๕๕
๏ ฝ่ายเกียงจูแหยแต่โทเฮงสุนหนีไปได้ก็ยิ่งวิตกนัก จึงพูดกับเอียวเจี้ยนว่า เชือกวิเศษซึ่งโทเฮงสุนได้มานี้ เราเห็นจะเป็นของอาจารย์กีลิวสุน ท่านจงไปสืบเอาความให้จงได้ เอียวเจี้ยนก็คำนับลาออกจากเมืองไซรกี ไปถึงสะพานศิลาแห่งหนึ่ง ก็เดินข้ามไปแล้วเลียบเดินตามเนินเขา จึงเห็นกุฏิหลังหนึ่งอยู่ใต้ร่มไม้ เอียวเจี้ยนก็เข้าหยุดนั่งอยู่ใต้ต้นสนหน้ากุฏิ เห็นกุฏินั้นหลังคามุงด้วยแก้ว ฝาแลบานประตูก็ทำด้วยแก้วสีต่างๆ แล้วมีอักษรจารึกอยู่สี่ตัวว่า แฉลวนเตาก๋วย แปลว่าเหมือนวิมานสวรรค์ สักครู่หนึ่งก็เห็นเปิดประตูออก เสียงประตูนั้นดังเหมือนเสียงห่านร้อง แล้วเห็นนางชีเดินออกมา มีนางชีน้อยๆ ถือธงแลพัดตามมาสี่คน เอียวเจี้ยนจึงคิดว่านางชีเป็นสตรีเราเป็นบุรุษ ซึ่งจะนั่งดูเขาอยู่นั้นหาควรไม่ เอียวเจี้ยนก็เข้าไปแอบต้นสนเสียให้ลับ นางชีเหลือบเห็นจึงถามศิษย์ว่า ผู้ใดแอบมาอยู่ที่ต้นสน นางชีซึ่งเป็นศิษย์จึงว่าข้าพเจ้ามิได้แจ้ง แล้วศิษย์นั้นก็เดินไปดูที่ต้นสน พบเอียวเจี้ยนจึงถามว่า ท่านจะไปไหนจึงมานั่งแอบอยู่ที่นี่ เอียวเจี้ยนจึงว่าข้าพเจ้าอยู่เมืองไซรกี เป็นทหารเกียงจูแหย เกียงจูแหยใช้ให้ข้าพเจ้ามาสืบความ ณ เขาเหียบเลงซัว พอเห็นอาจารย์ท่านออกมา ข้าพเจ้าจึงเข้าแอบอยู่ ซึ่งมิได้ออกไปคำนับอาจารย์ท่านนั้นโทษผิด ขออภัยเสียเถิด นางนั้นก็กลับไปแจ้งความแก่อาจารย์ ตามคำเอียวเจี้ยนทุกประการ นางผู้เป็นอาจารย์จึงว่า ถ้าเป็นพวกเกียงจูแหยแล้วจงไปหาตัวมานี่เถิด นางศิษย์ก็มาบอกเอียวเจี้ยน เอียวเจี้ยนจึงเข้าไปคำนับ นางชีจึงถามว่า ท่านจะไปสืบความอันใด ณ เขาเหียบเลงซัว เอียวเจี้ยนก็เล่าความซึ่งเตงจิวก๋งกับโทเฮงสุนไปรบเมืองไซรกี แล้วเอาเชือกทิ้งมัดเกียงจูแหยนั้น ให้นางชีฟังทุกประการ นางชีจึงว่าโทเฮงสุนนั้นเป็นศิษย์กีลิวสุน ท่านไปให้พบอาจารย์เขาเถิด แลเมื่อท่านจะกลับไปเมืองไซรกีนั้น จงบอกเกียงจูแหยว่าเราอวยพรไปด้วย เอียวเจี้ยนจึงถามว่าท่านชื่อไร จงบอกให้ข้าพเจ้าแจ้งด้วย เผื่อเกียงจูแหยจะถาม นางชีจึงว่าเราเป็นบุตรพระอิศวร ชื่อเหลงเงียนกองจู๊ มารดาเราชื่อเอียตี๋กิมโป้ แต่ก่อนเราอยู่เมืองสวรรค์ ขณะเมื่อเทพยดาประชุมกัน ณ ที่ผวนพอเราทำผิดบิดาเราจึงสาบให้ลงมาอยู่ที่นี่ เอียวเจี้ยนได้ฟังดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าไปถึงเมืองไซรกีแล้ว จะแจ้งความแก่เกียงจูแหย แล้วเอียวเจี้ยนก็คำนับลานางเหลงเงียนกองจู๊ออกจากกุฏิ เดินเลียบไปตามไหล่เขา พอบังเกิดพายุพัดมืดมาเหมือนฝนจะตก แล้วเป็นน้ำพุ่งขึ้นมาจากศิลาสูงประมาณสิบแปดศอกเศษ แล้วเห็นสัตว์ตัวหนึ่งผุดขึ้นมาตามสายน้ำ สัตว์นั้นปากแดงดังสีโลหิต เขี้ยวโง้งออกนอกปาก โถมมาจะกัดเอียวเจี้ยน เอียวเจี้ยนก็เอาทวนแทงถูกหลายแห่ง สัตว์นั้นก็หนีเข้าไปในถ้ำ เอียวเจี้ยนก็ตามไปถึงปากถ้ำ แลถ้ำนั้นมืดนักเอียวเจี้ยนจึงอ่านมนต์ขึ้น จักขุทั้งสองข้างก็ลุกเป็นเปลวเพลิงเป็นแสงสว่างไปทั้งถ้ำ เอียวเจี้ยนก็รีบเข้าไปมิได้เห็นสัตว์ตัวนั้น เห็นกระเป๋ากับกระบี่วางอยู่ เอียวเจี้ยนจึงเปิดกระเป๋า ออกเห็นเสื้อตัวหนึ่ง เอียวเจี้ยนก็เอาเสื้อนั้นใส่ แล้วหยิบกระบี่ถือเดินกลับออกมาจากถ้ำ กิมหมอต๋องจู๊เจ้าของเสื้อแอบอยู่ในถ้ำเห็นก็วิ่งตามออกมาแล้วร้องว่าท่านชื่อไร จะลักเอาเสื้อกับกระบี่ของเราไปไหน เอียวเจี้ยนจึงว่าเราชื่อเอียวเจี้ยน เป็นทหารเกียงจูแหย เสื้อกับกระบี่นี้ทิ้งอยู่ในถ้ำเราจึงเอามา กิมหมอต๋องจู๊ได้ยินออกชื่อเกียงจูแหยก็มีความยินดี วิ่งเข้าไปคุกเข่าคำนับเอียวเจี้ยน แล้วว่าข้าพเจ้าคิดอยู่นานแล้วว่าจะไปเป็นทหารเกียงจูแหย ซึ่งได้มาพบท่านนี้เป็นบุญหนัก ท่านจงเอาข้าพเจ้าไปไว้ใช้สอยเป็นทหารเลวของท่านเถิด เอียวเจี้ยนจึงถามว่าท่านชื่อไร กิมหมอต๋องจู๊ก็ว่าข้าพเจ้าชื่อกิมหมอต๋องจู๊ เอียวเจี้ยนจึงว่า ถ้าดังนั้นท่านจงลงไปหาเกียงจูแหย ณ เมืองไซรกีเถิด เราจะรีบไปเขาเหียบเลงซัวก่อน กิมหมอต๋องจู๊จึงว่าท่านจะให้ข้าพเจ้าไปหาเกียงจูแหยแต่ลำพังนั้น เกียงจูแหยไม่รู้จักข้าพเจ้าก็มีความสงสัย เอียวเจี้ยนจึงว่าถ้าเกรงอยู่ดังนั้น จงเอาทวนสำหรับมือของเราไปเป็นสำคัญเถิด แล้วเอียวเจี้ยนก็ถอดเสื้อกับกระบี่แลทวนส่งให้ กิมหมอต๋องจู๊ก็คำนับลาไป ครั้นถึงเมืองไซรกีก็เข้าไปหาเกียงจูแหย เล่าความซึ่งพบเอียวเจี้ยนแล้วให้ทวนมาเป็นสำคัญนั้นให้ฟังทุกประการ เกียงจูแหยได้ฟังความแลเห็นทวนจำได้ว่าของเอียวเจี้ยน ก็มีความยินดีให้กิมหมอต๋องจู๊อยู่เป็นทหาร
๏ ฝ่ายเอียวเจี้ยนครั้นมาถึงเขาเหียบเลงซัว ก็เข้าไปคำนับกีลิวสุน กีลิวสุนจึงถามว่าท่านมาด้วยธุระสิ่งไร เอียวเจี้ยนจึงว่าข้าพเจ้าแจ้งว่าเชือกสำหรับมัดเทพยดาของท่านมีอยู่สองเส้น บัดนี้ยังอยู่หรือให้ผู้ใดเสียแล้ว กีลิวสุนได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า ทำไมท่านจึงรู้ว่าเชือกของเรามีเล่า เอียวเจี้ยนจึงว่าถ้าจะว่าข้าพเจ้ารู้ก็ได้จะว่าเห็นก็ได้ ถ้าเชือกของท่านยังอยู่ก็ขอให้ข้าพเจ้าเห็นสักหน่อย กีลิวสุนได้ยินเอียวเจี้ยนพูดจาหลักแหลมดังนั้นก็สงสัยนัก จึงลุกเข้าไปในห้องค้นหาเชือกไม่พบก็ตกใจนัก จึงออกมาว่ากับเอียวเจี้ยนว่าเชือกนั้นหายไปเสียแล้ว ซึ่งท่านว่าได้เห็นนั้นอยู่ที่ผู้ใด เอียวเจี้ยนจึงว่าข้าพเจ้าเห็นอยู่ที่โทเฮงสุนซึ่งเป็นศิษย์ท่าน บัดนี้โทเฮงสุนไปอยู่กับเตงจิวก๋งนายด่านซำโซก๋วน ยกไปตีเมืองไซรกี โทเฮงสุนเอาเชือกทิ้งไปมัดทหารเมืองไซรกีไปไว้หลายคน เกียงจูแหยจึงให้ข้าพเจ้ามาฟังดูว่าท่านให้เชือกโทเฮงสุนไปหรือ กีลิวสุนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ด่าโทเฮงสุนเป็นข้อหยาบช้า แล้วว่ามันลักเอาของๆ เราไปทำความผิด ถ้าว่าอาจารย์ทั้งปวงรู้ไปก็จะติเตียนเราได้ จำจะตามไปจับตัวมาทำโทษให้สาหัส แล้วว่ากับเอียวเจี้ยนว่าท่านไปก่อนเถิดเราจะตามไป เอียวเจี้ยนคำนับลาไปเมืองไซรกี แล้วแจ้งความแก่เกียงจูแหยทุกประการ เกียงจูแหยก็มีความยินดี
๏ ฝ่ายกีลิวสุนครั้นเอียวเจี้ยนไปแล้ว ก็ออกจากถ้ำรีบมา ณ เมืองไซรกี เกียงจูแหยรู้ก็มารับพามานั่งที่สมควร แล้วว่ากับกีลิวสุนว่า โทเฮงสุนศิษย์ท่านมีฝีมือเข้มแข็งนัก จับทหารข้าพเจ้าไปเป็นหลายคน ข้าพเจ้ากริ่งใจอยู่จึงให้เอียวเจี้ยนไปคำนับท่าน ซึ่งท่านอุตส่าห์มานี้ขอบใจนัก แลเมื่อครั้งท่านไปช่วยเหยียนเต๋งโตหยินทำลายพยุหสิบประการนั้น ข้าพเจ้ายังคิดถึงท่านอยู่มิได้ขาด กีลิวสุนจึงว่า แต่ข้าพเจ้าตีพยุหแล้วกลับไปก็ไม่ได้ตรวจตราดูของวิเศษเลย โทเฮงสุนจึงลักเอาเชือกมาได้ แล้วกีลิวสุนจึงกระซิบบอกอุบายแก่เกียงจูแหย เกียงจูแหยก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้าเกียงจูแหยใส่เกราะขึ้นขี่ซูปุดเสียงออกจากเมืองไซรกีแต่ผู้เดียวไป ณ ค่ายเตงจิวก๋ง แล้วทำเป็นชักซูปุดเสียงเที่ยวดูไปรอบค่าย ทหารซึ่งรักษาค่ายก็ไปบอกเตงจิวก๋งว่า เกียงจูแหยมาเที่ยวดูค่าย เตงจิวก๋งยังมิทันว่าประการใด โทเฮงสุนได้ยินก็ถือกระบองวิ่งออกมาประตูค่ายร้องว่า เกียงจูแหยจะมาหาที่ตายหรือ แล้วแกว่งกระบองเข้าไปจะตีเกียงจูแหย เกียงจูแหยก็รำกระบี่เข้ารบกับโทเฮงสุนได้สามเพลง เกียงจูแหยก็ชักซูปุดเสียงหนี โทเฮงสุนก็เอาเชือกทิ้งขึ้นไปบนอากาศ จะให้มัดเกียงจูแหย
๏ ขณะเมื่อเกียงจูแหยรบกับโทเฮงสุนนั้น อาจารย์กีลิวสุนเหาะมาแฝงกลีบเมฆคอยดูอยู่ ครั้นโทเฮงสุนทิ้งเชือกขึ้นมากีลิวสุนก็ฉวยเอาเชือกไว้ได้ โทเฮงสุนไม่เห็นเชือกตกลงมามัดเกียงจูแหย ก็กริ่งใจหยุดยืนอยู่ เกียงจูแหยจึงร้องว่าอ้ายเตี้ยเข็ดฝีมือเราแล้วหรือ โทเฮงสุนก็โกรธรำกระบองเข้าไปจะรบกับเกียงจูแหย เกียงจูแหยทำชักซูปุดเสียงล่อมาจนริมเชิงกำแพง กีลิวสุนเห็นดังนั้นก็ร้องตวาดว่า โทเฮงสุนบังอาจจะทำร้ายเกียงจูแหยเจียวหรือ โทเฮงสุนแหงนหน้าขึ้นไปเห็นอาจารย์ก็ตกใจนัก กลับตัวจะหนีกีลิวสุนก็เอาเชือกทิ้งลงไปมัดโทเฮงสุนเข้า แล้วลงจากอากาศพาตัวโทเฮงสุนเข้าไปในเมืองไซรกี ทหารทั้งปวงเห็นอาจารย์มัดโทเฮงสุนก็ดีใจ เอียวเจี้ยนจึงว่าท่านอาจารย์อย่าประมาท โทเฮงสุนจะดำดินหนีไป กีลิวสุนจึงว่าเราอยู่นี่แล้วท่านอย่าเกรงจะหนีเลย แล้วกีลิวสุนจึงถามโทเฮงสุนว่า เหตุไรจึงบังอาจลักเอายาวิเศษกับเชือกของกูมาเที่ยวทำร้ายเขาฉะนี้ โทเฮงสุนเห็นอาจารย์โกรธนักกลัวจะฆ่าเสีย ก็เล่าความซึ่งซินกงป้าชักชวนให้มาอยู่กับเตงจิวก๋ง จนได้มารบกับเจ้าเมืองไซรกีให้อาจารย์ฟังทุกประการ เกียงจูแหยจึงว่า ศิษย์ท่านคนนี้ใจคอหยาบคายนัก เวลากลางคืนวานนี้ลอบเข้ามาจะทำร้ายบูอ๋อง หากบุญบูอ๋องมากจึงหาเป็นอันตรายไม่ กีลิวสุนได้ฟังดังนั้นก็โกรธนัก กระทืบเท้าแล้วพูดกับโทเฮงสุนว่า เตงจิวก๋งชุบเลี้ยงตัวประการใดจึงได้บังอาจทำล่วงเกินถึงเพียงนี้ โทเฮงสุนจึงว่าเตงจิวก๋งว่ากับข้าพเจ้าว่า ถ้าฆ่าบูอ๋องกับเกียงจูแหยเสียได้ จะยกนางเตงตันหยกผู้บุตรให้เป็นภรรยาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะใคร่ได้สตรีจึงทำตามคำเตงจิวก๋ง กีลิวสุนได้ยินออกชื่อนางเตงตันหยกก็นิ่งรำพึงดู ครั้นเห็นเหตุหนหลังแล้วก็ทอดใจใหญ่ เกียงจูแหยจึงถามว่าท่านทอดใจใหญ่ด้วยเหตุสิ่งไร กีลิวสุนจึงว่าโทเฮงสุนกับนางเตงตันหยกนี้เขาเคยเป็นคู่กัน แล้วคนทั้งสองนี้จะได้เป็นทหารท่าน ถ้าจะฆ่าโทเฮงสุนเสียตามโทษ ท่านก็จะเสียทหารเอกถึงสองคน ข้าพเจ้าทั้งแค้นทั้งเสียดายจึงทอดใจใหญ่ แล้วเตงจิวก๋งบิดานางเตงตันหยกเล่า ถ้าท่านให้ผู้มีสติปัญญาไปเกลี้ยกล่อม ก็เห็นจะสมัครมาทำราชการด้วยท่าน เกียงจูแหยจึงว่าเตงจิวก๋งกับข้าพเจ้าเป็นคู่ทำศึกกันเห็นจะไม่ละทิฐิเสียได้ กีลิวสุนจึงว่าบุญบูอ๋องมากนัก คนเหล่านี้ก็เกิดมาสำหรับผู้มีบุญ ท่านอย่าคิดกริ่งเช่นนั้นเลย เกียงจูแหยก็เห็นชอบด้วย จึงว่ากับซันงีเสงว่า ท่านจงไปพูดจาเกลี้ยกล่อมเตงจิวก๋งมาให้เราจงได้ ซันงีเสงก็ลาไปยังค่ายเตงจิวก๋ง เตงจิวก๋งครั้นแจ้งว่าเกียงจูแหยจับโทเฮงสุนไปได้ก็เสียใจนัก คิดว่าซึ่งจะตีเอาเมืองไซรกีให้ได้นั้นเห็นจะขัดสน จำจะถอยทัพไปด่านซำโซก๋วน บำรุงทแกล้วทหารให้มีกำลังขึ้น จึงค่อยมาทำศึกกับเมืองไซรกี เตงจิวก๋งคิดแล้วก็ปรึกษาทหารทั้งปวงตามซึ่งคิดนั้น ทหารทั้งปวงก็เห็นด้วย