- มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๓ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ มิถุนายน ๒๔๘๓

พระยาอนุมานราชธน

ในที่นี้จะให้บันทึกให้แก่ท่าน ทักหนังสือเรื่องเกิดซึ่งท่านแต่งแล้วส่งไปให้ดู ท่านจงเข้าใจเถิดว่าที่จดบันทึกให้มานั้น เป็นส่วนที่รู้มากออกไป หรือเป็นความเหนที่ไม่ต้องกับที่ท่านเหน ส่วนที่ไม่ได้จดนั้น เป็นอันทราบเท่าที่ท่านทราบ หรือเหนด้วยกับท่าน หรือไม่ทราบเลย

๑. นิยม (หน้า ๔) คำนี้เคยทราบว่าแปลว่า เที่ยง แต่ที่ใช้กันอยู่เดี๋ยวนี้เคลื่อนไปเปนว่า ชอบ ที่ใช้ในหนังสือนี้เปนว่า เชื่อถือ ฉันไม่ได้ทักเพื่อให้แก้ ทักเพื่อเตือนใจให้รู้เท่านั้น แต่ที่จริงคำมีใช้ถมไป ถ้าเปลี่ยนใช้คำอื่นก็มีเปลี่ยนได้

๒. การที่ตั้งครรภแล้วฝันและทำนาย (หน้า ๕) นั้น เปนคติของการแต่งหนังสือ ไม่ใช่คติของคนธรรมดา กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยเคยกล่าวว่า แต่งหนังสือแล้วเมื่อจะตั้งท้องก็ต้องฝันว่ากินอะไรที่กินไม่ได้ เช่นดวงพระอาทิตย์ เปนต้น คนที่ตั้งท้องโดยธรรมดาย่อมไม่รู้ว่าตั้งท้องเสียอีก การเกิดของขุนช้างที่ยกมากล่าวอ้างนั้นก็เปนทางแต่งหนังสือ ถ้าจะอ้างถึงวิธีการแต่งหนังสือให้ตัวอย่างที่ขบขันก็ได้ แต่ต้องพูดให้เข้าใจว่าไม่ใช่ความจริง อนึ่งจะพูดเลยไปถึงชื่อขุนช้าง กล้วจะเปนชื่อตำแหน่งไม่ใช่ชื่อตัว เช่นว่า ขุนช้างขี่ช้างชนะงา เปนตัวอย่าง ส่วนขุนแผนนั้นปรากฏอยู่แล้วว่าเปนชื่อตั้ง คิดว่าคือ ขุนพิษณุแสนย์ ขุนแผนสท้าน นั้นเอง คำขับที่ว่า ครานั้นขุนแผนแสนสท้าน นั่นผู้แต่งก็รู้สึกเปนเงาๆ ว่าคำ สท้าน เกี่ยวข้องกับชื่อขุนแผน

๓. แสดงให้เหนภาพครั้งโบราณ (หน้า ๘) รังเกียจคำ ภาพ ด้วยภาษาช่างเขียนของเรา ถ้าพูดว่า ภาพ แล้วก็หมายถึงรูปตัวดี คู่กับ กาก หมายถึงรูปตัวเลว ตามที่ใช้ในที่นี้ก็ไม่ผิด แต่กระเดียดไปในทางว่ารู้คำใช้ของเราไม่ทั่ว ถ้าจะเปลี่ยนคำ ภาพ เสียว่า ทาง ก็เห็นว่าไม่ได้ทำให้ความเสียไป

๔. ที่ว่าแพ้ท้อง (หน้า ๑๑) อยากกินอะไรที่ไม่ใช่อาหาร ฉันไม่สู้เชื่อว่าอยากกินจริงๆ เปนแต่พูดว่าอยากกิน แล้วกินด้วยปรารถนาจะให้ลูกดีเท่านั้น แม้คนเจ็บกินของแสลงซึ่งอ้างว่าอยากกินนั้น ฉันก็ไม่สู้เชื่อว่าอยากกินจริง ๆ เหมือนกัน คิดว่าอยากหายเท่านั้น ธรรมดาคนเจ็บย่อมไม่อยากกินอะไร ของแสลงซึ่งกินเข้าไปนั้นก็ไม่ใช่แสลงเล็กน้อย มีขนมจีนน้ำยาเปนต้น แม้คนดีๆ ก็เตมที

๕. ข้อที่กล่าวถึงกองฟืนซึ่งสำหรับใช้อยู่ไฟ (หน้า ๑๓) ในตอนต้นกล่าวแต่เพียงว่าเอา หนามสะ แต่ตอนหลังตั้งเปนปัญหาว่าทำไมจึงเอาหนามพุทราสะ ตามที่แต่งไว้อย่างนั้นจึงเหนว่าตอนต้นควรระบุเสียด้วยว่าสะด้วยหนามพุทรา ต่อจากเรื่องสระหนามไปก็ถึงเรื่อง กะสือ อันชื่อว่า กะสือ นั้นชอบกล โลกถือเอาแต่แสงสว่างโดยจำเพาะเปนกะสือ เช่น หนอนกะสือ โคมกะสือ เปนต้น และเพราะรู้กันอยู่ว่า กะสือ นั้นมีแต่ตัวเมีย จึงจัดขึ้นให้มีตัวผู้ด้วยเรียกว่า กะหาง แต่ที่พูดกันก็เปนตลกให้เหนเปนขี้นกอยู่ในตัวว่าเอากระด้งทำปีก เอาสาก(ตำข้าว) ทำหาง ตามที่ว่านั้นทีเปนครึ่งคนครึ่งนก แต่ครั้นทำรูปครึ่งคนครึ่งนกเข้าจริง กลับเรียกว่า อรหันต์ ข้อนี้ก็ประหลาด ทำไมจึ่งเอาชื่อผู้สำเรจมีฌานเปนต้นมาใช้เรียกรูปโสกโดกเช่นนั้นก็ไม่ทราบ

๖. จะแปลการใช้เบี้ยบน (หน้า ๑๙) ก็คือบนด้วยเงิน เพราะแต่ก่อนใช้เบี้ยเปนเงินปลีก แม้เวลานี้จะใช้สตางค์ก็ได้เหมือนกัน ถ้าจะเอาเงินบาทออกเสียบฝาบน แม้หายไปในเวลาโน้นก็อาจถึงล่มจมได้ ได้ยินว่าวังหน้ากรมศักดิ์ได้รับพระราชทานเงินปีละ ๘๐๐ บาท นั่นแปลว่าเปนจำนวนมากอย่างล้นเหลือพอที่จะรักษาพระเกียรติยศวังหน้าไว้ได้ด้วยดีแล้ว

๗. ในการตัดสายสดือ (หน้า ๒๕) ถ้าพระองค์เจ้าใช้ลิ่มทองรองเปนเขียง คงเปนประเพณีซึ่งเปลี่ยนไปทีหลังเมื่อมั่งมีแล้ว

๘. ในการที่ไม่ฉีกผ้าอ้อมและเย็บเมาะก่อน (หน้า ๒๙) นั้นเพราะกลัวเด็กจะไม่ออกมารับเอาผ้าอ้อมกับเมาะซึ่งทำเตรียมไว้

๙. คาถาดับพิษไฟ (หน้า ๑๒) ฉันไม่เคยทราบมาเลย

๑๐. ในเรื่องยันตร์ ตลอดถึงเวทมนตร์ กลคาถา ถ้าจะเที่ยวถามอาจารย์ต่างๆ แล้วจดบันทึกมา เลือกเอาแต่ที่ผิดกัน เพียงยันตร์อย่างเดียวก็จะกินที่ตั้งเล่มสมุด แม้จะตัดเอาลงให้หมดก็เหนจะรุงรังเต็มที อย่างที่บุราณว่า อุปเทห์ท่วมหลังช้าง ในเรื่องลงยันตร์ ตรีนิสิงเห (หน้า ๑๕) ผเอิญฉันได้เหนได้สังเกตมา ทั้งจำคาถาที่เรียกว่า สูตร ไว้ได้ด้วย จึ่งสามารถจะบอกได้โดยละเอียด เส้นยันตร์ที่เขาลงนั่นเปนดังนี้ <img> แล้วลงเลขในช่อง ๙ ตัว แต่เลข ๕ นั้นเปนสี่ตัว อยู่ในช่องสี่มุม ตัวที่อยู่ช่องบนหลังหยัก อย่างหางอุณาโลม ลงกับสูตรว่า ปฺจพุทฺธา เลขอื่นอีกแปดตัวลงในช่องสามมุม แต่ตัวไหนจะอยู่ที่ไหนจำไม่ได้ จำได้แน่แต่เลข ๑ ซึ่งลงเปนต้นนั้น วางไว้ที่ช่องล่างมุมข้างช้ายมือ (ถือซ้ายเปนใหญ่ ?) เรียกตามสูตรลงทางเดินเปนม้าหมากรุกเวียนขวา ไม่ใช่เดินยอกย้อนกลับไปกลับมาอันคาถาที่เรียกว่าสูตรนั้น มีว่าดังนี้

ตฺรีนิสึเหสตฺตนาเค ปฺจพิษฺณูนเมวจ
จตุเทวาฉวจฺจราชา ปฺจอินฺทฺรานเมวจ
เอกยกฺขานวเทวา ปฺจพฺรหฺมาสหมฺปตี
เทวฺราชาอฐฺอรหนฺตา ปฺจพุทฺธานมามิหํ

แต่ที่จะวินิจฉัยว่าสิงห์สามคือสิงห์อะไรบ้างนั้น เปนการเหลือล้นพ้นปัญญา ที่ว่านาคเจ็ดนั้นก็หมดดี จะหมายถึงงูใหญ่หรือช้างอะไรก็ไม่ทราบ นาค ก็มีความหมายว่าใหญ่เท่านั้น ไปแลเหนอยู่แต่อรหันต์แปด นั่นหมายถึงพระอรหันต์แปดทิศ พระพุทธห้านั้นหมายถึงพระเจ้าห้าพระองค์ แต่พระพิษณุห้า พระอินทร์ห้า พระพรหมห้านั้นหมดปัญญา กลัวว่าเลขในยันตร์นั้นจะมีมาก่อน แล้วผูกคาถาสูตรเข้ายัดภายหลัง และหลังแผ่นผ้าหรือแผ่นกระดาษซึ่งลงยันตร์ ตรีนิสิงเห นั้น เขาลงยันตร์อีกชะนิดหนึ่ง มีชื่อ แต่ฉันจำไม่ได้ มีความเปนไปในทางว่าสลักหลัง เปนยันตร์อีกชะนิดหนึ่ง ตีเปนตาราง ๙ ตา ลงเลข ๙ ตัวเหมือนกัน เว้นแต่เลข ๕ มีตัวเดียว มีท่วงทีเปนดั่งนี้ <img> จำได้แม่นว่าเลข ๕ อยู่กลาง ส่วนเลขอื่นจะอยู่ที่ไหนจำไม่ได้ อาจที่เลขแถวล่างจะอยู่บน บนจะอยู่ล่าง หรือแถวหน้าจะอยู่หลัง หลังจะอยู่หน้ากลับกันก็เปนได้ แต่หลักอยู่ที่จะนับแถวบนลงมา หรือว่าจะนับแถวหน้าไปหลัง หรือนับทะแยงมุมก็คงจะได้จำนวนแถวละ ๑๕ เท่ากันหมด เปนกลเลข

๑๑. วิธีโบกควันเวียนเทียน เคยเหนพวกแขกฟาซีเขามาเล่นละคอนในกรุงเทพ ฯ เขาเล่นเปนมีการนักขัตฤกษอะไรที่เทวสถาน มีท่านอาจารย์ใหญ่บูชาไฟอยู่ในเทวสถาน เสร็จแล้วมีผู้ช่วยยกเอาออกมาให้สัปรุษ ซึ่งไปยืนอยู่รอบเทวาลัย ต่างก็วิดเอาควันไฟในเตาใส่ตัว ได้นึกว่าอ้ายนี่ได้แก่เวียนเทียนของเรา นอกจากนี้ซ้ำได้เคยเหนรูปทำขวัญแต่งงาน และรูปราชาภิเษกซึ่งตีพิมพ์มาแต่อินเดียด้วย ล้วนมีการบูชาไฟทั้งนั้น แต่รูปนั้นไม่เปนกำลังวิดควัน แม้กระนั้นก็ดี ทำให้นึกไปว่าการจุดแว่นเวียนเทียนของเราได้แก่การโหมกุณฑ์ทางอินเดีย จะผิดถูกอย่างไรยืนยันไม่ได้ ไม่รู้วิธีทางต่างประเทศพอ

๑๒. การเจาะหู (หน้า ๕๕) เคยเหนเขาเอาตะกั่วทำเปนลวดเสี้ยมหัวท้าย ขดเปนวงแหวนหนีบหู ค่อยเร่งเข้าไปทีละน้อยกว่าหูจะทะลุ แต่ได้ยินบ่นกันว่าวิธีนั้นไม่ดี สู้เอาเข็มแทงไม่ได้เรวกว่า แต่สงสัยว่าวีธีเอาเข็มแทงจะเปนวิธีใหม่ พวกหญิงผู้ดีชั้นเก่า มีเจ้าเปนต้น เขาไม่เจาะหู ถือกันว่าเปนเลว

๑๓. โองการแม่ซื้อ (หน้า ๒๒) จดบอกไว้แต่ว่า ฝาผนังศาลาแม่ซื้อ ๑ เท่านี้รู้ได้ไม่พอ เข้าใจว่าเปนศาลาในวัดพระเชตุพน ต้องใส่ชื่อวัดเข้าไว้ด้วยจึ่งจะพอ อนึ่งการคัดหนังสือเก่านั้นทำยาก จะต้องตกลงว่าจะทำอย่างไร จะทำให้เหมือนต้นฉะบับหรือจะเอาแต่รูป ถ้าจะเอาเหมือนต้นฉะบับมีคนทำได้น้อย ถ้าจะเอาแต่รูปมีคนทำได้มาก ตามที่คัดมาลงไว้แล้วนั้นปะปนกัน ลางคำก็เปนไปตามต้นฉะบับ ลางคำก็เขียนเปลี่ยนเปนอย่างใหม่ไปแล้ว จะเอาอย่างไรก็ต้องเปนไปเหมือนกันหมดบรรดาที่คัดมา

๑๔. โรคแม่ซื้อ ตามแพทย์ศาสตร์ซึ่งแนะนำให้แก้ (หน้า ๖๖) ให้เอาดินสองฟากน้ำปั้นเปนแม่อุ้มลูก ทำให้สดุดใจที่ได้เคยเหนตุกตาเคลือบปั้นเปนแม่อุ้มลูกอย่างที่ว่านี้ ที่เตาเคลือบเมืองสุโขทัยก็มี ที่มูเซียมในเกาะบาหลีประเทศชวาก็มี จะใช้เปนตุกตาเสียกบาลหรือมิใช่นั้นไม่ทราบ

๑๕. หมากพลูธูปเทียน ๘ ที่ใส่ไปในบัตร เหนจะหมายบูชาเทวดาอัฐเคราะห์ ซึ่งอยู่ในดวงชาตาอันมีประจำตัวอยู่ทุกคน (หน้า ๗๖)

๑๖. ประแจของไทย มีทำด้วยทองเหลือง รูปเหมือนประแจของจีน เว้นแต่ที่ตรงกลางทำแหลมลงมาดุจจับปิง เจาะรูตรงนั้นเปนที่สอดลูกไข ลูกเหมือนลูกประแจฝรั่ง <img> เมื่อหมุนไปแล้วบีบจำปาทำให้ขื่อเลื่อนออกไปข้าง ๆ แต่ประแจชนิดนี้อาจเปนของมลายู เรารับเอามาก็เปนได้ ข้อนี้เพื่อประกอบกับข้อที่กล่าวถึงผูกมือเด็ก (หน้า ๘๑) การผูกลูกพรวน เคยได้ยินอธิบายกันว่า ถ้าเด็กซนแล้วผูกดี ไปที่ไหนจะได้รู้ คำอธิบายไม่เกี่ยวไปทางผี

๑๗. เรื่องหวงวิชา อันมีความปรากฏอยู่ในหน้า ๘๔ นั้น ดูทีเปนคำของฝรั่ง ฝรั่งต้องรู้สึกว่าหวงจริง เพราะอยากรู้อะไรถามเด็กก็บอกไม่ได้ ถามผู้ใหญ่ผู้ใหญ่ก็สงสัย ว่าที่ฝรั่งจะรู้เอาไปทำไมในที่สุดก็ไม่บอก ซึ่งตกเปนหวงวิชา แต่เปล่าคนไทยด้วยกันไม่เหนปิดกัน เมื่อฝรั่งถามเอาความไม่ได้ก็หาหนังสือซึ่งคิดว่าจะมีใครแต่งไว้อย่างฝรั่ง แต่ก็ผิดอีก ธรรมเนียมไทยไม่มีใครแต่ง ตำรามีก็มีแต่สิ่งซึ่งจะจำไม่ได้ เช่นตำรายาเปนต้น แม้ผู้ถือตำราจะตาย ก็เอาตำราไปด้วยไม่ได้ ตำราจะต้องเหลือให้ปรากฏอยู่สืบไปไม่มีสูญ

๑๘. บายศรีที่เปนชั้น เขาเรียกรวมว่า บายศรีใหญ่ เปนของคู่กับบายศรีปากชาม บายศรีใหญ่ตามที่ทำใช้กันอยู่เปนพื้นก็ ๕ ชั้น ถ้ามี ๓ ชั้น ๗ ชั้น ก็อาจทำเปนพิเศษ แต่ ๙ ชั้น เชื่อว่าไม่มีแน่ บายศรีใหญ่มีชั้นเดียว ได้เคยเหนในงานออกร้านที่วัดเบญจมบพิตรไม่มีคันรองรับ สนมพลเรือนทำขายให้บูชาพระ เชื่อว่าสนมคิดทำขึ้นสำหรับงานนั้นโดยจำเพาะ เพื่อให้ขายได้ด้วยราคาเล็กน้อย อันไข่ขวัญยอดบายศรีปากชามนั้น เขาไม่ใช้ไข่ไก่เพราะไม่ใช่ของธรรมดาเท่ากับจะใช้ไข่นกกะสา นกกะทุงอะไรพวกนั้น ทั้งกรวยก็กรวย นมแมวก็นมแมว ไม่ใช่กรวยคือนมแมว ทำกันคนละอย่างผิดกันเปนไหนๆ ทางเมืองชวาเขาจัดบายศรีมีตัวผู้ตัวเมีย ที่ใช้กล้วยใช้แตงกวานั้นเปนตัวผู้ ถ้าเปนตัวเมียก็ใช้ขนมแบน ๆ เช่นงาตัดเปนต้น บายศรีตัวผู้สำหรับบูชาเจ้าพ่อ บายศรีตัวเมียสำหรับบูชาเจ้าแม่ บายศรีของเขาไม่ได้ทำอย่างบายศรีของเรา ใช้ของกินจัดใส่ถาดประดับให้พูนสูงขึ้นไปเท่านั้นเอง แข่งขันเอาดีเอาชั่วกันด้วยการจัดประดับ

๑๙. ตามที่กล่าวถึงวิธีทำขวัญ (ในหน้า ๙๒) ว่า ตักน้ำมะพร้าวมาวนๆ ที่บายศรีแล้วป้อนให้เด็กกิน นั้น ผิดกับการที่ทำจริง และต่างกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้นด้วย ควรจะแก้เสียให้เปนว่า ตักอากาศข้างบายศรีใส่ลงในลูกมะพร้าว แล้วตักน้ำมะพร้าวป้อนให้เด็กกิน (คำว่า ใส่ มีพระราชบัญญัติห้ามใช้คำ ใส่ ที่มีรูป ด้วยถือว่าเปนคำหยาบ จึ่งยักย้ายเอาคำอื่นมาใช้กันแทน แต่ก็ขัดด้วยผิดภาษาจึ่งคงใช้ตามภาษาจะแก้เอาคำอื่นใช้แทนก็ตามใจ)

๒๐. ในการทำขวัญแบบหลวงมีหลายวิธี แต่จะบอกดีไม่ได้ เพราะไม่ได้สังเกตจำไว้ถ้วนถี่พอที่จะบอกได้จริงจัง แต่จะพยายามบอกเท่าที่สังเกตเหน อันบายศรีของหลวงนั้นมีอยู่ ๓ ชะนิด คือ ๑. บายศรีสำรับเล็ก มีชั้นแก้วกับพานทองเงินซ้อนกันห้าชั้น แต่เปนขนาดเล็ก ตั้งบายศรีแก้วไว้กลาง ทองขวา เงินซ้าย ของผู้รับทำขวัญ สำหรับทำขวัญในการอันเล็กน้อย ๒. บายศรีสำรับใหญ่ มีลักษณะเหมือนกัน แต่เปนขนาดใหญ่ สำหรับทำขวัญในการอย่างใหญ่ ๓. บายศรีตองลองทองขาว เช่นเคยบอกมาแต่ก่อนแล้ว ดูเหมือนเปนเจ็ดชั้น มีคู่หนึ่งแต่ใช้อย่างไรบอกไม่ถูก ใช้เติมกับบายศรีสำรับใหญ่ก็มี แต่ตั้งไว้ต่างหากไม่ได้เข้าแถวกัน เครื่องประกอบบายศรีมี ก.-ขันปักแว่นสามใบ เปนแก้วทองเงินเรียกว่า ขันเหม ใส่ข้าวสารมีแว่นปักข้างละ๕ แว่น ติดเทียนแว่นละ ๓ เล่ม แว่นนั้นเปนแก้วทองเงินตามขัน เว้นแต่ขันแก้วนั้นเปนแว่นแก้วแต่ ๓ เปนแว่นทองอีก ๒ แสดงให้เหนว่าเติมเข้าทีหลัง แต่ก่อนมี ๓ แว่นเท่านั้น ข.-มีเทียน ๑ เล่มบักบนเชิงแก้วทองเงิน เรียกว่าเทียนชัย ค.-มีน้ำมันหอมใส่ภาชน ๑ เปนแก้วทองเงิน สำหรับคากับป้ายไส้เทียนที่แว่น ฆ.-พาน ๓ ใบใส่ใบพลูเรียงซ้อน แต่จะซ้อนกี่ใบไม่ทราบ กับตลับแป้งเจิมอยู่ในนั้นด้วย เปนพานและตลับแก้วทองเงินตามบายศรี ง.-ด้ายผูกมือหลายเส้น รวมใส่ไว้ในพานรองใบพลู แต่ใส่ไว้พานเดียวเท่านั้น เหนจะมีแต่ทำขวัญคน จ.-มพร้าวอ่อนปอกเปลือกเฉาะปากรองพานมีช้อน มีที่เดียวเหนจะมีแต่ทำขวัญคนเหมือนกัน ฉ.-เป็ดปั้นด้วยแป้งมีผักชีโรยอยู่บนหลังรองพาน แต่จะมีคู่หนึ่ง หรือเท่าไร จำไม่ได้ ก่อนนี้มีเปนประจำ แต่เดี๋ยวนี้หายไปเสียแล้ว ผู้ใหญ่ว่ามีไข่อยู่ในนั้น นอกจากนี้ก็มีเพิ่มเติมเปนอติเรก ลางทีก็มีหัวหมูด้วยอีกคู่หนึ่ง ลางทีก็มีโต๊ะเงินเครื่องอาหารด้วยอีกหลายโต๊ะ แต่จะเติมเข้าในการชนิดไรให้การไม่ถูก

ทางปฏิบัติพิธีมีพราหมณ์เข้าประจำบายศรี ๓ คน ผู้ใหญ่อยู่กลางประจำบายศรีแก้ว ผู้รองอยู่ข้างซ้ายประจำบายศรีทอง (ขวาของคนหรือสิ่งซึ่งรับทำขวัญ) ผู้น้อยอยู่ข้างขวาประจำบายศรีเงิน (ซ้ายของคนหรือสิ่งซึ่งรับทำขวัญ) หลังไปมีพราหมณ์ถือสังข์ จะเปนสามคนเท่าผู้เบิกแว่นหรือสี่คนก็ไม่ได้สังเกตนับ หลังพราหมณ์ถือสังข์ไปมีพนักงานถือบัณเฑาะว์ เท่ากับพราหมณ์ถือสังข์ ถ้าเปนในพระที่นั่งกรมวังปูผ้าแดงตามทางเวียนเทียนกันขี้ผึ้งหยดลงพรม แล้วเชิญข้าราชการเข้ายืนประจำริมทางลาดผ้าแดงด้านนอกคอยรับแว่น เริ่มแรกพราหมณ์ผู้เบิกแว่นควักน้ำมันหอมป้ายไส้เทียนก่อน แล้วจุดเทียนชัย แล้วเอาเทียนชัยเปนเทียนชะนวนจุดเทียนที่แว่น พราหมณ์คนกลางเบิกแว่นก่อน แล้วก็คนซ้าย แล้วก็คนขวาส่งแว่นรับกันต่อไปทางซ้าย (คือเวียนขวา) ในเวลาลงมือจุดเทียนที่แว่นนั้น สังข์เป่าบัณเฑาะว์ไกว ปี่พาทย์มีอยู่ที่ไหนก็ประโคมโดยสังเกตเอาเสียงสังข์ เมื่อส่งแว่นไปหมดแล้วหยุดเป่าสังข์ ต่อเมื่อแว่นมาบัญจบรอบจึงเป่าอีก เปนที่สังเกตนับรอบที่เป่าสังข์ แต่บัณเฑาะว์ไกวอยู่เสมอ และปี่พาทย์ก็ประโคมอยู่เสมอจนสุดการสมโภชน์ วิธีเวียนเทียนมีอยู่สองอย่าง อย่างใหญ่เวียน ๕ รอบ อย่างน้อยเวียน ๓ รอบ อย่าง ๓ รอบไม่มีคลุมบายศรี อย่าง ๕ รอบคลุมบายศรีใช้ใบตอง ๓ ใบคลุมชั้นใน แล้วเอาผ้าคลุมคลุมชั้นนอก ผ้านั้นใช้ตาดต่างสีกัน บายศรีแก้วใช้ตาดขาว บายศรีทองใช้ตาดเหลือง บายศรีเงินใช้ตาดเขียว เมื่อเวียนเทียนไปได้ ๓ รอบ พราหมณ์เปิดคลุม เอาผ้าห่อใบตองไปให้ผู้รับทำขวัญถือไว้ ถ้าผู้รับทำขวัญคนเดียวก็เอาห่อผ้าสุมให้ทั้ง ๓ ห่อ ถ้าหลายคนก็ทอดเฉลี่ยให้ได้ถือทั่วกัน ทำขวัญอย่างเวียนเทียน ๕ รอบที่ไม่ใช่คน ไม่เคยเหนว่าทำกันอย่างไร แต่การเวียนเทียน ๕ รอบนั้นทำน้อยนัก เมื่อครบรอบแล้วก็ส่งเข้าไปให้พราหมณ์ซึ่งประจำบายศรีคนกลางทำกิจก่อนคือปักแว่นอันแรกลงในเหม ส่วนอันที่ ๒ ถึงที่ ๕ นั้นปลดเอาแต่เทียนรวมติดในแว่นอันเดียวนั้น เมื่อคนกลางทำแล้วคนซ้ายก็ทำ เมื่อคนซ้ายทำแล้วคนขวาก็ทำ เมื่อทำเสร็จทั้ง ๓ คนแล้วก็ดับไฟที่แว่นด้วยใบพลูซ้อนซึ่งทากระแจะใบใน โบกควันให้แก่ผู้รับทำขวัญ ต่อนั้นไปพราหมณ์ทั้ง ๓ คนก็ทำน่าที่ คนหนึ่งเอาเทียนชัยกับด้ายเข้าไปที่คนรับทำขวัญ เอาด้ายเส้นหนึ่งปัดออกเปนการฟาดเคราะห์ เอาเผาไฟที่เทียนชัยนั้น แล้วเอาอีกเส้นหนึ่งปัดเข้าผูกมือให้ ส่วนอีกคนหนึ่งตักลมข้างบายศรีใส่ในลูกมพร้าว เหนคนเก่าทำลางทีก็ตักเอาขนมที่ไม่กำเริบ มีทองหยิบเปนต้น ใส่ลงไปในลูกมพร้าวจริงๆด้วย แล้วตักเอาน้ำมพร้าวป้อนให้คนซึ่งรับทำขวัญดื่ม อีกคนหนึ่งเอาโถกระแจะไปเติมให้แก่ผู้รับทำขวัญ ถ้าเปนทำขวัญสิ่งซึ่งไม่มีชีวิตแล้วมีแต่การเจิมอย่างเดียว พิธีของพราหมณ์สิ้นเท่านี้ แล้วมีพิธีของสมเด็จพระมหากษัตริย์ต่อไปอีก มีการทรงรดน้ำสังข์และทรงเจิม สังข์นั้นมีเปลี่ยน ถ้าเปนผู้อยู่ในพระราชวงศ์ใช้พระสังข์ทักษิณาวัฏรัชชกาลที่ ๔ ถ้าเปนผู้อยู่นอกพระราชวงศ์ใช้พระสังข์เดิมอุตราวัฏแห่งรัชชกาลที่ ๑ ในการสมโภชน์โสกันต์อย่างใหญ่ มักโปรดให้พระบรมวงศ์กับข้าราชการผู้ใหญ่เข้าถวายเจิมด้วย ตรัศเรียกเจาะเอาจำเพาะตัว ผู้เจิมใช้แป้งเจิมของพราหมณ์ พระบรมวงศ์ทรงเจิมที่ฝ่าพระหัตถ์ ข้าราชการเจิมที่หลังพระบาท ส่วนสมเด็จพระมหากษัตริย์นั้นทรงเจิมที่พระพักตร์ด้วยแป้งเจิมซึ่งจัดมาโดยจำเพาะ การเป่าสังข์นั้นเป๋าตั้งแต่เมื่อเวียนเทียนครบรอบไปจุดสุดพิธีทั้งปวงจึงหยุด เมื่อสังข์หยุดแล้วบัณเฑาะว์และปี่พาทย์ก็หยุดไปด้วยกันหมด เปนอันสิ้นพิธีสมโภชน์เพียงเท่านั้น

๒๒. ทีนี้จะบอกถึงเจ้านายประสูติ แต่ท่านต้องให้อภัยที่ไม่ครบถ้วนเพราะความไม่รู้ ด้วยก่อนนี้ก็ไม่เอื้อที่จะรู้ มาภายหลังก็เหิรเห่อเกินกว่าที่จะรู้ได้ไปเสียสิ้น จึงเปนอันขาดตกบกพร่องไปตามที การประสูติของเจ้านายนั้นมีงานเปน ๓ ตอน คือ ประสูติตอนหนึ่ง สมโภชน์ ๓ วัน ตอนหนึ่ง กับสมโภชน์เดือนอีกตอนหนึ่ง

ก.-การประสูติ นั้นมีปี่พาทย์ประโคมมีที่สังเกตได้อยู่ที่ว่า ถ้าเปนพระองค์ชายแล้วตีฆ้องชัย ถ้าเปนพระองค์หญิงแล้วไม่มีตีฆ้องชัย การประโคมนั้นเข้าใจว่าใช้ปี่พาทย์ผู้หญิง อันปี่พาทย์ผู้หญิงนั้นมีแตรสังข์อยู่ด้วยเสร็จ แต่ไม่มีฆ้องชัยจะเอาฆ้องชัยผู้ชายเข้าไปคอยตีหรืออย่างไรไม่ทราบ และถ้าเอาฆ้องชัยผู้ชายเข้าไป แตรสังข์จะเปนผู้ชายด้วย หรือใช้แตรสังข์ผู้หญิงก็ไม่ทราบ ถ้าเปนเจ้าฟ้ามีเพิ่มแตรวงทหารเข้าประโคมที่ประตูสนามราชกิจด้วย แต่เหนจะเปนเติมเข้าใหม่เมื่อแตรวงทหารจัดให้มีขึ้นฟุ่มเฟือยแล้ว กรมทหารในมีหน้าที่ต้องทำพระแท่นประสูติกับเตียงอยู่ไฟ พระแท่นประสูตินั้นถ้าเปนพระองค์เจ้าก็เปนเตียงขาคู้ทาสีเขียว ถ้าเปนเจ้าฟ้าก็เปนพระแท่นแว่นฟ้า มีเพดานและม่านใช้ผูกกระโจมในนั้น การผูกพระกระโจมใช้ผู้มีศักดิ์ใหญ่ กระดานไฟเปนเตียงเล็กๆ ได้ยินเรียกกันว่า พระแท่นประทมเพลิง แต่คำนั้นดูเปนสำหรับพระมารดาที่เปนเจ้า เจ้าจอมมารดาสามัญเรียกอย่างไรไม่ทราบ ลางทีกรมทหารในจะต้องทำเตาสำหรับอยู่ไฟด้วย แต่ไม่ได้ทราบในเรื่องนั้น

ข.-สมโภชน์สามวัน จะตกในวันไรครบสามวันก็ทำจริง ๆ เวลาเย็นเสด็จลงตั้งบายศรีแก้วทองเงินสำรับเล็ก พราหมณ์ทำการเบิกแว่น เจ้านายผู้หญิงเวียนเทียนในห้องตำหนัก เจ้านายผู้ชายไปนั่งอยู่ข้างนอก ผู้ซึ่งอุ้มเจ้านายซึ่งประสูติใหม่ใช้ผู้ใหญ่ในพระราชวงศ์ที่สูงศักดิ์

ค.-สมโภชน์เดือน ชื่อแต่ว่าเดือน ที่จริงแล้วแต่โหรเขาจะหาฤกษ์ได้ เดือนหนึ่งล่วงแล้วไปเปนได้กัน เวลาเย็นเสด็จลง มีเจ้านายผู้ชายเล็กๆเชิญหีบพระสังข์ตามเสด็จด้วย (สมโภชน์สามวันดูเหมือนจะไม่มีหีบพระสังข์ตามเสด็จ) การสมโภชน์นั้นทำเหมือนสมโภชน์สามวัน มีการเพิ่มขึ้นแต่พระราชทานน้ำสังข์และทรงเจิมแก่พระเจ้าลูกเธอ ซึ่งประสูติใหม่ ในเมื่อพราหมณ์ทำกิจเสร็จแล้วและทรงถือพระสังข์กับแป้งเจิม เสด็จเข้าไปในห้องในด้วย เข้าใจว่าจะพระราชทานน้ำสังข์และทรงเจิมให้แก่เจ้าจอมมารดา เสด็จกลับออกมาก็ประกอบการขึ้นพระอู่ต่อไป มีการตั้งพระอู่เพิ่มขึ้นในการสมโภชน์เดือนนั้นด้วย เชิญเสด็จพระเจ้าลูกเธอลงพระอู่ เหนทรงวางทองลิ่มกับใบพระราชทานชื่ิอลงในพระอู่แล้วมีพราหมณ์สองคนไกวพระอู่กล่อม คำที่กล่อมนั้นเมื่อไปดูพราหมณ์ทำพิธีในคราวโล้ชิงช้า ก็ปรากฏว่าใช้คำสรรเสริญพระเปนเจ้าในเวลากล่อมหงส์นั้นเอง แมวและถุงถั่วงาจะมีหรือไม่ก็ไม่เห็น พระอู่นั้นสานด้วยไม้ไผ่ตันรอบตัวหุ้มผ้าขาว ตามยาวแห่งปากพระอู่นั้นมีไม้คานหัวเม็ดปิดทองขนาบอยู่สองข้างตามยาวเปนที่ผูกเชือกแขวนกับเสาพระอู่ เชือกนั้นหุ้มผ้าขาวเหมือนกัน เสาพระอู่ทำเหมือนเชิงลับแลทาเขียวหัวเม็ดปิดทอง เข้าใจว่าเปนหน้าที่กรมทหารในทำเหมือนกัน

นอกจากนี้ควรจะมีการเจริญพระเกษา อย่างที่ชาวบ้านเขาทำกัน เรียกว่าโกนผมไฟนั้นในเวลาเช้าด้วย แต่ไม่ได้เหน เหนแต่เขาทำกับพวกหม่อมเจ้า เข้าใจว่าถ่ายถอนเอาแบบในวังมาทำเหมือนกัน มีการสวดมนต์เย็นวันหนึ่งก่อน ใช้พระสงฆ์ ๕ รูปถึง ๗ รูป รุ่งขึ้นเวลาฤกษโกนผมไฟ ทำเหมือนตัดจุก แต่โกนผมเอาไว้เท่าจุกไม่โกนหมด แล้วเอาลงอาบน้ำในขันเชิงใบใหญ่ ซึ่งตั้งล้อมไว้ด้วยราชวัดฉัตรกระดาษเล็ก ๆ ในราชวัตนั้นมีกรงอย่างกรงนกเสียบกุ้งเงินอันทำขึ้นไว้ที่บนคอนใบหนึ่ง กับเสียบปลาทองอันทำขึ้นไว้บนคอนอีกใบหนึ่ง กับลูกมพร้าวงอกปิดกระดาษเงินใบหนึ่ง ปิดกระดาษทองใบหนึ่ง ก่อนที่จะเอาเด็กลงอาบน้ำในขัน เอาของทั้งนั้นชุบน้ำในขันก่อน การที่ทำกุ้งเงินปลาทองเสียบคอนต่างนกนั้น ผิดมนุษม้วย เข้าใจว่าหลงเอาพิธีลงท่าซึ่งทำกรงคือรั้วกันสัตว์ร้ายเข้ามาปน แต่เข้าใจว่า กรง นั้นผิดไปเปนกรงนก เพราะฉนั้นกุ้งเงินปลาทองก็ต้องเกาะคอนดุจนก มพร้าวงอกนั้นเปนเรื่องฝั่งรก ไม่จำเปนจะต้องเอาลงชุบน้ำ หากแต่การชุบกรงกุ้งเงินปลาทองนั้นนำไป เมื่ออาบน้ำเด็กเสร็จแล้วก็ทำขวัญติดไปทีเดียว จัดเอาพานมาซ้อนๆ กันเปนบายศรี โดยมากเปนพานถม มีบายศรีปากชามต่างหาก นอกจากนั้นก็มีขันถมรองพานใส่ข้าวสารปักแว่นติดเทียน จะเปน ๓ แว่นหรือ ๕ แว่น ก็ตามแต่จะจัดได้ กับมีมพร้าวอ่อนปอกเปลือกเฉาะปากมีช้อนรองพานด้วยตามเคย ในการเบิกแว่นนั้นถ้าอย่างดีก็พราหมณ์เบิก ถ้าอย่างเลวก็ผู้เปนครูคร่ำเบิก แล้วญาติที่ไปช่วยงานนั้นทั้งผู้หญิงผู้ชายช่วยกันเวียนเทียน การผูกมือมักนำเอาเด็กไปให้พระผูก เสร็จแล้วก็เอาลงเปล มีแมวมีถุงถั่วงา ถ้าอย่างดีก็พราหมณ์ไกวเปล แต่ไม่มีคำกล่อม ถ้าอย่างเลวใคร ๆ ก็ได้ เปลนั้นทำไม่มีกำหนดกฎชาอะไร แต่สายชักไกวนั้นเปนสร้อยทองคำมีที่เดียวรวมอยู่ในพานอันใดอันหนึ่ง วิธีทำการเปนสองอย่าง อย่างใหญ่เวียนเทียน ๕ รอบ อย่างน้อยเวียนเทียน ๓ รอบ อย่างใหญ่มีคุมบายศรีแก้วเงินทอง ใช้ใบกล้วยหุ้มบายศรีทั้ง ๓ สำรับละ ๓ ใบ เปนชั้นใน แล้วห่อด้วยผ้าตาดชั้นนอก บายศรีแก้วใช้ตาดขาว บายศรีทองใช้ตาดเหลือง บายศรีเงินใช้ตาดสีเขียวแก่ เรียกว่า คลุม อย่างน้อยไม่มีคลุม แต่อย่างมีคลุมดูเหมือนจะมีแต่การทำขวัญคน พราหมณ์ผู้ทำการนั้นใช้ ๓ คน ผู้ใหญ่อยู่กลางประคำบายศรีแก้ว ผู้รองอยู่ซ้ายมือประคำบายศรีทอง ผู้น้อยอยู่ขวามือประจำบายศรีเงิน ก่อนที่ท่านทั้ง ๓ จะจุดไฟนั้นควักน้ำมัน (หอม) ทาไส้เทียนที่แว่นก่อน แล้วจึงจุดเทียนชะนวนเอาเทียนชะนวนจุดเทียนที่แว่น เสร็จแล้วคนกลางเบิกแว่นวนแต่ล่างขึ้นมาบน ๓ หน จึ่งโบกควันแล้วส่งให้ผู้ที่ประจำหน้าที่ทางซ้ายมือแต่ทีละแว่น เมื่อสิ้นขันกลางแล้ว พราหมณ์ซึ่งประจำขันขวามือจึ่งทำเหมือนกัน ส่งให้คนกลาง คนกลางส่งให้คนซ้ายมือ คนซ้ายมือจึงส่งให้คนอื่นต่อไป เมื่อคนขวาทำสิ้นแล้วคนซ้ายจึ่งทำ ส่งให้ผู้เวียนไปทีเดียวไม่ต้องผ่านคนกลางคนขวา ข้างหลังผู้เบิกแว่นนั้นมีพราหมณ์เป่าสังข์อีก ๓ คน เวลาเบิกแว่นนั้นเป่าเบิกแล้วหยุด เป่าอีกต่อเมื่อแว่นเวียนมาบรรจบรอบ เปนที่หมายว่าเวียนได้กี่รอบแล้ว ถ้าบายศรีมีคลุม เมื่อเวียนได้ ๓ รอบ ดูเหมือนท่านที่อยู่

[พบแต่ต้นร่างลายพระหัตถ์ ซึ่งมิได้ลงพระนาม]

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ