- เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓
- พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓
- มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๓
- กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๓
- สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๓
- กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๓
- ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๓
- พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓
- ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓
- มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔
- กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
- มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
- เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๔
- พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
- มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔
- กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
- สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
- ภาคผนวก
- ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๘
- ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ น
- ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ดร
- ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ น
- ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ น
- ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ น
- ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ น
- ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๒ น
- ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๒ น
- ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ น
- ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ น
- ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ปสศ
- ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ น
- ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ยส
- ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ว
- ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๘ ว
- ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๙
- ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ยส
- ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ว
- ผู้พูดกับผู้ฟัง
- คำแบบ
- เรื่องจำนวน
๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ปสศ
หอพระสมุดวชิราวุธ
วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗
ขอพระราชทานกราบทูล ทราบใต้ฝ่าลอองพระบาท
ด้วยตามที่ได้โปรดเกล้า ฯ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานถวายคำอธิบายเพิ่มเติมเรื่องชาวทมิฬ แด่ฝ่าลอองพระบาท และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดังต่อไปนี้
เรื่องชาวอินเดียใต้ที่ปินังพูดภาษาทมิฬเหมือนกัน แต่มีผิวผิดกัน เป็นดำจัดบ้าง ดำแดงบ้าง คนพูดภาษาทมิฬที่ปินัง ฉะเพาะที่อาจทรงสังเกตว่าเป็นชาวอินเดียใต้นั้นมีอยู่ ๓ จำพวก คือ ๑. ชาวทมิฬแท้ ส่วนมากเป็นกุลีสวนยาง ส่วนน้อยส่วน ๑ เป็นพวกถือศาสนาอิสสลามและโดยมากเป็นพ่อค้า ส่วนน้อยอีกส่วน ๑ อยู่ถนนอะไรที่ชาวอินเดียมักเรียกกันว่า Chetty Street เป็นผู้ทำการกู้เงิน (คนพวกนี้เคยมีอยู่มากในกรุงเทพฯ ตามถนนจักรพรรดิคราวหนึ่ง แต่เวลานี้เหลืออยู่เป็นจำนวนน้อย). ๒. ชาวตำบล Jaffna ในเกาะลังกา พนักงานรถไฟในมลายูเกือบจะเป็นคนพวกนี้ทั้งสิ้น ทั้ง ๒ พวกนี้มีผิวดำจัดทั้งนั้น. ๓. ชาวแคว้น Malabar ในอินเดียใต้ ซึ่งติดต่อกับแคว้นทมิฬ ทำการร้านกาแฟและภัตตาคาร คนเหล่านี้พูดภาษาทมิฬ เพราะหาเลี้ยงชีพท่ามกลางชาวทมิฬ ถึงภาษาของเขาเองก็เป็นแต่สาขาของภาษาทมิฬเท่านั้น ชาว Malabar เหล่านี้โดยมากมีผิวไม่ดำจัด บางคนก็มีผิวขาวเหลืองด้วยซ้ำ เพราะคนที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟ และลูกจ้างฉะเพาะผู้จัดทำอาหารเป็นพราหมณ์ ซึ่งโดยปกติมีผิวดำน้อยกว่าชาวอินเดียใต้ผู้อื่น และอีกประการหนึ่งอากาศแคว้น Malabar รักษาผิวพรรณ์ไม่ให้กลายเป็นดำจัดอย่างอากาศแคว้นทมิฬ ถึงลูกจ้างร้านกาแฟผู้วรรณต่าง ๆ ก็ผิวขาวกว่าชาวทมิฬที่ปินัง เพราะอากาศบ้านเมืองเขาบันดาลให้เป็นเช่นนั้นอย่าง ๑ และเพราะส่วนมากมีโลหิตพราหมณ์อีกอย่าง ๑
ข้อความข้างต้นนี้ ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมาตามที่เคยได้สังเกตเมื่อผ่านปินังมากรุงเทพ ฯ แต่อาจจะมีคนที่พูดภาษาทมิฬซึ่งไม่ใช่ชาวแคว้น Malabar และมีผิวไม่ดำจัดก็ได้ จึงใคร่จะกราบทูลเหตุที่คนเรามีผิวต่างๆกันนั้นไว้เป็นหลัก คือตามมติของนักรู้ประวัติมนุษยชาติ เช่น H.J. Fleure ผู้แต่งเรื่อง “The Races of Mankind” (Benn,1928) มนุษย์ทั้งหลายซึ่งแยกเป็นชาติต่าง ๆ กันอยู่ในเวลานี้ เดิมเป็นพวกเดียวกันและกระจายมาแต่แห่งเดียวกันทั้งสิ้น แต่ที่ปรากฎผิดแปลกในส่วนขนาดร่างกาย ผิวพรรณ์ ลักษณะผม หน้าผาก จมูก และริมฝีปากดังนี้เป็นต้น ก็เพราะอพยพไปอยู่ณที่อันผิดกันด้วยอากาศร้อน หนาว และเครื่องบริโภค เป็นต้น
ส่วนผิวพรรณ์ แม้ชาวยุรปบางเหล่าผู้ผิวขาวที่สุด ก็ยังมีสีน้ำตาลเจือปนอยู่ในผิวพรรณ์บ้างเล็กน้อย เพราะสีน้ำตาลนั้นมีหน้าที่ป้องกันอันตรายอันจะเกิดขึ้นได้จากรัศมีพระอาทิตย์ส่วนที่เป็นสีม่วง (the violet rays of the sun) มากระทบกับผิวหนัง คนตั้งภูมิลำเนาอยู่ในประเทศที่รับแดดมากกว่ายุรป จักมีอันตรายอันเกิดแต่รัศมีพระอาทิตย์ทวียิ่งขึ้น สีน้ำตาลในผิวพรรณ์คนเหล่านั้นจึงทวีขึ้นพร้อมกัน
อนึ่ง ร่างกายมนุษย์ก็เหมาะแก่การอยู่ในประเทศที่ไม่ร้อนมาก ไม่หนาวมาก แม้ว่าบางครั้งบางคราวอากาศจะร้อนหรือหนาวเกินไปบ้างก็ดี ร่างกายก็ยังมีเวลาต้องการอากาศร้อนเพียง ๒๐ ถึง ๒๕ ดีกรีอยู่บ่อย ๆ ครั้นฝืนธรรมชาติไปอยู่ ณ ที่อากาศร้อนมาก มักเกิดมีโรคประจำตัวบางอย่างซึ่งทำให้ผิวดำจัด
เช่นนี้ คนอยู่ตำบลที่มีอากาศร้อน อย่างภาคใต้อินเดียหลายแห่ง จึงน่าจะมีผิวเหมือนๆกัน แต่ที่จริงก็ดำไม่เหมือนกัน เห็นมีอยู่หลายอย่าง ตั้งแต่ดำจัดลงมาตลอดจนถึงผิวขาวเหลือง ก็เพราะ ๑. อยู่ในตำบลที่อากาศร้อนมากร้อนน้อยต่างกัน ๒. ตนเองหรือบรรพบุรุษของตนเคยมีอาชีพมาโดยวิธีอันต่าง ๆกัน คือ บางคนต้องตากแดดตากฝน และบริโภคอาหารเลว ๆ บางคนไม่ต้องตากแดดตากฝนและได้บริโภคอาหารที่ดี ฉะนั้น ชาวอินเดียฝ่ายใต้ พวกศูทรและวรรณต่ำกว่านั้น ซึ่งอาศัยอยู่ตำบลที่อากาศร้อนมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว และส่วนมากเป็นชาวนา ชาวสวน หรือมีอาชีพทางอื่นที่ต้องตากแดด จึงมีผิวดำจัด วรรณสูงกว่าศูทรก็มีแต่พราหมณ์ ส่วนกษัตริย์และเวสสะ (ไวศย) ที่แท้นั้นทางอินเดียใต้ไม่มี พราหมณ์เหล่านี้เดิมอยู่ทางเหนือ และอพยพมาอยู่ภาคใต้ ภายหลังเวลาศูทรและวรรณต่ำอื่น ๆ อพยพมานั้นช้านานตั้งร้อยปีพันปี และธรรมเนียมพราหมณ์อินเดียภาคใต้ไม่ทำไร่ทำนา เคยมีอาชีพในทางปุโรหิต ครูสอนหนังสือ ผู้พิพากษาและอำมาตย์ เป็นพื้น เช่นนี้จึงตากแดดน้อย ฉะนั้นสีน้ำตาลในผิวหนังของพราหมณ์ก็ได้มีโอกาสและความจำเป็นต้องทวีขึ้นน้อยกว่าสีน้ำตาลในผิวหนังของพวกศูทร ฯลฯ ฉะเพาะคนชั้นกรรมกร อนึ่ง ตำราไวยากรณ์ชื่อมหาภาษยของปตัญชลิ ซึ่งสันนิษฐานกันว่าแต่งเมื่อศตพรรษที่ ๒ หรือ ๓ แห่งพุทธศักราช ตอนที่อธิบายสูตรที่ ๒-๒-๖ กล่าวลักษณของพราหมณ์ว่ามีผิวขาว ผมและตาสีน้ำตาล แต่อากาศร้อนแห่งอินเดียใต้ กับความจนซึ่งแต่เดิมพราหมณ์ชอบทรงไว้เป็นเครื่องหมายของตน ได้ทำลายความงามแห่งผิวพรรณมามากแล้ว ถึงเวลานี้พราหมณ์จำนวนมากมีผิวดำ ไม่ผิดกับศูทร เหลือแต่ผมและตาที่ยังเป็นสีน้ำตาลดำตรงกับลักษณเดิม
๒. ชาวกลิงคราษฎร์จริง ๆ กับชาวทมิฬมีลักษณผิดกันอย่างไร ตามหลักที่ได้กราบทูลมาแล้วเบื้องต้น ส่วนผิวพรรณชาวกลิงคราษฎร์คงไม่ผิดกับของชาวทมิฬซึ่งอยู่ตำบลที่อากาศร้อนหนาวเหมือน ๆกัน เพราะชาวกลิงคราษฎร์ที่มีผิวดำจัดก็มี ผิวดำน้อยก็มี เห็นแต่รูปไม่อาจรู้ได้ว่าคนนี้เป็นชาวกลิงค คนนั้นเป็นชาวทมิฬดังนี้ แต่ฟังเสียงก็รู้ง่ายเพราะชาวกลิงคพูดภาษา Telugu หรือ Orissa ซึ่งต่างกับภาษาทมิฬทั้ง ๒
๓. ดราวิเดียนและพราหมณ์ ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลมาแล้วข้างต้น ว่าพราหมณ์เป็นคนอพยพมาอยู่แคว้นทมิฬ ไม่ใช่ชาวทมิฬโดยแท้ แต่พูดภาษาทมิฬเพราะมาอยู่ท่ามกลางชาวทมิฬ จำเป็นต้องพูดภาษาทมิฬมาก ส่วนภาษาเดิมของตน เมื่อมีโอกาศใช้พูดน้อยลงเป็นลำดับมาถึงที่สุดก็ลืมเสียก็เช่นเดียวกับสกุลพราหมณ์ในประเทศสยาม ซึ่งลืมภาษาเดิมของตนเสียหมดแล้ว ส่วนชาวทมิฬเขาเป็นดราวิเดียนไม่ใช่อารยันก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ชาติป่าเถื่อน เพราะแม้ข้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นคนละพวกกับดราวิเดียน ได้พิจารณาดูวรรณคดีและศิลปวัตถุของชาวดราวิเดียนแล้ว ต้องรับว่าไม่แพ้ของชาวอารยัน และส่วนความรู้ผิดรู้ชอบ (moral sense) ซึ่งนับเป็นองค์สำคัญที่สุดของอารยธรรม ปรากฎจากหนังสือสุภาษิตเก่าๆ ของชาวทมิฬว่าชาวทมิฬนั้นประกอบด้วยอารยธรรมอย่างดี
๔. วิธีให้ชื่อกันทางอินเดียข้างใต้ ชื่อชาวภาคใต้อินเดียทุกคนแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วน ส่วนต้นเป็นชื่อบิดา ส่วนที่ ๒ เป็นชื่อตัวโดยแท้ ส่วนที่ ๓ เป็นเครื่องแสดงว่าเป็นคนชาติใด เพิ่มเข้าตอนท้ายตรงที่ไทยเพิ่มชื่อนามสกุล เช่นนี้ ชื่อข้าพระพุทธเจ้าคำแรกว่าปญจนทีศวร เป็นนามบิดา คำที่ ๒ ว่า สุพรหมณย เป็นชื่อตัว คำสุดท้ายว่า ศาสตรี แสดงว่าเป็นพราหมณ์
ในอินเดียภาคใต้มักตั้งนามเทวดาให้เป็นชื่อส่วนที่ ๒ นั้น เช่นอย่างประเทศสยามตั้งชื่อเรียกว่านายพรหม นายพุธ ฯลฯ ดังนี้เป็นประเพณีมาช้านานอย่างน้อยก็พันปี ทางโน้นอธิบายเหตุที่ตั้งชื่อเช่นนี้ว่า แม้ผู้ใดมีการงานมากหรือศรัทธาน้อยจนไม่ได้บูชาพระเป็นเจ้าเลยก็ดี ถ้าตั้งพระนามพระเป็นเจ้าเป็นชื่อลูกหลาน ทุกคราวที่เรียกลูกหลาน ก็จะคล้ายเป็นการสดุดีบูชาพระเป็นเจ้าด้วยดังนี้
ส่วนสุดท้ายของชื่อบุคคลอันเป็นเครื่องแสดงถึงชาตินั้น ตามแบบมีเพียง ๔ อย่าง คือ ส่วนพราหมณ์ว่า ศรมา กษัตริย์ว่า วรมา (วรรมา, วรรมัน) เวสสะว่า คุปต และศูทรว่า ทาส แต่เวลานี้เกิดมีมากหลาย
ชื่อชนิดนี้ของพวกพราหมณ์ เป็นชื่อแสดงคุณแห่งความรู้ก็มีบ้าง ดังที่ได้ทรงสังเกต คำว่า ศาสตรี (ผู้รู้ศาสตร์) ศเราติ (ผู้ที่ได้เล่าเรียนคัมภีร์เวท) ฯลฯ เป็นอุทาหรณ์ ตรงนี้และหมายว่าพราหมณ์ด้วยยกวิทยาฐานมากล่าว อีกบางอย่าง เช่น โสมยาชี (ผู้ที่ได้กระทำยัญญพิธีประเภทโสมยาค) วาชเปยี (ผู้ที่ได้ทำพิธีวาชเปย) ทีกษิต (ผู้ที่ได้ทำยัญญพิธี) ฯลฯ หมายว่าพราหมณ์ด้วยยกหน้าที่และประเพณีของพราหมณ์มากล่าวบางอย่างเช่น อาวารย อยยงคาร ฯลฯ มีใช้ฉะเพาะในพวกพราหมณ์ผู้ถือว่าพระนารายณ์เป็นใหญ่ (vaiṣṇavites) คำว่า ราว (Rao, แผงมาจากราชา) นั้นพราหมณ์ก็ใช้ พวกที่ไม่ใช่พราหมณ์ก็ใช้ แต่จำกัดอยู่ในหมู่คนที่อพยพมาแต่ภาคประจิม
ฝ่ายชาวอินเดียใต้ ผู้สมมติขึ้นเป็นชาติกษัตริย์ คือ ราชวงศ์แคว้น Cochin และ Trivandrum ก็ใช้ วรรมา เป็นสร้อยพระนาม
ได้กราบทูลมาแล้วว่าเวสสะแท้ไม่มีในอินเดียภาคใต้ แต่มีผู้ปลอมเป็นเวสสะ ทั้งนี้ใช้คำว่า เจฏฏิ (ซึ่งแผลงมาจากเศรษฐี) เป็นสร้อยชื่อ
ส่วนศูทรมีสร้อยชื่อชนิดนี้มากนัก คำว่า ปีฬไฬ มุทลิยาร และ นายุดุ มีใช้มากกว่าอย่างอื่น
หากจะมีข้อความตอนใดที่ยังไม่แจ่มแจ้ง ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานโอกาศถวายคำอธิบายอีกครั้งหนึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ข้าพระพุทธเจ้า ป.ส. ศ.