๑๘

๏ เกียงจูแหยจึงคิดว่าบ้านเมืองนี้นานไปเบื้องหน้าก็จะเป็นจลาจล ที่ไหนกูจะได้อยู่ในเมืองนี้จะรับทำหาต้องการไม่ คิดแล้วจึงแกล้งทูลว่าอันอย่างพระที่นั่งลกไต๋นี้ยากนัก ทำสามสิบห้าปีจึงจะแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟัง จึงผินพระพักตร์มาตรัสกับนางขันกีว่าเจ้าได้ยินหรือไม่ เกียงจูแหยเขาว่าทำลกไต๋กว่าจะแล้วถึงสามสิบห้าปี คนเราทุกวันนี้อายุจะยืนไปสักกี่มากน้อย กว่าพระที่นั่งลกไต๋จะแล้วเราก็จะตายเสีย ปลูกขึ้นไว้ทำไมไม่ต้องการ นางขันกีจึงทูลว่า เกียงจูแหยแกล้งบิดพริ้วหาสามิภักดิ์ต่อพระองค์ไม่ พูดจาขัดรับสั่งดูถูกพระเจ้าแผ่นดิน ขอให้ลงพระราชอาญาตามโทษผิด พระเจ้าติวอ๋องจึงว่าชอบแล้ว จึงให้บูซูจับตัวเกียงจูแหยไว้ เกียงจูแหยจึงว่าข้าพเจ้าจะขอกราบทูลที่ขัดข้องเสียให้ทราบก่อน ซึ่งพระองค์จะให้สร้างพระที่นั่งลกไต๋นี้เป็นการใหญ่โตนัก ไพร่บ้านพลเมืองจะได้ความยากแค้นหามีความสุขไม่ ข้าพเจ้าจึงได้ทูลขัด และพระองค์จะมาหลงด้วยสตรีเสวยแต่สุรามิได้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางผู้ที่สัตย์ซื่อจะเพ็ดทูลเตือนพระสติพระองค์ก็มิได้ เชื่อฟังหลงเชื่อแต่คนพาลพูดสอพลอ คอยยุยงพระองค์หารู้ว่าจะมีอันตรายต่อพระองค์ไม่ ใช่จะเป็นกษัตริย์ได้แต่พระองค์เดียว ผู้อื่นที่มีบุญก็จะเป็นกษัตริย์ได้เหมือนกัน ข้าพเจ้าสงสารแต่พระองค์เห็นว่าจะครองราชสมบัติไปไม่ยืดยาวแล้ว

๏ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธ ด่าว่าอ้ายคนนี้พูดจาหยาบช้านัก บูซูจงจับตัวเอามีดแหวะปากเชือดลิ้นเสียให้ลำบาก บูซูก็พากันเข้าจับตัวเกียงจูแหย เกียงจูแหยก็สะบัดมือบูซูหลุด หนีลงจากที่เตียะแซเหลา พระเจ้าติวอ๋องก็ร้องสั่งให้เร่งจับตัวให้ได้ เกียงจูแหยวิ่งหนีมาถึงคลองน้ำสะพานข้ามแห่งหนึ่ง พอบูซูตามมาทันจะเข้าจับตัวเกียงจูแหยจึงว่า มึงอย่ามาจับกูเลยหากลัวไม่ ว่าแล้วก็ร่ายมนต์โดดลงในน้ำประดาน้ำดำดินหนีไป บูซูก็เอาเนื้อความเข้ามากราบทูลว่า เกียงจูแหยโดดน้ำหนีไปจะเป็นตายประการใดหาทราบไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า มันมีความรู้โดดน้ำหนีไปได้ก็ช่างมัน แล้วผันมาตรัสแก่นางขันกีว่า เราจะได้ผู้ใดทำลกไต๋เหลา นางขันกีจึงกราบทูลว่า ขอให้ซ่องเฮ่าเฮ้าทำเถิดเห็นจะได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ซินฮอง ถือหนังสือไปหาตัวซ่องเฮ่าเฮ้า ขุนนางฝ่ายทหารซินฮองก็รับสั่งออกมาจากที่เฝ้า พอพบเอียวหยิมก็บอกว่า บัดนี้มีรับสั่งจะให้เราไปหาตัวซ่องเฮ่าเฮ้ามาทำพระที่นั่งลกไต๋ เอียวหยิมจึงว่าเพราะจะทำที่นั่งลกไต๋ เกียงจูแหยทูลทัดทานก็เป็นโทษจนต้องโจนน้ำตาย บัดนี้จะให้หาซ่องเฮ่าเฮ้ามาทำอีกเล่า ท่านจงงดไว้ก่อนเราจะเข้าไปทูลห้ามไว้ ว่าแล้วเอียวหยิมก็เข้าไปในวัง ให้เจ้าพนักงานทูลว่าเอียวหยิมจะเข้าไปเฝ้า จึงมีรับสั่งโปรดให้เอียวหยิมเข้าไปเฝ้า ณ​ พระตำหนักเตียะแซเหลา เอียวหยิมจึงกราบทูลว่า ทุกวันนี้พระองค์เชื่อถือนางขันกี ขุนนางผู้สัตย์ซื่อทูลเตือนพระสติจะให้ดีก็กลับได้ความผิด ซึ่งจะให้ทำพระที่นั่งลกไต๋นั้น ไพร่บ้านพลเมืองจะได้ความเหน็ดเหนื่อยลำบากนัก ถ้าพระองค์มิเชื่อข้าพเจ้าขืนจะให้ทำพระที่นั่งลกไต๋ เห็นว่าพระองค์จะหาทันได้เสด็จอยู่ไม่ อนึ่งพระราชทรัพย์ในท้องพระคลัง และข้าวเปลือกในฉางหลวง ก็จะบกพร่องเบาบางหาเพิ่มเติมไม่ บุนไทสือซึ่งเป็นแม่ทัพไปเมืองปักไฮนั้นกว่าสิบปีแล้วก็ยังไม่กลับมา จะดีร้ายประการใดก็มิได้รู้ พระองค์ยังคิดบ้างหรือไม่ ข้าพเจ้าคิดเสียดายแต่กษัตริย์ เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์ได้หกร้อยปีเศษ บ้านเมืองก็หาเป็นดังนี้ไม่ เห็นราชสมบัติจะเป็นของผู้อื่นไม่ช้าแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธ จึงลุกขึ้นยืนร้องด่าว่า อ้ายเอียวหยิมมึงพูดจาหยาบช้าต่อกู แล้วสั่งบูซูให้ควักลูกตาเอียวหยิมเสีย ครั้นจะฆ่าให้มันตายก็คิดถึงความชอบซึ่งได้ทำไว้แต่ก่อน เอียวหยิมจึงทูลว่าซึ่งจะให้ควักตาข้าพเจ้านั้น ถึงจะได้ลำบากอย่างไรก็ไม่คิด คิดกลัวแต่ว่าขุนนางทั้งปวงจะติเตียนพระองค์ได้ บูซูก็เข้าควักตาเอียวหยิมเสียทั้งสองข้าง เอียวหยิมมิได้ย่อท้อ จึงร้องประกาศแก่เทวดาว่า ข้าพเจ้าเพ็ดทูลทั้งนี้โดยสัตย์กตัญญู เดชะบุญความสัตย์ของข้าพเจ้าเทวดาจงช่วยด้วย

๏ ขณะนั้นร้อนไปถึงโตเต๊กจินกุ๋น เทวดาซึ่งอยู่ ณ​ ภูเขาแซฮองซัว จึงใช้ฮุยกี๋มเล๊กซูเทวดาผู้น้อย ให้ทำเป็นลมพายุพัดผงคลีตลบมืดมนไป แล้วหอบเอาตัวเอียวหยิมไปยังภูเขาแซฮองซัว ครั้นเหือดพายุแล้วบูซูหาเห็นเอียวหยิมไม่ จึงเข้าไปกราบทูลว่า เกิดลมพายุใหญ่พัดมา หอบเอาตัวเอียวหยิมหายไป พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็นิ่งตะลึงอยู่

๏ ฝ่ายเอียวหยิมเมื่อลมหอบไปแซฮองซัว โตเต๊กจินกุ๋นจึงสั่งฮุนต๋องหยีเทวดาผู้น้อย เอายาสองเม็ดมาใส่ตาเอียวหยิมข้างละเม็ด แล้วเสกมนต์เป่า ก็บังเกิดเป็นมือออกมาจากกระบอกตาชูยื่นขึ้นไปพ้นศีรษะ ลูกตานั้นอยู่ในฝ่ามือทั้งสองข้าง ข้างขวานั้นแลตลอดถึงสวรรค์ ข้างซ้ายนั้นเห็นตลอดถึงนรก เอียวหยิมแลไปเห็นโตเต๊กจินกุ๋นยืนอยู่หน้าถ้ำ เอียวหยิมจึงถามว่า ที่นี่เป็นเมืองนรกหรือสวรรค์ โตเต๊กจินกุ๋นจึงว่าเรามิใช่มนุษย์ เราเป็นเทวดาเห็นท่านสัตย์ซื่อมั่นคง และมีใจเมตตาแก่คนทั้งปวง เราเวทนาจึงให้ไปเอาตัวท่านมาให้ลูกตาใหม่ ไปเบื้องหน้าจะได้ช่วยจิวบุนอ๋องปราบศัตรูแผ่นดิน เอียวหยิมก็คำนับกราบเทวดา แล้วว่าท่านโปรดข้าพเจ้าครั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ จะขอเอาท่านครูเป็นที่พึ่งไปภายหน้า แต่นั้นมาเอียวหยิมก็อาศัยอยู่กับเทวดา ณ ถ้ำนั้น

๏ ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าครั้นมาถึง ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องตรัสสั่งให้ทำพระที่นั่งลกไต๋ ซ่องเฮ่าเฮ้าก็รับทำถวาย แล้วกราบทูลว่าจะทำพระที่นั่งลกไต๋ครั้งนี้ การโตใหญ่นักจะขอให้มีรับสั่งเกณฑ์ราษฎรชาวเมือง และหัวเมืองใหญ่น้อยเอาตั้งแต่อายุสิบแปดปี มีผู้ชายอยู่เรือนหนึ่งสามคนเกณฑ์เอาสองคน ถ้ามีสองคนเกณฑ์เอาคนหนึ่ง ถ้าแต่ตัวคนดียวก็จะเกณฑ์เอามาใช้ให้ทำการ ที่เป็นผู้ดีมีเงินทองทำมิได้ให้จ้างคนแทนตัว พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่าดีแล้ว ซ่องเฮ่าเฮ้าก็เขียนหมายรับสั่ง ให้เกณฑ์คนในเมืองนอกเมืองและหัวเมืองมิให้ผู้ใดว่างเปล่าได้ ขณะนั้นอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงไม่เป็นอันที่จะทำไร่นาหากิน บ้างพากันอพยพครอบครัวทิ้งบ้านเรือนหนีไป ที่ยากไร้ต้องตรากตรำทำการมิได้ขาด

๏ ฝ่ายเกียงจูแหยเมื่อประดาน้ำหนีไป ครั้นลับตาคนแล้วก็ผุดขึ้นเดินมาบ้านซงอิหยิน นางแปสีภรรยาก็ออกมารับผัว เกียงจูแหยจึงบอกว่า บัดนี้มีรับสั่งถอดเราออกจากที่ขุนนาง แล้วเล่าความให้ภรรยาฟัง อันพระเจ้าติวอ๋องนี้มิใช่เจ้านายของเรา เราพากันหนีไปอยู่เมืองไซรกีเถิด เดชะบุญเราเป็นขุนนางมั่งมีไปเมื่อหน้า เจ้าจะได้ความสุขด้วย นางแปสีจึงว่าพระเจ้าติวอ๋องตั้งให้ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่มีรับสั่งให้ท่านทำพระที่นั่งลกไต๋ได้ใช้คนทั้งเมือง ถึงจะเสียเงินทองก็เงินหลวง มิใช่ของเราจะทุกข์ร้อนทำไม ไม่พอที่จะทูลทัดทานให้เคืองพระทัย อายุท่านก็ถึงเจ็ดสิบเศษแล้ว จะมีวาสนาเมื่อไรอีกเล่า จะเป็นได้ก็แต่หมอดูจ้างเขาเลี้ยงชีวิต ซึ่งท่านจะไปนั้นเราหายอมไปด้วยไม่ ท่านจงให้หนังสือหย่าเราเสียเถิด เราจะอยู่ตามบุญตามกรรมของเรา เกียงจูแหยจึงว่าเจ้าเป็นหญิงจะรู้อะไร ชวนให้ไปได้ดีสิไม่ไปเล่า ทั้งนี้เพราะบุญเจ้าหามีไม่ นางแปสีจึงว่าท่านไปหาเมียที่เขามีบุญเถิด เกียงจูแหยจึงว่าเจ้าเป็นภรรยาของเรา จะไม่ตามใจเราจะได้หรือเราหาฟังไม่ นางแปสีจึงว่าถ้าท่านขืนน้ำใจเรา เราก็จะเข้าไปฟ้องกล่าวโทษท่าน ให้ทราบถึงพระเจ้าติวอ๋อง

๏ ฝ่ายซงอิหยินกับนางซุยซีภรรยานั่งอยู่ในเรือน ได้ยินผัวเมียเถียงทะเลาะกัน ก็ออกมาห้ามว่ากับเกียงจูแหยว่าเขาขอหนังสือหย่าก็เขียนให้เขาเสียหาเมียใหม่ไม่ได้หรือ เกียงจูแหยจึงว่ากับภรรยาว่า เรายังรักเจ้า ๆ ไม่รักเราแล้วก็ตามเถิด ว่าแล้วก็เขียนหนังสือหย่าให้นางแปสี นางแปสีก็รับเอา เกียงจูแหยจึงว่าเรายังอาลัยรักเจ้าอยู่มากอย่ามีผัวเลย ถ้ายังไม่ตายไปได้ดีจะกลับมาหาเจ้า นางแปสีมิได้ว่าประการใด ได้หนังสือหย่าแล้วก็เก็บข้าวของไปอาศัยอยู่กับพี่น้อง เกียงจูแหยก็ลาซงอิหยินรีบไปเมืองไซรกี ครั้นมาถึงด่านตงก๋วน พบหญิงชายชาวเมืองจิวโก๋ พาบุตรภรรยาอพยพหนีเดินร้องไห้มาตามทาง เกียงจูแหยจึงถามว่าท่านทั้งปวงจะพากันไปไหน ชาวเมืองบอกว่ามีรับสั่งให้ซ่องเฮ่าเฮ้าทำพระที่นังลกไต๋ เกณฑ์ให้ทำการข้าพเจ้าทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนัก จึงพากันหนีออกจากเมืองมาพ้นด่านได้ห้าตำบล แล้วมาถึงด่านตงก๋วนนี้ นายด่านกักไว้จะจับส่งไปเมืองหลวงก็จะต้องโทษตายสิ้น ข้าพเจ้าคิดถึงตัวและบุตรภรรยาจึงพากันร้องไห้ เกียงจูแหยจึงว่าท่านทั้งปวงอย่าเป็นทุกข์เลยเราจะไปว่ากับนายด่านเอง แล้วเกียงจูแหยก็ใส่เสื้อหมวกทำอย่างชาวบ้านเข้าไปหาเตียวฮองนายด่าน นายด่านจึงถามว่าท่านมาแต่ไหน เกียงจูแหยก็เล่าความของตัวแต่ต้นจนปลายให้เตียงฮองฟัง แล้วว่าท่านจะส่งคนเหล่านี้เข้าไปในเมืองจิวโก๋ พระเจ้าติวอ๋องก็จะเอาไปทิ้งลงในเหวให้งูกินเสีย ท่านจงได้เอ็นดูอย่ากักขังไว้ปล่อยให้เขาไปเอาบุญเถิด เตียวฮองได้ฟังก็โกรธจึงว่า ตัวเป็นแต่หมอดูได้เป็นขุนนางหาคิดกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ไม่ กลับจะพูดให้เราปล่อยคนทั้งปวงให้ออกจากด่านอีกเล่า ถึงตัวท่านก็จะจับไว้อีก แต่เห็นว่าเป็นคนแก่เวทนาก็จะปล่อยให้ไปเอาบุญ ว่าแล้วก็ขับเกียงจูแหยออกไปเสีย เกียงจูแหยจึงออกมาบอกกับคนทั้งปวงว่า เราไปพูดกับนายด่านไม่ได้การ แต่ตัวเราเขาก็จะจับส่งเข้าไปด้วย คนทั้งปวงได้ฟังก็ร้องไห้ชวนกันยุดแขนเกียงจูแหยไว้ อ้อนวอนว่าท่านจงช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย เกียงจูแหยจึงว่าถ้าจะให้เราช่วยก็ฟังเรา เวลาค่ำวันนี้ยามเศษจงหลับตานิ่งอยู่ทุกคน ถ้าได้ยินเสียงลมพัดหนักใครตกใจลืมตาขึ้นอกจะแตกตายเราไม่รู้ด้วย ครั้นถึงเวลายามเศษ เกียงจูแหยร่ายมนต์เป็นลมพายุใหญ่พัดทั้งสี่ทิศ เตียวฮองนายด่านและผู้รักษาด่านทั้งปวง ต้องมนต์ก็ง่วงหลับสิ้นทุกคน เกียงจูแหยจึงขับให้พวกหญิงชายทั้งปวงรีบออกจากด่านหนีไป จนถึงด่านกิจุยก๋วนชั้นนอกเป็นด่านน้อย ก็หามีผู้ใดห้ามปรามไม่ ก็ตรงไปเมืองไซรกี เห็นภูมิฐานบ้านเมืองสนุกสบาย และมีที่ไร่นาเรือกสวนที่ทำกินเป็นอันมาก ก็มีความยินดี จึงสืบถามว่าท่านผู้ใดเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ครั้นได้รู้แน่ว่าซันงีเสงเป็นผู้สำเร็จราชการ ต่างคนก็เข้าหาคำนับแล้วแจ้งความว่าข้าพเจ้าทั้งปวงหนีร้อนมาพึ่งเย็น จะขออาศัยอยู่ด้วย ซันงีเสงก็ไปบอกความแก่กองจู๊เปกอิบโค้ผู้รักษาเมืองซึ่งเป็นบุตรชายใหญ่กีเซียง กองจู๊เปกอิบโค้ก็ให้จัดแจงที่ทางให้อยู่ทำมาหากินเป็นสุขทุกคน ที่ตัวเปล่าไม่มีภรรยาก็หาให้แล้วแจกเงินข้าวให้ทุกเดือน

๏ อยู่มาวันหนึ่งกองจู๊เปกอิบโค้รำลึกถึงกีเซียงผู้บิดา จึงเรียกซันงีเสงมาปรึกษาว่า ตั้งแต่บิดาเราไปเป็นโทษติดตรุลำบากอยู่ในเมืองหลวงถึงเจ็ดปีแล้ว เรามิได้ปฏิบัติบิดาเลย เราคิดว่าจะไปเมืองจิวโก๋จะเข้าอยู่ในตรุรับโทษแทนบิดาเรา ท่านจะเห็นประการใด ซันงีเสงจึงว่า เมื่อบิดาท่านจะไปเมืองหลวงสั่งไว้ว่า ถ้าครบเจ็ดปีแล้วจึงจะพ้นเคราะห์ได้คืนมาเมือง บัดนี้จวนจะครบกำหนดอยู่แล้ว ท่านอย่าไปเลย ถ้าขืนไปก็จะผิดกับคำกีเซียงสั่ง ทุกวันนี้พระเจ้าติวอ๋องก็ลุ่มหลงเชื่อถ้อยคำนางขันกี ถ้าท่านไปเห็นจะมีอันตรายเป็นมั่นคง ขอท่านแต่งคนสนิทให้ไปสอดแนมฟังดูก่อน กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่าบิดาเรามีบุตรชายถึงเก้าสิบเก้าคนเลี้ยงมาจนโตใหญ่ บัดนี้บิดาได้ความทุกข์ยาก เราผู้เป็นบุตรที่หนึ่งจะนิ่งเสียไม่ได้ไปติดตาม เหมือนหนึ่งหามีกตัญญูไม่ ท่านอย่าห้ามเราเลยคงจะตามไปให้ได้ เรามีของดีอยู่สามสิ่งจะเอาไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ทูลขอบิดาเราให้พ้นโทษที่ผิด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ