัวไม่ จำจะอุบายว่ากล่าวให้เชื่อฟังจงได้ จึงว่าท่านอย่าหลงนับถือเกียงจูแหยนัก หารู้ไม่หรือเกียงจูแหยฆ่าอินหองน้องท่านตายเสียแล้ว เขาจะยกไปจับบิดาท่านฆ่าเสียด้วย แลท่านจะซ้ำไปให้เขาฆ่าเสียอีกคนหนึ่งหรือ เราว่าทั้งนี้โดยเอ็นดูเมื่อมิเชื่อฟังก็แล้วไป เดี๋ยวนี้เตียวสันก็ยกทัพมารบกับเมืองไซรกี ยังต้านทานอยู่ริมเมืองท่านจงไปถามดูเถิด ถ้ามิสมดังคำเราจึงไปเข้าด้วยบูอ๋อง ถ้าเห็นจริงด้วยเราจะคิดแก้แค้นแทนอินหองน้องชายท่าน เราจะให้คนมีฤทธิ์มาช่วย ว่าดังนั้นแล้วซินกงป้าก็ขี่เสือกลับไป อินเฮาได้ฟังดังนั้นกำลังรักอินหองน้องชาย ก็คิดว่าถ้าเกียงจูแหยฆ่าอินหองเสียจริงเราก็หาไปเข้าด้วยไม่ จะเป็นอย่างไรก็ตามทีเถิด คงจะแก้แค้นแทนน้องเราฆ่าเกียงจูแหยเสียให้ได้ คิดดังนั้นแล้วก็ให้ยกทัพไป ครั้นถึงเมืองไซรกีแลเห็นธงสำคัญในค่าย จารึกเป็นอักษรชื่อเมืองจิวโก๋ ก็ให้ม้าใช้ไปสืบว่าทัพเตียวสันหรือมิใช่ ครั้นม้าใช้ไปถึงถามคนในค่ายบอกว่าทัพเตียวสัน ม้าใช้ก็กลับมา
๏ ฝ่ายเตียวสันแต่ตั้งใจคอยอิเอ๊กเซียนถึงสองวันแล้วหาเห็นกลับมาไม่ พอแลไปเห็นกองทัพอินเฮายกมาไม่ทันรู้ นึกว่าอิเอ๊กเซียนไปได้ทหารมาช่วยก็ดีใจ จึงให้คนไปสืบดูก็รู้ว่าทัพอินเฮา เตียวสันก็นึกสงสัยว่า อินเฮาหนีไปจากเมืองจิวโก๋นานแล้วกับพระเจ้าติวอ๋องก็ไม่ชอบกัน จะยกทัพมาด้วยเหตุอันใดคิดแคลงนัก จึงปรึกษาลีกิ๋มแลนายทัพทั้งปวง ลีกิ๋มจึงว่าเห็นอินเฮาจะยกมา ด้วยรู้ข่าวว่าเกียงจูแหยฆ่าอินหองเสียจึงมีใจเจ็บแค้น จะยกมารบเมืองไซรกีเป็นมั่นคง จะพากันออกไปฟังดูถ้าเป็นทัพอินเฮาเหมือนว่าก็จะได้เป็นสองทัพสมทบกันทำแก่เมืองไซรกีต่อไป เตียวสันเห็นชอบด้วยจึงพากันออกไปจากค่ายพอพบคนข้างอินเฮามา บอกว่าอินเฮาให้เชิญไป ครั้นเตียวสันไปถึงเห็นอินเฮาเป็นสามศีรษะหกมือผิดสังเกตก็ยืนนิ่งอยู่ อินเฮาเห็นดังนั้นก็บอกว่าเราชื่ออินเฮาเป็นบุตรพระเจ้าติวอ๋อง แล้วเล่าความตั้งแต่ต้นจนได้ยกกองทัพมาให้เตียวสันฟัง เตียวสันกับลีกิ๋มครั้นรู้ว่า อินเฮามาก็มีความยินดีนัก จึงเข้ามาคำนับ อินเฮาจึงถามว่าอินหองน้องเรานั้นเหตุผลเป็นอย่างไรท่านรู้หรือไม่ เตียวสันก็บอกว่าอินหองยกมารบกับเกียงจูแหย เกียงจูแหยเอายันต์ไทเค๊กเต๋าเผาอินหองเป็นจุลไปได้หลายวันแล้ว อินเฮาได้ฟังดังนั้นก็ล้มลงทันที ฮุนเหลียงจึงอุ้มเอาอินเฮาขึ้น อินเฮาก็ร้องไห้รักอินหอง ว่าไม่ควรเลยจะมาตายเสียอย่างนี้ แล้วอินเฮาหยิบเอาลูกธนูหักออกเป็นสองท่อน ร้องประกาศว่าถ้าเราไม่ฆ่าเกียงจูแหยเสียได้ดังลูกธนูนี้แล้วเราก็จะตายเสียเหมือนลูกธนูซึ่งหักนี้ เตียวสันก็เชิญอินเฮามายังค่าย
๏ ครั้นรุ่งขึ้นอินเฮาจึงจัดทหารทั้งสองทัพสบทบกัน อินเฮาขี่ม้าถืออาวุธที่อาจารย์ให้ทั้งห้าสิ่ง แล้วให้ตีม้าฬ่อจุดประทัดยกทัพออกจากค่าย ครั้นถึงที่รบก็ร้องเข้าไปในเมืองว่า ให้เกียงจูแหยเร่งออกมารบกับเรา ขณะนั้นเกียงจูแหยยืนดูอยู่บนหอคอยเห็นกองทัพยกมาดังนั้นก็มาจัดทัพเป็นห้ากอง โลเฉียถือทวนขี่จักรเพลิงคุมทหารสามหมื่นเป็นทัพหน้า อึ้งเทียนฮัวถือกระบองทองแดงขี่กิเลนคุมทหารสามหมื่นเป็นปีกซ้าย อึ้งปวยฮอถือกระบองเหล็กสามเหลี่ยมขี่โคด่างห้าสีคุมทหารสามหมื่นเป็นปีกขวา เอียวเจี้ยนถือง้าวใหญ่ขี่ม้าคุมทหารสามหมื่นเป็นทัพหลัง เกียงจูแหยถือกระบี่ขี่ซูปุดเสียงกั้นร่มใหญ่คุมทหารห้าหมื่นเป็นแม่ทัพ พร้อมแล้วก็ให้จุดประทัดตีม้าฬ่อแลกลองศึก โบกธงยกทัพออกจากเมือง ครั้นถึงหน้าทัพอินเฮา โลเฉียเห็นแม่ทัพสามศีรษะเขี้ยวงอกออกจากปาก มือถืออาวุธหกมือ แล้วมีนายทหารสามจักขุสองคนยืนอยู่สองข้าง โลเฉียเห็นประหลาดก็หัวเราะ อินเฮาจึงขับม้าขึ้นมายืนอยู่หน้าทหารแล้วร้องเรียกเกียงจูแหยให้มาพูดกัน เกียงจูแหยก็ขับซูปุดเสียงขึ้นไปหน้าทหาร แล้วถามว่าท่านชื่อไร ซึ่งยกทัพมาจะรบกับเราด้วยเหตุอันใด อินเฮาจึงบอกว่าเราชื่ออินเฮา เป็นบุตรพระเจ้าติวอ๋องมีความแค้นนัก เหตุใดท่านจึงฆ่าอินหองน้องเราเสีย เกียงจูแหยจึงตอบว่า เรามิได้ฆ่าอินหองน้องท่าน น้องท่านถึงที่ตายก็ตายเอง ซึ่งจะมาโกรธเรานั้นหาควรไม่ อินเฮาจึงว่าท่านเป็นคนพูดไม่จริง ท่านฆ่าน้องเราเสียเราก็จะฆ่าท่านเสียประเดี๋ยวนี้ ว่าแล้วก็ขับม้าเงื้อทวนจะแทงเกียงจูแหย โลเฉียก็ถลันเข้าไปรับด้วยทวน โลเฉียกับอินเฮารบกันได้สามเพลงอาวุธ อินเฮาทิ้งตราไปถูกโลเฉียพลัดตกลงจากจักรเพลิง อึ้งเทียนฮัวก็ขับกิเลนเข้ากันโลเฉียไว้รบกับอินเฮาต่อไป เกียงจูแหยก็ให้ทหารพยุงโลเฉียเข้าไปในเมือง อินเฮารบกับอึ้งเทียนฮัวได้สี่เพลง แล้วสั่นกระดึงขึ้นเสียงดังฟ้าผ่า อึ้งเทียนฮัวก็พลัดตกจากหลังกิเลน อึ้งปวยฮอก็ขับโคเข้ารบกับอินเฮา ทหารมิทันเข้าช่วยอึ้งเทียนฮัว เตียวสันก็จับมัดให้ทหารพาไปค่าย อินเฮารบกับอึ้งปวยฮอได้ห้าเพลงก็สั่นกระดึงขึ้น อึ้งปวยฮอก็พลัดตกจากหลังโค ฮุนเหลียงกับแบเซียนก็จับอึ้งปวยฮอมัดพาไปค่าย เอียวเจี้ยนเห็นข้าศึกมีกำลังกลัวเกียงจูแหยจะเสียที จึงให้ตีม้าฬ่อยกธงหย่าทัพถอยเข้าเมือง พวกข้างอินเฮาโห่ร้องตีกลองแลม้าฬ่อเลิกทัพกลับเข้าค่าย อินเฮาจึงให้เอาตัวอึ้งปวยฮอมาถามว่า ท่านชื่อไรเป็นทหารอยู่เมืองไซรกีหรือมาแต่อื่น อึ้งปวยฮอบอกว่า เราชื่ออึ้งปวยฮอ เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองจิวโก๋ เหตุด้วยพระเจ้าติวอ๋องหลงเชื่อฟังถ้อยคำนางขันกี จนแต่อินเฮาบุตรผู้ใหญ่ก็ฆ่าเสีย มิได้อยู่ในยุติธรรมจึงหนีมาอาศัยอยู่เมืองไซรกี อินเฮารู้จักว่าอึ้งปวยฮอ ก็มาแก้เชือกมัดออกเสีย แล้วว่าท่านมีคุณกับเราแต่ก่อน ครั้งนางขันกีทูลยุยงบิดาให้ประหารชีวิตเราเสีย ถ้าท่านไม่ช่วยในครั้งนั้น ชีวิตเราก็ไม่รอดมาจนประเดี๋ยวนี้ แล้วถามว่าทหารคนนั้นชื่อไรเล่า อึ้งปวยฮอจึงบอกว่าชื่ออึ้งเทียนฮัวผู้บุตรข้าพเจ้า อินเฮาก็ให้แก้มัดเสียแล้วว่า แต่ก่อนท่านได้มีคุณ ปล่อยให้เรารอดจากความตาย ครั้งนี้เราจะแทนคุณปล่อยท่านให้คืนไปเมืองไซรกี แต่จะขอความสัญญาท่านไว้ ด้วยการศึกยังทำติดพันกันอยู่ ไปเบื้องหน้าถ้าท่านเห็นเราจะยกทัพไปรบแล้วจงหลีกเสียให้พ้น ถ้าขืนรบกับเรา เราจับตัวมาได้ เราจะต้องฆ่าท่านเสียตามอาญาศึก แล้วให้ปล่อยอึ้งปวยฮออึ้งเทียนฮัวกลับคืนไป
๏ ครั้นรุ่งขึ้นแบเซียนจึงว่าแก่อินเฮาว่า วันนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาไปรบกับทหารเมืองไซรกีเอาชัยชนะสักครั้งหนึ่ง อินเฮาก็ยอมให้ไป แบเซียนก็จัดทหารออกจากค่ายไปยืนอยู่ที่รบ เกียงจูแหยเห็นดังนั้นก็ปรึกษาดูใจทหารทั้งปวงว่า วันนี้ผู้ใดจะอาสาไปรบกับข้าศึกบ้าง เตงจิวก๋งก็รับว่า ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปรบเอาชัยชนะให้จงได้ เกียงจูแหยก็จัดทหารให้เตงจิวก๋งออกรบ แบเซียนเห็นเตงจิวก๋งจึงถามว่า ตัวท่านเป็นคนดีมีฝีมือแล้วหรือ จึงยกออกมาต่อสู้กับเราครั้งนี้ เตงจิวก๋งจึงตอบว่า ท่านถามดังนี้เราหารู้ที่จะบอกได้ไม่ ต่อเมื่อไรได้รบกัน นั่นแหละจึงจะเห็นว่าฝีมือดีแลชั่ว แบเซียนได้ฟังดังนั้นก็ขับม้าเข้ารบกับเตงจิวก๋งได้สิบสามเพลง เตงจิวก๋งได้ทีตีด้วยกระบองถูกแบเซียนตกม้าลงจับตัวได้ให้ทหารมัด แล้วเลิกทัพกลับเข้าไปเมือง จึงพาตัวแบเซียนไปให้เกียงจูแหย แบเซียนยืนเฉยอยู่มิได้คำนับ เกียงจูแหยจึงถามแบเซียนว่า ท่านเป็นข้าศึกเสียทัพเราจับมาได้ โทษตัวก็ถึงตายเหตุใดจึงไม่คำนับเรา แบเซียนได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า เรากับท่านเป็นคนข้าศึกกัน จะต้องการอะไรที่คำนับแลมิคำนับนั้น เมื่อท่านจับเราได้ท่านก็จะฆ่าเราเสีย ถ้าเราจับท่านได้เราก็จะฆ่าเสียเหมือนกัน จะถามไปทำไมให้ป่วยการ เกียงจูแหยได้ฟังก็โกรธ จึงให้ทหารเอาตัวแบเซียนไปฆ่าเสีย แลเมื่อขณะฟันแบเซียนลงนั้น จะได้สะเทือนคมดาบหามิได้ ครั้นฟันลงแล้วตัวแบเซียนก็สูญหายไป หามีร่างกายอยู่ที่นั้นไม่ หลำจงกวดเห็นประหลาดก็เอาความมาบอกเกียงจูแหย เกียงจูแหยได้ฟังก็ตกใจ จึงพาพวกทหารทั้งปวงออกมาดูเห็นแบเซียนอยู่ที่นั่น จึงให้เอาผ้าชุบน้ำมันยางพันตัวแบเซียนแล้วเอาฟืนสุมเข้าเผาเสีย ครั้นเปลวเพลิงพลุ่งขึ้นแบเซียนก็ไปตามเปลวเพลิง แล้วร้องเยาะว่าท่านอยู่เถิดเราจะไปแล้ว แบเซียนก็ลอยไป ครั้นถึงค่ายจึงเล่าให้อินเฮาฟังทุกประการ
๏ ฝ่ายเกียงจูแหยแลทหารทั้งปวง เห็นแบเซียนหนีไปตามเปลวเพลิงดังนั้น ต่างคนก็คิดเสียน้ำใจพากันกลับมาที่อยู่ จึงให้ประชุมทหารพร้อมกันปรึกษาด้วยการศึกที่จะทำต่อไปนั้น ใครจะเห็นอย่างไรบ้างที่จะเอาชัยชนะอินเฮา เอียวเจี้ยนจึงว่าข้าพเจ้าสงสัยนัก ด้วยตรามีฤทธิ์อันนี้ที่อินเฮาถือมาเป็นอาวุธนั้น เดิมทีอยู่ในถ้ำโทหุยเป็นตราของก๋งเสงจู๊ เหตุใดอินเฮาจึงได้มา จะไปถามก๋งเสงจู๊ดูให้ได้เหตุผล แล้วจะไปหาหุนต๋งจู๊ที่เขาจงลำซัว ขอยืมแว่นแก้วส่องดูว่าแบเซียนมีความรู้สิ่งใดจึงหนีไปตามเปลวเพลิง เกียงจูแหยเห็นชอบด้วย เอียวเจี้ยนก็คำนับลาเกียงจูแหยแทรกแผ่นดินไปถึงเขากิวเชียนซัว ก็เข้าไปคำนับก๋งเสงจู๊ในถ้ำโทหุย ก๋งเสงจู๊จึงถามเอียวเจี้ยนว่า เราให้คนสามศีรษะหกมือชื่ออินเฮา ไปช่วยเกียงจูแหยทำศึกกับเมืองจิวโก๋เป็นกระไรบ้าง สำเร็จศึกแล้วหรือยัง เอียวเจี้ยนจึงว่าซึ่งท่านให้อินเฮาไปช่วยนั้นก็ดีแล้ว แต่อินเฮาหาไปช่วยเหมือนท่านว่าไม่ กลับไปตีเมืองไซรกีได้รบกับเกียงจูแหย ก๋งเสงจู๊ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าอินเฮามันทำเหตุแล้ว เมื่อจะไปก็ให้สัตย์ปฏิญาณต่อเรา เราจึงให้ของวิเศษควรหรือกลับมาเป็นดังนี้ ถ้ารู้ถึงง่วนสีเทียนจุ๋น ง่วนสีเทียนจุ๋นก็จะติโทษเราได้ ท่านไปก่อนเถิดแล้วเราจะไปว่ากล่าวอินเฮา ถ้ามันมิฟังคำเรา เราจะฆ่ามันเสียเอง เอียวเจี้ยนได้ฟังดังนั้นก็คำนับลาก๋งเสงจู๊ไปยืมแว่นแก้วที่หุนต๋งจู๊ ได้แล้วก็กลับไปเมืองไซรกี แจ้งความแก่เกียงจูแหย เกียงจูแหยก็ดีใจจึงว่าแก่เอียวเจี้ยนว่า พรุ่งนี้ท่านจงคุมทหารออกล่อแบเซียนให้ออกมารบ แล้วจึงเอาแว่นส่องดูจะได้รู้กำเนิดแบเซียน
๏ ครั้นรุ่งขึ้นเอียวเจี้ยนก็คุมทหารออกจากเมืองไปถึงค่ายอินเฮาก็ร้องเรียกว่า แบเซียนจงออกมารบกับเรา แบเซียนได้ฟังดังนั้นก็ยกทหารออกจากค่าย เอียวเจี้ยนจึงส่องแว่นดูก็รู้ว่า ไฟตะเกียงโคมของเทวดามาเกิดเป็นแบเซียน แล้วเอียวเจี้ยนเข้ารบกับแบเซียนได้สองสามเพลง เอียวเจี้ยนก็ยกธงหย่าทัพกลับเข้าเมือง แบเซียนก็กลับเข้าค่าย เอียวเจี้ยนครั้นมาถึงจึงบอกกับเกียงจูแหยว่า ข้าพเจ้าส่องแว่นดูรู้ว่าไฟตะเกียงดับมาเกิดเป็นแบเซียน เกียงจูแหยจึงว่าไฟตะเกียงมีอยู่สามแห่ง ที่ถ้ำเหียนโตต๋งแห่งหนึ่ง ที่หยกฮือเก๋งแห่งหนึ่ง ที่เขาเหลงจิวซัวแห่งหนึ่ง จะเป็นแห่งใดหารู้ไม่ท่านจงรีบไปดูให้รู้ว่าไฟตะเกียงแห่งไหนแน่ แล้วเราจะได้คิดการต่อไป เอียวเจี้ยนก็รับคำแทรกแผ่นดินไปสืบถามที่ถ้ำหยกฮือเก๋ง แลถ้ำเหียนโตต๋ง ไฟตะเกียงโคมยังตามติดอยู่ แล้วจึงไปที่เขาเหลงจิวซัว เห็นเหยียนเต๋งโตหยินนั่งอยู่ก็เข้าไปคำนับ แล้วแลดูตะเกียงโคมดับ จึงถามว่าตะเกียงโคมของท่านดับด้วยเหตุอันใด เหยียนเต๋งโตหยินก็แหงนขึ้นดูเห็นตะเกียงโคมดับ จึงพิเคราะห์ดูแล้วบอกเอียวเจี้ยนว่า เพลิงตะเกียงเป็นแบเซียนหนีเราไปแล้ว เอียวเจี้ยนจึงเล่าความให้ฟังว่า แบเซียนเป็นทหารอินเฮาเดี๋ยวนี้ไปรบเมืองไซรกี เหยียนเต๋งโตหยินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเราจะไปจับแบเซียนเสียจึงจะได้ แล้วให้ศิษย์ปลดโคมลงมา เหยียนเต๋งโตหยินกับเอียวเจี้ยนก็เดินออกมาจากถ้ำดำดินไป
๏ ขณะนั้นก๋งเสงจู๊อาจารย์อินเฮาก็มาถึงเมืองไซรกีพร้อมกันกับเหยียนเต๋งโตหยิน เอียวเจี้ยนก็พาไปหาเกียงจูแหย เกียงจูแหยเชิญนั่งบนเก้าอี้ถ้อยทีคำนับกัน ก๋งเสงจู๊จึงว่ากับเกียงจูแหยว่า เราใช้อินเฮามาช่วยท่าน อินเฮาก็หาทำตามคำเราสั่งไม่ กลับมาเป็นข้าศึกต่อสู้แก่ท่านดังนี้ เหมือนหนึ่งเราใช้ให้มาทำแก่ท่าน ท่านไม่รู้ก็จะน้อยใจ อินเฮานั้นเป็นธุระเราจะจับตัวมาให้จงได้ ว่าดังนั้นแล้วก๋งเสงจู๊ก็ออกจากเมืองไซรกีตรงไปค่ายอินเฮา