๔๓

๏ ฝ่ายโลเฉียกับอึ้งเทียนฮัว ก็พาทหารเข้าตีค่ายบุนไทสือ บุนไทสือถือกระบองสี่เหลี่ยมขึ้นขี่กิเลนดำ พาทหารออกจากค่ายมารบกับโลเฉีย อึ้งเทียนฮัว กิมเฉีย บกเฉีย ขี่ม้าถือกระบี่ เข้ารบกับฮำเต็ก เหลงซิว ฮกฮอ เอียวเจี้ยนคุมทหารซุ่มอยู่ ครั้นบุนไทสือกับพวกทหารทั้งปวงออกรบติดพันกันอยู่แล้ว ก็ให้ทหารเอาไฟเข้าจุดเผาฉางข้าว บุนไทสือเห็นแสงเพลิงที่ไหม้ฉางข้าวก็ตกใจ ชักกิเลนกลับหน้าจะหนี เกียงจูแหยก็เอากระบองขว้างไป ถูกบุนไทสือแทบจะตกจากหลังกิเลน บุนไทสือทานกำลังมิได้ ก็ขับกิเลนหนีมา อึ้งปวยฮอก็พาพวกทหารไล่ติดตามบุนไทสือไป เตงต๋งเห็นอึ้งปวยฮอไล่บุนไทสือมา ก็ขับทหารเข้ารบสกัดหน้าอึ้งปวยฮอไว้ บุนไทสือก็หนีไปได้ หลำจงกวดเห็นบุนไทสือขับกิเลนหนีมา ก็ขับทหารเข้าล้อมบุนไทสือ

๏ ฝ่ายสินห้วนโทเอ๋งกิดดิบอิเขงกับทหารทั้งปวง พากันรีบตามบุนไทสือไป เห็นทหารหลำจงกวดล้อมบุนไทสือไว้ ก็ขับทหารให้เข้าล้อมตีกระหนาบ บุนไทสือก็เอากระบองตีฝ่ายทหารรอดมาได้ สินห้วนมีปีกเหมือนค้างคาว บินขึ้นไปบนอากาศ เอาปีกป้องกันบุนไทสือไว้แล้วพากันหนีมาจนถึงเขากีสาน

๏ ฝ่ายอาจารย์หุนต๋งจู๊อยู่ในถ้ำหยกเทียวต๋ง ณ เขาจงลำซัว วันนั้นออกมานั่งอยู่บนเตียงหน้าถ้ำ รำพึงไปถึงบุนไทสือทำศึกกันกับเมืองไซรกี จึงเรียกหลุยจินจู๊ผู้เป็นศิษย์เข้ามา แล้วสั่งว่าเจ้าจงไปหาบูอ๋องพี่ชายเจ้า ณ เมืองไซรกีแล้วไปคำนับเกียงจูแหย จะได้ช่วยกันคิดอ่านปราบปรามเสี้ยนหนามแผ่นดินเมืองจิวโก๋ให้ราบคาบ ราษฎรจะได้เป็นสุข หลุยจินจู๊แจ้งดังนั้นมีความยินดี ได้กระบองเป็นอาวุธคำนับลาอาจารย์ออกมาจากถ้ำ ก็บินขึ้นไปบนอากาศจะไปเมืองไซรกี ครั้นบินมาถึงเขากีสาน แลไปแต่ไกลเห็นบุนไทสือกับพวกทหารแตกทัพมาพักอยู่ที่นั้นมีความยินดีนัก คิดว่าจะได้ทำศึกวันนี้แล้ว

๏ ฝ่ายบุนไทสือนั่งอยู่กลางพวกทหาร แลขึ้นไปบนอากาศเห็นหลุยจินจู๊หน้าเขียวเป็นสีคราม ปากแหลมเขี้ยวยาว ผมแดงมีปีกเหมือนนก บุนไทสือเห็นก็ตกใจ จึงชี้ให้สินห้วนดู สินห้วนก็แลดู หลุยจินจู๊ครั้นบินมาใกล้ก็เงื้อกระบองจะตีบุนไทสือ สินห้วนก็บินขึ้นไปเอากระบองรับไว้ หลุยจินจู๊กับสินห้วนก็รบกันในอากาศเป็นหลายเพลง สินห้วนทานกำลังมิได้ ก็หนีหลุยจินจู๊ไป หลุยจินจู๊ได้ชัยชำนะมีความยินดีนัก ก็บินมาเมืองไซรกีเข้าไปบอกกับนายประตูว่า เราชื่อหลุยจินจู๊จะเข้ามาหาเกียงจูแหย นายประตูก็ไปบอกกับเกียงจูแหย เกียงจูแหยก็ออกไปรับหลุยจินจู๊ หลุยจินจู๊เข้าไปคุกเข่าลงคำนับเกียงจูแหย เกียงจูแหยถามว่าท่านชื่อไรมาแต่ไหน หลุยจินจู๊จึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อหลุยจินจู๊ เป็นศิษย์หุนต๋งจู๊อยู่ในถ้ำหยกเทียวต๋ง ณ เขาจงลำซัว ข้าพเจ้าเป็นน้องบูอ๋อง บัดนี้อาจารย์ใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาบูอ๋อง ขอท่านได้พาข้าพเจ้าไปหาบูอ๋องผู้เป็นพี่ชายข้าพเจ้าด้วย เกียงจูแหยได้ฟังว่าหลุยจินจู๊เป็นน้องบูอ๋องก็สงสัยอยู่ด้วยหารู้จักไม่ จึงถามทหารทั้งปวงว่าท่านรู้จักหลุยจินจู๊หรือไม่ ทหารทั้งปวงก็บอกว่าข้าพเจ้าหารู้จักไม่ หลุยจินจู๊จึงบอกเกียงจูแหยว่า เมื่ออายุข้าพเจ้าได้เจ็ดขวบ ได้มาช่วยบุนอ๋องผู้เป็นบิดาข้าพเจ้า ครั้งเมื่อหนีพระเจ้าติวอ๋อง มาถึงเขาเอียนซัวด่านเหงาก๋วน เกียงจูแหยได้ฟังดังนั้นก็นึกได้ จึงว่ากับทหารทั้งปวงว่า เราได้ยินบุนอ๋องเล่าให้ฟังอยู่ว่า เมื่อครั้งพ้นโทษหนีพระเจ้าติวอ๋องมา พวกทหารเมืองจิวโก๋ติดตามมาล้อมไว้ ชีวิตรอดด้วยหลุยจินจู๊ผู้เป็นบุตรแลหลุยจินจู๊มาครั้งนี้เป็นบุญของบูอ๋องนัก จะได้ช่วยกันคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข เกียงจูแหยว่าดังนั้นแล้ว ก็พาหลุยจินจู๊ไปหาบูอ๋อง หลุยจินจู๊ครั้นมาถึงคุกเข่าลงคำนับบูอ๋องแล้วแจ้งความว่า ข้าพเจ้าชื่อหลุยจินจู๊เป็นน้องท่าน หุนต๋งจู๊เป็นอาจารย์รู้ว่าเมืองไซรกีเกิดศึกจึงให้ข้าพเจ้ามาช่วย บูอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ด้วยนึกได้ว่าบิดาบอกไว้ แต่ครั้งพ้นโทษหนีพระเจ้าติวอ๋องมา หลุยจินจู๊น้องเราคนนี้ได้มาช่วย ครั้นจะให้หลุยจินจู๊ไปหามารดาก็เกรงมารดาจะตกใจ ด้วยรูปร่างหน้าตาหลุยจินจู๊น่ากลัวนัก จึงสั่งหลุยจินจู๊ให้ไปอยู่ด้วยเกียงจูแหย เกียงจูแหยกับหลุยจินจู๊ก็คำนับลาบูอ๋องมา

๏ ฝ่ายบุนไทสือขณะเมื่อสินห้วนกับหลุยจินจู๊รบกันตกใจกลัว พาพวกทหารหนีมาไกลเขากีสานแปดร้อยเจ็ดสิบห้าเส้น จึงสั่งให้หยุดทัพตั้งค่ายพักทหารแล้วให้ตรวจตราเสียทหารถึงสองหมื่นเศษ บุนไทสือเสียใจนัก นั่งกอดเข่าถอนใจใหญ่อยู่ กิดดิบเห็นบุนไทสือทุกข์ตรอมไป จึงว่าท่านอย่าเพิ่งเสียใจ เพื่อนฝูงท่านได้เรียนวิชามาด้วยกัน แต่อาจารย์ทั้งแปดภูเขายังมีอยู่เป็นอันมาก ถ้าท่านไปเชิญมาได้แต่สักคนหนึ่งสองคน ก็เห็นจะเอาชัยชำนะเกียงจูแหยได้ บุนไทสือได้ฟังดังนั้นก็ได้คิด จึงบอกว่าเราสาละวนที่จะทำการศึกอยู่นึกหาได้ไม่ ท่านมาเตือนสตินี้ขอบใจท่าน ท่านจงตรวจตรารักษาค่ายไว้ให้มั่นคงเถิด เราไปไม่ช้าจะกลับมา บุนไทสือสั่งกิดดิบแล้วก็ขึ้นขี่กิเลนดำเหาะไป ครั้นถึงเกาะกิ๋มเหงาซูแดนเมืองตังไฮ บุนไทสือก็ชักกิเลนดำลงเดินไปตามเชิงเขาแลเห็นประตูถ้ำปิดอยู่ทุกถ้ำหามีผู้ใดไม่ บุนไทสือก็ชักกิเลนจะกลับมา ห้ำจือเสียนยืนแอบอยู่ที่ซอกเขาใกล้ประตูถ้ำกิ๋มเหงาซู เห็นบุนไทสือจึงร้องทักว่าท่านจะไปไหน บุนไทสือเหลียวมาเห็นห้ำจือเสียนก็ตกใจ ลงจากกิเลนมาหาห้ำจือเสียนต่างคนต่างคำนับกัน ห้ำจือเสียนจึงบอกว่าข้าพเจ้ารู้ว่าท่านจะมาหา จึงมาคอยท่าท่าน ด้วยซินก๋งป้าอาจารย์คนหนึ่งมาแต่เมืองไซรกี แจ้งความกับอาจารย์ทั้งปวงว่า ท่านไปทำศึกกับเมืองไซรกี อาจารย์ทั้งปวงที่เป็นเพื่อนฝูงกับท่าน ก็พร้อมกันอยู่ที่เขาแปะหลกซู ตั้งพิธีปลุกเครื่องคิดกลศึกสิบประการ คอยจะช่วยท่าน ท่านจงไปที่เขาแปะหลกซูเถิด

๏ บุนไทสือมีความยินดี ก็ลาห้ำจือเสียนขึ้นขี่กิเลนดำเหาะไปเขาแปะหลกซู ครั้นถึงก็เข้าไปคำนับอาจารย์ทั้งปวง อาจารย์ทั้งปวงต่างคนต่างคำนับกันแล้วบอกว่า เรารู้ว่าท่านไปตีเมืองไซรกีมีความวิตกถึงท่าน จึงพร้อมกันตั้งพิธีปลุกเครื่องคิดกลศึกสิบประการไว้จะคอยช่วยท่าน บุนไทสือจึงถามว่ากลศึกสิบประการนั้นคือสิ่งใดบ้าง จิ๋นเทียนกุ๋นอาจารย์คนหนึ่งบอกว่า สิบคนด้วยกันคิดกลศึกไว้คนละกลศึก ถ้าท่านกำหนดจะไปตีเมืองไซรกีวันใดแล้ว เราจะไปช่วยท่าน ท่านจึงค่อยรู้เถิด บุนไทสือได้ฟังดังนั้นแลดูอาจารย์ทั้งปวง นัดได้แต่เก้าคนจึงถามว่า กลศึกถึงสิบประการข้าพเจ้าเห็นอาจารย์แต่เก้าคน อาจารย์คนหนึ่งไปคิดกลศึกอยู่แห่งใดเล่า จิ๋นเทียนกุ๋นจึงตอบว่า กิมก๋องเซียโบ๊อาจารย์คนหนึ่งนั้น ไปคิดกลศึกชื่อกิมก๋องติ้นอยู่ ณ​ เขาแปะหุนซู ท่านคอยอยู่สักครู่หนึ่งเถิด เราทั้งเก้าคนจะไปคอยอยู่ที่ค่ายของท่านก่อน จิ๋นเทียนกุ๋นสั่งแล้วก็พาอาจารย์ทั้งแปดคนเหาะมา คอยท่าบุนไทสืออยู่ที่ค่าย

๏ ฝ่ายบุนไทสือนั่งพิงเขาคอยท่าอาจารย์กิมก๋องเซียโบ๋อยู่ แลไปเห็นคนขี่เสือดาวเหาะมาคนหนึ่ง ใส่หมวกรูปหางปลาทองใส่เสื้อแดงปักเป็นยันต์แปดดวงคาดเอวแพรเหลือง ใส่รองเท้าสะพายแล่งกระบี่สองเล่ม บุนไทสือเห็นประหลาดก็นั่งแลดูอยู่

๏ ฝ่ายกิมก๋องเซียโบ๊มาถึงเขาแปะหลกซู แลไปไม่เห็นอาจารย์ทั้งปวง เห็นแต่บุนไทสือหนวดยาวนุ่งแดงใส่เสื้อแดงหน้าเหลืองมีตาสามตาก็รู้จักจำได้ จึงแกล้งร้องถามว่าท่านมาด้วยธุระสิ่งใดหรือ บุนไทสือจึงตอบว่าอาจารย์ทั้งเก้าคนพากันไปคอยข้าพเจ้าอยู่ที่ค่ายแล้ว ให้ข้าพเจ้านั่งคอยท่าท่านอยู่ ขอเชิญท่านไปจะได้ช่วยกันคิดการศึกที่จะรบกับเมืองไซรกี กิมก๋องเซียโบ๊กับบุนไทสือพูดจากันต่างคนต่างคำนับกัน แล้วก็พากันเหาะมาค่าย บุนไทสือครั้นมาถึงค่ายก็สั่งให้เตงต๋งจัดแจงทหารเป็นกระบวนทัพพร้อมแล้ว ก็พาอาจารย์ทั้งสิบคนยกทัพรีบมาเมืองไซรกี ครั้นถึงเมืองไซรกี อาจารย์ทั้งสิบคนก็ให้ตั้งค่ายเรียงกันไปทั้งสิบค่าย ค่ายหนึ่งมีอาจารย์คนหนึ่ง ในค่ายนั้นจัดแจงทำเป็นกลศึกต่างๆ กัน แล้วจัดแจงพวกทหารรักษาประจำค่ายไว้มั่นคงทุกค่าย

๏ ฝ่ายเกียงจูแหยปรึกษาด้วยการศึกกับพวกทหารทั้งปวงอยู่ พอม้าใช้มาบอกว่ากองทัพบุนไทสือยกมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าประมาณดูผู้คนเห็นมากกว่ากองทัพแต่ก่อน เอียวเจี้ยนได้แจ้งความม้าใช้บอกดังนั้นจึงว่ากับเกียงจูแหยว่า บุนไทสือเป็นคนมีสติปัญญาแตกทัพไปครั้งก่อนนั้นมีความเจ็บอายมาก ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเที่ยวไปหาอาจารย์ที่มีวิชามาช่วยแก้แค้นท่าน ท่านจะทำศึกครั้งนี้จงคิดตรึกตรองดูให้จงหนัก เกียงจูแหยได้ฟังดังนั้นก็มีความวิตก จึงพาโลเฉียกับเอียวเจี้ยนขึ้นไปบนเชิงเทินกำแพงแลไปเห็นเป็นเมฆเป็นหมอกเป็นควันแล้วเป็นพยับลมสีต่างๆ กันมืดคลุ้มกลุ้มไปทั้งสิบค่าย แต่ค่ายแห่งหนึ่งนั้นใหญ่ แลไปเห็นแต่ปลายธงปลายทวนดาษไปทั้งค่าย เกียงจูแหยเห็นค่ายบุนไทสือก็ท้อใจนัก สิ้นสติปัญญาไม่รู้แห่งที่จะคิดกลอุบายประการใด ให้หนาวเย็นไปทั้งตัว ก็พาโลเฉียกับเอียวเจี้ยนลงจากเชิงเทินกำแพงกลับมาที่อยู่

๏ ฝ่ายบุนไทสือครั้นจัดแจงตั้งค่ายเสร็จแล้ว จึงปรึกษาอาจารย์ทั้งสิบคนว่า ท่านจะคิดกลศึกประการใด จึงจะเอาชัยชำนะเกียงจูแหยได้ เอียวฮวนเทียนกุ๋นอาจารย์คนหนึ่งจึงว่า เรารู้อยู่ว่าเกียงจูแหยเรียนวิชามาแต่อาจารย์ง่วนสีเทียนจุ๋น ณ เขากุนหลุนซัว เกียงจูแหยจะเอาวิชานั้นมาสู้รบกับเรา ก็หาชนะเราไม่ ท่านอย่ามีความวิตกเลย จงจัดแจงทหารออกไปคอยรบกับเกียงจูแหยเถิด บุนไทสือได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แต่งตัวใส่เกราะถือกระบองสี่เหลี่ยมขึ้นขี่กิเลนดำ พาทหารออกมาคอยเกียงจูแหยอยู่นอกค่าย

๏ ฝ่ายเกียงจูแหยตั้งแต่ได้เห็นค่ายบุนไทสือ ไม่มีความสบายคิดวิตกนัก จึงปรึกษาพวกทหารทั้งปวงว่า ถ้าเราจะงดทัพไว้มิได้ออกไปรบบุนไทสือ บุนไทสือก็จะมีใจกำเริบรีบเข้าตีเอาเมืองโดยเร็ว เราคิดว่าจะยกออกไปฟังกำลังบุนไทสือดูสักครั้งหนึ่งก่อน อันการแพ้แลชนะนั้นตามแต่บุญของบูอ๋องเถิด ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด พวกทหารทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย เกียงจูแหยจึงจัดแจงทหาร ให้มีธงสำคัญสีต่างๆ กันห้าสี แล้วแต่งตัวใส่เกราะถือกระบอง ขึ้นขี่ซูปุดเสียงพาพวกทหารยกทัพออกมา จิ๋นเทียนกุ๋นอาจารย์คนหนึ่งรู้ว่าเกียงจูแหยยกทัพออกมา จึงขึ้นขี่กวางพาพวกทหารออกจากค่ายมาหาเกียงจูแหย ต่างคนต่างคำนับกันแล้วว่ากับเกียงจูแหยว่า เรารู้อยู่ว่าท่านไปเรียนวิชามาแต่อาจารย์ง่วนสีเทียนจุ๋น ณ เขากุนหลุนซัว ซึ่งท่านจะเอาวิชามาสู้กับเรานั้นหาชนะเราไม่ ตัวท่านก็มีสติปัญญาเหตุใดมาเข้าด้วยบูอ๋องเป็นคนกบฏ แล้วฆ่าทหารทั้งสี่คนซึ่งเป็นศิษย์เราเสีย ท่านไม่มีกตัญญูต่อพระเจ้าติวอ๋องผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน ท่านยังจะเห็นว่าตัวท่านชอบอยู่หรือ เกียงจูแหยได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า เมืองจิวโก๋เกิดจลาจลเพราะพระเจ้าติวอ๋องมิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ราษฎรได้ความเดือดร้อนนัก ถึงเทพยดาก็ไม่เห็นชอบด้วย ตัวท่านก็เป็นอาจารย์มีสติปัญญาแล้วมีวิชามาก คนทั้งปวงก็นับถือสรรเสริญ ชื่อเสียงท่านก็ปรากฏอยู่ในแผ่นดิน เหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ในโลก บัดนี้ พญาหงส์เกิดขึ้นที่เขากีสานแดนเมืองไซรกีเป็นของวิเศษ เราเห็นว่าบูอ๋องจะได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข ท่านสลวนทำการสิ่งใดอยู่จึงมิได้ดูฤกษ์บนให้รู้ว่าร้ายแลดี วงศ์พระเจ้าติวอ๋องจะสูญแล้ว ถึงท่านจะมีทหารเอกนับหมื่น มีวิชาทำฤทธิ์ได้ต่าง ๆ ประการใด ท่านจะมาสู้คนมีบุญได้หรือ จิ๋นเทียนกุ๋นได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านเห็นว่าบูอ๋องจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน วงศ์พระเจ้าติวอ๋องจะสูญนั้น ท่านว่าโดยท่านไม่มีใจกตัญญูต่อพระเจ้าติวอ๋อง ตัวเราผู้มีใจกตัญญู จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข จึงยกทัพมา ครั้นเห็นท่านก็มีความเอ็นดูคิดถึงความหลังที่ได้รู้จักกัน ซึ่งท่านจะมาตายเสียด้วยเชื่อบุญบุนอ๋องนั้นหาควรไม่ ถ้าท่านไม่เชื่อคำเราท่านจงพาพวกทหารไปพิเคราะห์ดูค่ายของเราก่อน ถ้าเห็นว่ากำลังวิชาท่านจะสู้เราได้ จงกลับเข้าไปจัดแจงกองทัพยกออกมารบกับเรา จะได้ดูแพ้แลชนะกัน เกียงจูแหยได้ฟังดังนั้นก็พาโลเฉีย อึ้งเทียนฮัว เอียวเจี้ยน หลุยจินจู๊ เที่ยวไปดูค่ายเห็นค่ายบุนไทสือแห่งหนึ่ง แลเป็นสายฟ้าผ่านไปผ่านมารอบค่าย ค่ายที่สองได้ยินเสียงสั่นสะเทือนอยู่ใต้แผ่นดินเหมือนแผ่นดินจะทรุด ค่ายที่สามแลไปเป็นพยับลมเหมือนเกิดพายุใหญ่ ค่ายที่สี่แลเห็นเป็นลูกเห็บเหมือนหน้าฤดูหนาว ค่ายที่ห้าแลเห็นเป็นพยับแดดเหลืองไปทั้งค่าย ค่ายที่หกแลดูเป็นสายโลหิตแดงดาษไปทั้งค่าย ค่ายที่เจ็ดแลดูเหมือนสีฟ้ากับสีรุ้งประสานกัน ค่ายที่แปดเงียบสงัดเหมือนไม่มีผู้คน แลดูให้เยือกเย็นไปทั้งค่าย ค่ายที่เก้าแลดูเป็นกระแสน้ำสีแดงไหลนองไปทั้งค่าย ค่ายที่สิบแลไปเหมือนทะเลทรายแดงเต็มไปทั้งค่าย เกียงจูแหยได้เห็นค่ายบุนไทสือครั้งนั้น ยิ่งมีความวิตกทุกข์ใจนัก แกล้งทำหัวเราะแล้วจึงว่ากับจิ๋นเทียนกุ๋นว่า เวลาวันนี้เราดูพระอาทิตย์ก็บ่ายแล้ว ท่านกับเราจะรบกันก็หาทันจะเห็นฝีมือกันไม่ เวลาพรุ่งนี้เราจึงจะยกทัพออกมารบกับท่าน เกียงจูแหยว่าดังนั้นแล้วก็พาพวกทหารกลับไปเมือง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ