๘๙
๏ ฝ่ายอวนหองอยู่ในค่าย ม้าใช้มาแจ้งว่าเกียงจูแหยยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่ด่านอึ่งฮอเบ๋งจิ๋น อิวโพ้ไป้จึงว่าการศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จำจะคิดอ่านต่อสู้ให้สามารถจึงจะได้ อวนหองจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย อันเกียงจูแหยนี้เรารู้จักอยู่เป็นไพร่เอาสติปัญญามาแต่ไหน แต่หากว่าโชคดีจึงรบชนะด่านทางทั้งปวงล่วงเข้ามาได้ ทีนี้ท่านจะคอยดูเราจะทำให้เกียงจูแหยยับเยิน มิให้เหลือทหารกลับไปแต่สักคนหนึ่งได้
๏ ขณะนั้นฝ่ายอีบุ๋นเต๊กบู๋โกขุย พวกหัวเมืองซึ่งมาเข้าพระเจ้าบูอ๋องนั้น เข้าไปคำนับเกียงจูแหยแล้วว่าทหารแลหัวเมืองทั้งปวงพร้อมกันแล้วจะช้าอยู่ไย วันนี้ขอท่านจงได้ยกเข้าตีค่ายอวนหองให้เข็ดฝีมือเสียจงได้ เกียงจูแหยจึงว่าเรามาทำการศึกครั้งนี้ หมายจะให้อาณาประชาราษฎรเป็นสุข ซึ่งจะเข้าหักหาญเอาก่อนนั้นหาควรไม่ จำจะให้มีหนังสือไปว่ากล่าวโดยดีก่อน ถ้าอวนหองดื้อดึงประการใด เราจึงจะคิดอ่านทำการต่อภายหลัง แล้วจะกำหนดให้รู้วันซึ่งจะรบกัน จึงจะต้องด้วยอย่างธรรมเนียม ขุนนางทั้งปวงก็คำนับแล้วว่าท่านว่านี้ชอบแล้ว เกียงจูแหยก็ให้เขียนหนังสือแจ้งความฉบับหนึ่งให้เอียวเจี้ยนถือไป ณ ค่ายอวนหอง อวนหองรู้ก็ให้หาตัวเอียวเจี้ยนเข้าไป รับเอาหนังสือมาดูแจ้งความแล้ว จึงว่ากับเอียวเจี้ยนว่าเราไม่ตอบหนังสือแล้ว เวลาพรุ่งนี้ให้เกียงจูแหยมารบกับเราเถิด เอียวเจี้ยนก็กลับมาแจ้งความแก่เกียงจูแหย เกียงจูแหยก็สั่งให้ทหารจัดกระบวนทัพ กองหลวงนั้นให้ถือธงแดง งกซุ่นคุมพวกทหารหัวเมืองฝ่ายใต้เป็นปีกขวา จองเอ๋งหลวนคุมทหารหัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นปีกซ้าย ให้ถือธงห้าสีทั้งสองกอง ครั้งรุ่งก็จุดประทัดสัญญา ยกทัพไปตั้งที่หน้าค่ายอวนหอง อวนหองรู้ก็ขึ้นม้าขาว ใส่เสื้อแลหมวกสีน้ำเงินถือกระบองเหล็ก พาทหารออกมาเห็นเกียงจูแหยขี่ซูปุดเสียงหน้าเป็นมังกร ตัวมีเกล็ดเหมือนกิเลน หางเป็นหางโค เท้าเหมือนเท้าแรดยืนอยู่กลางทหาร จึงร้องถามว่าท่านชื่อเกียงจูแหยหรือ เกียงจูแหยก็รับคำแล้วถามว่า ท่านชื่ออวนหองเป็นแม่ทัพเอกในเมืองจิวโก๋หรือ บัดนี้พระเจ้าติวอ๋องก็สิ้นความสัจ สิ้นบุญยังแต่จะตาย บรรดาหัวเมืองทั้งปวง ก็ยอมเข้าด้วยพระเจ้าบูอ๋องสิ้นแล้ว เรายกกองทัพมาครั้งนี้ดุจดังกองเพลิงอันใหญ่ ท่านเหมือนหนึ่งน้ำในจอกน้อยนิดหนึ่งจะดับไฟที่ไหนได้ อย่าทำดื้อดึงให้เสียที จงเร่งฟังคำเราว่า มาสามิภักดิ์กับพระเจ้าบูอ๋องโดยดี ก็จะได้ความชอบสืบไป อวนหองจึงร้องตอบเกียงจูแหยว่า เกียงเสียงท่านดีแต่ตกเบ็ด รู้แห่งที่น้ำตื้นแลลึก จะตกปลากับจะล่อลวงชาวด่านที่หาสติปัญญาไม่ จึงได้ทหารยกกองทัพมาถึงนี่ ซึ่งจะมาขู่ล่อลวงเรานั้นเรารู้เท่าอยู่ ว่าแล้วก็สั่งเสียงเฮากองหน้าให้เร่งขับม้าเข้าจับเกียงจูแหย เอียวซีเหลียงงกซุ่นเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนเข้าต่อสู้กับเสียงเฮาได้หลายเพลง เสียงเฮาทำเป็นหนี แล้วร่ายมนต์ให้เป็นลมพัดมืดบังตัวแลม้า แปลงตัวเป็นงูพ่นพิษออกไปถูกเอียวซีเหลียงงกซุ่นตกม้าลงมาสลบอยู่แล้วตัดศีรษะไป จึงร้องประกาศว่า วันนี้จะจับเกียงเสียงทำให้เหมือนเอียวซีเหลียงงกซุ่น แพจอซิวเห็นเอียนซีเหลียงงกซุ่นตาย ก็ขับม้าออกไปร้องท้าทาย ง่อเหลงเห็นแพจอซิวรุกมาก็รำดาบสองมือออกต่อสู้ แล้วก็ทำเป็นหนี ครั้นแพจอซิวไล่ตามจึงแปลงตัวเป็นตะขาบใหญ่ไล่กัดเอาแพจอเจ็บปวดเป็นสาหัส แล้วง่อเหลงก็ฟันแพจอซิวตัวขาดสองท่อนตาย ทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วย ตะขาบก็กัดทหารคนนั้นตาย เอียวเจี้ยนเห็นจึงบอกโลเฉีย ว่าง่อเหลงนี้เห็นจะมีความรู้จำเราจะออกต่อสู้จึงจะได้ ง่อเหลงขับม้าเข้ามาตรงหน้าร้องว่าผู้ใดจะชิมคมดาบเราก็ให้เร่งออกมา โลเฉียได้ยินก็โกรธ จึงแปลงกายเป็นสามศีรษะหกมือเหยียบจักรเข้ารบกับง่อเหลง ง่อเหลงก็ต่อสู้ด้วยดาบสองมือได้สี่เพลง โลเฉียจึงทำเป็นไฟไปล้อมง่อเหลงไว้ ง่อเหลงก็สำแดงฤทธิ์เป็นควันขึ้น แล้วก็หายตัวไป เสียงเฮาเห็นดังนั้นก็ออกสู้กับโลเฉีย เอียวเจี้ยนก็เข้าช่วยโลเฉียรบ เสียงเฮาเห็นเหลือกำลังก็หนีไป เอียวเจี้ยนจึงเอาเกาทัณฑ์ลูกทองเหลืองไล่ตามยิงเป็นหลายที โลเฉียก็ทำเป็นมังกรไปสกัดล้อมไว้ เสียงเฮาก็ทำเป็นควันมืดขึ้นหายตัวไป อวนหองเห็นทหารพ่ายแพ้ก็โกรธ ขับม้าออกต่อสู้กับเกียงจูแหยได้ห้าสิบเพลงยังไม่แพ้กัน เอียวหยิมทหารเกียงจูแหยจึงร่ายมนต์เอาพัดโบกไปเป็นไฟไหม้ม้าอวนหองตาย อวนหองทนร้อนมิได้ก็หนีไป เกียงจูแหยก็ให้ตีม้าล่อเรียกทหารเข้าค่าย ตรวจกันดูรู้ว่าเสียทหารตัวนายสามคนก็ไม่สบาย เอียวเจี้ยนจึงว่าข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าอวนหองนั้นเป็นชะนี ง่อเหลงนั้นเป็นตะขาบ เสียงเฮานั้นเป็นงู สัตว์ทั้งสามแปลงเป็นคนมา เมื่อโลเฉียทำเป็นมังกรไล่ไป แลข้าพเจ้าเอาเกาทัณฑ์ยิงทั้งเอียวหยิมเอาพัดโบกเป็นไฟ ไปประหารคนทั้งสามก็ไม่ตาย ด้วยเหตุว่าคนทั้งสามมิใช่มนุษย์เป็นสัตว์มีฤทธิ์แปลงมา ซึ่งจะหักเอาด้วยฝีมือนั้นไม่ได้ จำจะจัดแจงคนที่มีความรู้ แลอุบายอันดีออกต่อสู้คิดฆ่าเสียให้จงได้
๏ ฝ่ายอวนหองครั้นมาถึงค่าย จึงว่ากับง่อเหลงเสียงเฮาว่า โลเฉียเอียวหยิมนั้นมีฤทธิ์มาก ง่อเหลงจึงตอบว่าคนทั้งปวงกลัวมังกร แลพัดทหารเกียงจูแหย แต่ตัวเราไม่ครั่นคร้ามแก่ข้าศึก จะรบเอาความชอบให้จงได้ แล้วอวนหองเขียนหนังสือบอกไปถึงปวยเหลียมให้ทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพเจ้าได้ออกรบกับเกียงจูแหยครั้งหนึ่ง ฆ่านายทหารตายสามคน กับทหารเลวตายเป็นอันมาก แลการศึกนั้นอย่าให้ทรงพระวิตกเลย
๏ ขณะนั้นเหลาหยินเกียดอินเสงซิวลุยฮุนลุยเผงปรึกษากันว่า วันนี้เราเห็นแม่ทัพกับกองหน้า ออกรบเกียงจูแหยนั้นดูเหมือนมิใช่มนุษย์เป็นชาติเดียรรัจฉาน ด้วยประเพณีแต่ก่อนเป็นอาจารย์ว่าไว้ ถ้าเมืองใดจะอยู่เป็นสุขก็มีเทวดามาอยู่ด้วย ครั้งนี้สัตว์ทั้งสามมาเข้าด้วยพระเจ้าติวอ๋อง เราเห็นว่าเมืองจิวโก๋จะเป็นอันตรายเสียแล้ว อินเสงซิวจึงห้ามว่าท่านอย่าพูดก่อนเลย ถ้าเห็นเสียท่วงทีประการใด เราทั้งปวงจึงค่อยคิดต่อสู้ข้าศึกเอาชีวิตแทนพระคุณเจ้าต่อภายหลัง
๏ ฝ่ายผู้ถือหนังสือไปถึงเมืองจิวโก๋ จึงคำนับแจ้งความแก่ปวยเหลียม ปวยเหลียมก็นำหนังสือเข้าไปทูล พระเจ้าติวอ๋องทราบแล้วดีพระทัย แล้วให้ปวยเหลียมจัดโหมดร้อยม้วนอีแปะหมื่นพวง กับแพะแลสุราไปพระราชทานอวนหอง แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จเข้าข้างใน ตรัสบอกนางขันกีตามหนังสืออวนหองบอกมาทุกประการ นางขันกีจึงว่าซึ่งอวนหองไปทำศึกบอกข้อราชการมานั้น ข้าพระองค์เห็นว่าพระบารมีของพระองค์จะรุ่งเรืองไป บ้านเมืองจะอยู่เย็นเป็นสุข พระเจ้าติวอ๋องก็สบายพระทัยจึงพานางขันกี นางฮีบี๋ นางอึ้งกุยหยิน มเหสีทั้งสามขึ้นไปเสวยสุราบนที่นั่งหลกไต๋
๏ ขณะนั้นเป็นเทศกาลหนาวหมอกลงมืดมัวด้วยแซะตกจึงให้เปิดมู่ลี่ชวนมเหสีให้ดูแซะ ที่ตกลงมาพื้นแผ่นดินเป็นอันมาก ดุจดังกองเงิน แล้วให้นางทั้งสามทำเพลงขับร้องประสานเสียงกัน พระองค์ทรงฟังเพลงเสวยสุราพลาง ครั้นหายมืดมัวสว่างเป็นปรกติแล้ว จึงถามมเหสีออกไปที่ลั่นกันชาญชั้นนอก ทอดพระเนตรไปข้างทิศตะวันตก เห็นชายแก่คนหนึ่งกับชายหนุ่มคนหนึ่ง เดินลุยน้ำข้ามคลอง คนแก่นั้นเดินเร็ว คนหนุ่มนั้นเดินช้า จึงตรัสแก่นางขันกีว่าคนทั้งสองนั้น เหตุไรคนหนุ่มจึงเดินช้ากว่าคนแก่ นางขันกีจึงทูลว่า ซึ่งคนแก่เดินเร็วนั้น เมื่อแรกเขาจะมาเกิด บิดามารดาเขาบริบูรณ์ด้วยโลหิต บุตรจึงมีแรงมาก คนหนุ่มซึ่งเดินช้านั้นเมื่อแรกจะเกิดในครรภ์บิดามารดาโลหิตไม่บริบูรณ์ บุตรจึงมีกำลังน้อย พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่ายังไม่เห็นจริง นางขันกีจึงทูลว่าถ้าพระองค์จะให้เห็นจริง จงให้หาตัวคนทั้งสองมาตัดเท้าดูโลหิตเถิด พระเจ้าติวอ่องก็สั่งให้ไปนำคนทั้งสองเข้ามาถึงหน้าที่นั่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงให้เอาขวานตัดเท้าคนทั้งสองออกดู เห็นคนแก่นั้นมีโลหิตมาก คนหนุ่มนั้นมีโลหิตน้อย ก็ตรัสชมนางขันกี ว่าเจ้ารู้ดูแน่ดังเทวดา นางขันกีจึงทูลว่าข้าพระองค์เป็นผู้หญิง ได้เรียนรู้ไว้บ้างนิดหน่อยหนึ่ง ถ้าพระองค์จะใคร่ดูความรู้ข้าพระองค์อีก จงให้หาผู้หญิงมีครรภ์มา ข้าพระองค์จะทายบุตรในท้องนั้นว่าเป็นอย่างไรให้รู้แจ้ง พระเจ้าติวอ่องก็สั่งให้ไปหาหญิงมีครรภ์มาสักสองคน ครั้นผู้ไปหาพบหญิงจะพาตัวมา หญิงนั้นรู้ก็กลัวต่างคนร้องไห้ไม่มา ผัวหญิงกับพรรคพวกก็ชวนกันชิง คนผู้ไปหานั้นก็ไม่ฟัง ฉุดลากถุ่มเถียงกันอื้ออึง ปิจู๊ซึ่งเป็นบุตรปิกันเห็นดังนั้นจึงถาม ครั้นแจ้งความแล้วก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋องทูลว่า ซึ่งพระองค์ให้เอาคนสองคนอันหาความผิดมิได้มาตัดเท้าเสียนั้น ก็เป็นที่เดือดร้อนอยู่แล้ว ซึ่งจะเอาหญิงมีครรภ์มาผ่าท้องดู ตามคำพระมเหสีอีกนั้น ข้าพระองค์เห็นผิดอย่างธรรมเนียมกษัตริย์แต่ก่อน บัดนี้การศึกก็ยังหาเสร็จไม่ พระองค์จะทำให้อาณาประชาราษฎรร้อนดังนี้ เกลือกจะช่วยกันคิดเอาใจออกหากไปเข้าด้วยบุตรสิ้น สมบัติทั้งปวงจะมิเป็นอันตรายเสียหรือ ขอพระองค์อย่าทำดังนี้เลยหาควรไม่ พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธว่า ปิจู๊ว่าล่วงเกิน จึงสั่งทหารให้เอาปิจู๊ไปทุบเสีย ปิจู๊ร้องว่าซึ่งข้าพระองค์ว่าทั้งนี้เพราะคิดกตัญญูเห็นแก่แผ่นดิน ถึงจะฆ่าเสียก็ไม่เสียดายชีวิต ครั้นทหารคุมตัวปิจู๊มาถึงประตู พอหมุยจิวคี้หมุยจิวเอี๋ยน ซึ่งเป็นพี่น้องกับปิจู๊มาห้ามไว้ แล้วเข้าไปทูลว่าซึ่งปิจู๊มาทูลล่วงเกินต่อพระองค์นั้น โทษก็ผิดอยู่แล้ว แต่ว่ากล่าวทั้งนี้ด้วยความสัตย์ซื่อรักพระองค์ จะให้แผ่นดินเป็นสุขจะได้พึ่งพระบารมีสืบไป ข้าพระองค์ขอพระราชทานชีวิตปิจู๊ไว้ครั้งหนึ่งเถิด พระเจ้าติวอ๋องก็พระราชทานชีวิตไว้ ให้ถอดเป็นไพร่ นางขันกีผูกพยาบาทปิจู๊ จึงทูลว่าซึ่งพระองค์ให้ปิจู๊เป็นไพร่นั้น ข้าพระองค์เห็นว่าปิจู๊มีความแค้นเคือง จะไปเข้ากับเกียงจูแหยซึ่งเป็นข้าศึกมาทำร้ายแก่พระองค์เป็นมั่นคง ขอให้ทำโทษจงสาหัส โกนศีรษะเสียแล้วไว้ใช้เป็นทาสตรากตรำให้สาใจที่ล่วงเกินแก่เจ้าแผ่นดิน พระเจ้าติวอ่องก็เห็นชอบ จึงสั่งให้ทำตามนางขันกี หมุยจิวคี้หมุยจิวเอี๋ยน ครั้นพระเจ้าติวอ๋องสั่งดังนั้นก็เสียใจ ถวายบังคมลาไปบ้าน แล้วชวนกันร้องไห้สงสารปิจู๊ จึงปรึกษากันว่าเราจะอยู่ด้วยพระเจ้าติวอ๋องไม่ได้ ก็เก็บทรัพย์สิ่งของทั้งปวงพากันหนีไป พระเจ้าติวอ๋องก็ให้เอาตัวหญิงมีครรภ์สองคนเข้ามาหน้าที่นั่ง ให้นางขันกีทายว่าบุตรในครรภ์เป็นอย่างไร นางขันกีจึงทูลว่า บุตรนั้นเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เป็นหญิงคนหนึ่ง ชายนั้นผินหน้ามาอยู่ข้างขวา หญิงนั้นผินหน้าอยู่ข้างซ้าย พระเจ้าติวอ๋องจึงให้ผ่าท้องสตรีทั้งสองออก ก็เห็นบุตรนั้นเป็นเหมือนคำนางขันกี ในทันใดนั้นก็บังเกิดพายุให้มืดมนไป แล้วมีขุนนางเข้ามาทูลว่า หมุยจิวคี้หมุยจิวเอี๋ยนทิ้งบ้านเรือนเสียไม่รู้ว่าจะไปแห่งใด พระเจ้าติวอ๋องก็ตรัสว่า อ้ายสองคนนี้ถึงอยู่ก็หาได้ราชการสิ่งใดไม่ มันจะหนีไปเข้าด้วยข้าศึกก็ตามที อวนหองเขาไปปราบปรามอยู่แล้วจะกลัวอะไร ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าติวอ๋องก็คิดแต่จะเล่นสนุก มิได้ว่าราชการบ้านเมือง