วิจารณ์เห่ช้าลูกหลวง

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์

เมื่อครั้งข้าพเจ้ายังเป็นตำแหน่งนายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร ได้รวบรวมบทกลอนสำหรับเห่กล่อมพระเจ้าลูกยาเธอที่ยังทรงพระเยาว์ให้พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ เล่ม ๑ ต่อมาได้รวมบทกลอนสำหรับกล่อมเด็กในพื้นเมืองพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ อีกเล่ม ๑ แต่นั้นมาจนถึงบัดนี้นับเวลาได้ ๒๐ ปี มาพบบทกลอนสำหรับเห่กล่อมอีกพวกหนึ่งซึ่งยังไม่เคยพิมพ์ เรียกว่า “ช้ากล่อมลูกหลวง” สำหรับเห่กล่อมพระเจ้าลูกยาเธอที่ยังทรงพระเยาว์เหมือนกัน แต่เป็นบทชั้นเก่าก่อนบทเห่ที่รวมพิมพ์ไว้ แต่งเป็นกาพย์สั้นเพียงบทละคำก็มี เป็นกาพย์ยาวอย่างเดียวกับที่พิมพ์แล้วก็มี แต่งเป็นฉันท์อย่างดุษฎีสังเวยก็มี เผอิญในคราวเดียวกับพบบทเห่กล่อมที่ว่ามา ข้าพเจ้าพบหนังสือเก่าอีกเรื่อง ๑ เรียกว่าตำรา “พิธีสมโภชเจ้าฟ้าขึ้นพระอู่” เมื่อประสูติแล้วได้เดือนหนึ่ง สังเกตดูเป็นแบบพิธีกรุงกรุงศรีอยุธยา อันมีบทเห่ช้ากล่อมลูกหลวงอยู่ในตำรานั้นด้วย ๒ บทเข้าเค้าเดียวกับบทเห่ที่พบใหม่ สังเกตเห็นประวัติของบทเห่ทั้งปวงจึงเขียนวิจารณ์ต่อไปนี้

พิธีสมโภชขึ้นพระอู่

สิทธิการิยะ ตำราสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอจะขึ้นพระอู่ทอง ให้เจ้าพนักงานแต่งเสาพระอู่่ทอง ยอดเสาเม็ดนั้นลงรักปิดทอง ลำเสาแลฐานนั้นทาชาดเอามาส่งให้ชาววัง ๆ ยกเข้าไปตั้งในที่เสด็จขึ้นพระอู่นั้น แล้วเจ้าพนักงานชาวในไปเชิญเอาพระอู่ทองมาจากเจ้าพนักงานมาแขวนที่เสาพระอู่ สายแขวนสายชักแล้วด้วยไหม ๓ เกลียว แล้วพนักงานแต่งบายศรีทอง ๒ สำรับเครื่องบายศรีครบแล้วตั้งแว่นเวียนเทียนเครื่องนมัสการบูชา ได้เพลาฤกษ์ดีแล้วให้ชีพ่อพราหมณ์โหราพฤฒาจารย์อ่านพระเวทพระมนต์ บูชาเทวดา แล้วจึงเชิญเสด็จพระราชกุมารพระราชธิดา ขึ้นพระอู่ทอง แล้วให้พระพี่เลี้ยง พระแม่นม ช้าข้างละ ๗ ท่า ช้ากล่อมข้างละ ๗ คำ บทต้นว่าคนละคำว่า

“หลับไม้หลับไล่ หลับพระไพรใบเขียว”
“หลับพระเนตรผู้บุญเรือง หลับเขาพระสุเมรุราช เอย”
“หลับไม้หลับไล่ หลับพระไพรใบเขียว”
“หลับพระเนตรแต่พระองค์ผู้เดียว หลับเขาพระสุเมรุราช เอย”

แล้วให้สมโภชเวียนเทียนโดยทักขิณาวัฎ ๗ รอบ ๙ รอบ ๑๑ รอบ แล้วให้เชิญพระราชกุมาร พระราชกุมารี ลงจากพระอู่ เชิญเสด็จขึ้นพระอู่ผ้า แกว่งช้าไปตามประเพณีบูราณเถิด ธรรมเนียมบูราณราชประเพณีโหราและพราหมณ์ ให้รับพระราชทานผ้าขาวคนละผืนเงินคนละ ๖ (บาท) ตามประเพณีแต่ก่อน แล.

บทเห่ช้าลูกหลวงแบบกรุงศรีอยุธยา

บท “เห่ช้ากล่อม” ที่ปรากฏในตำราสมโภช เป็นตัวอย่างบทเห่กล่อมลูกหลวงเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่งเป็นกาพย์อย่างสั้นๆ เสมอคำละบท บทเห่กล่อมที่ข้าพเจ้าพบใหม่ มีแต่งเป็นกาพย์อย่างสั้นๆ เหมือนกับบทเห่ครั้งกรุงศรีอยุธยาอยู่พวก ๑ เห็นได้ว่าเป็นบทเห่แบบเก่ากว่าเพื่อน ดังรวมมาลงไว้เป็นเบื้องต้นต่อไปนี้

อย่างแต่งด้วยกาพย์ยานี

๑ พระยอดเยาวเรศ เสด็จประเวศสีขริน
ฝูงวิหคโบยบิน ถวายโฉมพระทูลกระหม่อม เอย
๒ พระยอดเยาวราช เสด็จประพาสหิมวา
ชมฝูงมยุรา ถวายพระทูลกระหม่อม เอย
๓ ขึ้นเขาสูงสุด พบพระยาครุฑทั้งคู่
ยืนเยี่ยมหยัดอยู่ ทั้งคู่พระทูลกระหม่อม เอย
๔ ข้ามห้วยเหวผา พบพระยาสุบัณ
ทรงเครื่องรังสรรค์ ค้อนเนตรพระทูลกระหม่อม เอย
๕ พระยอดเยาวเรศ เสด็จประเวศขึ้นรถ
พบพระดาบส ถวายพรพระทูลกระหม่อม เอย
๖ พระยอดเยาวลักษณ เสด็จหยุดพักร่มไทร
พระพายชายไป สำราญพระทัยทูลกระหม่อม เอย
๗ พระยอดเยาวเรศ เสด็จประเวศรถทรง
ชมนกไม้ไพรระหง สั่งดงพระทูลกระหม่อม เอย
๘ พระทูลกระหม่อม จะถวายกล่อมให้บรรทม
ไสยาสน์เสวยนม บรรทมที่เหนือพระกรง เอย
๙ บรรทมให้หลับ จะเอาพัดมาอยู่งาน
กล่อมเกลี้ยงเสียงหวาน แสนสำราญพระทูลกระหม่อม เอย
๑๐ พระทูลกระหม่อม พร้อมหน้าถวายพร
จงเจริญพระชนม์ก่อน ถวายพรพระทูลกระหม่อม เอย
๑๑ พระทูลกระหม่อม พร้อมหน้าถวายชัย
จงเจริญพระชนม์ไป ถวายชัยพระทูลกระหม่อม เอย
๑๒ พระทูลกระหม่อม พระมังสังหอมเหมือนลูกอิน
จูบแล้วมิรู้สิ้น ลูกอินพระทูลกระหม่อม เอย
๑๓ พระทูลกระหม่อม พระมังสังหอมเหมือนลูกจันทน์
จูบแล้วก็รับขวัญ กลิ่นจันทน์พระทูลกระหม่อม เอย
๑๔ พระทูลกระหม่อม พระมังสังหมอเหมือนเนื้อไม้
จูบแล้วมิรู้หาย เสียดายพระทูลกระหม่อม เอย
๑๕ พระยอดมิ่ง แม้ฟ้ามีกิ่งจะวางไว้
น้อยใจด้วยฟ้าหามีไม่ แสนเสียดายพระทูลกระหม่อม เอย
๑๖ พระยอดเยาวนารี สถิตย์ที่พระกรงทอง
ทรงสดับซึ่งขับร้อง แซ่ซ้องพระทูลกระหม่อม เอย
๑๗ พระยอดเยาวธิดา เสด็จไสยาให้ชื่นบาน
ข้าบาทจะขับขาน แสนสำราญพระทูลกระหม่อม เอย
๑๘ พระเยาวแน่งน้อย พระนมคอยประคององค์
พี่เลี้ยงเคียงพระกรง ถนอมพระทูลกระหม่อม เอย
๑๙ พระยอดเยาวยุพิน พร้อมสิ้นตุ๊กตา
ข้าบาทจัดเอามา คอยท่าพระทูลกระหม่อม เอย
๒๐ พระยอดสมรมิ่ง มีทุกสิ่งต่างต่างกัน
บรรทมตื่นจะชื่นหรรษ์ เกษมสันต์พระทูลกระหม่อม เอย
๒๑ พระยอดเยาวอนงค์ ที่ในกรงล้วนปักษา
น่ารักนั้นนักหนา เสียงจ้าพระทูลกระหม่อม เอย
๒๒ พระทรามสงวน ประคองนวลมิให้หมอง
ผงนิดไม่ติดต้อง ค่อยประคองพระทูลกระหม่อม เอย
๒๓ พระสุดสวาดิ แสนฉลาดอยู่ทั้งองค์
ได้ชมชิดก็พิศวง รูปทรงพระทูลกระหม่อม เอย
๒๔ พระยอดกษัตรีย์ มิได้มีสิ่งใดขัด
งามสิ้นสารพัด สันทัดพระทูลกระหม่อม เอย
๒๕ พระสุดที่รัก วงพระพักตร์ดังดวงเดือน
หาไหนจักได้เหมือน อย่างเดือนพระทูลกระหม่อม เอย
๒๖ พระสายสมร แดดร้อนอย่าจรลี
พระพักตร์จะหมองศรี พันปีทูลกระหม่อม เอย
๒๗ พระเยาวฤาสาย เวลาบ่ายจึงเที่ยวเล่น
ลมเรื่อยมาเฉื่อยเย็น เที่ยวเล่นทูลกระหม่อม เอย
๒๘ พระยอดขัติยาหญิง ชมมิ่งไม้ดก
บ้างผลิผลหล่นตก นกจิกพระทูลกระหม่อม เอย
๒๙ พระยอดยุพเยาว์ ชมเสาวคนธชาติ
ที่ดอกแดงเดียรดาษ ขาวสะอาดพระทูลกระหม่อม เอย
๓๐ พระเยาวชาเยศ ทอดพระเนตรชมนกไม้
เย็นลงไรไร กลับเข้าไปพระทูลกระหม่อม เอย
๓๑ พระงามประเสริฐ สรงน้ำเสียเถิดให้สบาย
พระญาติทั้งหลาย ประคองกายพระทูลกระหม่อม เอย
๓๒ พระสุดถนอม พร้อมด้วยมโหรี
โทนทับกระจับปี่ เฉลิมศรีพระทูลกระหม่อม เอย
๓๓ พระทูลกระหม่อม พร้อมกันถวายพร
ศรีสวัสดิสถาวร ลือขจรพระทูลกระหม่อม เอย
๓๔ พระโฉมเฉลาเอย เสด็จมาเนาในวังเวียง
สาวสุรางค์เรียงรายถวายเสียง ส่งสำเนียงแสนเสนาะเพราะพริ้ง เอย
๓๕ พระยอดเยาวหญิง สรรพสิ่งจะงามพิศ
อย่าอ้อนองค์ทรงปทมภิรมย์สนิท ในพระอู่อันวิจิตรกระจกจำหลัก เอย
๓๖ พระภาคิไนยหลวง กำเนิดในดวงดอกสารภี
แสนสนิทชิดชมประสมศรี พระวงศานารียินดี เอย
๓๗ พระเยาวลักษณ ประไพพักตร์เพียงศศิธร
งามขนงวงเนตรพระเกษกร เหมือนอัปสรไกรลาศยาตรมาเอย
๓๘ พระยอดเยาวอนงค์ อย่าวิโยคโศกทรงกรรแสงเศร้า
ประทมตื่นแล้วจะได้ขึ้นเฝ้า พระเกล้าของทูลกระหม่อม เอย
๓๙ พระศรีสวัสดิ์ งามพระรูปจำรัสเจริญครบ
ในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าเที่ยวหาจบ ไม่งามลบพระทูลกระหม่อม เอย
๔๐ พระสายสมร ซึ่งทรงอาวรณ์จงวายเว้น
ลดพอสุริยาเพลาเย็น จะทรงเล่นกับข้าหลวง เอย
๔๑ พระยอดเยาวเรศ เฉลิมเนตรฝูงอนงค์
เสด็จมาให้ชมสมประสงค์ พระญาติวงศ์แวดล้อมถนอม เอย
๔๒ เชิญประทมภิรมย์ถนอม สดับช้ากล่อมกลอนประทาน
พระโปรดประดิษฐ์ลิขิตสาร ทรงบรรหารให้มาร้องฉลอง เอย

อย่างแต่งด้วยกาพย์ฉบัง

๔๓ พระพายพัดเรื่อยเฉื่อยมา หอมกลิ่นมาลา
ถวายพระทูลกระหม่อม เอย  
๔๔ วิหคร้องก้องในดง อีกทั้งฝูงหงส์
ถวายองค์พระทูลกระหม่อม เอย  
๔๕ นกแก้วจับจิกลูกจันทน์ โอฐแดงแสงฉัน
เกษมสันต์พระทูลกระหม่อม เอย  
๔๖ ทอดพระเนตรเห็นนกโนรี ยกพระหัตถ์ตรัสชี้
อึงมี่พระทูลกระหม่อม เอย  
๔๗ สัตว์สิงห์วิ่งวุ่นว่อนไป จับได้จะถวาย
ชอบพระทัยทูลกระหม่อม เอย  
๔๘ ชะนีโหนห้อยปล่อยตัว เสียงสั่นระรัว
น่ากลัวพระทูลกระหม่อม เอย  
๔๙ เรไรร้องเรื่อยเฉื่อยฉ่ำ ฟังเหมือนเสียงลำนำ
เพราะล้ำพระทูลกระหม่อม เอย  
๕๐ จิ้งหรีดกรีดกริ่ง เหมือนโทนทับกรับฉิ่ง
เพราะจริงพระทูลกระหม่อม เอย  
๕๑ จักจั่นครั่นครื้นเสียงเสนาะ เหมือนไม้บัณเฑาะ
เพราะจริงพระทูลกระหม่อม เอย  
๕๒ แม่ม่ายลองในเซ็งแซ่ ฟังเหมือนเสียงแตร
เพราะแท้พระทูลกระหม่อม เอย  
๕๓ ดุเหว่าเร่าร้องอยู่รอนรอน คืนเข้าพระนคร
สถาวรพระทูลกระหม่อม เอย  
๕๔ ทูลกระหม่อมพร้อมด้วยดนตรี ปี่พาทย์มโหรี
สมโภชพระทูลกระหม่อม เอย  
๕๕ ขึ้นไสยาสน์เหนืออาสน์กรงทอง พี่เลี้ยงเคียงประคอง
เป็นสองทั้งพระนม เอย  
๕๖ ทูลกระหม่อมจอมราชบุตรี บรรทมตื่นขึ้นจะชี้
อึงมี่พระทูลกระหม่อม เอย  
๕๗ ศรีสวัสดิ์พิพัฒนมิ่งมง คลยศยิ่งยง
แก่องค์พระทูลกระหม่อม เอย  

วิจารณ์บทเห่กล่อมแบบกรุงศรีอยุธยา

พิจารณาดูเห่กล่อมอย่างบทละคำ ทั้งตัวอย่างในตำราและที่รวมมาพิมพ์ไว้ตอนนี้ แต่งด้วยถ้อยคำสัมผัสอย่างตื้นๆ และมักว่าซ้ำกันคล้ายกับกลอนสด มิใช่สำนวนกวี น่าสงสัยว่าจะเป็นบทผู้หญิงชาววังแต่งโดยมาก เพราะการเห่กล่อมพระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์เป็นการฝ่ายในพระราชวัง ผู้ชายหามีกิจที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องพ้องพานไม่ อีกประการ ๑ น่าจะเป็นเพราะคนไกวพระอู่มักอยู่ในพวกที่ไม่รู้หนังสือ จึงแต่งบทเห่สั้นๆ ให้ท่องจำได้ง่ายๆ คงมีใครในพวกผู้หญิงชาววังที่รู้จักบทกลอนแต่งขึ้นให้เห่ เห่แห่งหนึ่งแล้วคนอื่นก็จำเอาไปเห่ที่อื่นทั้งบทบ้าง หรือเอาไปแก้ให้ผิดกันเสียบ้าง คิดแต่งขึ้นใหม่ตามทำนองเดียวกันบ้าง ถ้อยคำจึงมักซ้ำกัน หรือความละม้ายคล้ายคลึงกัน สังเกตถ้อยคำที่ใช้ดูเป็นสำนวนแต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ทั้งนั้น ใช่แต่เท่านั้นมีคำปรากฏในเห่บางบทส่อให้เห็นว่าแต่งจนในรัชกาลที่ ๔ ก็มี และคำในบางบทส่อว่าเห่กล่าวทั้งเจ้านายวังหลวงและวังหน้า พึงสังเกตได้ในบทหมายเลขที่ ๓๖ เรียกเจ้านายว่าพระ “ภาคิไนย” อันหมายความว่าลูกของน้อง ต้องเป็นเจ้านายวังหน้า อีกบทหนึ่งซึ่งหมายเลขที่ ๓๘ วรรคท้ายปล่อยว่างไว้ในระหว่างคำ “พระ” กับคำ “เกล้า” สำหรับจะใช้คำ “จอม” ว่าพระจอมเกล้า หรือใช้คำ “ปิ่น” ว่าพระปิ่นเกล้า ก็ได้ดังนี้ จึงยุติได้เพียงว่าบทเห่อย่างบทละคำชนิดนี้ เป็นแบบเห่ช้ากล่อมลูกหลวงครั้งกรุงศรีอยุธยา ใช้กล่อมเจ้านายต่อมาในกรุงรัตนโกสินทร์หลายรัชกาล

บทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์

มีบทเห่ช้ากล่อมลูกหลวงอีกชนิดหนึ่ง แต่งด้วยกาพย์เหมือนบทเห่แบบกรุงศรีอยุธยา แต่ขยายให้ยาวออกไปตั้งแต่เป็นบทละ ๔ คำ จนถึงบทละกว่า ๒๐ คำก็มี เห็นได้ว่าล้วนแต่งในกรุงรัตนโกสินทร์และเป็นสำนวนกวีผู้ชายแต่งเป็นพื้น ที่เป็นกวีผู้หญิงแต่งก็เห็นจะมีบ้าง บทเห่พวกนี้กระบวนความที่แต่งกันเป็น ๒ อย่าง อย่าง ๑ แต่งเป็นอย่างชมพระเกียรติสำหรับกล่อมแต่เจ้านาย อีกอย่าง ๑ ด้วยเอาความอื่นเช่นเรื่องนิทานมาแต่งเป็นบทเห่ บางเรื่องถ้อยคำใช้ได้แต่เห่กล่อมเจ้า แต่โดยมากแต่งเป็นกลาง จะใช้เห่กล่อมเจ้าหรือมิใช่เจ้าก็กล่อมได้ ในบทเห่พวกนี้แต่งเป็นกาพย์แทบทั้งนั้น พบแต่งเป็นกลอนแปดบทเดียว เห็นจะเป็นเพราะกลอนแปดไม่เหมาะกับกระบวนเห่เหมือนเช่นแต่งเป็นกาพย์ ได้รวมบทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งที่เคยพิมพ์แล้วและที่พบใหม่ พิมพ์ไว้ด้วยกันในตอนนี้ แต่เป็นบทที่รวบรวมได้มาจากที่ต่างๆ และจดตามคำที่มีผู้จำไว้ได้ก็มาก บทที่ขาดไปและถ้อยคำที่จำไว้ผิดกับคำเดิมก็คงมีบ้าง จะยืนยันว่าบริบูรณ์ไม่ได้

บทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์

บทเห่กล่อมชมพระเกียรติ

๑ เห่เอยพระหน่อนาถ พระเยาวราชอดิศร
หน่อเนื้อพระชินวร จำเริญสวัสดิมงคล
เทพเชิญเจริญพักตร์ พระยอดรักมาปฏิสนธิ์
ฝูงญาติและฝูงชน ก็ชื่นชมแลสมปอง
หมายพึ่งพระเดชา อยู่ในใต้ฝ่าธุลีสนอง
เชิญเสด็จลงอู่ทอง ไสยาสน์สำราญพระวรกาย
พี่เลี้ยงและนางนม บังคมบาทกล่อมถวาย
พร้อมเพรียงอยู่เรียงราย บำเรอพระราชเยาวพา
บ้างก็เข้าประคองซ้าย บ้างก็ย้ายประคองขวา
ดังเดือนดาวในเวหา มาแวดล้อมพระจันทร
เชิญผธมให้หลับสนิท อย่าหงุดหงิดพระทัยถอน
อย่ายกพระบาทกร ขึ้นกวัดแกว่งอยู่ไปมา
อย่าทรงพระกรรแสงกริ้ว จะเผือดผิวพระมังษา
เชิญหลับพระนัยนา นิทราสำราญพระองค์ เอย
๒ เห่เอยพระโฉมเฉิด ดังแก้วเกิดในดวงประทุม
เทพชวนกันชุมนุม ประชุมเชิญให้ลงมา
ลากทิพพิมานทอง อันเรืองรองรจนา
พระเอกอรรคชายา นารีเลิศประเสริฐวงศ์
จะแลไหนวิไลลักษณ พระกรพักตร์ก็สมทรง
พวกพระญาติประยุรวงศ์ ก็ปลงปลื้มลืมเกรียมกรม
เพลิดเพลินเจริญรัก อยู่พร้อมพรักภิรมย์สม
ทั้งพี่เลี้ยงแลนางนม ต่างชื่นชมทุกคืนวาร
ก็อวยชัยถวายพร จงถาวรเกษมสานต์
พระโรคภัยอย่าแผ้วพาน ให้สำราญพระองค์ เอย
๓ เห่เอยเห่กล่อม พระทูลกระหม่อมจะบรรทม
ข้าบาทขอบังคม ขับประสมดนตรี
ฟังเสนาะเพราะสำเนียง ประสาานเสียงดีดสี
ขับไม้มโหรี รายรอบพระกรงทอง
ฝ่ายพี่เลี้ยงจะชักช้า นางกัลยาจะกล่าวสนอง
ถนอมในพระกรงทอง ให้พระบรรทมให้สำราญ
สาลิกาในกรงกรอง ก็ส่งซ้องเสรียงหวาน
แขกเต้าเล่าประสาน ก็ขับขานกับโนรี
เบญจวรรณรำพรรณพรอด ส่งเสียงสอดกับปักษี
ถวายเสียงสกุณี ระเรื่อยรี่ดังเรไร
ให้เพลิดเพลินเจริญรส หายระทดพระหฤทัย
ดังดนตรีปี่ไฉน มากล่อมให้บรรทม เอย
๔ เห่เอยพระเยาวลักษณ ประเสริฐศักดิ์กว่าสุริวงศ์
เทพเชิญดำเนินองค์ ลงมาจากฟากตรึงศ์ไตร
พระวรโฉมประโลมเลิศ ประเสริฐพร้อมละม่อมละไม
ดังแท่งทองมาทอดไว้ ในพระอู่ดูน่าชม
พระกรรณเกศเนตรขนง พระวรองค์ก็งามสม
ดังช่างกลึงมาเกลากลม ประสงค์สมในลำทรง
เชิญเถิดพระหน่อนาถ ไสยาสน์หลับพระเนตรลง
พร้อมเหล่าประยุรวงศ์ ประจงกล่อมถนอมนวล
ทั้งนางนมแลพี่เลี้ยง ประคองเคียงให้เสสรวล
บรรทมเถิดพระทรามสงวน เวลาก็จวนจะเลยไป
อย่าทรงเล่นให้ล่วงเวลา เชิญนิทราสำราญฤทัย
ให้แคล้วคลาดนิราศภัย พระชนม์ได้สักร้อย เอย
๕ พระเอยพระเยาวราช พระหน่อนาถจอมสกล
เทพเชิญให้ปฏิสนธิ์ ในมณฑลธิบดินทร์
จำเริญเรืองพระเดชา ทั่ววงศามาพร้อมสิ้น
ประชาชนพระจอมนรินทร์ ก็ยินดีอำนวยพร
สวัสดีอย่ามีทุกข์ จำเริญสุขสโมสร
จงสถิตย์สถาวร ขจรทั่วทั้งธาตรี
ให้พร้อมพรั่งทั้งเกียรติยศ ทั้งชนบทชาวกรุงศรี
ให้นบนอบชอบฤดี มาอัญชลีพึ่งเดชา
อย่ามีพระโรคัน จำเริญมั่นพระชันษา
วรรณสุขพลา จงบริบูรณ์พูนสุข เอย
๖ เห่เอยเฉลยฉลอง เสนาะสนองน่าชื่นเชย
พระหน่ออนงค์ทรงสะเบย บรรทมหลับแล้วอับภิวันท์
บรรดาหญิงทั้งมิ่งหม่อม ก็หยุดกล่อมลงพร้อมกัน
พระมิ่งสมรอัปสรสวรรค์ เสวยสวัสดิสัตถาวร
เนาในเขตนิเวศวง ประเสริฐทรงสโมสร
เป็นศรีวังอลังกรณ์ เปรื่องปรากฏพระยศ เอย

บทเห่กล่อมชมจันทร์

๗ เห่เอยวันเพ็ง พระจันทร์ก็เปล่งปลั่งลอย
เหลืองแฉล้มแช่มช้อย เคลื่อนคล้อยลอยลม
แจ่มแจ้งแสงส่อง สว่างห้องพระบรรทม
น้ำค้างลงพร่างพรม ชำเลืองชมพระจันทรา
ที่กลางเดือนเหมือนกระต่าย คล้ายคล้ายยายกับตา
ลอยเลื่อนเลื่อนคลา ทุกเพลาราตรี
ดาวดวงช่วงโชติ รุ่งโรจน์รัศมี
ร่อนเร่ในเมฆี จรลีเลื่อนลอย
แสนรักจักใครได้ ไม่มีใครจะช่วยสอย
เรียงรายพรายพร้อย น้ำค้างย้อยเย็นใจ
ที่ดวงเด่นเป็นเอก ดั้นเมฆอยู่ไรไร
ดาวสำเภาเสาใบ ลอยอยู่ในนภา
ดาวเต่าดาวจรเข้ ขึ้นร่อนเร่ในเวหา
ดาวธงอยู่ตรงหน้า ดาวพระยาอัศดร
โชติช่วงดวงเด่น ดังจะเผ่นโผนจร
ดาวไถก่งโง้งงอน ขึ้นลอยร่อนรายเรียง
ปักษาการะเวก แฝงเมฆมองเมียง
ร่อนร่องซ้องเสียง สำเนียงเสนาะเพราะเพลง
ไก่สวรรค์ขันเอ๊ก แว่ววิเวกวังเวง
ดังเทวัญบรรเลง ซอเจ้งจับใจ
เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่ง หริ่งหริ่งเรไร
ดังดนตรีปี่ไฉน มากล่อมให้ไสยา
รวยรินกลิ่นกลั่น จวงจันทน์กฤษณา
ลมเชยรำเพยพา ให้ไสยาเย็น เอย
๘ เห่เอยพระจันทร์เพ็ง ดูปลั่งเปล่งวิมลโฉม
เคลื่อนคล้อยลอยโพยม ดูน่าประโลมละลานใจ
ทรงกลดดูหมดเมฆ แลวิเวกนภาลัย
งามเพลินเจริญใจ จะหายไปกับนัยน์ตา
ดูดวงเดือนก็เลื่อนลอย แช่มช้อยดังเลขา
ดูน่ารักลักขณา พระจันทราช่างงามจริง
ดวงเดือนช่างเหมือนพักตร์ นรลักษณ์พระองค์หญิง
พริ้งเพริศประเสริฐยิ่ง น่าประวิงใจ เอย
๙ เห่เอยดาวพยับ ดังใครประดับในเวหา
เป็นรูปสัตว์ดังจัดแจง กระจ่างแจ้งในนภา
ดูน่าเพลินเจริญใจ แลวิไลในเมฆา
งามระยับจับตา ด้วยดาราพร่างพราย
เวหากระจ่างเมฆ ลิ่ววิเวกไม่ระคาย
ห้อมล้อมบุหลันฉาย เพริศพรายจะพรรณนา
พระจันทร์ท่านกรงกลด ชักรถครรไลลา
ดูลอยเลื่อนในนภา พระจันทราท่านงาม เอย
๑๐ เห่เอยเห่ช้า พวกผกาสุมาลัย
เคลื่อนคล้อยลอยไป สักเมื่อไรจะลอยมา
คลายคลายสายสมุทร แลก็สุดสายตา
สร้อยสุคนธ์มณฑา แย้มผกามลิขจร
บานแบ่งแสงสด ระรินรสเกสร
ภุมรินบินร่อน ว่ายว่อนเวียนวน
เกลือกกลั้วมัวเมา ไซ้สร้อยเสาวคนธ์
หอมฟุ้งปรุงปน รสสุคนธ์สุมาลัย
สาธุสะพระพาย ช่วยเชยชายมาชื่นใจ
ระรื่นรินกลิ่นใกล้ สักเมื่อไรจะได้เชย
แสนรำลึกดึกดื่น รสรื่นรำเพย
พวงมาลีเจ้าพี่เอ๋ย จะลอยเลยลับตา
เย็นน้ำค้างพร่างพรม ระรื่นลมพัดพา
หอมแต่กลิ่นจำปา มลิลาลำดวน
สายหยุดสาวสวาดิ พุทชาดหอมหวน
นางแย้มแช่มชวน ให้รัญจวนจิตใจ
แก้วกุหลาบซาบทรวง ไม่เหมือนพวงสุมาลัย
หอมบุหงารำไป ชื่นฤทัยทุกเวลา
หอมกลิ่นอินจันทน์ อังกาบกรรณิกา
รสสุคนธ์มณฑา ชื่นวิญญาในอารมณ์
ดอกฟ้าเจ้าข้าเอ๋ย ยังไม่เคยเชยชม
กลิ่นกลบตลบลม แต่สุกรมและยมโดย
ระรวยรินกลิ่นโบก เกสรโศกโบกโบย
รื่นรื่นชื่นโชย ร่วงโรยโปรยปราย
พวงพยอมหอมกรุ่น กลิ่นพิกุลฟุ้งขจาย
น้ำค้างพร่างพราย พระพายชายเฉื่อยมา
หอมหวนอวลอบ พิกุลตลบโลกา
ชื่นพระทัยไสยา ระรื่นรสมาลัย เอย
๑๑ เห่เอยพระสุริยง จะลับลงในเหลี่ยมผา
ให้อาลัยในทวีป ไม่เร่งรีบรถคลา
อาลัยมิใคร่จะจร ค่อยรอนรอนเวลา
ดวงแดดก็แผดเผือด ดูคล้ายเลือดมารา
ทั้งดวงพระพักตร์ลักขณา ก็โรยราแรมยล
ให้อาลัยในสมร มิใคร่จะจรก็จำจน
น่าสงสารพระสุริยน มิใคร่จะสนธยา เอย

บทเห่เรื่องอิเหนา

๑๒ สวมชีพบังคมบาท พระเยาวราชธิเบนทร์สูร
ภุชพงศ์วงศ์ประยูร อิศรราชเรืองเดชา
พระยอดเยาวยุพิน หน่อภูมินทร์แม้นอมรา
เชิญเสด็จขึ้นไสยา บรรทมสุขสำราญรมย์
พระอู่เอกเอี่ยมสะอาด ยี่ภู่ลาดสอดสีสม
พระสูตรรูดบังลม ล้วนลายทองกรองเครือวัลย์
ข้าน้อยนางอนงค์ พร้อมเฝ้าองค์อัญเชิญขวัญ
บรรเลงเพลงโอดพัน นิพนธ์ขับกล่อมการ
จะร่ำเรื่องระเด่นวงศ์ เทเวศร์ทรงปรีชาชาญ
โอบอ้อมยอดเยาวมาลย์ โฉมบุษบาพาจรลี
รีบรถเร่งอัสดร พาดวงสมรเฉิดโฉมศรี
ออกนอกพระบุรี แล้วจึงมีพระบัญชา
เจ้าพี่ผู้ดวงเนตร อย่าแค้นเทวศทรงโศกา
ใช่องค์ระตูมา ลักพาน้องอย่าอาวรณ์
พี่เองมาเชิญชวน ให้นิ่มนวลอนงค์จร
เจ้าแม่ผู้งามงอน เชยเงยพักตร์ขึ้นพาที
บัดองค์สุดาสดับ สุรศัพท์คดี
ทราบเหตุว่าภูมี ระเด่นเดชมาปลอมแปลง
อัดอกสะอื้นอ้อน พระกรข้อนอุรแรง
โศกทรงพระกรรแสง ระทวยทอดพระกายา
ทรุดองค์ลงจากเพลา พลางหยิกเอาพระเชษฐา
ข่วนซ้ำไม่นำพา อาลัยละพระภูธร
อิเหนาถนอมสอด พระกรกอดพระพธูสมร
อ้าแม่อย่าอาวรณ์ ภูธรปลอบถนอมชม
๑๓ เห่เอยระเด่นวงศ์ อิศวรวงศ์อสัญหยา
กับระเด่นบุษบา สถิตย์ถ้ำแท่นสุวรรณ
เย็นย่ำน้ำค้างหยัด รำพายพัดกลิ่นสุคันธ์
แจ่มแจ้งด้วยแสงจันทร ขึ้นหมดเมฆดิเรกดวง
ดาราระดาดาษ ห้องอากาศดังเงินยวง
อ้าแม่เสมอทรวง จงเชิญชมศศิธร
นวลจันทร์แพ้นวลเจ้า ไม่นวลเท่านวลสมร
จันทรกระจ่างกลางอัมพร พระบังอรกระจ่างใจ
บัวทิพย์ยังอายถัน ถนอมขวัญต้องบังใบ
บัวนางนี้อายใคร จึงบ่มผิวด้วยริ้วทอง
ปรางประพระสุคนธ์ ถึงปรางผลก็แพ้น้อง
บุบผามาลากรอง ไม่รื่นรินเท่ากลิ่นนาง
เชิญเถิดประทมที่ สุจนี่ยี่ภู่วาง
ตกยากมาจากปราง เขนยทองยังรองทรง
หยิบพัดกระพือลม คลี่คลุมประทมประทับองค์
ขวัญอ่อนมานอนดง ไร้อนงค์จำเรียงราย
อ้าพี่จะเห่กล่อม งามละม่อมอย่าตื่นสาย
เชิญพระองค์วงศ์นารายณ์ สำราญราชบรรทม เอย
๑๔ เห่เอยตัวพี่ องค์ปันหยีสุกาหรา
ติดตามวนิดา มาปะมิสาอุณากรรณ
เหลือบไปก็คล้ายคลึง ประหนึ่งเจ้าสาวสวรรค์
ทอดสนิทติดพัน สำคัญว่าองค์อนงค์นวย
ทอดกรอ่อนพักตร์ นรลักษณ์ก็สรสวย
สงสารเจ้ารูปรวย นวยนาดดังสตรี
เทเวศร์เข้าดลจิตร ให้พระคิดคนึงศรี
แม้นเจ้าเปนสตรี ตัวพี่จะละอย่าสงกา
๑๕ เห่เอยเข้าไสยาสน์ เทวศหวาดในวิญญา
ยอกรก่ายพักตรา แล้วจินตนาคนึงใน
จึงเผยสุวรรณบัญชร ทุรนร้อนในฤาทัย
เห็นแสงพระจันทร์เธอดั้นไข ส่องถึงในช่องแกล
บริสุทธิผุดผาด สุสะอาดนัยน์ตาแล
พี่หมายน้องเหมือนปองแข เฝ้าชะแง้ชะเง้อคอย
โอ้บุหลันวันเพ็ง อันปลั่งเปล่งครรไลลอย
สุดจะเหาะไปเสาะสอย ให้เคลื่อนคล้อยจากโพยม
พินิจเดือนไม่เหมือนมาด ยิ่งร้อนราชฤทัยโทรม
มณฑาไทวิไลโฉม เมื่อไรจะโน้มมาถึงกร
เหลือที่มาดสวาดิหวัง เจียนชีวังจะม้วยมรณ์
ด้วยรสรักกำเริบร้อน จะผันผ่อนฉันใดดี
เหมือนหนึ่งว่ายในสายชล อันกว้างพ้นพันทวี
แม้นดวงยิหวาไม่ปราณี ก็เห็นที่จะมรณัง
เหมือนต้องศรสหัสจักร มากรึงปักสริรังค์
เหลือจะทนพ้นกำลัง ในทรวงดังเป็นกองไฟ
อกเอ๋ยเมื่อยามเข็ญ ไม่เล็งเห็นท่านผู้ใด
ช่วยดับทุกข์ครั้งนี้ได้ ไม่เห็นใครก็จำจน
อาวรณ์หวนครวญคร่ำ กินแต่น้ำอัสสุชล
ตึกกำดัดสงัดคน ประมาณจนสักสองยาม
เสียงไก่ขันสนั่นแจ้ว วิเวกแว่วหทัยหวาม
สำคัญว่าพงางาม มาร้องถามก็ยินดี
พลางรับขัญสมรมิ่ง ว่ายอดหญิงได้ปราณี
แม่มาแล้วฤาแก้วพี่ เชิญมานี่เถิดสายใจ
พี่ตั้งหน้าคอยท่าน้อง ยิ่งหม่นหมองหฤทัย
อย่าเขินขามเลยทรามวัย ปลื้มอาลัยของพี่ยา
แล้วเยี่ยมแกลแลลอด พลางก็ทอดทัศนา
แลเขม้นไม่เห็นมา หวาดผวาสกลกาย
เออนี่แล้วมิละเมอ ครั้นแจ้งก็เก้อคิดละอาย
จนดาวเคลื่อนเดือนก็บ่าย ไม่เหือดหายความรัญจวน
พระพายพาสุคนธมาศ รุกขชาติอันหอมหวน
กลิ่นตลบอบอวล แต่ครวญจนหลับไป เอย

บทเห่เรื่องโคบุตร

๑๖ เห่เอยเห่ถวาย ถึงเรื่องนิยายแต่ปางหลัง
ให้พระองค์ทรงฟัง เมื่อแรกตั้งโลกา
มีพระมิ่งมงกุฎ ชื่อโคบุตรสุริยา
ได้ข่าวพระธิดา ตรึกตราตรอมใจ
องค์อำพันขวัญเนตร เนานิเวศน์วังใน
แม้นรู้ที่จะไป มอบไมตรีนาง
นิ่งนึกตรึกเกรง จะทรงเพลงยาวพลาง
พอเป็นคำนำทาง ให้สว่างวิญญา
เขียนสารใส่ตอง ให้ขุนทองปักษา
ซ้ำสั่งสกุณา ให้พาสารตรารีบไป
ให้เจ้าสาวสวรรค์ องค์อำพันพิศมัย
ฤาลูกน้อยกลอยใจ นอนอยู่ในวัง เอย

บทเห่เรื่องจับระบำ

๑๗ เห่เอยเห่สวรรค์ เมื่อวสันต์ฤดูฝน
นักขัตฤกษ์เบิกบน ให้มืดมนเมฆา
เทวาวลาหก ให้ฝนตกลงมา
ฝูงเทพเทวา กับนางฟ้าฟ้อนรำ
เล่นฝนตีโทนทับ ร้องรับจับระบำ
เปนคู่เคียงเรียงรำ ระทวยทำท่วงที
เทพไทไขว่คว้า นางฟ้าฟ้อนหนี
เรียงล่อรอรี รำตีวงเวียน
กรีดกรายปลายหัตถ์ ฉวยวัดฉวัดเฉวียน
บทแบบแนบเนียน ผลัดเปลี่ยนท่าทาง
คลอเคล้าเพราพริ้ง รำเป็นสิงห์เล่นหาง
หงษ์ร่อนกรกาง ทำนองกวางเดินดง
รำท่าม้าคลี ไล่หนีตีวง
กินรินบินลง เอี้ยวองค์อ่อนเอียง
มังกรช้อนฟอง ประคองคลอเคียง
ยิ้มพรายชาม้ายเมียง รอเรียงเคียงนาง
รำนารายณ์กรายศร มังกรกินหาง
ท่าพระรามตามกวาง ทำนองนางมโนรา
กรีดเล็บเทพนม รำเปนพรหมสี่หน้า
เมียงชม้ายชายตา ไขว่คว้านารี
หลีกเลี้ยวเกี่ยวกระหวัด ป้องปัดสลัดหนี
ล่อไล่ในที ซิกซี้ปรีดา
รำร่ายย้ายย่าง กินรกางปีกรา
กรีดกรายซ้ายขวา เปนมัจฉาชมชล
ท่าพระรทโยนสาร สอดสังวาลกุณฑล
ชดช้อยสร้อยสน แกมกลกุมกร
นางสวรรค์เยื้องกราย รำนารายณ์โก่งศร
เหลือบชำเลืองเคืองค้อน งามงอนอ่อนกาย
เทวัญกั้นหน้า นางฟ้าเอียงอาย
ไว้จังหวะประปราย รำลอยชายเข้าวัง
ฉวยชิดติดพัน นางสวรรค์หันหลัง
หลีกเลี่ยงเบี่ยงบัง เวียนระวังว่องไว
เทวบุตรยุดหัตถ์ นางสะบัดสไบ
สุขเกษมเปรมใจ ที่ในเชิงไกรลาส เอย
๑๘ เห่เอยนางเอก มณีเมขลา
ลอยเร่ในเมฆา ถือจินดาดังดวงดาว
โยนเล่นเห็นแก้ว สว่างแวววามวาว
ลอยฟ้าเวหาหาว รูปราวกับกินรี
ทรงเครื่องเรืองจำรัส อร่ามรัศมีฉวี
ชูช่วงดวงมณี เลื่อนลอยลีลามา
เลียบรอบขอบทวีป อยู่กลางกลีบเมฆา
เชยชมยมนา เฝ้ารักษาสินธู
ครั้นปัจฉิมคิมหันต์ ถึงวสันตฤดู
ฟ้าคำรนฝนฟู เสียงซู่ซู่สาดเซ็น
ลอยล่องละอองอาบ กระสินธุ์ซาบทรวงเย็น
เคยรำระบำเป็น ล่อเล่นกับเทวัญ
ชูแก้วแววสว่าง รำด้วยนางสาวสวรรค์
ล่อเลี้ยวเกี่ยวพัน พวกเทวัญกั้นกาง
ฉวยฉุดยุดหยอก สัพยอกเย้านาง
โยนแก้วแววสว่าง ให้เนตรพร่างพราย เอย
๑๙ เห่เอยเห่นาม เทพรามสูรมาร
มีมือถือขวาน อยู่วิมานมณีนิล
หน้าเขียวเขี้ยวงอก สีเหมือนดอกอินทนิล
เมืองสวรรค์ชั้นอินทร์ เกรงสิ้นทุกเทวา
เลี้ยวรอบขอบพระสุเมรุ ตรวจตระเวนเวหา
เห็นนางเอกเมขลา โยนจินดาดังเปลวเพลิง
กับสุรางค์นางสวรรค์ ฝูงเทวัญบันเทิง
จับระบำทำเชิง รื่นเริงบันเทิงใจ
คิดจะใคร่ได้แก้ว เลิศแล้วแววไว
แขว่งขวานชาญไชย โลดไล่เทวา
ต่างวิ่งทิ้งกรับ โทนทับรำมะนา
กลัวยักษ์นักหนา หลบหน้าหนีไป
เมขลากล้าแกล้ว ล่อแก้วแววไว
โยนสว่างเหมือนอย่างไฟ ปลาบนัยน์เนตรมาร
หน้ามืดฮืดฮาด กริ้วกราดโกรธทะยาน
แค้นนางขว้างขวาน เปรี้ยงสะท้านโลกา
ฤทธิแก้วแคล้วคลาด ยิ่งกริ้วกราดโกรธา
โลดไล่ไขว่คว้า เมขลาล่อเวียน
ยักษ์โถมโจมโจน นางก็โยนวิเชียร
หลีกลัดฉวัดเฉวียน ล่อเวียนวงวน
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงขวาน ก้องสะท้านสากล
ไล่นางกลางฝน มืดมนในเมฆา
นวลนางนั้นช่างล่อ รั้งรอร่อนรา
เวียนระไวไปมา ในจักรราษี เอย

บทเห่เรื่องกากี

เห่เอยเห่กล่าว ถึงเรื่องราวสกุณา
ครุฑราชปักษา อุ้มกากีบิน
ล่องลมชมทวีป ในกลางกลีบเมฆิน
ข้ามคิรีศีขรินทร์ มุจลินท์ชโลทร
ชี้ชมพนมแนว นั่นเขาแก้วยุคันธร
สัตภัณฑ์สีทันดร แลสลอนล้วนเต่าปลา
งูเงือกขึ้นเกลือกกลิ้ง มัดมงคลมัจฉา
จรเข้และเหรา ทั้งโลมาและปลาวาฬ
โผนเผ่นเล่นระลอก ชลกระฉอกฉาดฉาน
นาคาอันกล้าหาญ ขึ้นพ่นพล่านคงคา
หัสดินบินฉาบ ก็คาบขึ้นบนเวหา
ในทะเลเภตรา บ้างแล่นมาแล่นไป
ลำนิดนิดจิ๊ดจิ๋ว เห็นหวิวหวิวอยู่ไรไร
ชมชื่นหฤทัย ก็ลอยไปในเมฆา
อุ้มแอบแนบชิด ถนอมสนิทเสนหา
ปีกอ่อนร่อนรา กระพือพาเผ่นทะยาน
ลอยรอบขอบพระสุเมรุ บริเวณจักรวาฬ
ชมป่าหิมพานต์ เชิงชานพระสุเมรุธร
สินธพตลบเผ่น สิงโตกิเลนและมังกร
ราชสีดูมีหงอน แก้วกุญชรและฉัททันต์
นรสิงหแลลิงค่าง อีกเซี่ยวกางแลกุมภัณฑ์
ยักษ์มารชาญฉกรรจ์ ทั้งคนธรรพ์วิเรนทร
นักสิทธิ์วิทยา ถือคทาธนูศร
กินรินแลกินร รำฟ้อนร่อนรา
ห่านหงส์หลงเกษม อยู่ห้องเหมคูหา
พระฤๅษีชีป่า หาบผลาเลียบเนิน
คนป่าทั้งม่าเหมี่ยว ก็จูงกันเที่ยวดุ่มเดิน
ลอยลมชมเพลิน พนมเนินแนวธาร
มีหุบห้องปล่องเปลว ดูห้วยเหวรโหฐาน
ลดหลั่นเป็นชั้นชาน เงื้อมตระหง่านเมฆี
บ้างเขียวขาวดูวาววาม เรืองอร่ามรัศมี
ชมพลางทางชี้ บอกคดีนีรมล
ที่สูงเยี่ยมเทียมฟ้า นั่นต้นนารีผล
รูปร่างเหมือนอย่างคน ดูงามพ้นคณนา
ยิ้มย่องผ่องภักตร์ วิไลยลักษณ์ดังเลขา
น้อยน้อยย้อยระย้า เพทยาธรคอย
ที่มีฤทธิปลิดเด็ด อุ้มระเห็จเหาะลอย
พวกนักสิทธิ์ฤทธิ์น้อย เอาไม้สอยเสียงอึง
บ้างตะกายป่ายปีน เพื่อนยุดตีนตกตึง
ชิงช่วงหวงหึงส เสียงอื้ออึงแน่นนัน
ที่ไม่ได้ก็ไล่แย่ง บ้างทิ่มแทงฆ่าฟัน
ที่ได้ไปไว้นั้น ถึงเจ็ดวันก็เน่าไป
พระบอกนางทางพา ลอยฟ้าสุราลัย
เที่ยวชมเล่นให้เย็นใจ แล้วกลับไปวิมาน เอย

บทเห่เรื่องพระอภัยมณี

๒๑ เห่เอยเห่ละห้อย พราหมณ์น้อยศรีสุวรรณ
แรมสำนักตำหนักจันทน์ พระสุริยันสนธยา
ให้อาดูรพูลเทวศ ถึงแก้วเกษรา
ได้เห็นพักตร์ลักขณา ยังติดตาทุกนาที
ชมแท่นทองที่รองทรง ของอนงค์องค์บุตรี
หอมหวนยวนยี อยู่ในที่ไสยา
เผยพระแกลแลกระจ่าง เห็นเดือนสว่างในเวหา
ทรงกลดรจนา เหมือนนวลหน้าพระน้องนวล
อนาถหนาวเศร้าสร้อย ให้ละห้อยโหยหวน
นึกเห็นเมื่อเล่นสวน เลิศล้วนลักขณา
เนตรขนงวงวิลาศ พิศเพียงบาดนัยนา
พระกรรณแก้วแววตา ดังกลีบผกาโกมล
สองกรก็อ่อนชด ดังงอนรถพระสุริยน
ปรางประพระสุคนธ์ พิศเพียงผลลูกจันทน์
ทรวดทรงพระองค์อ่อน ดังอัปสรสาวสวรรค์
โกมุทบุษบัน ไม่เทียมถันประทุมา
โอษฐ์สะอาดดังชาดจิ้ม เมื่อยามยิ้มดังเลขา
เมื่อเนตรน้องมาต้องตา ดังสายฟ้ามาฟาดทรวง
แสนรักสลักอก ยิ่งกว่ายกภูเขาหลวง
จะใคร่อุ้มพุ่มพวง มาแนบทรวงไสยา
ผิวเหลืองระเรืองรอง เหมือนเนื้อทองธรรมดา
แม้นสมรักจะลักพา ลงเภตรากางใบ
ดูเนื้อน่วมอยู่นุ่มนิ่ม จะชมชิมให้อิ่มใจ
แม้นลมดีจะคลี่ใบ แล่นไปในนที
จะปลอบประโลมโฉมฉาย ขึ้นนั่งบนท้ายบาหลี
แย้มสรวลยวนยี จะชวนชี้ให้ชมปลา
มีต่างต่างกลางทะเล ทั้งจรเข้เหรา
ฝูงกระโห้ทั้งโลมา เคลื่อนคลาอยู่ตามกัน
กุ้งกั้งแลมังกร สลับสลอนหลายพรรณ
นาคราชผาดผัน ปลาอำพันตะเพียนทอง
วาฬใหญ่ขึ้นไล่คู่ ผุดฟูพ่นฟอง
เงือกงูดูคะนอง ลอยล่องชโลธร
กริวกราวก็เต้าตาม ฉนากฉลามสลับสลอน
คลาเคล้าสำเภาจร ในสาครรายเรียง
เกาะใหญ่ไม้ชอุ่ม เป็นพุ่มพุ่มเคียงเคียง
เหมือนจอกน้อยลอยเรียง พิศเพียงจะเพลินใจ
นิ่งนึกจนดึกดื่น ถอนสะอื้นอาลัย
เคลิ้มระงับหลับไป อยู่ในห้องไสยา เอย
๒๒ เห่เอยเห่กล่าว ถึงพระดาวบศนี
องค์สุวรรณมาลี บวชด้วยมีศรัทธา
กับสินสมุทสุดสวาดิ อรุณราชนัดดา
อยู่เขารุ้งปลายทุ่งนา ออกนั่งหน้ากุฎี
แบ่งส่วนกุศลผลบุญ ให้องค์อรุณรัศมี
สาวสุรางค์นางชี แต่ล้วนมีศรัทธา
ตัดรักชักประคำ พึมพำภาวนา
เงียบสงัดวัดวา พระสุริยาเย็นรอนรอน
ชะนีน้อยห้อยโหย วิเวกโหวยวิงวอน
จิ้งจอกออกหอน นกนอนรังเรียง
เริงร้องซ้องแซ่ คลอแคลกรีดเสียง
น่าดูเปนคู่เคียง แอ่นเอี้ยงแอบอิง
แม่นกกกกอด ลูกพลอดวอนวิง
แจ้วแจ้วแก้วกะลิง จับที่กิ่งไทรทอง
นั่งชมโสมนัส กับหน่อกษัตริย์ทั้งสอง
พลบค่ำย่ำฆ้อง เดือนส่องสว่างตา
หอมดอกไม้ใกล้กุฏิ สาวหยุดมลิลา
ยี่หุบบุบผา แย้มผกากลิ่นขจร
เย็นยะเยียบเงียบสงัด พระพายพัดมาอ่อนอ่อน
หึ่งหึ่งผึ้งภมร เชยเกสรสุมาลี
หอมอังกาบกุหลาบเทศ การะเกดริมกุฎี
ให้ซาบทรวงหลวงชี ด้วยมาลีหลายพรรณ
ลมโชยโรยริน หอมลูกอินกลิ่นจันทน์
รสสุคนธ์ปนกัน เหมือนกลิ่นกลั่นตลบลม
นิ่งระงับหลับตา อุตส่าห์รักษาอารมณ์
ถึงหอมระรื่นไม่ชื่นชม ตามเพศพรหมจรรย์ เอย
๒๓ เห่เอยพระราชบุตร สินสมุทรมุนี
กับอรุณรัศมี นั่งอยู่ที่น่าชาลา
แย้มสรวลชวนกัน นั่งฉันน้ำชา
พูดเล่นเจรจา กับน้องยานารี
แขไขไตรตรัด เรืองจรัสรัศมี
ร่อนเร่ในเมฆี มาตรงที่แกลทอง
ถ้าเช่นนี้พี่เหาะได้ จะเหาะไปประคอง
ค่อยสอดกรซ้อนตระกอง มาไว้ในห้องไสยา
เย็นชื่นดื่นดึก ลืมรำลึกภาวนา
ชวนพระน้องร้องสักรวา จนหลงว่าขึ้นดังดัง
โอ้ว่าเจ้าการะเกด ขี่ม้าเทศจะไปท้ายวัง
น้องห้ามไว้ก็ไม่ฟัง จะแทงฝรั่งลังกา
รู้สึกตัวกลัวกรรม ชักประคำภาวนา
เดือนส่องต้องศิลา ดังจินดาดวงดาว
ด้วยเขารุ้งรุ่งเรือง บ้างเขียวเหลืองแวววาว
แวมสว่างพร่างพราว อร่ามราวเพชรพลอย
พร่างพร่างน้ำค้างเหยาะ เผาะเผาะผอยผอย
ดาวก็เคลื่อนเดือนก็คล้อย จะเลื่อนลอยลับตา
เย็นยะเยียบเงียบสงัด พระพายพัดรำเพยพา
พระเพลินจิตไม่นิทรา แต่น้องยานั้นหลับไป
เดือนส่องผ่องเพียง จะแข่งเคียงแขไข
หลับสนิทจะพิศไหน งามวิไลลักขณา
นวลหน้าเหมือนการะเกด ดังดวงเนตรของเชษฐา
ถึงนางสวรรค์ชั้นฟ้า ก็ไม่โสภาเทียมนวล
ชายใดแม้นได้นุช จะรักสุดแสนสงวน
ยิ้มเยื้อนเหมือนจะชวน ให้รัญจวนใจชาย
พิศเพ่งเล็งดูเดือน ละม้ายเหมือนกับเดือนหงาย
ฟ้าขาวดาวประกาย พฤกษพรายโพยมมาล
เสียงดุเหว่าเร่าร้อง เสนาะก้องกังวาล
ไก่กระชั้นขันขาน วิเวกหวานวังเวง
เหมหงส์บุหรงร้อง ดังพาทย์ฆ้องประโคมเพลง
กลระฆังก็ดังเอง เสียงเหง่งเหง่งวังเวงใจ
ลมว่าวหนาวชื้น หอมระรื่นหฤทัย
งีบระงับหลับใหล ในที่ไสยา เอย
๒๔ เห่เอยหน่อกษัตร นางอรุณรัศมี
บวชเล่นเล่นก็เป็นชี กับฤๅษีพี่ยา
แอบชอ้อนนอนเพลา ว่าพระเจ้าป้าจ๋า
พรหมจรรย์จรัญญา เขาแปลว่าอันใด
พระเจ้าลุงพรุ่งนี้ จะมานีมนต์ไป
หลวงป้าไม่ว่าไร ฤๅจะไปตามคำ
ถามเท่าไรก็ไม่ตรัส สมาบัติบริกรรม
กลัวป้าอุตส่าห์ทำ ชักประคำภาวนา
ลืมมนต์เสียหมดสิ้น ด้วยหอมกลิ่นบุปผา
รสสุคนธ์มณฑา มลิลาลมโชย
รื่นรื่นชื่นแช่ม กลิ่นนางแย้มยมโดย
ให้หวิวหวิวหิวโหย ร่วงโรยกำลัง
ประหลาดเหลือเมื่อไร จะได้เข้าไปในวัง
เสียงหริ่งหริ่งที่กิ่งรัง ฟังฟังยิ่งวังเวง
จักจั่นสนั่นเสนาะ ดังบัณเฑาะว์ดีดเพลง
กระดึงดังหงั่งเหง่ง ให้วังเวงวิญญา
ครั้นเย็นย่ำน้ำค้าง พร้อยพร่างพฤกษา
ลมเชยรำเพยพา ชื่นวิญญาเย็น เอย
๒๕ เห่เอยเห่กล่าว ถึงลูกสาวเจ้าลังกา
โฉมลเวงวัณฬา ทรงอาชามากลางไพร
เลี้ยวหลงวงเดิน พนมเนินพนาลัย
แลเหลียวเปลี่ยวใจ วิเวกในดงดาล
เห็นแต่สัตว์จัตุบาท มฤคราชแรดฟาน
เสือสิงห์วิ่งทะยาน เสียงสะท้านสะเทือนดัง
นางหลีกลัดดัดเดิน แนวเนินพนมวัง
ให้หิวโหยโรยกำลัง จนม้าที่นั่งก็อ่อนแรง
แลดูพระสุริฉาย ก็เบี่ยงบ่ายชายแสง
สุดสังเกตเขตแขวง ไม่รู้แห่งหนทาง
แลขวาเป็นป่าชัฏ ข้างซ้ายขัดภูเขาขวาง
ล้วนป่าสูงยูงยาง ไปตามหว่างศีขรินทร
เป็นโกรกกรวยห้วยธาร หุบลหานเหวหิน
ฝูงปักษาเที่ยวหากิน บ้างโผบินร่อนเรียง
แจ้วแจ้วแก้วพลอด ฉอดฉอดฉ่ำเสียง
กระลุมภูเปนคู่เคียง เค้าโมงเมียงมองแล
ฝูงอิลุ้มคุ่มขาบ กระจิบกระจาบจอแจ
นกออกเอี้ยงเคียงคับแค เสียงซ้อแซ้สนั่นไพร
โพรโดกนั้นโอกเสียง เสนาะสำเนียงนกตะไน
กินปลีเปล้าเขาไฟ จับกิ่งไม้มองเมียง
ไก่ฟ้าพระยาลอ ขันจ้อแจ้วเสียง
นกอุลอคลอเคียง กะเรียนเรียงรังนาน
ฝูงยางกรอกดอกบัว กระเต็นกระตั้วหัวขวาน
เบญจวรรณขันขาน บ้างบินผ่านโผจร
คุลาโห่โกกิล นกขมิ้นเหลืองอ่อน
เรียงจับสลับสลอน นางนวลนอนแนบนาง
บ้างเวียนวิ่งบนกิ่งไม้ บ้างซุกไซ้ปีกหาง
ชมเพลินเดินพลาง วิเวกวางเวงใจ
บาระบูนขุนแผน ตระเวนกระแวนระวังไพร
ตัวเขียวเหยี่ยวตะไกร ไล่ลูกไก่เวียนวง
ที่เงื้อมเงาเขาสูง แต่ล้วนฝูงเหมหงส์
ปีกเจ้าอ่อนร่อนลง ประสานส่งสำเนียง
นกยูงเป็นฝูงฟ้อน เหมือนละครรำเรียง
กรีดกรายชม้ายเมียง ประสานเสียงสนั่นดัง
สาลิกาสุวาที นกโนรีเรียงรัง
เหมือนนกเลี้ยงในเวียงวัง พระเนตรหลั่งหล่อชล
โอ้อกระหกระเหิน เคราะห์เผอิญอับจน
ม้าเลี้ยวหลงวงวน ไม่เห็นหนทางไป
ป่าระหงดงดึก สะพรั่งพฤกษาไสว
หอมระรื่นชื่นฤทัย ดอกไม้ไพรพนม
แก้วกุหลาบอังกาบแกม นางเด็ดแซมมวยผม
สร้อยฟ้าดูน่าชม ทั้งสุกรมยมโดย
บ้างบานตูมเป็นพุ่มพวง บ้างหล่นร่วงกลีบโรย
ทั้งพระพายชายโชย เกสรโปรยปรายมา
ทั้งรวยรินอินจันทน์ กะลำพันกฤษณา
เพลินพระทัยไคลคลา จนสุริยาเย็นรอนรอน
ครั้นถึงธารสะอ้านสะอาด เขาอังกาศศิงขร
จิ้งจอกออกเห่าหอน ในดงดอนดูมืดมัว
เสียงชะนีวิเวกโหวย ละห้อยโหยหาผัว
วังเวงน่าเกรงกลัว แลเห็นตัวอยู่ไรไร
เห็นที่แท่นแผ่นผา ที่ไสยาอาศัย
ลงจากม้าคลาไคล เข้านั่งใต้ไทรทอง
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยนัก พระวรภักตร์หม่นหมอง
แล้วทรงเปลื้องสะไบกรอง นางปูรองกายา
ค่อยเอนองค์ลงบนอาสน์ พระเศียรพาดแผ่นผา
ให้หิวโหยโรยรา นิ่งนิทราตรอมใจ
เสียงจังหรีดกรีดกริ่ง หริ่งหริ่งเรไร
เคลิ้มระงับหลับไป ใต้ต้นไทรทอง เอย
๒๖ เห่เอยเห่บท เดินรถในราตรี
พระอภัยมณี นั่งที่ท้ายรถทรง
บุษบกกระจกกระจ่าง เห็นรางรางรูปทรง
คลุมประทมห่มองค์ เห็นแต่วงพักตรา
แม่ยอดหญิงพริ้งเพริศ วิลาศเลิศลักขณา
จะสะกิดก็ติดฝา สุดปัญญาสุดอาลัย
ยืนยิ้มอยู่ริมรถ รื้อระทดหฤทัย
ฤๅระงับหลับใหล ทำกระไรจะรู้ความ
นิ่งนึกเห็นดึกนัก เวลาก็สักสองยาม
คิดจะใคร่ไต่ถาม ให้ขามขามในวิญญา
ยามประชวรกวนจิต จะเคืองคิดโกรธา
จึงถอยหลังรั้งรา เลียบไปหน้ารถชัย
พระถามธิดาสุลาลี พระชนนีเป็นไฉน
เขาบอกว่าหลับก็กลับไป ขึ้นยืนอยู่ใกล้แกลทอง
ผลักผลักสลักติด ก็คิดคิดเขม้นมอง
เสียงจังหรีดกระกรีดร้อง นึกว่าน้องจำนรรจา
เกาะเกาะพระเคาะแกล เป็นไรนะแม่วัณฬา
พี่มาแล้วนะแก้วตา จะรับรักษาทรามวัย
เย็นยะเยียบเงียบสำเนียง ได้ยินแต่เสียงเรไร
เสนหาอาลัย มิได้ใกล้เคียงองค์
กลับมานั่งบังกาย อยู่ที่ท้ายรถทรง
พร่างพร่างกลางดง ต้นรงร่มครึ้ม
พอเดือนเที่ยงเสียงผึ้ง หึ่งหึ่งครหึม
ทุกเงื้อมเขาเหงางึม ให้เศร้าซึมโศกา
พี่อุตส่าห์มาด้วย ก็มิได้ช่วยรักษา
ฤๅน้องแก้วแววตา สวรรคาลัยไป
ไม่ขออยู่จะสู้ม้วย จะตายด้วยแม่ดวงใจ
กอดพระกรถอนฤทัย วิเวกในดงดอน
เย็นยะเยียบเงียบสงัด พระพายพัดมาอ่อนอ่อน
รวยรินกลิ่นขจร หอมเกสรสุมาลี
ลั่นทมนมสวรรค์ ทั้งอินจันทน์จำปี
สร้อยฟ้าสารภี มลุลีหลายพรรณ
ทั้งยมโดยโรยริน ระรื่นกลิ่นมลิวัน
เหมือนกลิ่นเนื้อเจือจันทน์ สะอื้นอั้นอาลัย
ไฉนดีเจ้าพี่เอ๋ย จะได้เชยให้ชื่นใจ
อุตส่าห์ตามทรามวัย มาจนใกล้กัลยา
เพราะฝาติดอยู่นิดเดียว ให้เสียวเสียวเสนหา
เขม้นมองที่ช่องฝา จะใคร่เห็นหน้าพระน้อง เอย
๒๗ เห่เอยเห่เพลง โฉมละเวงวัณฬา
ทำหลับใหลไสยา จนล่วงมากลางดง
แลเห็นองค์พระอภัย เที่ยวเลียบไต่รถทรง
ทำความเพียรเวียนวง คิดก็สงสารเธอ
ช่างซื่อสุดบุรุษใด ไม่มีใครจะเสมอ
ช่างง่วงเหงาเฝ้าละเมอ ช่างไม่เก้อแก่ใจ
เห็นประจักษ์ว่ารักจริง สู้ทอดทิ้งทัพชัย
มิตอบถ้อยจะน้อยใจ ครั้นพูดไปจะเป็นทาง
ทั้งรักแค้นแสนเสียดาย สะอื้นอายอางขนาง
ทำประชวรครวญคราง จึงถามนางลาลีวัน
ถึงไหนแล้วณแก้วตา แม่หลับมาแต่สายัณห์
เข้าป่าสาลวัน จักจั่นจับใจ
เจ้าแม่เอ๋ยเคยนั่ง จะลุกยังไม่ไหว
ให้กลุ้มกลัดในหทัย เจ็บไข้ก็ไม่เคย
ลมว่าวก็เฝ้าพัด หนาวสาหัสแล้วลูกเอ๋ย
กลางไพรใครเลย จะให้เขนยหนุนนอน
ทั้งน้ำค้างก็ช่างสาด ใจจะขาดลงรอนรอน
ถึงสุวรรณบรรจถรณ์ จะได้นอนให้อุ่นทรวง
ชะกระไรพระจันทร์ ช่างดัดดั้นไปลับดวง
ฤๅลับเงาภูเขาหลวง ไม่โชติช่วงชัชวาลย์
แลก็ไม่เห็นหน ช่างมืดมนอนธการ
ดอกไม้ก็ไม่เบิกบาน จะได้สำราญฤทัย
เจ้าประดิษฐคิดขับ ให้เพราะจับจิตใจ
จะได้ระงับหลับใหล ให้ส่างในทรวง เอย
๒๘ เห่เอยธิดา โฉมสุลาลีวัน
รับสั่งบังคมคัล ขึ้นนั่งบนชั้นเกรินทอง
แกล้งประดิษฐ์คิดคำ ขับลำนำทำนอง
โอ้ยามค่ำย่ำฆ้อง ให้มัวหมองในวิญญา
จะแลชมพนมพนัส ไม่ถนัดนัยนา
ช่างมืดมิดทุกทิศา มืดทั้งฟ้าดินดง
โอ้ว่าพระศศิธร ช่างลอยร่อนรถทรง
แจ่มกระจ่างสว่างวง ส่องที่ตรงแกลทอง
เห็นพักตราหล้าโลก จะส่างโศกเศร้าหมอง
โหยหวนนวลละออง มณฑาทองที่ต้องใจ
ภุมรินบินค้อยค้อย มาเชยสร้อยสุมาลัย
มืดมนก็จนใจ เที่ยวเลียบไต่ตอมดวง
โอ้เอนดูแมงภู่น้อย ให้เศร้าสร้อยโศกทรวง
ด้วยกลีบหุ้มพุ่มพวง ไม่โรยร่วงรสสุคนธ์
ขอเทวัญในชั้นฟ้า ทั้งเทวาเดินหน
ช่วยโปรยปรายสายฝน ให้อุบลแบ่งบาน
ลมโชยระโรยกลิ่น หอมกระถินพิมาน
มณฑาผกากาญจน์ มาซาบซ่านทรวงเย็น
หอมประดู่อยู่ใกล้ใกล้ แลก็ไม่ใคร่เห็น
น้ำค้างพร่างสาดกระเซ็น ยะเยือกเย็นพยอมไพร
หนาวลมจะห่มผ้า หนาวน้ำฟ้าจะผิงไฟ
หนาวทรวงณดวงใจ เศร้าฤทัยระทวยทรง
ถึงเสื้อสวมนวมหุ้ม ก็ไม่เหมือนอุ้มแอบองค์
หอมดอกไม้ที่ในดง ไม่เหมือนทรงสุคนธา
แป้งสดรสรื่น ไม่หอมชื่นในนาสา
เห็นอื่นอื่นไม่ชื่นตา เหมือนได้เห็นหน้าพระน้อง เอย
๒๙ เห่เอยเฉลยไข เรื่องพระอภัยมณีสนอง
เมื่อพระองค์ทรงครอบครอง กับสาวสวรรค์ชื่อวัณฬา
ขนิฐนาถทั้งราชบุตร ก็ทิ้งพุทธภาษา
อยู่ยังเกาะลังกา ภิรมย์รื่นทุกคืนวัน
พระอภัยวิไลลักษณ์ กับเอกอัครละเวงสวรรค์
นารีพระศรีสุวรรณ ชื่อรำพาสุดาดวง
สินสมุทรโอรสา กับพกายุพาพวง
ยับยั้งอยู่วังหลวง ละเลิงหลงว่าทรงงาม
เข้ารีตฝาหรั่งเศส สละเพศกระษัตริย์สยาม
ทิ้งพวกพี่เลี้ยงพราหมณ์ ไม่กรายกลับไปพลับพลา
ภิรมย์เรียงอยู่เคียงข้าง มิได้ห่างเสนหา
ชื่นชิดด้วยฤทธยา ทั้งอุปเทเสนห์อนงค์
พระพี่ชายวายรำลึก ถึงกรุงผลึกด้วยใหลหลง
พระน้องชายนั้นวายพระวง บุรีรมจักรา
พระเชษฐาลืมนารี มเหษีเสน่หา
สร้อยสุวรรณจันทร์สุดา ทั้งราชบุตรสุดสาคร
พระอนุชาลืมนาเรศ องค์แก้วเกษรานิกร
อรุณรัศมีสมร พระธิดายุพาพาล
สินสมุทรนั้นสุดหลง ลืมโสดสรงกระสินธุ์สนาน
ทั้งโภชนากระยาหาร ก็ลืมเสวยเฝ้าเชยชม
สามกระษัตริย์บำบัดยุค เกษมสุขทุกสิ่งสม
ชื่นจิตสนิทสนม ไม่วายเสน่ห์สักเวลา
ฝ่ายชายวิเชียรพราหมณ์ สานนนามพราหมณ์โมรา
ตรองตรึกต่างปรึกษา แล้วเลขาลิขิตเขียน
คัดคิดประดิษฐประดับ สองฉบับบรรจงเจียร
ไขคำจดจำเนียร พับผนิดแล้วปิดตรา
สั่งให้ชายนายทหาร เชิญศุภสาส์นลงนาวา
ใช้ใบไปในมหา มหรณพครบเจ็ดวัน
ถึงท่าอณาเขต ผลึกนิเวศดังเวียงสวรรค์
ประเทืองถือหนังสือสำคัญ ขึ้นเรียนท่านเสนาใน
แจ้งกิจจาพาลีลาศ เข้าสู่ราชเวียงไชย
แล้วทูลฉลองสนองไข พระพันวัสสาสุมาลี
บทนี้จะขอกล่าว ถึงเรื่องราวมเหษี
ทราบว่าพระสามี เข้ารีตฝรั่งเกาะลังกา
สองกรข้อนพระทรวง โดยหึงหวงเสนหา
นองพระชละนา พิไรร่ำแล้วรำพัน
โอ้ทูลกระหม่อมมิ่ง มาทอดทิ้งกระหม่อมฉัน
แล้วโกรธาตาเป็นมัน พระพัตรเผือดด้วยเดือดดาล
ชิชะอีฝรั่ง น้อยหรือช่างชิงอาหาร
จะยกทัพไปรับงาน กันกับมันไม่พรั่นพรึง
ฝ่ายพระชนนี ก็สุดที่จะขี้หึงส
ลุกโลดกระโดดอึง แม่มาลีอย่าหนีมัน
ถึงเสียทองสักเท่าตัว แต่ให้ผัวอยู่ด้วยกัน
เหวยเสนาอย่าช้าพลัน จัดกำปั่นพันเภตรา
แล้วสั่งอาลักษณ์พนักงาน ให้แต่งสารสุนทรา
ถึงราชบุตรสุดสา คเรศราชกุมาร
ฝ่ายรมจักรแจ้งกิจจา นางเกษราได้รับสาร
ว่าภัสดาปรีชาชาญ ได้ชู้อังกฤษสนิทใน
แสนสงสารพระทรงเดช พระชลเนตรนั้นหลั่งไหล
นางฝรั่งไม่หวังใจ เหมือนนางไทยเสียดอกกระมัง
กลัวจะไม่รู้อยู่ปรนนิบัติ อยู่งานพัดริมบัลลังก์
จะรนร้อนอาวรณ์หวัง ไม่วายเศร้าทุกเช้าเย็น
แม้นเมื่อยพระองค์ยามทรงปวด อยู่งานนวดที่ไหนเป็น
เคืองแค้นสุดแสนเข็ญ ด้วยเคืองขัดพระหัทยา
ถึงยามเสวยจะเคยเลื่อน แคล้วคลาดเคลื่อนซึ่งเวลา
พยัญชะนังและมังสา จะผิดรสเป็นนิรันดร์
โภชนาข้างฝาหรั่ง มีแต่ขนมปังกับหมูหัน
ไม่เจือจานทั้งหวานมัน พระธาตุขันธ์จะปรวนแปร
เคยเสวยชาสุธารส จะทรงซดแต่กาแฟ
ใส่เนยนมภิรมย์แร ทั้งชีกุลัดเป็นอัตรา
นางอังกฤษสนิทสนม ไหนจะอบรมพระภูษา
จีบสะไบวิไลคา ตามยศศักดิ์พนักงาน
จะทรงแต่กงเกง เหมาะเหมงน่าอัประมาณ
เสื้อฝรั่งอลังการ ใส่หมวกอังกฤษผิดพวกไทย
อาวรณ์หวังสุดสังเวช พระเยาวเรศเธอรำไร
ถึงพระภูวไนย องค์ภัสดาปรีชาชาย
องค์อัคเรศพระเชษฐา ขี้หึงสาประดาหาย

(ในต้นฉบับที่ได้มาสมุดขาดมีบทแต่เพียงนี้)

๓๐ เห่เอ่ยจะกล่าว ถึงเรื่องราวพระอภัย
ต้องเสน่ห์เล่ห์อาลัย หลงใหลรักวัณฬา
พระแปลงปลอมถ่อมยศ มาในรถโมรา
เงียบเหงาเศร้าวิญญา เมื่อในราตรีกาล
จนดึกดื่นเดือนดวง โชติช่วงชัชวาลย์
พระพายรำเพยเผยพาน น้ำค้างก็ซ่านโทรมกระเซ็น
แสนสงสารพระอภัย ให้หนาวในทรวงเย็น
สอดสังเกตเนตรเขม้น แลเห็นอยู่รางราง
รู้ว่าละเวงวัณฬา อยู่ในรถฝากระจกกระจ่าง
แต่ลูกหลอกบอกพราง ว่าพระนางเธอประชวร
พระอภัยมณีเธอขี้ขลาด ไม่เอื้อมอาจลามลวน
ได้ยินเสียงนางครางครวญ คิดว่าประชวรจริงจริง
สะอื้นอั้นตันอุรา สงสารกัญญายอดหญิง
เห็นงามงอนลงนอนนิ่ง ท้าวเธอก็ยิ่งทุกข์ประเทือง
ลำลำจะใคร่ถามประชวร เกรงไม่ควรกลัวนางจะเคือง
กลัวคนจะรู้เข้าหูเหือง จะเสียเรื่องรักเรา
เธอสู้นั่งมิไม่ปริปาก เพราะหวังจะฝากไมตรีเขา
สู้นั่งจ๋อยจิ๋มหงิมเหงา เหมือนหนึ่งโศกเศร้าสักแสนปี
ฝ่ายโฉมละเวงวัณฬาเลิศ วิเศษประเสริฐสวยศรี
นางนิ่งนอนอาวรณ์ทวี อยู่บนที่รถทอง
เห็นพระอภัยวิไลลักษณ ประเสริฐศักดิ์เธอเศร้าหมอง
เพราะหมายเปนหนึ่งจะพึ่งน้อง ท้าวเธอจึงต้องแปลงตัว
สู้ต่ำเตี้ยเสียพระเดช นึกแสนสมเพชรักผัว
เพราะรักน้องจึงหมองมัว ทูลเอยทูลหัวของเมีย
สู้ตัดญาติขาดมิตร มาเข้ารีตฝรั่งเสีย
สู้ต่ำต้อยละห้อยละเหี่ย อะลิ้มอะเหลี่ยเหลืออาลัย
ทั้งรูปก็ดีเป่าปี่ก็เพราะ ละมุนเหมาะจับใจ
ทั้งโลกหล้าไม่หาได้ เหมือนพระอภัยภูมินทร์
จะเกี้ยวจะพานก็หวานสนิท ดังอำมฤตวาริน
ครองสัตย์ซื่อถือศิล ควรเปนปิ่นนครา
พระสังฆราชบาดหลวง ช่างไปล่อลวงเอาเธอมา
จะให้ฟันฟาดพิฆาตฆ่า น้องเวทนาเหลือใจ
เออเมื่อเธอรักน้องหนักหนา จะให้คิดฆ่าเสียกลใด
เธอมิตรจิตน้องก็มิตรใจ ฆ่าไม่ได้แล้วนา
สงสารเอยสงสารนัก พระยอดรักของน้องนี่หนา
เคยสุขไสยาสน์บนอาสนไสยา ยี่ภู่ผ้าอันโอฬาร
แม้นน้องไม่คิดขวยเขิน จะเชื้อเชิญด้วยคำหวาน
ประทมที่นอนวอนวาน จะอยู่งานให้ประทม
เออทำไมไม่มาเล่า ช่างนั่งนิ่งเหงาง่วงงม
จนเข้ามาชิดยังไม่คิดจะชม น่าน้อยอารมณ์เสียนี่กระไร
โอ้โอ๋พระพี่ช่างขี้ขลาด ขยั้นขยาดผู้หญิงได้
นางคำนึงตะลึงตะไล ด้วยพิศมัยพระภูธร
ฝ่ายพระอภัยใจจะขาด เพราะแสนสวาดิหวังสมร
ถอนหทัยให้สะท้อน ทุรนร้อนเสียจริงจริง
จึงออกอุบายภิปรายเปรย ตรัสเฉลยแก่ลูกหญิง
แกล้งทำสำออยอ้อยอิ่ง ว่าหนาวจริงจริงสุลาลี
พ่อต้องลมว่าวหนาวนัก ช่วยถอดสลักให้สักที
นึกว่าช่วยชีวี บิดานี้เถิดบังอร
๓๑ เห่เอยบุตรฝรั่ง เมื่อได้ฟังท้าวเธอวอน
จึงถอนสลักชักกลอน ค่อยกระซิบสอนแต่เบาเบา
มาตุรงค์ยังทรงประชวร อย่าเข้าไปกวนสะกิดเกา
เธอว่าถึงถูกก็เพลาเพลา จริงจริงนะเจ้าจงคอยดู
ว่าพลางทางเข้าชิด เพ่งพินิจอยู่เปนครู่
จึงเล้าโลมโฉมตรู หวังจะใคร่รู้โรคประชวร
แม่เป็นไฉนอย่างไรบ้าง จึงได้เฝ้าครางคร่ำครวญ
เป็นโรคจรประจวบจวน ฤๅเคยประชวรประจำกาย
ตัวพี่เป็นหมอจะขอนวด ให้เจ็บปวดนั้นเคลื่อนคลาย
เคยเรียนรู้เส้นถึงเปนตาย จะนวดถวายสักวัน เอย

เห่เรื่องอนิรุทธ

๓๒ อัญชลิตอดิศรกุมาเรศ ขอถวายนิเทศในเบื้องหลัง
อนิรุทธพงศภุชบัลลังก์ นิราศบังอรอุสาลาวัณย์
ปางพระยุพยงวงศจักรกฤษณ์ เธอเนานิทรเหนือรถรังสรรค์
ดาราดาษคลาดคล้อยเมฆัน รังษีจันทร์หย่อนแสงสุริยา
อโณทัยไขกาญจโนภาษ สกุณชาติเพรียกพร้องต่างภาษา
กุกกุแก้วขันก้องในวนา โกกิลาเร้าเร่งรวีวรรณ
เสนาะเสียงมยุเรศร้องหา เรียกนิกรมยุราแซ่สรรพ์
จัตุบททวิบาทนานาพรรณ บ้างตื่นตาหากันในดงดอน
หิมาเยือกเย็นกระเซ็นสาด บุษปมาศเผยแผ่เกสร
สุคนธรสรวยกลิ่นขจายจร ผึ้งภมรดื่มเคล้าเสาวคนธ์
ประจุสสมัยไขสางสว่างหล้า ฟื้นไสยาขัติยวงศทรงฉงน
พลิกพระกายหมายแม่นมิ่งวิมล แนบสกนธ์ไสยาสน์เหนืออาสนนาง
กรตระกองต้องเขนยข้างขนอง เผยเนตรบ่ยลน้องกระมลหมาง
พิศวงวินิจฉัยสมัยปาง นฤมลแม่ห่างพี่กลใด
เผยอองค์ทรงประทับทอดพระเนตร มณฑรีที่ประเทศสูงใหญ่
ประกอบเหมหิรัญรัตน์อำไพ ทั้งห้องในที่เธอนิทรา
ล้วนจำหลักฉลุลายหลายหลาก กินรนาคเวนไตยสิงหา
เทพไททวยเทพธิดา ฟ้อนรำทำท่าถวายกร
อีกทั้งบัลลังก์แว่นฟ้า ประดับมหาเนาวรัตน์ประภัสสร
วิเชียรประพาฬโกมินนิลบวร ไพฑูรย์ซ้อนบุษรามุกดาดวง
มรกตใสสุดบุษย์เสวตร สุดวิเศษประเสริฐแสงโชติช่วง
วิสูตรสุวรรณโปร่งรายมาลาพวง บรรจถรณ์เทียบเทพสรวงไสยา
ทั้งคณากำนัลนารีรัตน์ ก็วิบัติหายเห็นให้กังขา
ยลแต่สุวรรณรถรัตนา กับหมู่มาตยาโยธี
ยังสนิทนิทราดาดาษ ประจักษ์ราชฤทัยพระทรงศรี
ว่าเทวฤทธิ์มหิทธิศักดี นำสมรสกามีกรีธา
โอ้นำสมฤๅนำนิรารัก แสนจะหักไห้โหยฤทัยหา
วิบากใดจึงจากพรากน้องยา อาทวาอกเทวษอ่วนทวี
ปัจฉิมยามยังสนิทนุชแนบ ตระอรแอบองค์อุ่นอุราพี่
กลิ่นกายแก้วกัลยาณี สุคนธ์ซาบทรวงศรียังรวยรมย์
ยามสมานร่วมรสเรียงเขนย นาสาเชยปรางชวนให้เรียมสม
สัมผัสฉวีวรรณน้องน้อยนิยม ถันอุดมเด่นดวงประทุมมาลย์
เรียมสอดเคล้าเต้าต้องเจ้าป้องปัด ทำเทียมขัดแต่มิข้องการสมาน
ระทวยทับทีแสดงแห่งสำราญ ให้ละลานละลุงรสกามา
เนตรนุชนิลสีจำรัสแสง ดังศรแสลงแย้งยิงเสนหา
ยามตระกองกกแก้วกัลยา แม่ชายตาเพียงสายอสนี
พระวิโยคโศกสลดรันทดถอน ทรงนุสรสู่สร้อยสวาดิศรี
พึ่งประจักษ์รักรสเมื่อราตรี ฤๅห่อนอิ่มใจพี่โดยจินดา
เจ้าสถิตใดด้าวแดนประเทศ ธิดาภูธเรศไหนรัฐา
เรียมจะถามนามวงศพงศยุพา วจนาเอื้อนโอษฐบ่ออกความ
แม้นถามได้แจ้งใจจะเต้าติด ถึงสุดคิดแสนขัดไม่ขอขาม
แรมทุเรศรัฐยาสาหะตาม โดยจะข้ามกรดนทีอัคคีกัลป์
เมรุมาศหิมเวศสิงขร อิสินธรยุคันธรภาคมหันต์
ไกรลาศวินันตกสัตตภัณฑ์ หัศกันจักรวาฬคิรี
ซึ่งเปนขุนไศลในโลก อีกหนึ่งโอฆสมุทใสศรี
สีทันดรสรภูวารี ประกอบมีสัตว์ร้ายนานา
ช้างน้ำฉลามฉนากนาคราช เงือกงูราหูกาจตัวกล้า
กุมภีล์ติมิงคเหรา เพียนหมอมัศยาโลมาวาฬ
ดุร้ายหยาบช้าสามารถ อยู่เกลื่อนกลาดสมุทัยสถาน
สิ้นหล้าไตรโลกแสนกันดาร จะสู้ด้นทนทานให้ถึงองค์
สุดฤทธิ์จนจิตไม่ประจักษ์ พระทรงลักษณ์รำพึงพิศวง
แว่วสุโนคเสนาะวนาวง ว้าว่านวลอนงค์เต้าตามมา
ผันพักตร์พิศจบขอบเขต ไม่ยลยอดเยาวเรศยิ่งกังขา
สุมาลย์แม่ดวงกมลพี่ยา แสดงกายเถิดอย่าซ่อนองค์
เรียมสุดศัลย์ทุกข์เท่าเขาขุน คิดข้องขุ่นจิตไข้ใหลหลง
ฟังสำเนียงใช่เสียงโฉมยง พระยิ่งทรงโศกาจาบัลย์
โอ้เวรใดไยมาปลิดเปลื้องสวาดิ จากไสยาสน์ยามสมเกษมสันต์
ฤๅบุพปางสร้างกรรมอเนกนันต์ พรากคู่สัตว์พลัดกันกำลังเชย
เวรนี้นำสนองน้องรัก กับตัวพี่ให้ประจักษ์นิจาเอ๋ย
พระทรงตรองหมองมุ่งไม่ละเลย ศรีสุดาคู่เคยลืมละลาย
อีกทั้งสวรรยาราชายศ จำเรียงรสดนตรีดีดสีสาย
สิบสองพระกำนัลสกลกาย วิลาศลักษณ์เล็งคล้ายสุรางค์นาง
อีกปรางคิมหันต์วสันต์ปราสาท ไพชยนต์มาศเหมันต์รังสฤษดิสร้าง
ห้องสถิตย์ที่ประทมภิรมยางค์ เครื่องสำอางเจือจันทน์สุคันธา
แท่นเสวยที่สรงทรงสนาน ชลธารใสสุทธิ์เย็นกล้า
ทั้งพระผู้ทรงณรงกา บิตุเรศมาตุราธิบดี
ให้งวยงงหลงตะลึงเล็งสวาดิ ภูวนาถโศกสร้อยเศร้าศรี
ปะทะทุ่มอุราโศกี ระทวยทอดอินทรีย์กำสรวญโทรม
ดังชีวิตจะวินาศขาดประเวศ พระพักตร์เพศวิปริตผิดโฉม
ชลนัยน์นองเนตรมนัสโทรม ทรวงสกนธ์เล่ห์โหมเพลิงกัลป์
สวายสวิงนิ่งวินิจระอิดอ่อน สุดร้อนแสนรักดวงขวัญ
หทัยหวาดวิ่งหวิวแดยัน พระทรงธรรม์ถึงกาลสัญญี
นิบาตอนิรุทธหยุดยั้ง ถวายบังคมเบื้องบทศรี
ขอพระองค์ทรงเจริญสวัสดี อย่ารู้มีโรคันอันตราย
จงเกษมสุขาสถาผล ศรีมงคลชนมานมากหลาย
สรรพสิ่งวิทยาวิชาชาย จงทรงได้ง่ายดายเถิด เอย

วิจารย์บทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์

เหตุที่เกิดบทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์ มีเค้าที่จะสังเกตอยู่แห่ง ๑ ในบทเห่แบบกรุงศรีอยุธยา บทที่ ๔๒ ว่า

“เชิญประทมภิรมย์ถนอม สดับช้ากล่อมกลอนประทาน
พระโปรดประดิษฐลิขิตลาร ทรงบรรหารให้มาร้องฉลองเอย”

ความในเห่บหนี้แสดงว่ามีเจ้านายที่สูงศักดิ์ทรงแต่งบทเห่ขึ้นใหม่ นอกจากที่เห่อยู่นั้น ประทานลงไปให้พี่เลี้ยงนางนมเห่กล่อมพระกุมาร ผู้แต่งอาจจะเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็ได้ เพราะผู้เห่ใช้คำสรรพนามว่า “พระ” ถ้าเป็นเจ้านายเพียงชั้นต่างกรมหรือพระองค์เจ้า มักใช้คำสรรพนามว่า “ท่าน” หรือ “เสด็จ” คิดสันนิษฐานตามเค้าความของบทที่ว่าเห่นี้ เห็นว่าน่าจะเป็นด้วยการเห่กล่อมเจ้านายที่ยังทรงพระเยาว์ ต้องกล่อมอยู่กว่าปีทุกพระองค์ ผู้ที่อยู่ใกล้ได้ฟังคำซ้ำๆ ซากๆ ออกเบื่อหู จึงมีผู้ที่รู้จักแต่งบทกลอนในพวกผู้หญิงชาววังแต่งบทใหม่ เห่ขยายยาวออกไปให้น่าฟังขึ้น แล้วให้พวกพี่เลี้ยงนางนมเห่พระกุมารขึ้นก่อน บทเห่ที่ยาว เพียง ๔ คำ ๖ คำ คงอยู่ในพวกนี้ ครั้นเจ้าของวังหรือเจ้าของตำหนักได้ฟังหรือเห็นบทเห่ที่แต่งใหม่ก็โปรด เลยช่วยแต่งบ้าง อย่างว่า “แต่งเล่น” แล้วประทานลงไปให้เห่กล่อมพระกุมาร บทเห่ที่ไม่มีชมพระยศ เป็นแต่ชมพระจันทร์ ชมดาว และชมดอกไม้ เห็นจะอยู่ในพวกนี้ เพราะผู้แต่งเป็นชั้นสูงศักดิ์ เมื่อขอบใช้บทเห่ยาวกันมากขึ้น ตำหนักที่ไม่มีคนแต่งในพวกผู้หญิง หรืออยากได้บทเห่ให้ดียิ่งขึ้นไป ก็ให้ไปวานกวีผู้ชายแต่ง ยกตัวอย่างดังเช่นบทหมายเลข ๑ ซึ่งขึ้นว่า “เห่เอยพระหน่อนาถ” และบทต่อๆ ไป จนบทหมายเลขที่ ๕ ดูเป็นสำนวนกวีผู้ชายแต่งทั้งนั้น

บทเห่ที่เอาเรื่องนิทานมาแต่ง พึงสังเกตได้ว่าแต่งสำหรับเจ้านายแต่บทเรื่องอิเหนากับเรื่องโคบุตร แต่ก็ผิดกัน บทเห่เรื่องอิเหนาหมายเลขที่ ๑๒ ขึ้นต้นว่า

“สรวมชีพบังคมบาท พระเยาวราชธิเบนทร์สูร
ภุชงพงศวงศประยูร อิศรราชเรืองเดชา”

บทนี้เห็นได้ว่า แต่งสำหรับกล่อมพระราชกุมารชั้นสูงศักดิ์ บทเห่เรื่องโคบุตรหมายเลขที่ ๑๖ ดูแต่งสำหรับเห่เจ้านายชั้นต่ำลงมา ขึ้นต้นว่า

“เห่เอยเห่ถวาย ถึงเรื่องนิยายแต่ปางหลัง
ให้พระองค์ทรงฟัง เมื่อแรกตั้งโลกา”

แต่บทเห่นิทานเรื่องอื่น คือ เรื่องจับระบำ เรื่องกากี และเรื่องพระอภัยมณี ไม่มีคำเครื่องหมายว่าแต่งกล่อมเจ้านายอยู่ในนั้นเลย สันนิษฐานว่าผู้แต่งตั้งใจแต่งจะให้เห่กล่อมได้เหมือนกันทุกชั้น ยศศักดิ์ตามคำเล่ากันมาว่า บทเห่กล่อมเรื่องนิทานนั้น สุนทรภู่แต่งโดยมาก พิเคราะห์ดูสำนวนก็น่าจะจริง ถึงบทเห่กล่อมอย่างชมพระยศพระราชกุมารที่เป็นสำนวนผู้ชาย ก็อาจจะเป็นสุนทรภู่แต่งหลายบท เพราะเมื่อรัชกาลที่ ๒ สุนทรภู่ฝากตัวอยู่ในเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี มีเจ้าฟ้าพระราชโอรสหลายพระองค์ อาจจะดำรัสสั่งให้สุนทรภู่แต่งบทเห่กล่อมถวาย แต่เห่กล่อมเรื่องนิทานนั้นสุนทรภู่อาจจะแต่งต่อชั้นหลัง ด้วยมีผู้ขอให้แต่งสำหรับกล่อมกุมารที่มียศต่ำลงมาไม่ถึงไม่เป็นพระราชกุมาร จึงว่าแต่เรื่องนิทานไม่กล่าวถึงยศศักดิ์กุมารที่กล่อม

แต่กวีชายที่แต่งบทเห่กล่อมนอกจากสุนทรภู่ยังมีอีก เพราะฉะนั้นบทเห่ก็รวมไว้ในพวกแบบกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นบทผู้อื่นแต่งก็คงมีบ้าง บทเห่ที่แต่งยาวๆ แต่แรกคงต้องอาศัยอ่านสมุดบทเมื่อเห่ แต่ไม่ช้าเท่าใดคนเห่ก็จำได้ด้วยชอบบทกลอน ต้นฉบับบทเห่ที่ได้มาดูเหมือนจะจดตามคำคนจำได้โดยมาก เพราะฉะนั้นถ้อยคำจึงมักขาดเหลือไม่ตรงกับตำรากาพย์

บทเห่พิเศษ

ในต้นฉบับบทเห่ที่ได้มา มีบทเห่แปลกกับพวกที่พิมพ์ไว้ข้างหน้า ๔ บท เป็นบทเห่คำฉันท์ดุษฎีสังเวย บท ๑ เป็นบทเห่วังหน้า และมีพระวิจารณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้เจ้าอยู่หัวกำกับอยู่ด้วย ๒ บท เป็นบทเห่กล่อมเจ้าหญิงเยาวเรศ บท ๑ จึงเอามารวมไว้เป็นพวก ๑ ต่างหาก และเขียนวิจารณ์แยกเป็นบทๆ ต่อไปนี้

บทเห่คำฉันท์ดุษฎีสังเวย

ลาที่ ๑ ขยมบาทอภิวาทพรหมมินทร์ ศิวเทพมหิน
ทรานุรักษภูวดล  
จัตุรภุชทรงครุฑธบินบน อาภรณ์อำพน
ด้วยนิลวัดถ์ชัชวาล  
วิฆเนศวรศักดิ์เหี้ยมหาร คือขันทกุมาร
มยุรอาสนเลิศฤา  
หกหน้าทวาทัศหัตถถือ ทิพสาครครบมือ
พิพิธฉายพลายแสง  
วัชรินทร์ปิ่นเมรุกำแหง กระลึงเพชรเดชแสดง
บำบัดอสูรรำบาน  
ธตรฐสถิตเบื้องบูรพสถาน พิรุฬหกพิมาน
ทักษิณสุเมรุแมนสวรรค์  
วิรูปักษปจิมทิศเวศวรรณ พลยักษ์อนันต์
สถิตย์อุดรทิศาสถาน  
สุริยจันทรจรัสแจ่มคัคนานต์ เทพทั่วจักรวาฬ
พนมพนัศขุนเขา  
เทวฤทธิสถิตทุกลำเนา ย่อมมาเทียวเทา
พิทักษรักษานรชน  
อีกเทพบริรักษพระมน เทียรแก้วแกมกล
ดุสิตมหาประสาทชัย  
เสวตรฉัตรศิริรัตน์โภไคย ศูรย์ราชมีใน
นิเวศสวัสดิเสวยรมย์  
ภัณฑาคารานุกรม หน้าในพระบรม
มหานิเวศเรือนทอง  
โองการสั่งข้าทูลละออง ผูกพากย์จำนอง
อัญเชิญถ้วนเทพสบสถาน  
ขอเชิญสรรพเทพมาภิบาล สุขุมาลกุมาร
บุตรีสมเด็จจอมผไทย  
คาบนี้ควรมาประชุมใน เรือนจันทรอันไพ
บูลยราชศฤงคาร  
รับเครื่องวรามิสสักการ เทียนทองชัชวาล
สุคนธรสบุษบา  
บายศรีหิรัญรจนา แก้วกาญจนามหา
พิจิตรบรรจงผจงถวาย  
ชมเครื่องประดับพรรณราย ประทีปเทียนวิเชียรฉาย
จำรัสจำรูญรุ่งเรือง  
แสงแก้วแวววับมลังเมลือง แสงทองประเทือง
พิพิธพรายฉายฉัน  
ชมราชูปโภคเนืองนันต์ ดำกลเรียงรัน
แลนาฏอนงค์บริพาร  
เชิญชมพระอู่ทองอลังการ เสาสมทรงสถาน
สุวรรณทาบทอตา  
ผจงจัดทุกุลพัตรภูษา พระยีภู่รจนา
ขนอบเขนยพระเศียรทรง  
ซ้ายขวาธารีถนอมองค์ พร้อมพระปยุรวงศ์
ประเล้าประโลมโฉมสมร  
นางอยู่งานคอยถวายกร เห่ช้าเกลากลอน
บำเรอบำรุงผดุงผดา  
สาครใส่สุพรรณมัศยา ธงฉัตรรจนา
ประดับสำหรับลูกหลวง  
สวมเทพเทวราชทั้งปวง ทุกสถานพิมานสรวง
เชิญช่วยอำนวยสวัสดี  
ให้พระราชบุตรบุตรี เสวยรมย์เปรมปรีดี
อย่ามีพระโรคันตราย  
เสร็จพราหมณ์โอมอ่านมนต์ถวาย อิศวรเวทสาทยาย
นิพนธ์โสลกแถลงสาร  
ให้พระชนม์วรรณะสันถาน ศรีสวัสดิยืนนาน
สุขะพละสถาวร  
ลาที่ ๒ อ้าองค์พระสหบดี สุรเชษฐมหิศร
เชิญช่วยอภิบาลปิยอุทร เอารสไท้ผไทยสยาม
ชมฌานอย่าลืมผดุงถนอม พระเยาวราชดนัยทราม
ชมช่วยขจัดพระโรคปราม ปรีเทวหวนหา
อ้าองค์อนงค์ภริยอิน ททั้งสี่อัญเชิญมา
เชิญช่วยบำรุงอรยุพา ประโลมเลี้ยงถนอมขวัญ
ท้าวโลกบาลมหิทธิศักดิ์ บริรักษ์กะลึงขรรค์
สี่ทิศพระอู่กุมารกัน ภัยพาธบำราษไกล
อ้าองค์อุมาทิพยลักษณ มหิษีศุลีไคล
เกลาศจุฑาทิปผไท อรช่วยอำนวยพร
อ้าโฉมพระลักษมิยุพินท์ ภิริยองคพระสังข์กร
เชิญช่วยถนอมพระอรอร อย่าให้ไห้กระหายหวน
ชานีนิกรอมรเทพ อัญเชิญห้ามกำสรวลครวญ
บำบัดพระโรคอย่ามีประชวร เจริญชื่นทุกคืนวัน
สรวมเทพภิบาลให้เยาวราช สุขอาสนมไหศวรรย์
วงศานุวงศวรสัมพันธ์ บริรักษสมัครสมาน
อ้าพระอย่าโศกแลสะอื้น ทุกขแดกำเดาดาน
เชิญชมมไหสวรรย์ตระการ อเนกโภคพัฬเหา
ของเล่นบพิตรก็ประสาท สุวรรณรูปฉลักเฉลา
อีกเครื่องสุคันธรสเสา วคนธเทศประทินหอม
อ้าพระอย่างทุกขโทมนัส กมลโศกจะตรมตรอม
พี่เลี้ยงพระนมบำเรอถนอม บร้างโรคจะแผ้วพาน
ลาที่ ๓ หนึ่งโสดบพิตรไห้ บรมนาถอวยการ
ชุมแพทย์กุมารชาญ บริรักษรักษา
เรื่อนรมย์นิเวศสถาน อเนกไอศวรรยา
พรั่งพร้อมพระวงษา นุวงศมาถวายชัย
อนงค์นาถประจำงาน ยุพราชบรรทมใน
พระอู่ทองอันผ่องใส สุขุมพัตรรองเรือง
เบื้องบนเพดานดัด เสวตรพัตรบรรเทือง
แสงแก้วสุวรรณเมลือง ระยับย้อยพร้อยตาม
อ้าพระอย่าหวนละห้อย ครหนครโหยหา
เสวยโภชกษิรธา รรสชื่นกมลเสบย
พี้เลี้ยงพระนมถนอม สบรักพร้อมพระทรามเชย
อย่าทรงกรรแสงเลย จะช้ากล่อมพระจอมใจ
เชิญชมนิเวศสถาน ทั้งศฤงคารโภไคย
สูรย์ราชอเนกใน อยุทธเยศมหาสถาน
ยามเมื่อเสร็จสรง พระสาครชลาธาร
ครบเครื่องมงคลสถาน ชมสุพรรณมัศยา
กุ้งกั้งอเนกนอง ทั้งปูทองแลเหรา
มังกรกุมมินภา คณาล่องชลาลัย
โลมากะโห้ฉนาก ประหลาดหลากก็ลอยไสว
ดุจพิศวกรรมใน อมรแมนมารังถวาย
ยามทรงพระสำอาง เสาวคนธ์ชโลมกาย
พี่เลี้ยงประคองสาย สมรให้พระไสยา
เชิญขวัญพระบรรทม ภิรมสุขอย่าโหยหา
ขวัญพระอย่าคลาดคลา มละองค์พระยุพเยาว์
ขวัญพระอย่าไปชม พนเวศศิขรเขา
ธารท่าแลลำเนา ละแวกวุ้งคูหาสถาน
เชิญมานิทรารมย์ สุขุมอาสนอลังการ
เสมอทิพยพิมาน สุรโลกยสรวงสวรรค์
เชิญเชยเสวยสวัสดิ์ คฤหรัตนเรือนจันทร์
แก้วกาญจนาพรรณ พิพิธโภคพึงชม
กรุงเทพมหา นัคเรศเรือนรมย์
พูนสุขเกษมสม บูรณด้วยมไหศวรรย์
สพร้อมเทพบริรักษ สพรักเทพผดุงขวัญ
สะพรั่งนางบำเรอคัล สะพรึบพร้อมถนอมสมร
สิทธิเกียรติดำเกิงคุม อดุลยเดชกำจร
สิทธิเสร็จสรวมพร ประสิทธิสรรพสมบูรณ

วิจารณ์บทเห่ดุษฎีสังเวย

บทเห่นี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ขุนสารประเสริฐ (นุช) แต่งสำหรับกล่อมสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าเมื่อทำพิธีขึ้นพระอู่ แต่ประหลาดที่ผู้แต่งวิจารณ์นี้ไม่เคยได้ยินว่าใช้กล่อมเจ้าฟ้าพระองค์ใด แม้จนในรัชกาลที่ ๕ พิเคราะห์ตามลักษณะพิธีพระราชกุมารขึ้นพระอู่ตามประเพณีเดิม ดังคัดตำราลงไว้ข้างต้น พระครูพราหมณ์เป็นแต่เชิญองค์พระราชกุมารขึ้นพระอู่ แล้วให้พี่เลี้ยงนางนมเห่กล่อม แต่ตามการพิธีในชั้นหลังตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ มาจนตลอดรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระครูพราหมณ์เชิญองค์พระราชกุมารขึ้นพระอู่แล้ว ตัวพระครูพราหมณ์เองไกวพระอู่ และเห่กล่อมด้วยมนต์ภาษาสันสกฤตกับพราหมณ์อีก ๑ คนจนครบ ๓ ลา ถ้าพระราชกุมารเป็นชั้นพระองค์เจ้าก็เสร็จพิธีเพียงเท่านั้น ถ้าพระราชกุมารเป็นเจ้าฟ้ายังมีพวกขับไม้กล่อมต่อไปอีกพัก ๑ จึงเป็นเสร็จพิธี หามีเห่กล่อมดุษฎีสังเวยไม่ ที่มีบทเห่ปรากฏอยู่แต่มิได้ใช้นั้น สันนิษฐานว่าเห็นจะเป็นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ระเบียบการพิธีขึ้นพระอู่ เดิมทรงพระราชดำริจะให้พราหมณ์เห่กล่อม ๒ คน อย่างเดียวกับประเพณีเห่กล่อมเมื่อสมโภชพระยาช้างเผือก จึงโปรดให้แต่งบทเห่ดุษฎีสังเวยสำหรับกล่อมพระราชกุมารเป็นทำนองเดียวกัน พึงสังเกตได้ในบทเห่กล่อม กวีผู้แต่งเอาถ้อยคำในฉันท์กล่อมช้างเผือกซึ่งกรมหมื่นศรีสุเรนทรทรงแต่งเมื่อรัชกาลที่ ๒ มาเลียนหลายแห่ง แต่เมื่อแต่งแล้วชะรอยจะมีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด เช่นจะต้องเห่นานนักก็ดี หรือพระมหาราชครูพราหมณ์ผู้ไกวพระอู่แก่ชราไม่สามารถจะเห่ได้ก็ดี หรือทรงพระราชดำริขึ้นใหม่ว่าเห่ด้วยเวทมนต์จะเป็นมงคลดีกว่า จึงโปรดให้พระครูพราหมณ์ ผู้ไกวพระอู่เห่ด้วยมนต์ภาษาสันสกฤต และเห่ ๓ ลาเช่นเดียวกันกับเห่ดุษฎีสังเวย บทเห่ที่แต่งขึ้นใหม่จึงไม่ได้ใช้

บทเห่วังหน้า

เห่บท ๒ บทต่อไปนี้มีเรื่องกล่าวกันมา ว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแรกประสูติ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้แต่งเห่บทนี้ขึ้นเพื่อจะพระราชทานมาให้เห่กล่อมโดยทรงพระเมตตา แต่เผอิญเกิดขัดพระราชหฤทัยขึ้นกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยเหตุอันหนึ่ง จึงมิให้ส่งประทานมา บทเห่นี้จึงลี้ลับอยู่ในวังหน้าจนรัชกาลที่ ๕ พระองค์เจ้าหญิงดวงประภา ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวไปพบฉบับเข้า จึงนำขึ้นทูลเกล้าถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

บทเห่วังหน้า

ข้าบาทบำรุงรักษ พระทรงศักดิจอมเมาฬี
ทูลถนอมเหนือเกศี ให้เสวยโภชชิรารมย์
อุ้มองค์สรงสาคร พระสายสมรชื่นเชยชม
สุระเสียงย่อมสวยสม ชมเครื่องเล่นเย็นพระทัย
สุพรรณกุมมินคลา รูปมัจฉาสุกแสงใส
ท่องเที่ยวเลี้ยวลอยไป ใสสำหรับพระสาคร
เป็ดน้ำดำไล่ปลา กลับกรอกตาพาจิกจร
เหรันกันกุญชร มังกรเกี่ยวเลี้ยวตามกัน
เครื่องเล่นล้วนเป็นกล มีเกลื่อนกล่นแกล้งรังสรรค์
ดังว่าพระวิศณุกรรม์ บรรจงแต่งแกล้งมาถวาย
สรงแล้วไล้สุคนธาร ตระการกลิ่นกำจรจาย
รื่นรวยสวยพระกาย ตระหลบฟุ้งกรุ้มเกริ่นใจ
น้อมหัตถ์บังคมบาท พระหนอนาถอิศรพงศ์
เชิญเสด็จสำอางองค์ ทรงอู่มาศพรรณราย
กลั่นกลีบพัตราอ่อน ช้อนประคองพระวรกาย
อยู่งานสร้อยทองถวาย ย้ายเห่หวนชวนสำราญ
พราหมณ์เสนออาเศียรภาษ พระบวรราชกุมาร
จุดเทียนเวียนเอางาน ขานพาทย์ฆ้องก้องกาหล
ถวายเครื่องโดยวรกิจ วิธีราชมงคล
เสวยสุขในไพชยนต์ มนเทียรราชเรือนจันทร์

วิจารณ์บทเห่วังหน้า

เห่บทนี้ต้นฉบับที่ได้มามีลายพระหัตถ์เลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเขียนด้วยดินสอขาวไว้บนใบปกว่า “พระองค์ดวงประภาว่ารับสั่งให้เขียนจะมาถวายเมื่อทำขวัญเดือนแต่โกรธกันเสียไม่ได้ถวาย เห็นว่าไม่จริง” ดังนี้ พิจารณาดูก็เห็นหลักฐานเป็นเช่นพระราชดำริ ว่า “ไม่จริง” ด้วยที่ใบปกสมุดต้นฉบับมีอักษรเขียนด้วยเส้นหรดาน ว่า “ร่างเมื่อวันศุกร์ เดือน ๘ แรม ๑๑ ค่ำ เบญจศก” (พ.ศ. ๒๓๙๖) สอบกับวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นวันอังคาร เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ ปีฉลู เบญจศก เห็นได้ว่าบทเห่นี้ร่างล่วงหน้าก่อนประสูติถึง ๒ เดือน อีกแห่ง ๑ ในบทเห่มีคำว่า

“พราหมณ์เสนออาเศียรภาษ พระบวรราชกุมาร”

ตรงนี้บอกชัดว่าแต่งสำหรับเห่กล่อมพระเจ้าลูกเธอของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อได้ว่าเห่ ๒ บทนี้มิใช่ที่แต่งสำหรับเห่กล่อมสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงดังพระองค์เจ้าดวงประภากราบทูล แต่จะตัดสินว่าพระองค์เจ้าดวงประภากราบทูลเท็จก็ไม่ควร เพราะที่จริงอาจจะมีบทเห่เช่นพระองค์ดวงประภาทูลอ้าง แต่ท่านทรงหลงไปว่า ๒ บทนี้เท่านั้น ก็เป็นได้

บทเห่กล่อมเจ้าหญิงเยาวเรศ

เห่บทนี้ผิดกับบทเห่อื่น ที่แต่งสำหรับกล่อมแต่เฉพาะเจ้าหญิงองค์ ๑ ซึ่งทรงนามว่า “เยาวเรศ”

บทเห่กล่อมพระองค์หญิงเยาวเรศ

เจตมากาละปักษเยื้อง สนทยา สยองเฮอ
นาคสังวัชรา ฤกษ์แพร้ว
พุททัศวัฒนราชา สิทธิโชค เฉลิมแฮ
ประสูติสพร้องคล่องแคล้ว เคลื่อนคล้อยคอยประคอง ฯ
รับสั่งรังสฤษดิ์สร้อย สมยา นิยมเฮย
เยาวเรศราชธิดา ประดิษฐไว้
เจริญราชวรวงศา เสาวภาคย์ เพ็ญแฮ
พ้นพิบัติวัฒนให้ เลิศฟ้าราศี ฯ
เห่เอ่ยพระเทพิน อำมรินทราวงศ์
ดนัยนาถคณาอนงค์ อบเชยชิดสนิทนัย
หวังพวงประสงค์เสาะ พอจำเพาะที่พิศมัย
เทียมทัดพระหัตไทย และนัยน์เนตรเกษตรา
ถนอมชมภิรมณ์รัก เป็นเอกอัครธิดา
โดยนิยมจึงสมยา ชื่อเยาวเรศวิเศษนาม
พระยอดหญิงมิ่งมนุษย์ ประเสริฐสุดเสงี่ยมงาม
ฤาลั่นสนั่นสนาม หน้าจักรวรรดิจำรัสตา
พระบารมีเป็นศรีโสด วันสมโภชตติยวาร
ก็กำจัดพวกพารา ให้รื่นรอบริมขอบคัน
ต่างสรรเสริญเจริญพระยศ ก็ปรากฏเป็นอัศจรรย์
พระวงศาเกศสรร ด้วยแสนสวาดิไม่คลาดคลา
ประทมพระกรงอลงกต กระจกจรดจำรัสตา
เรืองระยับประดับประดา เพดานดาดด้วยดาดสุวรรณ
นางนมบังคมเคียง พระพี่เลี้ยงและสาวสรร
แวดล้อมอยู่พร้อมกัน บกตึกใหม่วิไลแล
พินิจไหนพื้นไพจิตร กระจกติดตามช่องแกล
วิเศษสันเมื่อผันแปร ประเทืองโคมประทีปราย
เตียงตั้งบัลลังก์อาสน์ ยี่ภูลาดล้วนเฉิดฉาย
รวบรุดพระสูตรสาย แสนโสพิศวิจิตรจริง
อัฒจันทร์ชั้นบูชา ระยะม้าจมูกสิงห์
ดาดาดดูพาดพิง ล้วนเครื่องแก้วกับเครื่องทอง
นาฬิกาฝารั่งติด ชวลิตแลลำยอง
โมงยามตามทำนอง สำเนียกเสียงสำเนียงระฆัง
โคมอร่ามติดตามเสา กระจกเงาลับแลบัง
ทอดที่ทางวางบัลลังก์ เสวยสรงทรงสำอางค์
มีชานพักตำหนักนอก สำรับออกซึ่งหอกลาง
เทียบที่หอรีขวาง ทั้งตึกคลังอลังกร
ซุ้มทวารชานชลา ล้วนตั้งม้าไม้ดัดสลอน
ยามสนทยาทิวากร ก็เสร็จประพาสด้วยบริพาร
พูนเพิ่มเฉลิมพระยศ เปรื่องปรากฏประกอบการ
ทรงสถิตในราชฐาน ประเทืองทุกข์เป็นสุขทรวง
เกษมสิ้นมลทินไถง ดังเนานัยดุสิตสรวง
เหมือนนางฟ้าสุดาดวง ลีลาศล่วงครรไล เอย

วิจารณ์บทเห่กล่อมเจ้าหญิงเยาวเรศ

เห่กล่อมบทอื่นๆ ที่พิมพ์มาแล้ว ถึงจะใช้ถ้อยคำเชิดชูยศศักดิ์พระราชกุมารเป็นอย่างสูงก็ไม่มีที่จะออกพระนาม อาจจะใช้เห่บทเดียวกันกล่อมพระราชกุมารชั้นเดียวกันได้ทุกพระองค์ แม้บทเห่ดุษฎีสังเวย ซึ่งแต่งสำหรับกล่อมพระราชกุมารที่เป็นเจ้าฟ้าก็เช่นนั้น แต่เห่บทนี้ สำนวนดูเป็นผู้ชายแต่ง แต่งเฉพาะสำหรับเห่กล่อมเจ้าหญิงองค์ ๑ ซึ่งทรงนามว่า “เยาวเรศ” ปัญหาที่จะต้องพิจารณาเป็นข้อต้นจึงมีว่าเจ้าหญิงเยาวเรศนั้นคือใคร ตรวจดูในหนังสือราชสกุลวงศ์ประกอบกับความรู้ตามเคยได้ยินมา พระราชธิดาซึ่งทรงพระนามว่าเยาวเรศหาเคยมีไม่ ทั้งฝ่ายวังหลวงและวังหน้าพิจารณาดูตามถ้อยคำในบทเห่ มีในโคลงนำบทที่ ๒ ว่า

“รับสั่งรังสฤษดิ์สร้อย สมยา
เยาวเรศราชธิดา ประดิษฐ์ไว้”

โดยลำพังคำ “ราชธิดา” จะหมายว่าเป็นพระเจ้าลูกเธอก็ได้ แต่เมื่อพิจารณาความที่พรรณนาต่อไปในบทเห่ เช่นว่าแรกได้พระราชธิดาสมประสงค์ ผิดกับเรื่องพงศาวดารที่ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระมหาอุปราชมีพระราชธิดาตั้งแต่ก่อนเสวยราชย์แล้วทุกพระองค์ เว้นแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว มีพระราชธิดาพระองค์แรกเมื่อเสวยราชย์แล้ว แต่ก็ประสูติเมื่อปีกุล พ.ศ. ๒๓๙๕ มิใช่ปีมะโรงซึ่งในบทเห่บอกไว้ว่าเป็นปีประสูติของเจ้าองค์นั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่แต่งใช้คำ “ราช” น่าจะหมายความว่า “เจ้า” เท่านั้นเอง อีกแห่ง ๑ กล่าวความอัศจรรย์ว่าเมื่อวันสมโภช ๓ วัน ประจวบกับกำจัดพวกพาลได้ราบคาบ “รอบขอบค้น” ถ้าหมายความว่าพระเจ้าแผ่นดิน จะต้องเป็นเหตุการณ์มีในพงศาวดาร เหตุเช่นนั้นก็หามีไม่ ส่อว่าจะหมายความเพียงแต่ปราบพวกพาลรอบวังเจ้า ข้อนี้สมกับความที่กล่าวอีกแห่ง ๑ ว่าการประสูตรเจ้าหญิงองค์นั้น “ลื่อลั่นสนั่นสนาม หน้าจักรวรรดิ” (คือถนนสนามชัย) หมายความว่าหน้าวังเจ้านายที่ตั้งอยู่รายตามถนนนั้น ตามความที่พิจารณามาชวนให้เห็นว่าเห่บทนี้แต่งสำหรับกล่อมหม่อมเจ้าหญิง ในเจ้านายต่างกรมที่สูงศักดิ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หาใช่กล่อมลูกหลวงไม่.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ