๔๖
๏ ฝ่ายเหยียนเต๋งโตหยินครั้นซันงีเสงกับเตียวฉานซึ่งไปยืมแก้วโตวุยจินหยินกลับมาแล้ว จึงปรึกษาเกียงจูแหยที่จะให้เข้าตีค่ายกลหองเฮาติ้น เกียงจูแหยจึงว่าอึ้งปวยฮอได้ทหารเอกเมืองจิวโก๋มาสองคน ชื่อปึงเป๊กคนหนึ่ง ชื่อปึงเสียงคนหนึ่ง เหยียนเต๋งโตหยินได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่แล้วว่า อันเกิดมาเป็นคนถึงที่ตายที่ไหนก็หนีความตายไม่พ้น จึงสั่งเกียงจูแหยให้ใช้ปึงเป๊กไปตีค่ายกลหองเฮาติ้นของตังเทียนกุ๋น เกียงจูแหยก็สั่งปึงเป๊ก ปึงเป๊กรับคำแล้วถือทวนวิ่งออกมาถึงค่ายกลหองเฮาติ้น
๏ ฝ่ายตังเทียนกุ๋นยืนขวางอยู่หน้าค่าย แลเห็นปึงเป๊กรูปร่างใหญ่โตหน้าแดง คางเคราตาโตสูงประมาณสิบแปดศอก ตังเทียนกุ๋นหัวเราะแล้วว่าคนอะไรใหญ่โตดังนี้ ปึกเป๊กโกรธร้องว่าอ้ายพวกปีศาจแล้วก็วิ่งเข้าแทงด้วยทวน ตังเทียนกุ๋นทำเสียทีหนีเข้าในค่ายกล เกียงจูแหยเห็นตังเทียนกุ๋นหนีก็ตีกลองสัญญาขึ้น ปึงเป๊กได้ยินเสียงกลองก็รุกไล่หลงเข้าในค่ายกล ตังเทียนกุ๋นเห็นปึงเป๊กไล่เข้ามาดังนั้น จึงขึ้นไปบนหอรบหยิบเอาธงดำขึ้นโบก มีดที่มีฤทธิ์ก็ปลิวขึ้นประมาณหมื่นเล่ม ตกลงต้องปึงเป๊กตัวขาดเป็นหลายท่อนถึงแก่ความตายในที่นั้น
๏ ฝ่ายฮกสินเทพารักษ์ครั้นเห็นปึงเป๊กตาย ก็เอาวิญญาณไปประชุมกันไว้ ณ ห้องสินไต้ ตังเทียนกุ๋นครั้นชนะแก่ปึงเป๊กก็มีจิตกำเริบขึ้นขี่กวางกลับออกมายืนอยู่หน้าค่าย ร้องว่ากับเหยียนเต๋งโตหยิน ทำไมท่านมาแกล้งใช้คนโง่ให้มาตายเสียเปล่า ชอบแต่ตัวท่านเป็นคนดีมีปัญญาแลความรู้ ออกมาสู้กันกับเราจึงจะควร เหยียนเต๋งโตหยินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ จึงสั่งผังโตหยินให้ออกไปรบด้วยตังเทียนกุ๋น แล้วหยิบเอาดวงแก้วซึ่งยืมมาแต่โตวุยจินหยินส่งให้ผังโตหยิน ผังโตหยินรับเอาดวงแก้วใส่ไว้ในจุกหมวก แล้วคำนับออกมาแต่งตัวใส่เสื้อเกราะ ถือกระบี่ออกไปยืนอยู่หน้าค่าย ร้องว่ากับตังเทียนกุ๋นว่า ตัวท่านเป็นคนอยู่ในศีลในสัตย์ ควรหรือมาทำหองเฮาติ้นเป็นกลอุบายลวงให้คนตายเล่า เมื่อครั้งง่วนสีเทียนจุ๋นขึ้นไปรับห้องสินปังทำนายของเทวดา ลงมาแจกให้อาจารย์ทั้งสามปิดไว้หน้าประตูหวังจะให้รู้ทั่วกัน ครั้งนั้นท่านก็ย่อมแจ้ง ทำไมมาเข้าด้วยคนพาลดังนี้ ตังเทียนกุ๋นจึงตอบว่าซึ่งเรามาทำการทั้งนี้ ด้วยพวกท่านยกตัวว่าตระกูลสูง มีแต่จะข่มเหงพวกเราให้ได้ความเจ็บแค้น แลตัวท่านซึ่งว่าเป็นคนอยู่ในศีลสัตย์แล้ว จะมาวุ่นวายอยู่ด้วยเขาทำไม จงกลับไปอยู่ถิ่นฐานตามสบายจึงจะสมควร ผังโตหยินจึงว่าตัวท่านบังคับตัวยังไม่ได้ ยังจะมาบังคับผู้อื่นอีกเล่า ตังเทียนกุ๋นโกรธเป็นกำลังก็ฟันด้วยกระบี่ ผังโตหยินก็รับด้วยกระบี่ต่อสู้กันสี่ห้าเพลง ตังเทียนกุ๋นก็ขับกวางหนีเข้าในค่าย เกียงจูแหยก็ตีกลองสัญญาผังโตหยินก็ไล่ตามติดเข้าไป เห็นตังเทียนกุ๋นขึ้นบนหอรบหยิบเอาธงดำขึ้นแกว่งโบกลมจะให้อาวุธปลิวมาถูกผังโตหยิน ผังโตหยินมีแก้วอันประเสริฐห้ามลมได้ใส่ในจุกหมวก อาวุธจึงมิได้ปลิวไปถูกกาย ผังโตหยินจึงเอาแก้วออกจากจุกหมวกชูขึ้นเป็นควันดำออกจากดวงแก้วเสียงดุจพายุ เกลียวควันนั้นไปพันเอาตัวตังเทียนกุ๋นเข้ามาไว้ในดวงแก้วแล้ว ผังโตหยินก็ออกจากค่ายกล แลเห็นบุนไทสือนั่งอยู่บนหลังกิเลนดำ ผังโตหยินจึงร้องเยาะบุนไทสือว่าค่ายกลหองเฮาติ้นของท่านเราตีได้ จับตัวตังเทียนกุ๋นใส่ดวงแก้วมา ว่าแล้วก็ส่งแก้วให้อึ้งกิมเล็กซู อึ้งกิมเล็กซูก็รับเอาแก้วไปสั่นๆ ตันเทียนกุ๋นก็ศีรษะขาดตายต่อหน้าบุนไทสือ ฮกสินเทพารักษ์ก็มาเอาวิญญาณตังเทียนกุ๋นไปไว้ห้องสินไต้ตามที่ บุนไทสือเห็นตังเทียนกุ๋นตายก็โกรธสามตาประดุจดังเปลวไฟ ก็เงื้อกระบองทองขับกิเลนไล่ผังโตหยินมา
๏ ฝ่ายเอียนเทียนกุ๋นขี่กวางวิ่งออกมาสกัด ห้ามบุนไทสือไว้ว่า ข้าพเจ้าจะขอออกไปสู้ด้วยพวกเกียงจูแหยเอง แล้วเอียนเทียนกุ๋นขับกวางมาร้องว่าแก่พวกเกียงจูแหยว่า ถึงตังเทียนกุ๋นตายก็เรายังมีอยู่ ถ้าใครจะใคร่ลองความรู้แลฝีมือก็ให้เร่งออกมาสู้กัน เหยียนเต๋งโตหยินได้ฟังดังนั้นก็ใช้ชิวฮกฮอผู้เป็นศิษย์ของโตเหงเทียนจุ๋นออกไปสู้ด้วยเอียนเทียนกุ๋น ชิวฮกฮอรับคำแล้วถือกระบี่เดินออกไปหน้าค่าย เอียนเทียนจุ๋นเห็นจึงว่าเด็กน้อยมาทำไม ไม่ควรที่จะเป็นคู่รบด้วยเรา เอ็งกลับไปบอกให้ครูเอ็งมาเถิด ชิวฮกฮอได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงตอบว่าอาจารย์ใช้เรามา ที่จะกลับไปนั้นไม่ควร เราจะสู้ด้วยท่านให้ถึงแพ้แลชนะ แล้วก็ชักกระบี่ออกไล่ฟันเข้าไปโดยกำลัง เอียนเทียนกุ๋นก็เอากระบี่ขึ้นรับ สู้กันแล้วทำหนีเข้าไปในค่ายกลหันเปงติ้น ชิวฮกฮอก็ไล่ติดตามเข้าไป เอียนเทียนกุ๋นก็ขึ้นบนหอรบโบกธง อาวุธที่เขาโตซัวออกไปแทงถูกชิวฮกฮอตาย วิญญาณนั้นก็ไปสู่ห้องสินไต้ แล้วบังเกิดเป็นควันดำพลุ่งในค่ายหันเปงติ้น โตเหงเทียนจุ๋นเห็นดังนั้นก็รู้ว่าชิวฮกฮอผู้เป็นศิษย์ถึงแก่ความตาย เอียนเทียนจุ๋นครั้นชนะชิวฮกฮอแล้ว กลับขี่กวางออกมานอกค่ายกล ยืนอยู่หน้าค่ายร้องว่ากับเหยียนเต๋งโตหยินว่า พวกท่านทั้งสิบสองคนเป็นไรไม่แต่งกันออกมาสู้ด้วยเราอีกเล่า เหยียนเต๋งโตหยินได้ฟังเอียนเทียนกุ๋นมาร้องท้าทายดังนั้น จึงเหลียวหน้ามาสั่งแก่พ้อเหียนจินหยินว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่มีวิชาความรู้มาก เห็นจะชนะเอียนเทียนกุ๋นเป็นแท้ ท่านอย่าคิดกับเหน็จเหนื่อยเลย นึกว่าออกไปซ้อมวิชากับเอียนเทียนกุ๋นสักครั้งหนึ่งเถิด พ้อเหียนจินหยินรับคำแล้ว ก็ถือกระบี่รำเพลงออกมาถึงหน้าค่าย เห็นเอียนเทียนกุ๋นจึงเรียกชื่อเดิมว่าว่นกัก ท่านมาตั้งค่ายกลอันนี้ไว้เห็นจะไม่มีใครรู้ถึงแล้วหรือ ความรู้ที่เรียนมาเห็นจะสูญเสียครั้งนี้เป็นมั่นคง เอียนเทียนกุ๋นได้ฟังก็โกรธ ชักกระบี่ออกไล่ฟันพ้อเหียนจินหยิน พ้อเหียนจินหยินก็รับด้วยกระบี่รบกันได้สี่เพลงห้าเพลง เอียนเทียนกุ๋นก็วิ่งหนีเข้าในค่าย พ้อเหียนจินหยินก็ไล่ติดตามเข้าไป เอียนเทียนกุ๋นก็ขึ้นบนหอรบเอาธงดำโบกขึ้น จะให้อาวุธที่ในเขาออกมาฆ่าพ้อเหียนจินหยิน พ้อเหียนจินหยินก็อ่านอาคมขึ้นชี้ด้วยนิ้วมือเป็นเมฆขาวแปดเหลี่ยม สูงขึ้นไปบนอากาศ มีแสงพรายดุจฟ้าแลบ แล้วแผ่บังไปปิดอาวุธมิให้ออกมาทำร้ายได้ เอียนเทียนกุ๋นเห็นจะเสียทีจะหนีลงจากหอรบ พ้อเหียนจินหยินก็ใช้กระบี่ไปตัดศีรษะเอียนเทียนกุ๋นขาด ตกจากหอรบลงมา วิญญาณนั้นก็ไปอยู่ห้องสิ้นไต้
๏ ฝ่ายนางกิมก๋องเซียโบ๊ซึ่งเป็นนายค่ายกลกิมกองติ้นรู้ว่าเอียนเทียนกุ๋นตาย ก็ขึ้นขี่เสือดาวถือกระบี่สองมือ ออกมาหน้าค่ายด้วยกำลังโกรธ ร้องประกาศว่าผู้ใดมีวิชาการ มาสู้กับเราให้เห็นฝีมือ เหยียนเต๋งโตหยินได้ฟังก็คิดจะให้เข้าตีค่ายนางกิมก๋องเซียโบ๊ พอแลเห็นอาจารย์ผู้หนึ่งลงมาแต่อากาศ รูปร่างงามหน้าขาวดุจดังผัดแป้ง อาจารย์ทั้งปวงก็รู้จักต่างคนก็คำนับกัน เสียวจิ๋นจึงบอกว่าอาจารย์ให้เรามาช่วยตีค่ายกิมกองติ้น นางกิมก๋องเซียโบ๊ได้ยินจึงถามว่าท่านนี้มาแต่ไหน เสียวจิ๋นได้ยินก็หัวเราะแล้วบอกว่า เราชื่อเสียวจิ๋นอยู่หยกฮือเก๋ง ท่านจำเราไม่ได้หรือ นางกิมก๋องเซียโบ๊จึงตอบว่า ท่านมีความรู้วิชาการอย่างไรจึงจะมาตีค่ายเรา ว่าพลางถือกระบี่สองมือขับเสือดาวเข้ารบด้วยเสียวจิ๋นได้สองสามเพลง แล้วกลับคืนเข้าค่าย เสียวจิ๋นจึงร้องว่าท่านดีแล้วจะหนีไปไหนเล่า เสียวจิ๋นก็ไล่ติดตามเข้าในค่ายกล นางกิมก๋องเซียโบ๊ก็ลงจากหลังเสือ ขึ้นบนหอรบชักสายเชือกกระทบแว่นแก้วเข้า เสียงดุจดังฟ้าลั่นเป็นประกายทองออกจากแว่นแก้วถูกเสียวจิ๋นตาย ฮกสินอารักษ์ก็มาเอาวิญญาณไปไว้ห้องสินไต้ นางกิมก๋องเซียโบ๊ดีใจก็ขึ้นหลังเสือดาว กลับออกมายืนอยู่ที่ประตูค่าย จึงร้องว่าเสียวจิ๋นตายแล้ว ยังมีผู้ใดจะมาสู้ด้วยเราอีกเล่า เหยียนเต๋งโตหยินได้ยินจึงสั่งกงเสงจู๊ให้ออกไปรบด้วยนางกิมก๋องเซียโบ๊ กงเสงจู๊รับคำแล้วก็ออกไปหน้าค่าย นางกิมก๋องเซียโบ๊เห็นกงเสงจู๊จึงตวาดว่า คนเช่นนี้จะมาตีค่ายเราเห็นจะได้แล้วหรือ กงเสงจู๊ตอบว่าอันค่ายของเจ้านี้แต่เด็กๆ พึ่งสอนพูดก็จะตีได้ นางกิมก๋องเซียโบ๊ก็โกรธขับเสือดาวเข้าฟันกงเสงจู๊ กงเสงจู๊ชักกระบี่ออกรับรบกันได้สี่เพลง นางกิมก๋องเซียโบ๊ทำหนีเข้าค่าย กงเสงจู๊ไล่ตามเข้าไปในค่าย เห็นธงปักอยู่ในค่ายยี่สิบเอ็ดคันคิดประหลาดก็ยั้งอยู่ นางกิมก๋องเซียโบ๊ขึ้นบนหอรบ ชักสายเชือกกระทบแว่นแก้วดังเสียงฟ้า จะให้ประกายทองถูกกงเสงจู๊ กงเสงจู๊ถอดเสื้อซึ่งมียันต์เทวดามาคลุมศีรษะมิดทั้งตัว ประกายทองนั้นก็มิได้ถูกต้อง กงเสงจู๊จึงเอาตราอันมีฤทธิ์ทิ้งถูกแว่นแก้วแตกเป็นสิบเก้าซีก นางกิมก๋องเซียโบ๊ตกใจสองมือที่คว้าได้แว่นแก้วที่แตกสองซีกเงื้อขึ้นจะขว้างกงเสงจู๊ กงเสงจู๊ก็เอาตราทิ้งหน้าผากนางกิมก๋องเซียโบ๊แตกตาย ฮกสินก็เอาวิญญาณนางกิมก๋องเซียโบ๊ไปไว้ที่ห้องสินไต้
๏ ฝ่ายบุนไทสือเห็นนางกิมก๋องเซียโบ๊ตาย ก็มีความพยาบาทกงเสงจู๊ พอเห็นกงเสงจู๊ออกจากค่ายกลับไปจึงร้องว่าอย่าเพ่อไป เราจะขอรบแก้แค้นแทนนางกิมก๋องเซียโบ๊ก่อน ว่าแล้วก็ขับกิเลนมา สุนเทียนกุ๋นอยู่ในค่ายจึงร้องห้ามบุนไทสือว่า ท่านอย่าเพ่อออกรบเลย ไว้เป็นพนักงานข้าพเจ้าจะแก้แค้นเอง ว่าแล้วสุนเทียนกุ๋นก็ขึ้นขี่กวางตามกงเสงจู๊ไปถึงหน้าค่ายเกียงจูแหย ก็ร้องว่าด้วยถ้อยคำอันหยาบช้า
๏ ขณะนั้นพอเตียวกุ๋นจินหยินคนหนึ่งสำนักอยู่ ณ ถ้ำแปะหุนตง มาหาเหยียนเต๋งโตหยินได้ฟังก็มีความยินดี จึงว่ากับเตียวกุ๋นจินหยินว่าท่านสิมีน้ำใจมาช่วยเรา ก็เร่งออกไปรบสุนเทียนกุ๋นให้ทันท่วงทีเถิด เตียวกุ๋นรับคำแล้วถือกระบี่เดินออกมายืนอยู่หน้าค่าย สุนเทียนกุ๋นถามว่าเอ็งมีวิชาอย่างไรจะมาสู้กับเรา เตียวกุ๋นจินหยินโกรธเรียกชื่อเดิมว่าอ้ายสุนเหลียงวันนี้คงจะได้เห็นฝีมือกัน กูจะตัดศีรษะไปตระเวนในเมืองไซรกี สุนเทียนกุ๋นได้ฟังมีความโกรธนัก ขับกวางถือกระบี่ไล่ฟันเตียวกุ๋นจินหยิน เตียวกุ๋นจินหยินก็รับด้วยกระบี่สู้กันเป็นหลายเพลง สุนเทียนกุ๋นก็ทำหนีเข้าค่าย ขึ้นบนหอรบเห็นเตียวกุ๋นจินหยินตามเข้ามา ก็เอาทรายดำอันวิเศษปรายลงมาถูกเตียวกุ๋นจินหยินตาย วิญญาณก็ไปอยู่ห้องสินไต้ แล้วสุนเทียนกุ๋นลงจากหอรบขึ้นขี่กวางออกมาหน้าค่าย ร้องว่ากับเหยียนเต๋งโตหยิน ซึ่งท่านใช้เตียวกุ๋นจินหยินออกมาตายเมื่อกี้นี้เป็นคนเลวนัก ทีนี้ดูที่มีสติปัญญากว่านี้สักหน่อยจึงให้มา เหยียนเต๋งโตหยินได้ยินจึงว่าแก่ไทอิดจินหยินว่า ท่านจงออกไปรบด้วยสุนเทียนกุ๋นสักครั้งหนึ่งเถิด ไทอิดจินหยินรับคำเดินออกไปจากค่าย แล้วทำเพลงเป็นทีเย้ยด้วยเห็นอุบาย แลความรู้ของสุนเทียนกุ๋น ไม่พอด้วยความคิดจึงมีความสบายใจ สุนเทียนกุ๋นแลเห็นไทอิดจินหยินเดินทำเพลงออกมา จึงร้องว่าท่านอย่าประมาทยังจะรู้ในค่ายกลของเราแล้วหรือ ไทอิดจินหยินหัวเราะแล้วจึงว่าท่านอย่าเจรจาให้เกินตัว ถ้าเราจะเข้าในค่ายกลของท่านเหมือนหนึ่งเข้าไปในบ้านไม่มีเจ้าของ เที่ยวเดินเล่นตามอำเภอใจ สุนเทียนกุ๋นได้ฟังก็มีความโกรธนัก ขับกวางถือกระบี่เข้าไล่ฟันไทอิดจินหยิน ไทอิดจินหยินก็รับด้วยกระบี่รบกันไม่ถึงห้าเพลง สุนเทียนกุ๋นก็หนีเข้าในค่าย เกียงจูแหยก็ตีกลองขึ้น ไทอิดจินหยินก็ไล่เข้าไปถึงหน้าค่ายอ่านมนต์ เอานิ้วมือชี้ลงที่แผ่นดินบังเกิดเป็นบัวขึ้นสองดอก ไทอิดจินหยินก็ขึ้นยืนบนดอกบัวลอยเข้าไปในค่าย แล้วชี้ขึ้นไปบนอากาศบังเกิดเป็นเมฆดุจสีรุ้งลอยบังอยู่สูงประมาณสามวาเศษ สุนเทียนกุ๋นขึ้นบนหอรบกอบเอาทรายดำที่เสกไว้ซัดมา เมฆที่เป็นสีรุ้งนั้นเข้าหอบเอาทรายสูญไป สุนเทียนกุ๋นเห็นทรายซัดมามิได้ต้องไทอิดจินหยินก็โกรธ จึงยกถึงทรายดำนั้นสาดมาจนสิ้น ทรายนั้นก็หายไปกับเมฆ สุนเทียนกุ๋นสิ้นความคิด ลงจากหอรบกำเอาดินขึ้นมาอ่านมนต์จะหายตัวไป ไทอิดจินหยินรู้ว่าสุนเทียนกุ๋นจะหนี จึงใช้ไฟทั้งเก้าไปล้อมตัวสุนเทียนกุ๋นไว้ แล้วจึงประกาศว่าเรามิใช่จะแกล้งทำลายชีวิตเขาทั้งนี้ สุนเทียนกุ๋นกระทำความชั่วใส่ตัวเอง แล้วตบมือเข้า ไฟทั้งเก้านั้นก็เผาสุนเทียนกุ๋นตายสูญไป วิญญาณนั้นก็ไปอยู่ห้องสินไต้ตามที่ บุนไทสือขี่กิเลนยืนอยู่นอกค่าย แลเห็นไทอิดจินหยินทำลายกลหองเฮาติ้น แล้วฆ่าสุนเทียนกุ๋นตายมีความโกรธ ก็ขับกิเลนตามมาจะรบด้วยไทอิดจินหยิน
๏ ฝ่ายอึ้งเหลงจินหยินขี่นกกระเรียนยืนอยู่ เห็นบุนไทสือขับกิเลนมาด้วยกำลังโกรธ จึงว่ากับบุนไทสือว่าค่ายกลของท่านทำไว้ถึงสิบค่าย เสียไปหกค่ายแล้วยังไม่คืนกลับไปคิดอ่านรักษาชีวิตอีกเล่า จะขืนตามมาหักเอาด้วยกำลังโทโสนั้น เห็นท่านจะไม่พ้นความตาย บุนไทสือได้ฟังอึ้งเหลงจินหยินว่าดังนั้นก็สะดุ้งตกใจคืนเข้าค่าย
๏ ขณะนั้นสี่อาจารย์ซึ่งเป็นเจ้าของกล ก็มาพร้อมกันที่โรงปรึกษาราชการ บุนไทสือจึงพูดกับสี่อาจารย์ว่า บุญคุณของพระมหากษัตริย์นั้นอยู่กับเรามากเลี้ยงให้เป็นใหญ่ ครั้นสิ้นปัญญาแลความรู้จะฉลองพระเดชพระคุณยังมีแต่ตัวจะแทนคุณท่านจึงจะสมกับที่ชุบเลี้ยง พวกเรานี้รักกันมาสนิทเหมือนพี่น้อง บัดนี้มาตายเสียหกคนแล้ว เชิญท่านสี่คนกลับไปที่อยู่ให้สำราญเถิด ตัวเราจะขอทำศึกกับเกียงจูแหยกว่าจะตายอยู่ที่นี่ ไม่ขอคืนไปดูหน้าคนสืบไป ว่าแล้วก็ร้องไห้ สีเทียนกุ๋นจึงว่าท่านอย่าเพ่อเสียน้ำใจเลย วางอารมณ์ให้สบายเถิด ที่เขาตายไปนั้นเพราะถึงที่ตายของเขา ข้าพเจ้าสี่นายต่างคนก็ต่างมีวิชา จะอาสารบดูให้สิ้นความคิดก่อน ว่าแล้วก็ลาไปรักษาค่ายกลตามตำแหน่ง
๏ ขณะนั้นบุนไทสือคิดขึ้นได้ว่าเตียวกองเบ๋ง ซึ่งสำนักอยู่เขาโงไปซัวในถ้าโลพูต๋องเป็นคนมีสติปัญญาและความรู้อันประเสริฐ ถ้าได้มาช่วยทำการศึกเห็นว่าจะมีชัยชำนะเป็นมั่นคง จึงสั่งกิดดิบอิเบ้งสองนายให้รักษาค่ายอยู่ แล้วบุนไทสือก็ขึ้นหลังกิเลนรีบไปโดยเร็ว ครั้นมาถึงปากถ้ำโลพูต๋อง ก็ลงจากกิเลนยืนอยู่ที่นั่น พอตันเก๋าก๋องผู้เป็นศิษย์เตียวกองเบ๋งออกมาจากถ้ำ แลเห็นบุนไทสือยืนอยู่มีตานั้นสามตา ตันเก๋าก๋องหัวเราะแล้วจึงถามว่า ท่านมาด้วยเหตุอันใด บุนไทสือจึงบอกว่า เราจะมาหาเตียวกองเบ๋งผู้เป็นอาจารย์ท่านอยู่หรือไปไหน ตันเก๋าก๋องก็บอกว่าอยู่ แล้วก็กลับเข้าไปในถ้ำบอกแก่อาจารย์ว่า มีคนสามตามาหาท่าน บัดนี้ยังยืนคอยท่าท่านอยู่ที่ปากถ้ำ
๏ ฝ่ายเตียวกองเบ๋งได้ฟังก็รู้ว่าบุนไทสือมาหา จึงลุกออกมารับโดยเร็ว เห็นบุนไทสือยืนอยู่ เตียวกองเบ๋งหัวเราะแล้วจึงว่า ท่านเข้าไปทำราชการในเมืองจิวโก๋ มียศฐาศักดิ์เป็นที่ยิ่ง คิดว่าท่านจะลืมถิ่นฐานที่อยู่ทั้งเพื่อนฝูงเสียแล้ว วันนี้เป็นวันดีที่ท่านได้กลับมาเห็นหน้า พูดหยอกพลางจับมือจูงพากันเดินเข้ามาในถ้ำ ต่างคำนับกันตามธรรมเนียม บุนไทสือนั่งลงก็ทอดใจใหญ่ เตียวกองเบ๋งจึงถามว่า เป็นไรท่านจึงทอดใจใหญ่มีความทุกข์สิ่งไรหรือ บุนไทสือจึงบอกว่ารับสั่งพระเจ้าติวอ๋องให้เราไปทำศึกกับเกียงจูแหย เกียงจูแหยพรรคพวกมาก เราจึงไปหาอาจารย์ทั้งสิบคนมาตั้งค่ายกลสิบอย่าง คิดจะลวงจับเกียงจูแหยให้ได้ กลับเสียทีแก่ข้าศึกตายเสียหกคน เรามีความแค้นนัก จึงอุตส่าห์แบกความอายมาถึงท่าน จะเชิญท่านไปช่วยตอบแทนแก่ข้าศึก เตียวกองเบ๋งจึงว่าแต่ก่อนนั้นทำไมจึงไม่บอกให้รู้ ถ้ามาบอกแต่แรกจนป่านนี้การศึกก็จะสำเร็จเสียแล้ว วันนี้เชิญท่านกลับไปก่อน พรุ่งนี้เราจะจัดแจงไปตาม บุนไทสือได้ฟังก็ดีใจ ลาแล้วออกจากถ้ำขึ้นหลังกิเลนกลับมาค่าย ครั้นรุ่งเช้าเตียวกองเบ๋งจึงเรียกตันเก๋าก๋องเอียวเสียนสูผู้เป็นศิษย์สองคนมาบอกว่า เราจะไปช่วยตีเมืองไซรกี ท่านทั้งสองมาไปด้วยกัน ว่าแล้วก็ออกจากถ้ำกับศิษย์สองคนพากันเดินมาตามเชิงเขา แลเห็นเสือโคร่งตัวหนึ่ง เตียวกองเบ๋งหัวเราะ จึงบอกศิษย์สองคนว่า เสือตัวนี้เราจะจับเอาไปขี่ทำศึก แล้วก็เดินไปใกล้ชี้ด้วยนิ้วมือ เสือนั้นก็หมอบฟุบอยู่ เตียวกองเบ๋งเสกเชือกผูกเป็นบังเหียน ลงยันต์ปิดกลางหลังเสือแล้วขึ้นขี่เอามือตบลงที่ศีรษะเสือ เสือนั้นก็เหาะไปตามอากาศ ตันเก๋าก๋องเอียวเสียวสูก็เสกดินเหาะตามอาจารย์มา ครั้นถึงค่ายบุนไทสือ เตียวกองเบ๋งก็พากันลงไปในค่ายบุนไทสือ บุนไทสือแลเห็นก็วิ่งไปรับโดยเร็ว พากันไปนั่งที่สมควร
๏ ฝ่ายอาจารย์ทั้งสี่คนรู้ว่าเตียวกองเบ๋งมา ก็มาคำนับกันตามธรรมเนียม ปรึกษากันในการศึก เตียวกองเบ๋งแลไปข้างค่ายเกียงจูแหย เห็นเกียงจูแหยเอาเตียวกังขึ้นแขวนประจานไว้หน้าค่าย เตียวกองเบ๋งมีความโกรธ แล้วจึงว่าการศึกยังจะคิดทำโต้ตอบกันอยู่ ยังหารู้ว่าใครจะแพ้จะชนะกันไม่ เขามาทำประมาทหมิ่นอย่างนี้ เห็นว่าพวกเราจะสู้ไม่ได้แล้วหรือ เราคงจะคิดจับเอามาทำตอบแทนให้เหมือนกันบ้าง แล้วเตียวกองเบ๋งก็จับกระบองทองสั้นสี่เหลี่ยม มาขึ้นขี่หลังเสือ บุนไทสือก็ขึ้นหลังกิเลน พากันออกมาหน้าค่ายเกียงจูแหย แล้วเตียวกองเบ๋งจึงร้องว่าใครอยู่นั้น ไปบอกเกียงจูแหยมาหาเราโดยเร็ว โลเฉียยืนอยู่ประตูค่าย ก็บอกต่อกันเข้าไปถึงเกียงจูแหยว่า มีคนขี่เสือให้เชิญอาจารย์ออกไปเจรจาด้วยกัน