๔๒

๏ บุนไทสือจึงคิดว่าทหารทั้งสี่คนนี้มีกำลังฝีมือเข้มแข็ง จะเกลี้ยกล่อมเอาไปช่วยทำศึกเมืองไซรกีเห็นจะได้ชัยชำนะ บุนไทสือจึงเอากระบองชี้ที่ภูเขา ภูเขาก็เปิดเป็นช่องเห็นทหารผู้นั้น บุนไทสือจึงถามว่าท่านชื่อไรเป็นแซ่ชาวป่าหรือผู้ใดใช้มา ทหารผู้นั้นจึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อสินเถียนกุ๋น เป็นชาวป่าอาศัยชุมนุมอยู่ในที่นี้ และซึ่งเต๋งเถียนกุ๋น โต้เถียนกุ๋น เตียวเถียนกุ๋น พี่ข้าพเจ้ากับข้าพเจ้าแพ้ฝีมือท่านครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอชีวิตไว้ครั้งหนึ่ง จะยอมอยู่เป็นทหารให้ท่านใช้สอยกว่าจะตาย บุนไทสือได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงให้อึ้งกิมเลกซูยกภูเขาซึ่งทับตัวสินเถียนกุ๋นออกเสีย แล้วชี้กระบองไป กำแพงศิลาและน้ำก็บันดาลหาย ทหารสามคนออกมาจากที่ล้อมได้ ทหารสามคนเห็นสินเถียนกุ๋นผู้น้องนั่งคำนับบุนไทสืออยู่ ก็พากันเข้าไปคำนับแล้วขอโทษตัวว่า ซึ่งข้าพเจ้ามิได้รู้จักท่านเข้าสู้รบท่านครั้งนี้ขออภัยเถิด ท่านยกทัพมาทางนี้จะไปรบเมืองไหน บุนไทสือจึงบอกว่าเราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง บัดนี้หัวเมืองคิดกบฏต่อพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องมีรับสั่งใช้เรายกทัพมา จะไปปราบหัวเมืองตะวันตก ท่านจงไปช่วยเราตีเมืองไซรกีเถิด ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะช่วยทูลเสนอความชอบให้พระเจ้าติวอ๋องตั้งท่านเป็นขุนนางตามควร บุนไทสือเกลี้ยกล่อมทหารสี่คนกับทหารเลวหมื่นเศษ ยกทัพออกจากเขาอึ้งฮัวซัวไปถึงตำบลหนึ่ง เห็นอักษรจารึกไว้ที่หน้าศิลาสามอักษรว่าจวดเลกเนีย จึงชักกิเลนแวะเข้าไปอ่านอักษรแจ้งความแล้วตกใจตะลึงคิดอยู่ เตงติหยงนายทหารเห็นดังนั้น จึงถามบุนไทสือว่าท่านอ่านอักษรซึ่งจารึกไว้ในหน้าศิลาแล้วทำหน้าสลดอยู่ มิได้ขับกิเลนให้เดินนั้นท่านมีความวิตกสิ่งใดหรือ บุนไทสือจึงบอกว่า ขณะเมื่อเราไปเรียนความรู้อยู่กับกิมเลงเสงไปได้ห้าสิบปี เมื่อครูเราจะใช้เราให้มาเป็นทหารพระเจ้าติวอ๋องนั้นครูเราบอกว่า ถ้าเรามาพบอักษรสามตัวจารึกไว้นี้เป็นที่ตายเรา บัดนี้เราพบอักษรสามตัวต้องคำครูเราว่าไว้แต่ก่อน เราคิดวิตกนัก เตงติหยงได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่มีสติปัญญาแลฝีมือเข้มแข็งในการศึก จะย่อท้อต่อความตายหาควรไม่ บุนไทสือมิได้ตอบประการใด ก็ขับกิเลนพาทหารยกกองทัพเดินไปถึงด่านเมืองไซรกี ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้

๏ ฝ่ายม้าใช้เมืองไซรกีรู้ว่าบุนไทสือยกมา จึงรีบไปแจ้งแก่เกียงจูแหย เกียงจูแหยจึงว่าบุนไทสือคนนี้ได้ยินข่าวคนเล่าลือว่ามีสติปัญญาฝีมือกล้าแข็งในการศึก ยกทัพมาครั้งนี้จะจัดแจงค่ายคูประการใด จะออกไปดูก่อน เกียงจูแหยจึงพาอึ้งปวยฮอนายทหารทั้งปวง ขึ้นไปบนยอดเขาสูงหน้าเมืองไซรกี แลไปเห็นค่ายบุนไทสือตั้งอยู่นั้น เป็นที่ชัยภูมิต้องตำราพิชัยสงคราม ดูมั่นคงนัก สมที่เป็นแม่ทัพชำนาญในการศึก เกียงจูแหยก็ทอดใจใหญ่ แล้วปรึกษาอึ้งปวยฮอว่า บุนไทสือมาตั้งค่ายแล้วจัดแจงกองทัพ สมควรเป็นผู้มีสติปัญญา เราจะคิดกำจัดประการใดจึงจะได้ชัยชำนะ อึ้งปวยฮอจึงว่าแซ่มอสี่คนพี่น้องเป็นคนมีความรู้ มีฝีมือกล้าแข็งมาสู้รบกับทหารเราก็พ่ายแพ้ไปเพราะบุญบูอ๋อง ซึ่งบุนไทสือยกทัพมาครั้งนี้ ถึงจะมีสติปัญญาฝีมือกล้าแข็งประการใดก็คงจะแพ้ฝีมือทหารบูอ๋อง เพราะพระเจ้าติวอ๋องจะสิ้นเชื้อวงศ์แล้ว เทพยดาจะช่วยทำนุบำรุงบูอ๋องให้ได้เป็นเจ้าแผ่นดินสืบไป เกียงจูแหยได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงพาทหารลงจากยอดเขาเข้าไปเมืองไซรกี พอนายประตูเข้ามาบอกว่า บุนไทสือให้เตงติหยงถือหนังสือมา เกียงจูแหยจึงให้พาผู้ถือหนังสือเข้ามา จึงรับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านได้ความว่าหนังสือบุนไทสือ ขอคำนับมาถึงเกียงจูแหยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ด้วยเจ้าเมืองไซรกีคิดกบฏตั้งแข็งเมือง มิได้อ่อนน้อมต่อพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องจึงให้เราเป็นแม่ทัพยกมาปราบปรามให้ราบคาบ ถ้าเกียงจูแหยและเจ้าเมืองไซรกีรู้โทษตัวว่าผิดให้เปิดประตูเมืองออกมาคำนับเราโดยดี ถ้าจะต่อสู้ก็ให้จัดแจงทหารออกมารบกับเราให้ถึงแพ้แลชนะ เกียงจูแหยอ่านหนังสือแล้วจึงว่า เจ้าเมืองจิวโก๋มิได้อยู่ในสัจธรรม หัวเมืองทั้งปวงเห็นว่าเจ้าเมืองไซรกีมีบุญญาธิการมาก จะทำนุบำรุงแผ่นดินได้ จึงมาประชุมพร้อมกันจะยกทัพไปกำจัดเจ้าเมืองจิวโก๋เสีย ท่านจงออกไปบอกแก่บุนไทสือเถิด ว่าให้ตั้งทัพคอยอยู่สักสามวัน เราจึงจะออกไปเจรจาความเมืองกับบุนไทสือ เตงติหยงก็ลาเกียงจูแหยกลับออกไปค่ายแจ้งความแก่บุนไทสือทุกประการ

๏ ฝ่ายเกียงจูแหยขณะเมื่อเตงติหยงผู้ถือหนังสือไปแล้วจึงสั่งทหารให้เอาธงแดง ธงขาว ธงเขียว ธงเหลือง ธงดำไปปักหน้าค่าย มีทหารแต่งตัวตามสีธงคันละสี่คน เกียงจูแหยจัดแจงทหารรักษาค่ายมั่นคง ครั้นถึงสามวันแล้ว เกียงจูแหยแต่งตัวกระบองสี่เหลี่ยมขึ้นขี่ซูปุดเสียง ตัวเป็นเกล็ดสีเขียวครามหน้าเป็นมังกร เท้าทั้งสี่เป็นเท้าแรด หางเป็นหางโค ทหารตามเกียงจูแหย อึ้งปวยฮอหนึ่ง โลเฉียหนึ่ง กิมเฉียหนึ่ง บกเฉียหนึ่ง ฮัมเต๊กเหลงหนึ่ง ซีออกฮอหนึ่ง อึ้งเทียนฮัวหนึ่ง บูกิดหนึ่ง ออกมาหน้าค่าย เกียงจูแหยเห็นบุนไทสือหน้าเหลืองเหมือนสีทอง ตาสามแห่ง ถือกระบองเหลี่ยมขี่กิเลนดำออกมายืนอยู่หน้าทัพ เต๋งเถียนกุ๋น โตเถียนกุ๋น เตียวเถียนกุ๋น สินเถียนกุ๋น นายทหารทั้งสี่ขี่ม้ายืนอยู่ซ้ายขวา เกียงจูแหยจึงคำนับบุนไทสือ บุนไทสือจึงว่ากับเกียงจูแหยว่า ท่านนี้เดิมอยู่เขากุนหลุนซัว คนทั้งปวงก็นับถือว่าเป็นคนอยู่ในสัจธรรม เหตุใดจึงมาเข้าด้วยพวกกบฏฉะนี้ ท่านเห็นชอบอยู่หรือ เกียงจูแหยจึงตอบว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูตัวข้าพเจ้าก็เห็นว่าซื่อตรงต่อแผ่นดิน หาได้ทำให้คนทั้งปวงได้ความเดือดร้อนไม่ คนทั้งปวงก็สรรเสริญรักชมข้าพเจ้าอยู่ บุนไทสือจึงตอบว่าตัวท่านแกล้งพูดเอาแต่เพราะสรรเสริญตัวเอง หารู้จักผิดแลชอบไม่ ทำสอพลอยุยงให้นายตั้งตัวเป็นที่บูอ๋อง แล้วสมคบอึ้งปวยฮอผู้เป็นกบฏไว้ ฆ่าทหารเมืองหลวงเสีย โทษก็ผิดอยู่เป็นอันมาก บัดนี้มีรับสั่งพระเจ้าติวอ๋องให้เรามาระงับโทษ ควรที่นายท่านจะให้ท่านออกมาคำนับรับผิดเราจึงจะชอบ เกียงจูแหยยิ้มแล้วจึงตอบว่า ซึ่งท่านติเตียนนายข้าพเจ้าว่าตั้งตัวเป็นที่บูอ๋องเองนั้นหาชอบไม่ ด้วยประเพณีพระมหากษัตริย์แต่ก่อนเสวยราชสมบัติในแผ่นดิน แลมีพระราชบุตรมีสติปัญญาควรจะได้ครองราชสมบัติแทนพระองค์ได้ เมื่อพระมหากษัตริย์สิ้นพระชนม์แล้ว สมบัติก็ควรจะได้แก่พระราชบุตร นี่บุนอ๋องผู้เป็นบิดาตายแล้ว สมบัตินั้นก็ควรจะได้แก่บูอ๋องผู้เป็นบุตร ซึ่งบูอ๋องนายข้าพเจ้ามิได้มีหนังสือคำนับขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องนั้น ด้วยอึ้งปวยฮอมาแจ้งความว่าแผ่นดินเมืองจิวโก๋เป็นจลาจล พระเจ้าติวอ๋องมิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม หัวเมืองทั้งปวงได้ความเดือดร้อนเอาใจออกหากสิ้น เมื่อหัวเมืองทั้งปวงเป็นดังนี้ ท่านจะเห็นว่าหัวเมืองทั้งปวงเป็นกบฏหรือไม่เป็นกบฏเล่า ซึ่งท่านว่าข้าพเจ้าฆ่าทหารเมืองหลวงเสียเป็นอันมากนั้น ด้วยทหารของท่านมาหาที่ตายเอง ใช่ข้าพเจ้าจะยกทัพล่วงแดนไปฆ่าเสียนั้นหามิได้ อึ้งปวยฮอเล่าก็ได้ความเดือดร้อนในเมืองจิวโก๋นัก จึงหนีมาพึ่งบุญนายข้าพเจ้า แลท่านจะว่าข้าพเจ้าคบเอาอึ้งปวยฮอผู้เป็นกบฏไว้นั้นหาชอบไม่ ตัวท่านก็มีสติปัญญาเป็นผู้ใหญ่ ชื่อเสียงก็ปรากฏอยู่ในแผ่นดินทั้งแปดทิศ ซึ่งท่านพาทหารล่วงแดนมาถึงแดนข้าพเจ้านี้ท่านได้ดูฤกษ์บนฤกษ์ล่างแล้วหรือ แต่เทพยดาก็หาเข้าชอบด้วยพระเจ้าติวอ๋องไม่ ขอท่านกลับไปคิดตรึกตรองดูก่อนเถิด บุนไทสือได้ฟังเกียงจูแหยว่าดังนั้นเป็นความจริงก็ละอายใจยืนตะลึงอยู่ พอเหลือบเห็นอึ้งปวยฮอยืนอยู่ริมเกียงจูแหยจึงร้องเรียกให้เข้ามาหา อึ้งปวยฮอได้ฟังดังนั้นหลบหน้าอยู่มิได้ จำใจออกไปคำนับ แล้วจึงว่าข้าพเจ้าจากท่านมาหลายปีพึ่งได้เห็นหน้าท่านวันนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก จะได้เล่าความเดือดร้อนในอกให้ท่านฟัง บุนไทสือได้ฟังดังนั้นก็โกรธร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง แล้วชี้หน้าว่าตัวเป็นแต่แซ่ขุนนาง พระเจ้าติวอ๋องชุบเลี้ยงให้เป็นบูเสงอ๋องที่เชื้อพระวงศ์ ทำนุบำรุงให้มียศฐาศักดิ์บริบูรณ์สิ้นทั้งวงศ์วาน แลตัวมิได้มีกตัญญู คิดทรยศต่อพระเจ้าติวอ๋อง มาเข้าด้วยคนผิด หาควรที่ตัวจะอยู่ในแผ่นดินไม่ บุนไทสือว่าแล้วก็สั่งเตงต๋งให้จับตัวอึ้งปวยฮอฆ่าเสีย เตงต๋งก็ขับม้ารำขวานใหญ่ออกไปจะจับอึ้งปวยฮอ หลำจงกวดก็ออกมาจะช่วยอึ้งปวยฮอ โทเอ๋งทหารบุนไทสือก็ขับม้ารำกระบองทองสองมือออกมารบ หลำจงกวดบูกิดทหารเมืองไซรกีเห็นดังนั้น ก็ขับม้ารำทวนออกมาช่วยหลำจงกวดรบ ทหารทั้งสองฝ่ายสู้รบกันเป็นสามารถ สินห้วนมีปากเหมือนค้างคาวยืนถือกระบองสั้นสองมือเป็นทหารบุนไทสือเห็นทหารทั้งสามคน จะเอาชัยชำนะทหารเกียงจูแหยมิได้ก็บินขึ้นไปในอากาศแกว่งกระบองจะตีเกียงจูแหย อึ้งเทียนฮัวถือกระบองทั้งสองมือขี่กิเลนขาวยืนอยู่ เห็นสินห้วนจะตีเกียงจูแหยก็เอากระบองสั้นเข้ารับไว้ ทหารบุนไทสือคนหนึ่งใส่หมวกศีรษะเสือ หน้าแดงดังพุทราสุก ปากเสี้ยม เขี้ยวขาว ทำฤทธิ์ต่างๆ เข้ารบกับอึ้งเทียนฮัว

๏ ฝ่ายบุนไทสือเอากระบองสี่เหลี่ยมขว้างไปถูกบ่าเกียงจูแหย เกียงจูแหยก็ตกซูปุดเสียงลง บุนไทสือก็ขับกิเลนดำเข้าไปจะตัดศีรษะเกียงจูแหย โลเฉียถือทวนเชิงไฟ เท้าทั้งสองเหยียบจักรลมเหยียบจักรไฟถลันเข้าแทงกับบุนไทสือไว้ สินกะก็ป้องกันพาเกียงจูแหยไปค่าย บุนไทสือกับโลเฉียรบกันได้ห้าเพลง บุนไทสือเอากระบองสี่เหลี่ยมตีโลเฉียถูกสีข้างตกจักรไฟลงมา กิมเฉียถือกระบี่ถลันเข้ากั้นรับบุนไทสือไว้ บุนไทสือก็เอากระบองสี่เหลี่ยมทั้งสองอันขว้างไป จะให้ถูกบกเฉียกิมเฉียฮำเต๊กเหลงเอียวเจี้ยนถือทวนขี่ม้ายืนอยู่ เห็นบุนไทสือขว้างกระบองมาก็เข้าต่อสู้กับบุนไทสือ ทหารทั้งสองฝ่ายสู้รบกันเป็นสามารถ ทหารพวกเกียงจูแหยก็แตก ทหารบุนไทสือก็กลับเข้าค่าย เกียงจูแหยครั้นเสียทัพมาก็เสียใจนั่งทอดใจใหญ่อยู่ เอียวเจี้ยนจึงว่ากับเกียงจูแหยว่า ท่านอย่าเพ่อเสียใจข้าพเจ้าคิดว่าจะสงบทัพไว้สักสองสามวัน พักทแกล้วทหารให้มีกำลังแล้วจะจัดกันไปเป็นหมวดเป็นกอง จึงค่อยยกออกไปรบกับบุนไทสือ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเอาชัยชำนะบุนไทสือได้อยู่ ท่านจะเห็นประการใด เกียงจูแหยก็เห็นชอบด้วย จึงงดทัพไว้สามวัน

๏ ครั้นถึงวันกำหนดเกียงจูแหยก็จัดแจงทหารพร้อมแล้วก็ยกออกมาตั้งอยู่หน้าค่าย บุนไทสือเห็นดังนั้นก็ยกกองทัพออกมา เกียงจูแหยเห็นบุนไทสือจึงร้องปราศรัยว่า ตัวท่านกับข้าพเจ้าจะสู้รบกันให้สิ้นฝีมือวันนี้ บุนไทสือได้ฟังดังนั้นก็ขี่กิเลนดำจะเข้าตีเกียงจูแหย เอียวเจี้ยนกับโลเฉียก็ออกสกัดหน้าไว้ เตงต๋งทหารบุนไทสือก็ขับม้าเข้าสู้กับอึ้งปวยฮอ เตียวโก๋เข้าสู้รบบูกิดกับหลำจงกวด สินห้วนรบกับอึ้งเทียนฮัว บุนไทสือจึงขว้างกระบองไป จะให้ถูกศีรษะเกียงจูแหย เกียงจูแหยก็ขว้างกระบองไปรับไว้ กระบองบุนไทสือกระทบกระบองเกียงจูแหยหักออกไป บุนไทสือเห็นดังนั้นก็เสียใจ จึงคิดว่ากระบองอันนี้ อาจารย์ให้ไว้ว่ามีฤทธิ์นัก เหตุใดจึงสู้กระบองเกียงจูแหยไม่ได้ หลากใจหนักหนา ศึกครั้งนี้เห็นจะเอาชัยชำนะเป็นอันยาก บุนไทสือคิดแล้วก็ยืนตะลึงทอดใจใหญ่อยู่ เกียงจูแหยเห็นกระบองบุนไทสือหักก็ดีใจ จึงขว้างกระบองซ้ำไปถูกบุนไทสือตกจากกิเลน กิดดิบกับอิเขงเข้าประคองบุนไทสือไว้ บุนไทสือสิ้นกำลังก็พาทหารหนีเข้าค่าย เกียงจูแหยครั้นมีชัยชำนะบุนไทสือแล้ว ก็พาพวกทหารกลับเข้าเมืองไซรกี

๏ บุนไทสือครั้นมาถึงค่ายจึงว่ากับทหารทั้งปวงว่า แต่เราเป็นทหารได้ทำศึกมาก็หลายตำบล หามีความอัปยศเหมือนครั้งนี้ไม่ กระบองอาจารย์ให้ไว้มีฤทธิ์มากนัก ครั้งนี้มาแพ้กระบองเกียงจูแหย เราจะไปดูหน้าอาจารย์กระไรได้ ทหารทั้งสี่จึงตอบว่า ประเพณีการรบพุ่งกัน เปรียบเหมือนสาดน้ำรดกัน แพ้แลชนะก็ย่อมมีอยู่ ท่านอย่าเพ่อเสียใจ

๏ ฝ่ายเกียงจูแหย ชนะบุนไทสือมีใจกำเริบ จึงสั่งให้อึ้งปวยฮอ อึ้งฮุยปิว อึ้งเบ๋ง ให้คุมทหารไปล้อมค่ายปีกขวาบุนไทสือ สั่งให้หลำจงกวดสินกะสินเบี๋ยน คุมทหารไปล้อมค่ายปีกซ้ายบุนไทสือ สั่งให้โลเฉียอึ้งเทียนฮัวเป็นทัพหน้า สั่งให้บกเฉีย กิมเฉีย ฮำเต๊ก เหลงซิว ฮกฮอ คุมทหารเป็นทัพรอง สั่งให้เหลงจิวเฮา บูกิด สำหรับตรวจตราพวกทหารอยู่ในทัพหลวง สั่งให้เอียวเจี้ยนคุมทหารเป็นกองซุ่มคุมฉางข้าว สั่งใหอึ้งกุ๋นเป็นทหารใหญ่ ให้คุมทหารอยู่รักษาเมืองให้มั่นคง เกียงจูแหยจัดแจงทหารเสร็จแล้ว จึงกำหนดว่าเวลาพลบค่ำ เราจะยกไปปล้นค่ายบุนไทสือ

๏ ฝ่ายบุนไทสือนั่งอยู่ในค่าย พร้อมด้วยพวกทหารทั้งปวง แลเห็นลมบนวิปริตจึงให้เอาอีแปะมาทอดเสี่ยงทายแล้วคูณหารตามสังเกต รู้ว่าเวลาค่ำวันนี้เกียงจูแหยจะยกทัพมาปล้นค่าย หัวเราะแล้วจึงสั่งให้สินห้วนโทเอ๋งคุมทหารรักษาค่ายปีกขวา ให้เตงต๋งคุมทหารรักษาค่ายปีกซ้าย ให้กิดดิบกับอิเขงคุมทหารรักษาฉางข้าว ส่วนตัวบุนไทสือแม่ทัพนั้นจัดแจงพวกทหารไว้เป็นกองกลาง จะได้แบ่งทหารช่วยปีกซ้ายปีกขวาโดยเร็ว บุนไทสือจัดแจงเสร็จแล้วก็คอยทัพเกียงจูแหยอยู่ในค่าย

๏ ฝ่ายเกียงจูแหยครั้นเวลาพลบค่ำ ก็สั่งให้ยกทัพออกจากเมืองให้จุดโคมเป็นสำคัญ พวกทหารทั้งปวงต่างคนต่างก็ไปล้อมค่ายบุนไทสือตามคำเกียงจูแหยสั่ง ครั้นดึกประมาณสองยามเศษ เกียงจูแหยก็ให้จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารทั้งปวงต่างคนต่างก็เข้ารบตามประทัดสัญญา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ