สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์
เมื่อครั้งข้าพเจ้ายังเป็นตำแหน่งนายกหอพระสมุดสำหรับพระนคร ได้รวบรวมบทกลอนสำหรับเห่กล่อมพระเจ้าลูกยาเธอที่ยังทรงพระเยาว์ให้พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ เล่ม ๑ ต่อมาได้รวมบทกลอนสำหรับกล่อมเด็กในพื้นเมืองพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ อีกเล่ม ๑ แต่นั้นมาจนถึงบัดนี้นับเวลาได้ ๒๐ ปี มาพบบทกลอนสำหรับเห่กล่อมอีกพวกหนึ่งซึ่งยังไม่เคยพิมพ์ เรียกว่า “ช้ากล่อมลูกหลวง” สำหรับเห่กล่อมพระเจ้าลูกยาเธอที่ยังทรงพระเยาว์เหมือนกัน แต่เป็นบทชั้นเก่าก่อนบทเห่ที่รวมพิมพ์ไว้ แต่งเป็นกาพย์สั้นเพียงบทละคำก็มี เป็นกาพย์ยาวอย่างเดียวกับที่พิมพ์แล้วก็มี แต่งเป็นฉันท์อย่างดุษฎีสังเวยก็มี เผอิญในคราวเดียวกับพบบทเห่กล่อมที่ว่ามา ข้าพเจ้าพบหนังสือเก่าอีกเรื่อง ๑ เรียกว่าตำรา “พิธีสมโภชเจ้าฟ้าขึ้นพระอู่” เมื่อประสูติแล้วได้เดือนหนึ่ง สังเกตดูเป็นแบบพิธีกรุงกรุงศรีอยุธยา อันมีบทเห่ช้ากล่อมลูกหลวงอยู่ในตำรานั้นด้วย ๒ บทเข้าเค้าเดียวกับบทเห่ที่พบใหม่ สังเกตเห็นประวัติของบทเห่ทั้งปวงจึงเขียนวิจารณ์ต่อไปนี้
พิธีสมโภชขึ้นพระอู่
สิทธิการิยะ ตำราสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอจะขึ้นพระอู่ทอง ให้เจ้าพนักงานแต่งเสาพระอู่่ทอง ยอดเสาเม็ดนั้นลงรักปิดทอง ลำเสาแลฐานนั้นทาชาดเอามาส่งให้ชาววัง ๆ ยกเข้าไปตั้งในที่เสด็จขึ้นพระอู่นั้น แล้วเจ้าพนักงานชาวในไปเชิญเอาพระอู่ทองมาจากเจ้าพนักงานมาแขวนที่เสาพระอู่ สายแขวนสายชักแล้วด้วยไหม ๓ เกลียว แล้วพนักงานแต่งบายศรีทอง ๒ สำรับเครื่องบายศรีครบแล้วตั้งแว่นเวียนเทียนเครื่องนมัสการบูชา ได้เพลาฤกษ์ดีแล้วให้ชีพ่อพราหมณ์โหราพฤฒาจารย์อ่านพระเวทพระมนต์ บูชาเทวดา แล้วจึงเชิญเสด็จพระราชกุมารพระราชธิดา ขึ้นพระอู่ทอง แล้วให้พระพี่เลี้ยง พระแม่นม ช้าข้างละ ๗ ท่า ช้ากล่อมข้างละ ๗ คำ บทต้นว่าคนละคำว่า
“หลับไม้หลับไล่ |
หลับพระไพรใบเขียว” |
“หลับพระเนตรผู้บุญเรือง |
หลับเขาพระสุเมรุราช เอย” |
“หลับไม้หลับไล่ |
หลับพระไพรใบเขียว” |
“หลับพระเนตรแต่พระองค์ผู้เดียว |
หลับเขาพระสุเมรุราช เอย” |
แล้วให้สมโภชเวียนเทียนโดยทักขิณาวัฎ ๗ รอบ ๙ รอบ ๑๑ รอบ แล้วให้เชิญพระราชกุมาร พระราชกุมารี ลงจากพระอู่ เชิญเสด็จขึ้นพระอู่ผ้า แกว่งช้าไปตามประเพณีบูราณเถิด ธรรมเนียมบูราณราชประเพณีโหราและพราหมณ์ ให้รับพระราชทานผ้าขาวคนละผืนเงินคนละ ๖ (บาท) ตามประเพณีแต่ก่อน แล.
บทเห่ช้าลูกหลวงแบบกรุงศรีอยุธยา
บท “เห่ช้ากล่อม” ที่ปรากฏในตำราสมโภช เป็นตัวอย่างบทเห่กล่อมลูกหลวงเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่งเป็นกาพย์อย่างสั้นๆ เสมอคำละบท บทเห่กล่อมที่ข้าพเจ้าพบใหม่ มีแต่งเป็นกาพย์อย่างสั้นๆ เหมือนกับบทเห่ครั้งกรุงศรีอยุธยาอยู่พวก ๑ เห็นได้ว่าเป็นบทเห่แบบเก่ากว่าเพื่อน ดังรวมมาลงไว้เป็นเบื้องต้นต่อไปนี้
อย่างแต่งด้วยกาพย์ยานี
๑ พระยอดเยาวเรศ |
เสด็จประเวศสีขริน |
ฝูงวิหคโบยบิน |
ถวายโฉมพระทูลกระหม่อม เอย |
๒ พระยอดเยาวราช |
เสด็จประพาสหิมวา |
ชมฝูงมยุรา |
ถวายพระทูลกระหม่อม เอย |
๓ ขึ้นเขาสูงสุด |
พบพระยาครุฑทั้งคู่ |
ยืนเยี่ยมหยัดอยู่ |
ทั้งคู่พระทูลกระหม่อม เอย |
๔ ข้ามห้วยเหวผา |
พบพระยาสุบัณ |
ทรงเครื่องรังสรรค์ |
ค้อนเนตรพระทูลกระหม่อม เอย |
๕ พระยอดเยาวเรศ |
เสด็จประเวศขึ้นรถ |
พบพระดาบส |
ถวายพรพระทูลกระหม่อม เอย |
๖ พระยอดเยาวลักษณ |
เสด็จหยุดพักร่มไทร |
พระพายชายไป |
สำราญพระทัยทูลกระหม่อม เอย |
๗ พระยอดเยาวเรศ |
เสด็จประเวศรถทรง |
ชมนกไม้ไพรระหง |
สั่งดงพระทูลกระหม่อม เอย |
๘ พระทูลกระหม่อม |
จะถวายกล่อมให้บรรทม |
ไสยาสน์เสวยนม |
บรรทมที่เหนือพระกรง เอย |
๙ บรรทมให้หลับ |
จะเอาพัดมาอยู่งาน |
กล่อมเกลี้ยงเสียงหวาน |
แสนสำราญพระทูลกระหม่อม เอย |
๑๐ พระทูลกระหม่อม |
พร้อมหน้าถวายพร |
จงเจริญพระชนม์ก่อน |
ถวายพรพระทูลกระหม่อม เอย |
๑๑ พระทูลกระหม่อม |
พร้อมหน้าถวายชัย |
จงเจริญพระชนม์ไป |
ถวายชัยพระทูลกระหม่อม เอย |
๑๒ พระทูลกระหม่อม |
พระมังสังหอมเหมือนลูกอิน |
จูบแล้วมิรู้สิ้น |
ลูกอินพระทูลกระหม่อม เอย |
๑๓ พระทูลกระหม่อม |
พระมังสังหอมเหมือนลูกจันทน์ |
จูบแล้วก็รับขวัญ |
กลิ่นจันทน์พระทูลกระหม่อม เอย |
๑๔ พระทูลกระหม่อม |
พระมังสังหมอเหมือนเนื้อไม้ |
จูบแล้วมิรู้หาย |
เสียดายพระทูลกระหม่อม เอย |
๑๕ พระยอดมิ่ง |
แม้ฟ้ามีกิ่งจะวางไว้ |
น้อยใจด้วยฟ้าหามีไม่ |
แสนเสียดายพระทูลกระหม่อม เอย |
๑๖ พระยอดเยาวนารี |
สถิตย์ที่พระกรงทอง |
ทรงสดับซึ่งขับร้อง |
แซ่ซ้องพระทูลกระหม่อม เอย |
๑๗ พระยอดเยาวธิดา |
เสด็จไสยาให้ชื่นบาน |
ข้าบาทจะขับขาน |
แสนสำราญพระทูลกระหม่อม เอย |
๑๘ พระเยาวแน่งน้อย |
พระนมคอยประคององค์ |
พี่เลี้ยงเคียงพระกรง |
ถนอมพระทูลกระหม่อม เอย |
๑๙ พระยอดเยาวยุพิน |
พร้อมสิ้นตุ๊กตา |
ข้าบาทจัดเอามา |
คอยท่าพระทูลกระหม่อม เอย |
๒๐ พระยอดสมรมิ่ง |
มีทุกสิ่งต่างต่างกัน |
บรรทมตื่นจะชื่นหรรษ์ |
เกษมสันต์พระทูลกระหม่อม เอย |
๒๑ พระยอดเยาวอนงค์ |
ที่ในกรงล้วนปักษา |
น่ารักนั้นนักหนา |
เสียงจ้าพระทูลกระหม่อม เอย |
๒๒ พระทรามสงวน |
ประคองนวลมิให้หมอง |
ผงนิดไม่ติดต้อง |
ค่อยประคองพระทูลกระหม่อม เอย |
๒๓ พระสุดสวาดิ |
แสนฉลาดอยู่ทั้งองค์ |
ได้ชมชิดก็พิศวง |
รูปทรงพระทูลกระหม่อม เอย |
๒๔ พระยอดกษัตรีย์ |
มิได้มีสิ่งใดขัด |
งามสิ้นสารพัด |
สันทัดพระทูลกระหม่อม เอย |
๒๕ พระสุดที่รัก |
วงพระพักตร์ดังดวงเดือน |
หาไหนจักได้เหมือน |
อย่างเดือนพระทูลกระหม่อม เอย |
๒๖ พระสายสมร |
แดดร้อนอย่าจรลี |
พระพักตร์จะหมองศรี |
พันปีทูลกระหม่อม เอย |
๒๗ พระเยาวฤาสาย |
เวลาบ่ายจึงเที่ยวเล่น |
ลมเรื่อยมาเฉื่อยเย็น |
เที่ยวเล่นทูลกระหม่อม เอย |
๒๘ พระยอดขัติยาหญิง |
ชมมิ่งไม้ดก |
บ้างผลิผลหล่นตก |
นกจิกพระทูลกระหม่อม เอย |
๒๙ พระยอดยุพเยาว์ |
ชมเสาวคนธชาติ |
ที่ดอกแดงเดียรดาษ |
ขาวสะอาดพระทูลกระหม่อม เอย |
๓๐ พระเยาวชาเยศ |
ทอดพระเนตรชมนกไม้ |
เย็นลงไรไร |
กลับเข้าไปพระทูลกระหม่อม เอย |
๓๑ พระงามประเสริฐ |
สรงน้ำเสียเถิดให้สบาย |
พระญาติทั้งหลาย |
ประคองกายพระทูลกระหม่อม เอย |
๓๒ พระสุดถนอม |
พร้อมด้วยมโหรี |
โทนทับกระจับปี่ |
เฉลิมศรีพระทูลกระหม่อม เอย |
๓๓ พระทูลกระหม่อม |
พร้อมกันถวายพร |
ศรีสวัสดิสถาวร |
ลือขจรพระทูลกระหม่อม เอย |
๓๔ พระโฉมเฉลาเอย |
เสด็จมาเนาในวังเวียง |
สาวสุรางค์เรียงรายถวายเสียง |
ส่งสำเนียงแสนเสนาะเพราะพริ้ง เอย |
๓๕ พระยอดเยาวหญิง |
สรรพสิ่งจะงามพิศ |
อย่าอ้อนองค์ทรงปทมภิรมย์สนิท |
ในพระอู่อันวิจิตรกระจกจำหลัก เอย |
๓๖ พระภาคิไนยหลวง |
กำเนิดในดวงดอกสารภี |
แสนสนิทชิดชมประสมศรี |
พระวงศานารียินดี เอย |
๓๗ พระเยาวลักษณ |
ประไพพักตร์เพียงศศิธร |
งามขนงวงเนตรพระเกษกร |
เหมือนอัปสรไกรลาศยาตรมาเอย |
๓๘ พระยอดเยาวอนงค์ |
อย่าวิโยคโศกทรงกรรแสงเศร้า |
ประทมตื่นแล้วจะได้ขึ้นเฝ้า |
พระเกล้าของทูลกระหม่อม เอย |
๓๙ พระศรีสวัสดิ์ |
งามพระรูปจำรัสเจริญครบ |
ในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าเที่ยวหาจบ |
ไม่งามลบพระทูลกระหม่อม เอย |
๔๐ พระสายสมร |
ซึ่งทรงอาวรณ์จงวายเว้น |
ลดพอสุริยาเพลาเย็น |
จะทรงเล่นกับข้าหลวง เอย |
๔๑ พระยอดเยาวเรศ |
เฉลิมเนตรฝูงอนงค์ |
เสด็จมาให้ชมสมประสงค์ |
พระญาติวงศ์แวดล้อมถนอม เอย |
๔๒ เชิญประทมภิรมย์ถนอม |
สดับช้ากล่อมกลอนประทาน |
พระโปรดประดิษฐ์ลิขิตสาร |
ทรงบรรหารให้มาร้องฉลอง เอย |
อย่างแต่งด้วยกาพย์ฉบัง
๔๓ พระพายพัดเรื่อยเฉื่อยมา |
หอมกลิ่นมาลา |
ถวายพระทูลกระหม่อม เอย |
|
๔๔ วิหคร้องก้องในดง |
อีกทั้งฝูงหงส์ |
ถวายองค์พระทูลกระหม่อม เอย |
|
๔๕ นกแก้วจับจิกลูกจันทน์ |
โอฐแดงแสงฉัน |
เกษมสันต์พระทูลกระหม่อม เอย |
|
๔๖ ทอดพระเนตรเห็นนกโนรี |
ยกพระหัตถ์ตรัสชี้ |
อึงมี่พระทูลกระหม่อม เอย |
|
๔๗ สัตว์สิงห์วิ่งวุ่นว่อนไป |
จับได้จะถวาย |
ชอบพระทัยทูลกระหม่อม เอย |
|
๔๘ ชะนีโหนห้อยปล่อยตัว |
เสียงสั่นระรัว |
น่ากลัวพระทูลกระหม่อม เอย |
|
๔๙ เรไรร้องเรื่อยเฉื่อยฉ่ำ |
ฟังเหมือนเสียงลำนำ |
เพราะล้ำพระทูลกระหม่อม เอย |
|
๕๐ จิ้งหรีดกรีดกริ่ง |
เหมือนโทนทับกรับฉิ่ง |
เพราะจริงพระทูลกระหม่อม เอย |
|
๕๑ จักจั่นครั่นครื้นเสียงเสนาะ |
เหมือนไม้บัณเฑาะ |
เพราะจริงพระทูลกระหม่อม เอย |
|
๕๒ แม่ม่ายลองในเซ็งแซ่ |
ฟังเหมือนเสียงแตร |
เพราะแท้พระทูลกระหม่อม เอย |
|
๕๓ ดุเหว่าเร่าร้องอยู่รอนรอน |
คืนเข้าพระนคร |
สถาวรพระทูลกระหม่อม เอย |
|
๕๔ ทูลกระหม่อมพร้อมด้วยดนตรี |
ปี่พาทย์มโหรี |
สมโภชพระทูลกระหม่อม เอย |
|
๕๕ ขึ้นไสยาสน์เหนืออาสน์กรงทอง |
พี่เลี้ยงเคียงประคอง |
เป็นสองทั้งพระนม เอย |
|
๕๖ ทูลกระหม่อมจอมราชบุตรี |
บรรทมตื่นขึ้นจะชี้ |
อึงมี่พระทูลกระหม่อม เอย |
|
๕๗ ศรีสวัสดิ์พิพัฒนมิ่งมง |
คลยศยิ่งยง |
แก่องค์พระทูลกระหม่อม เอย |
|
วิจารณ์บทเห่กล่อมแบบกรุงศรีอยุธยา
พิจารณาดูเห่กล่อมอย่างบทละคำ ทั้งตัวอย่างในตำราและที่รวมมาพิมพ์ไว้ตอนนี้ แต่งด้วยถ้อยคำสัมผัสอย่างตื้นๆ และมักว่าซ้ำกันคล้ายกับกลอนสด มิใช่สำนวนกวี น่าสงสัยว่าจะเป็นบทผู้หญิงชาววังแต่งโดยมาก เพราะการเห่กล่อมพระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์เป็นการฝ่ายในพระราชวัง ผู้ชายหามีกิจที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องพ้องพานไม่ อีกประการ ๑ น่าจะเป็นเพราะคนไกวพระอู่มักอยู่ในพวกที่ไม่รู้หนังสือ จึงแต่งบทเห่สั้นๆ ให้ท่องจำได้ง่ายๆ คงมีใครในพวกผู้หญิงชาววังที่รู้จักบทกลอนแต่งขึ้นให้เห่ เห่แห่งหนึ่งแล้วคนอื่นก็จำเอาไปเห่ที่อื่นทั้งบทบ้าง หรือเอาไปแก้ให้ผิดกันเสียบ้าง คิดแต่งขึ้นใหม่ตามทำนองเดียวกันบ้าง ถ้อยคำจึงมักซ้ำกัน หรือความละม้ายคล้ายคลึงกัน สังเกตถ้อยคำที่ใช้ดูเป็นสำนวนแต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ทั้งนั้น ใช่แต่เท่านั้นมีคำปรากฏในเห่บางบทส่อให้เห็นว่าแต่งจนในรัชกาลที่ ๔ ก็มี และคำในบางบทส่อว่าเห่กล่าวทั้งเจ้านายวังหลวงและวังหน้า พึงสังเกตได้ในบทหมายเลขที่ ๓๖ เรียกเจ้านายว่าพระ “ภาคิไนย” อันหมายความว่าลูกของน้อง ต้องเป็นเจ้านายวังหน้า อีกบทหนึ่งซึ่งหมายเลขที่ ๓๘ วรรคท้ายปล่อยว่างไว้ในระหว่างคำ “พระ” กับคำ “เกล้า” สำหรับจะใช้คำ “จอม” ว่าพระจอมเกล้า หรือใช้คำ “ปิ่น” ว่าพระปิ่นเกล้า ก็ได้ดังนี้ จึงยุติได้เพียงว่าบทเห่อย่างบทละคำชนิดนี้ เป็นแบบเห่ช้ากล่อมลูกหลวงครั้งกรุงศรีอยุธยา ใช้กล่อมเจ้านายต่อมาในกรุงรัตนโกสินทร์หลายรัชกาล
บทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์
มีบทเห่ช้ากล่อมลูกหลวงอีกชนิดหนึ่ง แต่งด้วยกาพย์เหมือนบทเห่แบบกรุงศรีอยุธยา แต่ขยายให้ยาวออกไปตั้งแต่เป็นบทละ ๔ คำ จนถึงบทละกว่า ๒๐ คำก็มี เห็นได้ว่าล้วนแต่งในกรุงรัตนโกสินทร์และเป็นสำนวนกวีผู้ชายแต่งเป็นพื้น ที่เป็นกวีผู้หญิงแต่งก็เห็นจะมีบ้าง บทเห่พวกนี้กระบวนความที่แต่งกันเป็น ๒ อย่าง อย่าง ๑ แต่งเป็นอย่างชมพระเกียรติสำหรับกล่อมแต่เจ้านาย อีกอย่าง ๑ ด้วยเอาความอื่นเช่นเรื่องนิทานมาแต่งเป็นบทเห่ บางเรื่องถ้อยคำใช้ได้แต่เห่กล่อมเจ้า แต่โดยมากแต่งเป็นกลาง จะใช้เห่กล่อมเจ้าหรือมิใช่เจ้าก็กล่อมได้ ในบทเห่พวกนี้แต่งเป็นกาพย์แทบทั้งนั้น พบแต่งเป็นกลอนแปดบทเดียว เห็นจะเป็นเพราะกลอนแปดไม่เหมาะกับกระบวนเห่เหมือนเช่นแต่งเป็นกาพย์ ได้รวมบทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งที่เคยพิมพ์แล้วและที่พบใหม่ พิมพ์ไว้ด้วยกันในตอนนี้ แต่เป็นบทที่รวบรวมได้มาจากที่ต่างๆ และจดตามคำที่มีผู้จำไว้ได้ก็มาก บทที่ขาดไปและถ้อยคำที่จำไว้ผิดกับคำเดิมก็คงมีบ้าง จะยืนยันว่าบริบูรณ์ไม่ได้
บทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์
บทเห่กล่อมชมพระเกียรติ
๑ เห่เอยพระหน่อนาถ |
พระเยาวราชอดิศร |
หน่อเนื้อพระชินวร |
จำเริญสวัสดิมงคล |
เทพเชิญเจริญพักตร์ |
พระยอดรักมาปฏิสนธิ์ |
ฝูงญาติและฝูงชน |
ก็ชื่นชมแลสมปอง |
หมายพึ่งพระเดชา |
อยู่ในใต้ฝ่าธุลีสนอง |
เชิญเสด็จลงอู่ทอง |
ไสยาสน์สำราญพระวรกาย |
พี่เลี้ยงและนางนม |
บังคมบาทกล่อมถวาย |
พร้อมเพรียงอยู่เรียงราย |
บำเรอพระราชเยาวพา |
บ้างก็เข้าประคองซ้าย |
บ้างก็ย้ายประคองขวา |
ดังเดือนดาวในเวหา |
มาแวดล้อมพระจันทร |
เชิญผธมให้หลับสนิท |
อย่าหงุดหงิดพระทัยถอน |
อย่ายกพระบาทกร |
ขึ้นกวัดแกว่งอยู่ไปมา |
อย่าทรงพระกรรแสงกริ้ว |
จะเผือดผิวพระมังษา |
เชิญหลับพระนัยนา |
นิทราสำราญพระองค์ เอย |
๒ เห่เอยพระโฉมเฉิด |
ดังแก้วเกิดในดวงประทุม |
เทพชวนกันชุมนุม |
ประชุมเชิญให้ลงมา |
ลากทิพพิมานทอง |
อันเรืองรองรจนา |
พระเอกอรรคชายา |
นารีเลิศประเสริฐวงศ์ |
จะแลไหนวิไลลักษณ |
พระกรพักตร์ก็สมทรง |
พวกพระญาติประยุรวงศ์ |
ก็ปลงปลื้มลืมเกรียมกรม |
เพลิดเพลินเจริญรัก |
อยู่พร้อมพรักภิรมย์สม |
ทั้งพี่เลี้ยงแลนางนม |
ต่างชื่นชมทุกคืนวาร |
ก็อวยชัยถวายพร |
จงถาวรเกษมสานต์ |
พระโรคภัยอย่าแผ้วพาน |
ให้สำราญพระองค์ เอย |
๓ เห่เอยเห่กล่อม |
พระทูลกระหม่อมจะบรรทม |
ข้าบาทขอบังคม |
ขับประสมดนตรี |
ฟังเสนาะเพราะสำเนียง |
ประสาานเสียงดีดสี |
ขับไม้มโหรี |
รายรอบพระกรงทอง |
ฝ่ายพี่เลี้ยงจะชักช้า |
นางกัลยาจะกล่าวสนอง |
ถนอมในพระกรงทอง |
ให้พระบรรทมให้สำราญ |
สาลิกาในกรงกรอง |
ก็ส่งซ้องเสรียงหวาน |
แขกเต้าเล่าประสาน |
ก็ขับขานกับโนรี |
เบญจวรรณรำพรรณพรอด |
ส่งเสียงสอดกับปักษี |
ถวายเสียงสกุณี |
ระเรื่อยรี่ดังเรไร |
ให้เพลิดเพลินเจริญรส |
หายระทดพระหฤทัย |
ดังดนตรีปี่ไฉน |
มากล่อมให้บรรทม เอย |
๔ เห่เอยพระเยาวลักษณ |
ประเสริฐศักดิ์กว่าสุริวงศ์ |
เทพเชิญดำเนินองค์ |
ลงมาจากฟากตรึงศ์ไตร |
พระวรโฉมประโลมเลิศ |
ประเสริฐพร้อมละม่อมละไม |
ดังแท่งทองมาทอดไว้ |
ในพระอู่ดูน่าชม |
พระกรรณเกศเนตรขนง |
พระวรองค์ก็งามสม |
ดังช่างกลึงมาเกลากลม |
ประสงค์สมในลำทรง |
เชิญเถิดพระหน่อนาถ |
ไสยาสน์หลับพระเนตรลง |
พร้อมเหล่าประยุรวงศ์ |
ประจงกล่อมถนอมนวล |
ทั้งนางนมแลพี่เลี้ยง |
ประคองเคียงให้เสสรวล |
บรรทมเถิดพระทรามสงวน |
เวลาก็จวนจะเลยไป |
อย่าทรงเล่นให้ล่วงเวลา |
เชิญนิทราสำราญฤทัย |
ให้แคล้วคลาดนิราศภัย |
พระชนม์ได้สักร้อย เอย |
๕ พระเอยพระเยาวราช |
พระหน่อนาถจอมสกล |
เทพเชิญให้ปฏิสนธิ์ |
ในมณฑลธิบดินทร์ |
จำเริญเรืองพระเดชา |
ทั่ววงศามาพร้อมสิ้น |
ประชาชนพระจอมนรินทร์ |
ก็ยินดีอำนวยพร |
สวัสดีอย่ามีทุกข์ |
จำเริญสุขสโมสร |
จงสถิตย์สถาวร |
ขจรทั่วทั้งธาตรี |
ให้พร้อมพรั่งทั้งเกียรติยศ |
ทั้งชนบทชาวกรุงศรี |
ให้นบนอบชอบฤดี |
มาอัญชลีพึ่งเดชา |
อย่ามีพระโรคัน |
จำเริญมั่นพระชันษา |
วรรณสุขพลา |
จงบริบูรณ์พูนสุข เอย |
๖ เห่เอยเฉลยฉลอง |
เสนาะสนองน่าชื่นเชย |
พระหน่ออนงค์ทรงสะเบย |
บรรทมหลับแล้วอับภิวันท์ |
บรรดาหญิงทั้งมิ่งหม่อม |
ก็หยุดกล่อมลงพร้อมกัน |
พระมิ่งสมรอัปสรสวรรค์ |
เสวยสวัสดิสัตถาวร |
เนาในเขตนิเวศวง |
ประเสริฐทรงสโมสร |
เป็นศรีวังอลังกรณ์ |
เปรื่องปรากฏพระยศ เอย |
บทเห่กล่อมชมจันทร์
๗ เห่เอยวันเพ็ง |
พระจันทร์ก็เปล่งปลั่งลอย |
เหลืองแฉล้มแช่มช้อย |
เคลื่อนคล้อยลอยลม |
แจ่มแจ้งแสงส่อง |
สว่างห้องพระบรรทม |
น้ำค้างลงพร่างพรม |
ชำเลืองชมพระจันทรา |
ที่กลางเดือนเหมือนกระต่าย |
คล้ายคล้ายยายกับตา |
ลอยเลื่อนเลื่อนคลา |
ทุกเพลาราตรี |
ดาวดวงช่วงโชติ |
รุ่งโรจน์รัศมี |
ร่อนเร่ในเมฆี |
จรลีเลื่อนลอย |
แสนรักจักใครได้ |
ไม่มีใครจะช่วยสอย |
เรียงรายพรายพร้อย |
น้ำค้างย้อยเย็นใจ |
ที่ดวงเด่นเป็นเอก |
ดั้นเมฆอยู่ไรไร |
ดาวสำเภาเสาใบ |
ลอยอยู่ในนภา |
ดาวเต่าดาวจรเข้ |
ขึ้นร่อนเร่ในเวหา |
ดาวธงอยู่ตรงหน้า |
ดาวพระยาอัศดร |
โชติช่วงดวงเด่น |
ดังจะเผ่นโผนจร |
ดาวไถก่งโง้งงอน |
ขึ้นลอยร่อนรายเรียง |
ปักษาการะเวก |
แฝงเมฆมองเมียง |
ร่อนร่องซ้องเสียง |
สำเนียงเสนาะเพราะเพลง |
ไก่สวรรค์ขันเอ๊ก |
แว่ววิเวกวังเวง |
ดังเทวัญบรรเลง |
ซอเจ้งจับใจ |
เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่ง |
หริ่งหริ่งเรไร |
ดังดนตรีปี่ไฉน |
มากล่อมให้ไสยา |
รวยรินกลิ่นกลั่น |
จวงจันทน์กฤษณา |
ลมเชยรำเพยพา |
ให้ไสยาเย็น เอย |
๘ เห่เอยพระจันทร์เพ็ง |
ดูปลั่งเปล่งวิมลโฉม |
เคลื่อนคล้อยลอยโพยม |
ดูน่าประโลมละลานใจ |
ทรงกลดดูหมดเมฆ |
แลวิเวกนภาลัย |
งามเพลินเจริญใจ |
จะหายไปกับนัยน์ตา |
ดูดวงเดือนก็เลื่อนลอย |
แช่มช้อยดังเลขา |
ดูน่ารักลักขณา |
พระจันทราช่างงามจริง |
ดวงเดือนช่างเหมือนพักตร์ |
นรลักษณ์พระองค์หญิง |
พริ้งเพริศประเสริฐยิ่ง |
น่าประวิงใจ เอย |
๙ เห่เอยดาวพยับ |
ดังใครประดับในเวหา |
เป็นรูปสัตว์ดังจัดแจง |
กระจ่างแจ้งในนภา |
ดูน่าเพลินเจริญใจ |
แลวิไลในเมฆา |
งามระยับจับตา |
ด้วยดาราพร่างพราย |
เวหากระจ่างเมฆ |
ลิ่ววิเวกไม่ระคาย |
ห้อมล้อมบุหลันฉาย |
เพริศพรายจะพรรณนา |
พระจันทร์ท่านกรงกลด |
ชักรถครรไลลา |
ดูลอยเลื่อนในนภา |
พระจันทราท่านงาม เอย |
๑๐ เห่เอยเห่ช้า |
พวกผกาสุมาลัย |
เคลื่อนคล้อยลอยไป |
สักเมื่อไรจะลอยมา |
คลายคลายสายสมุทร |
แลก็สุดสายตา |
สร้อยสุคนธ์มณฑา |
แย้มผกามลิขจร |
บานแบ่งแสงสด |
ระรินรสเกสร |
ภุมรินบินร่อน |
ว่ายว่อนเวียนวน |
เกลือกกลั้วมัวเมา |
ไซ้สร้อยเสาวคนธ์ |
หอมฟุ้งปรุงปน |
รสสุคนธ์สุมาลัย |
สาธุสะพระพาย |
ช่วยเชยชายมาชื่นใจ |
ระรื่นรินกลิ่นใกล้ |
สักเมื่อไรจะได้เชย |
แสนรำลึกดึกดื่น |
รสรื่นรำเพย |
พวงมาลีเจ้าพี่เอ๋ย |
จะลอยเลยลับตา |
เย็นน้ำค้างพร่างพรม |
ระรื่นลมพัดพา |
หอมแต่กลิ่นจำปา |
มลิลาลำดวน |
สายหยุดสาวสวาดิ |
พุทชาดหอมหวน |
นางแย้มแช่มชวน |
ให้รัญจวนจิตใจ |
แก้วกุหลาบซาบทรวง |
ไม่เหมือนพวงสุมาลัย |
หอมบุหงารำไป |
ชื่นฤทัยทุกเวลา |
หอมกลิ่นอินจันทน์ |
อังกาบกรรณิกา |
รสสุคนธ์มณฑา |
ชื่นวิญญาในอารมณ์ |
ดอกฟ้าเจ้าข้าเอ๋ย |
ยังไม่เคยเชยชม |
กลิ่นกลบตลบลม |
แต่สุกรมและยมโดย |
ระรวยรินกลิ่นโบก |
เกสรโศกโบกโบย |
รื่นรื่นชื่นโชย |
ร่วงโรยโปรยปราย |
พวงพยอมหอมกรุ่น |
กลิ่นพิกุลฟุ้งขจาย |
น้ำค้างพร่างพราย |
พระพายชายเฉื่อยมา |
หอมหวนอวลอบ |
พิกุลตลบโลกา |
ชื่นพระทัยไสยา |
ระรื่นรสมาลัย เอย |
๑๑ เห่เอยพระสุริยง |
จะลับลงในเหลี่ยมผา |
ให้อาลัยในทวีป |
ไม่เร่งรีบรถคลา |
อาลัยมิใคร่จะจร |
ค่อยรอนรอนเวลา |
ดวงแดดก็แผดเผือด |
ดูคล้ายเลือดมารา |
ทั้งดวงพระพักตร์ลักขณา |
ก็โรยราแรมยล |
ให้อาลัยในสมร |
มิใคร่จะจรก็จำจน |
น่าสงสารพระสุริยน |
มิใคร่จะสนธยา เอย |
บทเห่เรื่องอิเหนา
๑๒ สวมชีพบังคมบาท |
พระเยาวราชธิเบนทร์สูร |
ภุชพงศ์วงศ์ประยูร |
อิศรราชเรืองเดชา |
พระยอดเยาวยุพิน |
หน่อภูมินทร์แม้นอมรา |
เชิญเสด็จขึ้นไสยา |
บรรทมสุขสำราญรมย์ |
พระอู่เอกเอี่ยมสะอาด |
ยี่ภู่ลาดสอดสีสม |
พระสูตรรูดบังลม |
ล้วนลายทองกรองเครือวัลย์ |
ข้าน้อยนางอนงค์ |
พร้อมเฝ้าองค์อัญเชิญขวัญ |
บรรเลงเพลงโอดพัน |
นิพนธ์ขับกล่อมการ |
จะร่ำเรื่องระเด่นวงศ์ |
เทเวศร์ทรงปรีชาชาญ |
โอบอ้อมยอดเยาวมาลย์ |
โฉมบุษบาพาจรลี |
รีบรถเร่งอัสดร |
พาดวงสมรเฉิดโฉมศรี |
ออกนอกพระบุรี |
แล้วจึงมีพระบัญชา |
เจ้าพี่ผู้ดวงเนตร |
อย่าแค้นเทวศทรงโศกา |
ใช่องค์ระตูมา |
ลักพาน้องอย่าอาวรณ์ |
พี่เองมาเชิญชวน |
ให้นิ่มนวลอนงค์จร |
เจ้าแม่ผู้งามงอน |
เชยเงยพักตร์ขึ้นพาที |
บัดองค์สุดาสดับ |
สุรศัพท์คดี |
ทราบเหตุว่าภูมี |
ระเด่นเดชมาปลอมแปลง |
อัดอกสะอื้นอ้อน |
พระกรข้อนอุรแรง |
โศกทรงพระกรรแสง |
ระทวยทอดพระกายา |
ทรุดองค์ลงจากเพลา |
พลางหยิกเอาพระเชษฐา |
ข่วนซ้ำไม่นำพา |
อาลัยละพระภูธร |
อิเหนาถนอมสอด |
พระกรกอดพระพธูสมร |
อ้าแม่อย่าอาวรณ์ |
ภูธรปลอบถนอมชม |
๑๓ เห่เอยระเด่นวงศ์ |
อิศวรวงศ์อสัญหยา |
กับระเด่นบุษบา |
สถิตย์ถ้ำแท่นสุวรรณ |
เย็นย่ำน้ำค้างหยัด |
รำพายพัดกลิ่นสุคันธ์ |
แจ่มแจ้งด้วยแสงจันทร |
ขึ้นหมดเมฆดิเรกดวง |
ดาราระดาดาษ |
ห้องอากาศดังเงินยวง |
อ้าแม่เสมอทรวง |
จงเชิญชมศศิธร |
นวลจันทร์แพ้นวลเจ้า |
ไม่นวลเท่านวลสมร |
จันทรกระจ่างกลางอัมพร |
พระบังอรกระจ่างใจ |
บัวทิพย์ยังอายถัน |
ถนอมขวัญต้องบังใบ |
บัวนางนี้อายใคร |
จึงบ่มผิวด้วยริ้วทอง |
ปรางประพระสุคนธ์ |
ถึงปรางผลก็แพ้น้อง |
บุบผามาลากรอง |
ไม่รื่นรินเท่ากลิ่นนาง |
เชิญเถิดประทมที่ |
สุจนี่ยี่ภู่วาง |
ตกยากมาจากปราง |
เขนยทองยังรองทรง |
หยิบพัดกระพือลม |
คลี่คลุมประทมประทับองค์ |
ขวัญอ่อนมานอนดง |
ไร้อนงค์จำเรียงราย |
อ้าพี่จะเห่กล่อม |
งามละม่อมอย่าตื่นสาย |
เชิญพระองค์วงศ์นารายณ์ |
สำราญราชบรรทม เอย |
๑๔ เห่เอยตัวพี่ |
องค์ปันหยีสุกาหรา |
ติดตามวนิดา |
มาปะมิสาอุณากรรณ |
เหลือบไปก็คล้ายคลึง |
ประหนึ่งเจ้าสาวสวรรค์ |
ทอดสนิทติดพัน |
สำคัญว่าองค์อนงค์นวย |
ทอดกรอ่อนพักตร์ |
นรลักษณ์ก็สรสวย |
สงสารเจ้ารูปรวย |
นวยนาดดังสตรี |
เทเวศร์เข้าดลจิตร |
ให้พระคิดคนึงศรี |
แม้นเจ้าเปนสตรี |
ตัวพี่จะละอย่าสงกา |
๑๕ เห่เอยเข้าไสยาสน์ |
เทวศหวาดในวิญญา |
ยอกรก่ายพักตรา |
แล้วจินตนาคนึงใน |
จึงเผยสุวรรณบัญชร |
ทุรนร้อนในฤาทัย |
เห็นแสงพระจันทร์เธอดั้นไข |
ส่องถึงในช่องแกล |
บริสุทธิผุดผาด |
สุสะอาดนัยน์ตาแล |
พี่หมายน้องเหมือนปองแข |
เฝ้าชะแง้ชะเง้อคอย |
โอ้บุหลันวันเพ็ง |
อันปลั่งเปล่งครรไลลอย |
สุดจะเหาะไปเสาะสอย |
ให้เคลื่อนคล้อยจากโพยม |
พินิจเดือนไม่เหมือนมาด |
ยิ่งร้อนราชฤทัยโทรม |
มณฑาไทวิไลโฉม |
เมื่อไรจะโน้มมาถึงกร |
เหลือที่มาดสวาดิหวัง |
เจียนชีวังจะม้วยมรณ์ |
ด้วยรสรักกำเริบร้อน |
จะผันผ่อนฉันใดดี |
เหมือนหนึ่งว่ายในสายชล |
อันกว้างพ้นพันทวี |
แม้นดวงยิหวาไม่ปราณี |
ก็เห็นที่จะมรณัง |
เหมือนต้องศรสหัสจักร |
มากรึงปักสริรังค์ |
เหลือจะทนพ้นกำลัง |
ในทรวงดังเป็นกองไฟ |
อกเอ๋ยเมื่อยามเข็ญ |
ไม่เล็งเห็นท่านผู้ใด |
ช่วยดับทุกข์ครั้งนี้ได้ |
ไม่เห็นใครก็จำจน |
อาวรณ์หวนครวญคร่ำ |
กินแต่น้ำอัสสุชล |
ตึกกำดัดสงัดคน |
ประมาณจนสักสองยาม |
เสียงไก่ขันสนั่นแจ้ว |
วิเวกแว่วหทัยหวาม |
สำคัญว่าพงางาม |
มาร้องถามก็ยินดี |
พลางรับขัญสมรมิ่ง |
ว่ายอดหญิงได้ปราณี |
แม่มาแล้วฤาแก้วพี่ |
เชิญมานี่เถิดสายใจ |
พี่ตั้งหน้าคอยท่าน้อง |
ยิ่งหม่นหมองหฤทัย |
อย่าเขินขามเลยทรามวัย |
ปลื้มอาลัยของพี่ยา |
แล้วเยี่ยมแกลแลลอด |
พลางก็ทอดทัศนา |
แลเขม้นไม่เห็นมา |
หวาดผวาสกลกาย |
เออนี่แล้วมิละเมอ |
ครั้นแจ้งก็เก้อคิดละอาย |
จนดาวเคลื่อนเดือนก็บ่าย |
ไม่เหือดหายความรัญจวน |
พระพายพาสุคนธมาศ |
รุกขชาติอันหอมหวน |
กลิ่นตลบอบอวล |
แต่ครวญจนหลับไป เอย |
บทเห่เรื่องโคบุตร
๑๖ เห่เอยเห่ถวาย |
ถึงเรื่องนิยายแต่ปางหลัง |
ให้พระองค์ทรงฟัง |
เมื่อแรกตั้งโลกา |
มีพระมิ่งมงกุฎ |
ชื่อโคบุตรสุริยา |
ได้ข่าวพระธิดา |
ตรึกตราตรอมใจ |
องค์อำพันขวัญเนตร |
เนานิเวศน์วังใน |
แม้นรู้ที่จะไป |
มอบไมตรีนาง |
นิ่งนึกตรึกเกรง |
จะทรงเพลงยาวพลาง |
พอเป็นคำนำทาง |
ให้สว่างวิญญา |
เขียนสารใส่ตอง |
ให้ขุนทองปักษา |
ซ้ำสั่งสกุณา |
ให้พาสารตรารีบไป |
ให้เจ้าสาวสวรรค์ |
องค์อำพันพิศมัย |
ฤาลูกน้อยกลอยใจ |
นอนอยู่ในวัง เอย |
บทเห่เรื่องจับระบำ
๑๗ เห่เอยเห่สวรรค์ |
เมื่อวสันต์ฤดูฝน |
นักขัตฤกษ์เบิกบน |
ให้มืดมนเมฆา |
เทวาวลาหก |
ให้ฝนตกลงมา |
ฝูงเทพเทวา |
กับนางฟ้าฟ้อนรำ |
เล่นฝนตีโทนทับ |
ร้องรับจับระบำ |
เปนคู่เคียงเรียงรำ |
ระทวยทำท่วงที |
เทพไทไขว่คว้า |
นางฟ้าฟ้อนหนี |
เรียงล่อรอรี |
รำตีวงเวียน |
กรีดกรายปลายหัตถ์ |
ฉวยวัดฉวัดเฉวียน |
บทแบบแนบเนียน |
ผลัดเปลี่ยนท่าทาง |
คลอเคล้าเพราพริ้ง |
รำเป็นสิงห์เล่นหาง |
หงษ์ร่อนกรกาง |
ทำนองกวางเดินดง |
รำท่าม้าคลี |
ไล่หนีตีวง |
กินรินบินลง |
เอี้ยวองค์อ่อนเอียง |
มังกรช้อนฟอง |
ประคองคลอเคียง |
ยิ้มพรายชาม้ายเมียง |
รอเรียงเคียงนาง |
รำนารายณ์กรายศร |
มังกรกินหาง |
ท่าพระรามตามกวาง |
ทำนองนางมโนรา |
กรีดเล็บเทพนม |
รำเปนพรหมสี่หน้า |
เมียงชม้ายชายตา |
ไขว่คว้านารี |
หลีกเลี้ยวเกี่ยวกระหวัด |
ป้องปัดสลัดหนี |
ล่อไล่ในที |
ซิกซี้ปรีดา |
รำร่ายย้ายย่าง |
กินรกางปีกรา |
กรีดกรายซ้ายขวา |
เปนมัจฉาชมชล |
ท่าพระรทโยนสาร |
สอดสังวาลกุณฑล |
ชดช้อยสร้อยสน |
แกมกลกุมกร |
นางสวรรค์เยื้องกราย |
รำนารายณ์โก่งศร |
เหลือบชำเลืองเคืองค้อน |
งามงอนอ่อนกาย |
เทวัญกั้นหน้า |
นางฟ้าเอียงอาย |
ไว้จังหวะประปราย |
รำลอยชายเข้าวัง |
ฉวยชิดติดพัน |
นางสวรรค์หันหลัง |
หลีกเลี่ยงเบี่ยงบัง |
เวียนระวังว่องไว |
เทวบุตรยุดหัตถ์ |
นางสะบัดสไบ |
สุขเกษมเปรมใจ |
ที่ในเชิงไกรลาส เอย |
๑๘ เห่เอยนางเอก |
มณีเมขลา |
ลอยเร่ในเมฆา |
ถือจินดาดังดวงดาว |
โยนเล่นเห็นแก้ว |
สว่างแวววามวาว |
ลอยฟ้าเวหาหาว |
รูปราวกับกินรี |
ทรงเครื่องเรืองจำรัส |
อร่ามรัศมีฉวี |
ชูช่วงดวงมณี |
เลื่อนลอยลีลามา |
เลียบรอบขอบทวีป |
อยู่กลางกลีบเมฆา |
เชยชมยมนา |
เฝ้ารักษาสินธู |
ครั้นปัจฉิมคิมหันต์ |
ถึงวสันตฤดู |
ฟ้าคำรนฝนฟู |
เสียงซู่ซู่สาดเซ็น |
ลอยล่องละอองอาบ |
กระสินธุ์ซาบทรวงเย็น |
เคยรำระบำเป็น |
ล่อเล่นกับเทวัญ |
ชูแก้วแววสว่าง |
รำด้วยนางสาวสวรรค์ |
ล่อเลี้ยวเกี่ยวพัน |
พวกเทวัญกั้นกาง |
ฉวยฉุดยุดหยอก |
สัพยอกเย้านาง |
โยนแก้วแววสว่าง |
ให้เนตรพร่างพราย เอย |
๑๙ เห่เอยเห่นาม |
เทพรามสูรมาร |
มีมือถือขวาน |
อยู่วิมานมณีนิล |
หน้าเขียวเขี้ยวงอก |
สีเหมือนดอกอินทนิล |
เมืองสวรรค์ชั้นอินทร์ |
เกรงสิ้นทุกเทวา |
เลี้ยวรอบขอบพระสุเมรุ |
ตรวจตระเวนเวหา |
เห็นนางเอกเมขลา |
โยนจินดาดังเปลวเพลิง |
กับสุรางค์นางสวรรค์ |
ฝูงเทวัญบันเทิง |
จับระบำทำเชิง |
รื่นเริงบันเทิงใจ |
คิดจะใคร่ได้แก้ว |
เลิศแล้วแววไว |
แขว่งขวานชาญไชย |
โลดไล่เทวา |
ต่างวิ่งทิ้งกรับ |
โทนทับรำมะนา |
กลัวยักษ์นักหนา |
หลบหน้าหนีไป |
เมขลากล้าแกล้ว |
ล่อแก้วแววไว |
โยนสว่างเหมือนอย่างไฟ |
ปลาบนัยน์เนตรมาร |
หน้ามืดฮืดฮาด |
กริ้วกราดโกรธทะยาน |
แค้นนางขว้างขวาน |
เปรี้ยงสะท้านโลกา |
ฤทธิแก้วแคล้วคลาด |
ยิ่งกริ้วกราดโกรธา |
โลดไล่ไขว่คว้า |
เมขลาล่อเวียน |
ยักษ์โถมโจมโจน |
นางก็โยนวิเชียร |
หลีกลัดฉวัดเฉวียน |
ล่อเวียนวงวน |
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงขวาน |
ก้องสะท้านสากล |
ไล่นางกลางฝน |
มืดมนในเมฆา |
นวลนางนั้นช่างล่อ |
รั้งรอร่อนรา |
เวียนระไวไปมา |
ในจักรราษี เอย |
บทเห่เรื่องกากี
เห่เอยเห่กล่าว |
ถึงเรื่องราวสกุณา |
ครุฑราชปักษา |
อุ้มกากีบิน |
ล่องลมชมทวีป |
ในกลางกลีบเมฆิน |
ข้ามคิรีศีขรินทร์ |
มุจลินท์ชโลทร |
ชี้ชมพนมแนว |
นั่นเขาแก้วยุคันธร |
สัตภัณฑ์สีทันดร |
แลสลอนล้วนเต่าปลา |
งูเงือกขึ้นเกลือกกลิ้ง |
มัดมงคลมัจฉา |
จรเข้และเหรา |
ทั้งโลมาและปลาวาฬ |
โผนเผ่นเล่นระลอก |
ชลกระฉอกฉาดฉาน |
นาคาอันกล้าหาญ |
ขึ้นพ่นพล่านคงคา |
หัสดินบินฉาบ |
ก็คาบขึ้นบนเวหา |
ในทะเลเภตรา |
บ้างแล่นมาแล่นไป |
ลำนิดนิดจิ๊ดจิ๋ว |
เห็นหวิวหวิวอยู่ไรไร |
ชมชื่นหฤทัย |
ก็ลอยไปในเมฆา |
อุ้มแอบแนบชิด |
ถนอมสนิทเสนหา |
ปีกอ่อนร่อนรา |
กระพือพาเผ่นทะยาน |
ลอยรอบขอบพระสุเมรุ |
บริเวณจักรวาฬ |
ชมป่าหิมพานต์ |
เชิงชานพระสุเมรุธร |
สินธพตลบเผ่น |
สิงโตกิเลนและมังกร |
ราชสีดูมีหงอน |
แก้วกุญชรและฉัททันต์ |
นรสิงหแลลิงค่าง |
อีกเซี่ยวกางแลกุมภัณฑ์ |
ยักษ์มารชาญฉกรรจ์ |
ทั้งคนธรรพ์วิเรนทร |
นักสิทธิ์วิทยา |
ถือคทาธนูศร |
กินรินแลกินร |
รำฟ้อนร่อนรา |
ห่านหงส์หลงเกษม |
อยู่ห้องเหมคูหา |
พระฤๅษีชีป่า |
หาบผลาเลียบเนิน |
คนป่าทั้งม่าเหมี่ยว |
ก็จูงกันเที่ยวดุ่มเดิน |
ลอยลมชมเพลิน |
พนมเนินแนวธาร |
มีหุบห้องปล่องเปลว |
ดูห้วยเหวรโหฐาน |
ลดหลั่นเป็นชั้นชาน |
เงื้อมตระหง่านเมฆี |
บ้างเขียวขาวดูวาววาม |
เรืองอร่ามรัศมี |
ชมพลางทางชี้ |
บอกคดีนีรมล |
ที่สูงเยี่ยมเทียมฟ้า |
นั่นต้นนารีผล |
รูปร่างเหมือนอย่างคน |
ดูงามพ้นคณนา |
ยิ้มย่องผ่องภักตร์ |
วิไลยลักษณ์ดังเลขา |
น้อยน้อยย้อยระย้า |
เพทยาธรคอย |
ที่มีฤทธิปลิดเด็ด |
อุ้มระเห็จเหาะลอย |
พวกนักสิทธิ์ฤทธิ์น้อย |
เอาไม้สอยเสียงอึง |
บ้างตะกายป่ายปีน |
เพื่อนยุดตีนตกตึง |
ชิงช่วงหวงหึงส |
เสียงอื้ออึงแน่นนัน |
ที่ไม่ได้ก็ไล่แย่ง |
บ้างทิ่มแทงฆ่าฟัน |
ที่ได้ไปไว้นั้น |
ถึงเจ็ดวันก็เน่าไป |
พระบอกนางทางพา |
ลอยฟ้าสุราลัย |
เที่ยวชมเล่นให้เย็นใจ |
แล้วกลับไปวิมาน เอย |
บทเห่เรื่องพระอภัยมณี
๒๑ เห่เอยเห่ละห้อย |
พราหมณ์น้อยศรีสุวรรณ |
แรมสำนักตำหนักจันทน์ |
พระสุริยันสนธยา |
ให้อาดูรพูลเทวศ |
ถึงแก้วเกษรา |
ได้เห็นพักตร์ลักขณา |
ยังติดตาทุกนาที |
ชมแท่นทองที่รองทรง |
ของอนงค์องค์บุตรี |
หอมหวนยวนยี |
อยู่ในที่ไสยา |
เผยพระแกลแลกระจ่าง |
เห็นเดือนสว่างในเวหา |
ทรงกลดรจนา |
เหมือนนวลหน้าพระน้องนวล |
อนาถหนาวเศร้าสร้อย |
ให้ละห้อยโหยหวน |
นึกเห็นเมื่อเล่นสวน |
เลิศล้วนลักขณา |
เนตรขนงวงวิลาศ |
พิศเพียงบาดนัยนา |
พระกรรณแก้วแววตา |
ดังกลีบผกาโกมล |
สองกรก็อ่อนชด |
ดังงอนรถพระสุริยน |
ปรางประพระสุคนธ์ |
พิศเพียงผลลูกจันทน์ |
ทรวดทรงพระองค์อ่อน |
ดังอัปสรสาวสวรรค์ |
โกมุทบุษบัน |
ไม่เทียมถันประทุมา |
โอษฐ์สะอาดดังชาดจิ้ม |
เมื่อยามยิ้มดังเลขา |
เมื่อเนตรน้องมาต้องตา |
ดังสายฟ้ามาฟาดทรวง |
แสนรักสลักอก |
ยิ่งกว่ายกภูเขาหลวง |
จะใคร่อุ้มพุ่มพวง |
มาแนบทรวงไสยา |
ผิวเหลืองระเรืองรอง |
เหมือนเนื้อทองธรรมดา |
แม้นสมรักจะลักพา |
ลงเภตรากางใบ |
ดูเนื้อน่วมอยู่นุ่มนิ่ม |
จะชมชิมให้อิ่มใจ |
แม้นลมดีจะคลี่ใบ |
แล่นไปในนที |
จะปลอบประโลมโฉมฉาย |
ขึ้นนั่งบนท้ายบาหลี |
แย้มสรวลยวนยี |
จะชวนชี้ให้ชมปลา |
มีต่างต่างกลางทะเล |
ทั้งจรเข้เหรา |
ฝูงกระโห้ทั้งโลมา |
เคลื่อนคลาอยู่ตามกัน |
กุ้งกั้งแลมังกร |
สลับสลอนหลายพรรณ |
นาคราชผาดผัน |
ปลาอำพันตะเพียนทอง |
วาฬใหญ่ขึ้นไล่คู่ |
ผุดฟูพ่นฟอง |
เงือกงูดูคะนอง |
ลอยล่องชโลธร |
กริวกราวก็เต้าตาม |
ฉนากฉลามสลับสลอน |
คลาเคล้าสำเภาจร |
ในสาครรายเรียง |
เกาะใหญ่ไม้ชอุ่ม |
เป็นพุ่มพุ่มเคียงเคียง |
เหมือนจอกน้อยลอยเรียง |
พิศเพียงจะเพลินใจ |
นิ่งนึกจนดึกดื่น |
ถอนสะอื้นอาลัย |
เคลิ้มระงับหลับไป |
อยู่ในห้องไสยา เอย |
๒๒ เห่เอยเห่กล่าว |
ถึงพระดาวบศนี |
องค์สุวรรณมาลี |
บวชด้วยมีศรัทธา |
กับสินสมุทสุดสวาดิ |
อรุณราชนัดดา |
อยู่เขารุ้งปลายทุ่งนา |
ออกนั่งหน้ากุฎี |
แบ่งส่วนกุศลผลบุญ |
ให้องค์อรุณรัศมี |
สาวสุรางค์นางชี |
แต่ล้วนมีศรัทธา |
ตัดรักชักประคำ |
พึมพำภาวนา |
เงียบสงัดวัดวา |
พระสุริยาเย็นรอนรอน |
ชะนีน้อยห้อยโหย |
วิเวกโหวยวิงวอน |
จิ้งจอกออกหอน |
นกนอนรังเรียง |
เริงร้องซ้องแซ่ |
คลอแคลกรีดเสียง |
น่าดูเปนคู่เคียง |
แอ่นเอี้ยงแอบอิง |
แม่นกกกกอด |
ลูกพลอดวอนวิง |
แจ้วแจ้วแก้วกะลิง |
จับที่กิ่งไทรทอง |
นั่งชมโสมนัส |
กับหน่อกษัตริย์ทั้งสอง |
พลบค่ำย่ำฆ้อง |
เดือนส่องสว่างตา |
หอมดอกไม้ใกล้กุฏิ |
สาวหยุดมลิลา |
ยี่หุบบุบผา |
แย้มผกากลิ่นขจร |
เย็นยะเยียบเงียบสงัด |
พระพายพัดมาอ่อนอ่อน |
หึ่งหึ่งผึ้งภมร |
เชยเกสรสุมาลี |
หอมอังกาบกุหลาบเทศ |
การะเกดริมกุฎี |
ให้ซาบทรวงหลวงชี |
ด้วยมาลีหลายพรรณ |
ลมโชยโรยริน |
หอมลูกอินกลิ่นจันทน์ |
รสสุคนธ์ปนกัน |
เหมือนกลิ่นกลั่นตลบลม |
นิ่งระงับหลับตา |
อุตส่าห์รักษาอารมณ์ |
ถึงหอมระรื่นไม่ชื่นชม |
ตามเพศพรหมจรรย์ เอย |
๒๓ เห่เอยพระราชบุตร |
สินสมุทรมุนี |
กับอรุณรัศมี |
นั่งอยู่ที่น่าชาลา |
แย้มสรวลชวนกัน |
นั่งฉันน้ำชา |
พูดเล่นเจรจา |
กับน้องยานารี |
แขไขไตรตรัด |
เรืองจรัสรัศมี |
ร่อนเร่ในเมฆี |
มาตรงที่แกลทอง |
ถ้าเช่นนี้พี่เหาะได้ |
จะเหาะไปประคอง |
ค่อยสอดกรซ้อนตระกอง |
มาไว้ในห้องไสยา |
เย็นชื่นดื่นดึก |
ลืมรำลึกภาวนา |
ชวนพระน้องร้องสักรวา |
จนหลงว่าขึ้นดังดัง |
โอ้ว่าเจ้าการะเกด |
ขี่ม้าเทศจะไปท้ายวัง |
น้องห้ามไว้ก็ไม่ฟัง |
จะแทงฝรั่งลังกา |
รู้สึกตัวกลัวกรรม |
ชักประคำภาวนา |
เดือนส่องต้องศิลา |
ดังจินดาดวงดาว |
ด้วยเขารุ้งรุ่งเรือง |
บ้างเขียวเหลืองแวววาว |
แวมสว่างพร่างพราว |
อร่ามราวเพชรพลอย |
พร่างพร่างน้ำค้างเหยาะ |
เผาะเผาะผอยผอย |
ดาวก็เคลื่อนเดือนก็คล้อย |
จะเลื่อนลอยลับตา |
เย็นยะเยียบเงียบสงัด |
พระพายพัดรำเพยพา |
พระเพลินจิตไม่นิทรา |
แต่น้องยานั้นหลับไป |
เดือนส่องผ่องเพียง |
จะแข่งเคียงแขไข |
หลับสนิทจะพิศไหน |
งามวิไลลักขณา |
นวลหน้าเหมือนการะเกด |
ดังดวงเนตรของเชษฐา |
ถึงนางสวรรค์ชั้นฟ้า |
ก็ไม่โสภาเทียมนวล |
ชายใดแม้นได้นุช |
จะรักสุดแสนสงวน |
ยิ้มเยื้อนเหมือนจะชวน |
ให้รัญจวนใจชาย |
พิศเพ่งเล็งดูเดือน |
ละม้ายเหมือนกับเดือนหงาย |
ฟ้าขาวดาวประกาย |
พฤกษพรายโพยมมาล |
เสียงดุเหว่าเร่าร้อง |
เสนาะก้องกังวาล |
ไก่กระชั้นขันขาน |
วิเวกหวานวังเวง |
เหมหงส์บุหรงร้อง |
ดังพาทย์ฆ้องประโคมเพลง |
กลระฆังก็ดังเอง |
เสียงเหง่งเหง่งวังเวงใจ |
ลมว่าวหนาวชื้น |
หอมระรื่นหฤทัย |
งีบระงับหลับใหล |
ในที่ไสยา เอย |
๒๔ เห่เอยหน่อกษัตร |
นางอรุณรัศมี |
บวชเล่นเล่นก็เป็นชี |
กับฤๅษีพี่ยา |
แอบชอ้อนนอนเพลา |
ว่าพระเจ้าป้าจ๋า |
พรหมจรรย์จรัญญา |
เขาแปลว่าอันใด |
พระเจ้าลุงพรุ่งนี้ |
จะมานีมนต์ไป |
หลวงป้าไม่ว่าไร |
ฤๅจะไปตามคำ |
ถามเท่าไรก็ไม่ตรัส |
สมาบัติบริกรรม |
กลัวป้าอุตส่าห์ทำ |
ชักประคำภาวนา |
ลืมมนต์เสียหมดสิ้น |
ด้วยหอมกลิ่นบุปผา |
รสสุคนธ์มณฑา |
มลิลาลมโชย |
รื่นรื่นชื่นแช่ม |
กลิ่นนางแย้มยมโดย |
ให้หวิวหวิวหิวโหย |
ร่วงโรยกำลัง |
ประหลาดเหลือเมื่อไร |
จะได้เข้าไปในวัง |
เสียงหริ่งหริ่งที่กิ่งรัง |
ฟังฟังยิ่งวังเวง |
จักจั่นสนั่นเสนาะ |
ดังบัณเฑาะว์ดีดเพลง |
กระดึงดังหงั่งเหง่ง |
ให้วังเวงวิญญา |
ครั้นเย็นย่ำน้ำค้าง |
พร้อยพร่างพฤกษา |
ลมเชยรำเพยพา |
ชื่นวิญญาเย็น เอย |
๒๕ เห่เอยเห่กล่าว |
ถึงลูกสาวเจ้าลังกา |
โฉมลเวงวัณฬา |
ทรงอาชามากลางไพร |
เลี้ยวหลงวงเดิน |
พนมเนินพนาลัย |
แลเหลียวเปลี่ยวใจ |
วิเวกในดงดาล |
เห็นแต่สัตว์จัตุบาท |
มฤคราชแรดฟาน |
เสือสิงห์วิ่งทะยาน |
เสียงสะท้านสะเทือนดัง |
นางหลีกลัดดัดเดิน |
แนวเนินพนมวัง |
ให้หิวโหยโรยกำลัง |
จนม้าที่นั่งก็อ่อนแรง |
แลดูพระสุริฉาย |
ก็เบี่ยงบ่ายชายแสง |
สุดสังเกตเขตแขวง |
ไม่รู้แห่งหนทาง |
แลขวาเป็นป่าชัฏ |
ข้างซ้ายขัดภูเขาขวาง |
ล้วนป่าสูงยูงยาง |
ไปตามหว่างศีขรินทร |
เป็นโกรกกรวยห้วยธาร |
หุบลหานเหวหิน |
ฝูงปักษาเที่ยวหากิน |
บ้างโผบินร่อนเรียง |
แจ้วแจ้วแก้วพลอด |
ฉอดฉอดฉ่ำเสียง |
กระลุมภูเปนคู่เคียง |
เค้าโมงเมียงมองแล |
ฝูงอิลุ้มคุ่มขาบ |
กระจิบกระจาบจอแจ |
นกออกเอี้ยงเคียงคับแค |
เสียงซ้อแซ้สนั่นไพร |
โพรโดกนั้นโอกเสียง |
เสนาะสำเนียงนกตะไน |
กินปลีเปล้าเขาไฟ |
จับกิ่งไม้มองเมียง |
ไก่ฟ้าพระยาลอ |
ขันจ้อแจ้วเสียง |
นกอุลอคลอเคียง |
กะเรียนเรียงรังนาน |
ฝูงยางกรอกดอกบัว |
กระเต็นกระตั้วหัวขวาน |
เบญจวรรณขันขาน |
บ้างบินผ่านโผจร |
คุลาโห่โกกิล |
นกขมิ้นเหลืองอ่อน |
เรียงจับสลับสลอน |
นางนวลนอนแนบนาง |
บ้างเวียนวิ่งบนกิ่งไม้ |
บ้างซุกไซ้ปีกหาง |
ชมเพลินเดินพลาง |
วิเวกวางเวงใจ |
บาระบูนขุนแผน |
ตระเวนกระแวนระวังไพร |
ตัวเขียวเหยี่ยวตะไกร |
ไล่ลูกไก่เวียนวง |
ที่เงื้อมเงาเขาสูง |
แต่ล้วนฝูงเหมหงส์ |
ปีกเจ้าอ่อนร่อนลง |
ประสานส่งสำเนียง |
นกยูงเป็นฝูงฟ้อน |
เหมือนละครรำเรียง |
กรีดกรายชม้ายเมียง |
ประสานเสียงสนั่นดัง |
สาลิกาสุวาที |
นกโนรีเรียงรัง |
เหมือนนกเลี้ยงในเวียงวัง |
พระเนตรหลั่งหล่อชล |
โอ้อกระหกระเหิน |
เคราะห์เผอิญอับจน |
ม้าเลี้ยวหลงวงวน |
ไม่เห็นหนทางไป |
ป่าระหงดงดึก |
สะพรั่งพฤกษาไสว |
หอมระรื่นชื่นฤทัย |
ดอกไม้ไพรพนม |
แก้วกุหลาบอังกาบแกม |
นางเด็ดแซมมวยผม |
สร้อยฟ้าดูน่าชม |
ทั้งสุกรมยมโดย |
บ้างบานตูมเป็นพุ่มพวง |
บ้างหล่นร่วงกลีบโรย |
ทั้งพระพายชายโชย |
เกสรโปรยปรายมา |
ทั้งรวยรินอินจันทน์ |
กะลำพันกฤษณา |
เพลินพระทัยไคลคลา |
จนสุริยาเย็นรอนรอน |
ครั้นถึงธารสะอ้านสะอาด |
เขาอังกาศศิงขร |
จิ้งจอกออกเห่าหอน |
ในดงดอนดูมืดมัว |
เสียงชะนีวิเวกโหวย |
ละห้อยโหยหาผัว |
วังเวงน่าเกรงกลัว |
แลเห็นตัวอยู่ไรไร |
เห็นที่แท่นแผ่นผา |
ที่ไสยาอาศัย |
ลงจากม้าคลาไคล |
เข้านั่งใต้ไทรทอง |
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยนัก |
พระวรภักตร์หม่นหมอง |
แล้วทรงเปลื้องสะไบกรอง |
นางปูรองกายา |
ค่อยเอนองค์ลงบนอาสน์ |
พระเศียรพาดแผ่นผา |
ให้หิวโหยโรยรา |
นิ่งนิทราตรอมใจ |
เสียงจังหรีดกรีดกริ่ง |
หริ่งหริ่งเรไร |
เคลิ้มระงับหลับไป |
ใต้ต้นไทรทอง เอย |
๒๖ เห่เอยเห่บท |
เดินรถในราตรี |
พระอภัยมณี |
นั่งที่ท้ายรถทรง |
บุษบกกระจกกระจ่าง |
เห็นรางรางรูปทรง |
คลุมประทมห่มองค์ |
เห็นแต่วงพักตรา |
แม่ยอดหญิงพริ้งเพริศ |
วิลาศเลิศลักขณา |
จะสะกิดก็ติดฝา |
สุดปัญญาสุดอาลัย |
ยืนยิ้มอยู่ริมรถ |
รื้อระทดหฤทัย |
ฤๅระงับหลับใหล |
ทำกระไรจะรู้ความ |
นิ่งนึกเห็นดึกนัก |
เวลาก็สักสองยาม |
คิดจะใคร่ไต่ถาม |
ให้ขามขามในวิญญา |
ยามประชวรกวนจิต |
จะเคืองคิดโกรธา |
จึงถอยหลังรั้งรา |
เลียบไปหน้ารถชัย |
พระถามธิดาสุลาลี |
พระชนนีเป็นไฉน |
เขาบอกว่าหลับก็กลับไป |
ขึ้นยืนอยู่ใกล้แกลทอง |
ผลักผลักสลักติด |
ก็คิดคิดเขม้นมอง |
เสียงจังหรีดกระกรีดร้อง |
นึกว่าน้องจำนรรจา |
เกาะเกาะพระเคาะแกล |
เป็นไรนะแม่วัณฬา |
พี่มาแล้วนะแก้วตา |
จะรับรักษาทรามวัย |
เย็นยะเยียบเงียบสำเนียง |
ได้ยินแต่เสียงเรไร |
เสนหาอาลัย |
มิได้ใกล้เคียงองค์ |
กลับมานั่งบังกาย |
อยู่ที่ท้ายรถทรง |
พร่างพร่างกลางดง |
ต้นรงร่มครึ้ม |
พอเดือนเที่ยงเสียงผึ้ง |
หึ่งหึ่งครหึม |
ทุกเงื้อมเขาเหงางึม |
ให้เศร้าซึมโศกา |
พี่อุตส่าห์มาด้วย |
ก็มิได้ช่วยรักษา |
ฤๅน้องแก้วแววตา |
สวรรคาลัยไป |
ไม่ขออยู่จะสู้ม้วย |
จะตายด้วยแม่ดวงใจ |
กอดพระกรถอนฤทัย |
วิเวกในดงดอน |
เย็นยะเยียบเงียบสงัด |
พระพายพัดมาอ่อนอ่อน |
รวยรินกลิ่นขจร |
หอมเกสรสุมาลี |
ลั่นทมนมสวรรค์ |
ทั้งอินจันทน์จำปี |
สร้อยฟ้าสารภี |
มลุลีหลายพรรณ |
ทั้งยมโดยโรยริน |
ระรื่นกลิ่นมลิวัน |
เหมือนกลิ่นเนื้อเจือจันทน์ |
สะอื้นอั้นอาลัย |
ไฉนดีเจ้าพี่เอ๋ย |
จะได้เชยให้ชื่นใจ |
อุตส่าห์ตามทรามวัย |
มาจนใกล้กัลยา |
เพราะฝาติดอยู่นิดเดียว |
ให้เสียวเสียวเสนหา |
เขม้นมองที่ช่องฝา |
จะใคร่เห็นหน้าพระน้อง เอย |
๒๗ เห่เอยเห่เพลง |
โฉมละเวงวัณฬา |
ทำหลับใหลไสยา |
จนล่วงมากลางดง |
แลเห็นองค์พระอภัย |
เที่ยวเลียบไต่รถทรง |
ทำความเพียรเวียนวง |
คิดก็สงสารเธอ |
ช่างซื่อสุดบุรุษใด |
ไม่มีใครจะเสมอ |
ช่างง่วงเหงาเฝ้าละเมอ |
ช่างไม่เก้อแก่ใจ |
เห็นประจักษ์ว่ารักจริง |
สู้ทอดทิ้งทัพชัย |
มิตอบถ้อยจะน้อยใจ |
ครั้นพูดไปจะเป็นทาง |
ทั้งรักแค้นแสนเสียดาย |
สะอื้นอายอางขนาง |
ทำประชวรครวญคราง |
จึงถามนางลาลีวัน |
ถึงไหนแล้วณแก้วตา |
แม่หลับมาแต่สายัณห์ |
เข้าป่าสาลวัน |
จักจั่นจับใจ |
เจ้าแม่เอ๋ยเคยนั่ง |
จะลุกยังไม่ไหว |
ให้กลุ้มกลัดในหทัย |
เจ็บไข้ก็ไม่เคย |
ลมว่าวก็เฝ้าพัด |
หนาวสาหัสแล้วลูกเอ๋ย |
กลางไพรใครเลย |
จะให้เขนยหนุนนอน |
ทั้งน้ำค้างก็ช่างสาด |
ใจจะขาดลงรอนรอน |
ถึงสุวรรณบรรจถรณ์ |
จะได้นอนให้อุ่นทรวง |
ชะกระไรพระจันทร์ |
ช่างดัดดั้นไปลับดวง |
ฤๅลับเงาภูเขาหลวง |
ไม่โชติช่วงชัชวาลย์ |
แลก็ไม่เห็นหน |
ช่างมืดมนอนธการ |
ดอกไม้ก็ไม่เบิกบาน |
จะได้สำราญฤทัย |
เจ้าประดิษฐคิดขับ |
ให้เพราะจับจิตใจ |
จะได้ระงับหลับใหล |
ให้ส่างในทรวง เอย |
๒๘ เห่เอยธิดา |
โฉมสุลาลีวัน |
รับสั่งบังคมคัล |
ขึ้นนั่งบนชั้นเกรินทอง |
แกล้งประดิษฐ์คิดคำ |
ขับลำนำทำนอง |
โอ้ยามค่ำย่ำฆ้อง |
ให้มัวหมองในวิญญา |
จะแลชมพนมพนัส |
ไม่ถนัดนัยนา |
ช่างมืดมิดทุกทิศา |
มืดทั้งฟ้าดินดง |
โอ้ว่าพระศศิธร |
ช่างลอยร่อนรถทรง |
แจ่มกระจ่างสว่างวง |
ส่องที่ตรงแกลทอง |
เห็นพักตราหล้าโลก |
จะส่างโศกเศร้าหมอง |
โหยหวนนวลละออง |
มณฑาทองที่ต้องใจ |
ภุมรินบินค้อยค้อย |
มาเชยสร้อยสุมาลัย |
มืดมนก็จนใจ |
เที่ยวเลียบไต่ตอมดวง |
โอ้เอนดูแมงภู่น้อย |
ให้เศร้าสร้อยโศกทรวง |
ด้วยกลีบหุ้มพุ่มพวง |
ไม่โรยร่วงรสสุคนธ์ |
ขอเทวัญในชั้นฟ้า |
ทั้งเทวาเดินหน |
ช่วยโปรยปรายสายฝน |
ให้อุบลแบ่งบาน |
ลมโชยระโรยกลิ่น |
หอมกระถินพิมาน |
มณฑาผกากาญจน์ |
มาซาบซ่านทรวงเย็น |
หอมประดู่อยู่ใกล้ใกล้ |
แลก็ไม่ใคร่เห็น |
น้ำค้างพร่างสาดกระเซ็น |
ยะเยือกเย็นพยอมไพร |
หนาวลมจะห่มผ้า |
หนาวน้ำฟ้าจะผิงไฟ |
หนาวทรวงณดวงใจ |
เศร้าฤทัยระทวยทรง |
ถึงเสื้อสวมนวมหุ้ม |
ก็ไม่เหมือนอุ้มแอบองค์ |
หอมดอกไม้ที่ในดง |
ไม่เหมือนทรงสุคนธา |
แป้งสดรสรื่น |
ไม่หอมชื่นในนาสา |
เห็นอื่นอื่นไม่ชื่นตา |
เหมือนได้เห็นหน้าพระน้อง เอย |
๒๙ เห่เอยเฉลยไข |
เรื่องพระอภัยมณีสนอง |
เมื่อพระองค์ทรงครอบครอง |
กับสาวสวรรค์ชื่อวัณฬา |
ขนิฐนาถทั้งราชบุตร |
ก็ทิ้งพุทธภาษา |
อยู่ยังเกาะลังกา |
ภิรมย์รื่นทุกคืนวัน |
พระอภัยวิไลลักษณ์ |
กับเอกอัครละเวงสวรรค์ |
นารีพระศรีสุวรรณ |
ชื่อรำพาสุดาดวง |
สินสมุทรโอรสา |
กับพกายุพาพวง |
ยับยั้งอยู่วังหลวง |
ละเลิงหลงว่าทรงงาม |
เข้ารีตฝาหรั่งเศส |
สละเพศกระษัตริย์สยาม |
ทิ้งพวกพี่เลี้ยงพราหมณ์ |
ไม่กรายกลับไปพลับพลา |
ภิรมย์เรียงอยู่เคียงข้าง |
มิได้ห่างเสนหา |
ชื่นชิดด้วยฤทธยา |
ทั้งอุปเทเสนห์อนงค์ |
พระพี่ชายวายรำลึก |
ถึงกรุงผลึกด้วยใหลหลง |
พระน้องชายนั้นวายพระวง |
บุรีรมจักรา |
พระเชษฐาลืมนารี |
มเหษีเสน่หา |
สร้อยสุวรรณจันทร์สุดา |
ทั้งราชบุตรสุดสาคร |
พระอนุชาลืมนาเรศ |
องค์แก้วเกษรานิกร |
อรุณรัศมีสมร |
พระธิดายุพาพาล |
สินสมุทรนั้นสุดหลง |
ลืมโสดสรงกระสินธุ์สนาน |
ทั้งโภชนากระยาหาร |
ก็ลืมเสวยเฝ้าเชยชม |
สามกระษัตริย์บำบัดยุค |
เกษมสุขทุกสิ่งสม |
ชื่นจิตสนิทสนม |
ไม่วายเสน่ห์สักเวลา |
ฝ่ายชายวิเชียรพราหมณ์ |
สานนนามพราหมณ์โมรา |
ตรองตรึกต่างปรึกษา |
แล้วเลขาลิขิตเขียน |
คัดคิดประดิษฐประดับ |
สองฉบับบรรจงเจียร |
ไขคำจดจำเนียร |
พับผนิดแล้วปิดตรา |
สั่งให้ชายนายทหาร |
เชิญศุภสาส์นลงนาวา |
ใช้ใบไปในมหา |
มหรณพครบเจ็ดวัน |
ถึงท่าอณาเขต |
ผลึกนิเวศดังเวียงสวรรค์ |
ประเทืองถือหนังสือสำคัญ |
ขึ้นเรียนท่านเสนาใน |
แจ้งกิจจาพาลีลาศ |
เข้าสู่ราชเวียงไชย |
แล้วทูลฉลองสนองไข |
พระพันวัสสาสุมาลี |
บทนี้จะขอกล่าว |
ถึงเรื่องราวมเหษี |
ทราบว่าพระสามี |
เข้ารีตฝรั่งเกาะลังกา |
สองกรข้อนพระทรวง |
โดยหึงหวงเสนหา |
นองพระชละนา |
พิไรร่ำแล้วรำพัน |
โอ้ทูลกระหม่อมมิ่ง |
มาทอดทิ้งกระหม่อมฉัน |
แล้วโกรธาตาเป็นมัน |
พระพัตรเผือดด้วยเดือดดาล |
ชิชะอีฝรั่ง |
น้อยหรือช่างชิงอาหาร |
จะยกทัพไปรับงาน |
กันกับมันไม่พรั่นพรึง |
ฝ่ายพระชนนี |
ก็สุดที่จะขี้หึงส |
ลุกโลดกระโดดอึง |
แม่มาลีอย่าหนีมัน |
ถึงเสียทองสักเท่าตัว |
แต่ให้ผัวอยู่ด้วยกัน |
เหวยเสนาอย่าช้าพลัน |
จัดกำปั่นพันเภตรา |
แล้วสั่งอาลักษณ์พนักงาน |
ให้แต่งสารสุนทรา |
ถึงราชบุตรสุดสา |
คเรศราชกุมาร |
ฝ่ายรมจักรแจ้งกิจจา |
นางเกษราได้รับสาร |
ว่าภัสดาปรีชาชาญ |
ได้ชู้อังกฤษสนิทใน |
แสนสงสารพระทรงเดช |
พระชลเนตรนั้นหลั่งไหล |
นางฝรั่งไม่หวังใจ |
เหมือนนางไทยเสียดอกกระมัง |
กลัวจะไม่รู้อยู่ปรนนิบัติ |
อยู่งานพัดริมบัลลังก์ |
จะรนร้อนอาวรณ์หวัง |
ไม่วายเศร้าทุกเช้าเย็น |
แม้นเมื่อยพระองค์ยามทรงปวด |
อยู่งานนวดที่ไหนเป็น |
เคืองแค้นสุดแสนเข็ญ |
ด้วยเคืองขัดพระหัทยา |
ถึงยามเสวยจะเคยเลื่อน |
แคล้วคลาดเคลื่อนซึ่งเวลา |
พยัญชะนังและมังสา |
จะผิดรสเป็นนิรันดร์ |
โภชนาข้างฝาหรั่ง |
มีแต่ขนมปังกับหมูหัน |
ไม่เจือจานทั้งหวานมัน |
พระธาตุขันธ์จะปรวนแปร |
เคยเสวยชาสุธารส |
จะทรงซดแต่กาแฟ |
ใส่เนยนมภิรมย์แร |
ทั้งชีกุลัดเป็นอัตรา |
นางอังกฤษสนิทสนม |
ไหนจะอบรมพระภูษา |
จีบสะไบวิไลคา |
ตามยศศักดิ์พนักงาน |
จะทรงแต่กงเกง |
เหมาะเหมงน่าอัประมาณ |
เสื้อฝรั่งอลังการ |
ใส่หมวกอังกฤษผิดพวกไทย |
อาวรณ์หวังสุดสังเวช |
พระเยาวเรศเธอรำไร |
ถึงพระภูวไนย |
องค์ภัสดาปรีชาชาย |
องค์อัคเรศพระเชษฐา |
ขี้หึงสาประดาหาย |
(ในต้นฉบับที่ได้มาสมุดขาดมีบทแต่เพียงนี้)
๓๐ เห่เอ่ยจะกล่าว |
ถึงเรื่องราวพระอภัย |
ต้องเสน่ห์เล่ห์อาลัย |
หลงใหลรักวัณฬา |
พระแปลงปลอมถ่อมยศ |
มาในรถโมรา |
เงียบเหงาเศร้าวิญญา |
เมื่อในราตรีกาล |
จนดึกดื่นเดือนดวง |
โชติช่วงชัชวาลย์ |
พระพายรำเพยเผยพาน |
น้ำค้างก็ซ่านโทรมกระเซ็น |
แสนสงสารพระอภัย |
ให้หนาวในทรวงเย็น |
สอดสังเกตเนตรเขม้น |
แลเห็นอยู่รางราง |
รู้ว่าละเวงวัณฬา |
อยู่ในรถฝากระจกกระจ่าง |
แต่ลูกหลอกบอกพราง |
ว่าพระนางเธอประชวร |
พระอภัยมณีเธอขี้ขลาด |
ไม่เอื้อมอาจลามลวน |
ได้ยินเสียงนางครางครวญ |
คิดว่าประชวรจริงจริง |
สะอื้นอั้นตันอุรา |
สงสารกัญญายอดหญิง |
เห็นงามงอนลงนอนนิ่ง |
ท้าวเธอก็ยิ่งทุกข์ประเทือง |
ลำลำจะใคร่ถามประชวร |
เกรงไม่ควรกลัวนางจะเคือง |
กลัวคนจะรู้เข้าหูเหือง |
จะเสียเรื่องรักเรา |
เธอสู้นั่งมิไม่ปริปาก |
เพราะหวังจะฝากไมตรีเขา |
สู้นั่งจ๋อยจิ๋มหงิมเหงา |
เหมือนหนึ่งโศกเศร้าสักแสนปี |
ฝ่ายโฉมละเวงวัณฬาเลิศ |
วิเศษประเสริฐสวยศรี |
นางนิ่งนอนอาวรณ์ทวี |
อยู่บนที่รถทอง |
เห็นพระอภัยวิไลลักษณ |
ประเสริฐศักดิ์เธอเศร้าหมอง |
เพราะหมายเปนหนึ่งจะพึ่งน้อง |
ท้าวเธอจึงต้องแปลงตัว |
สู้ต่ำเตี้ยเสียพระเดช |
นึกแสนสมเพชรักผัว |
เพราะรักน้องจึงหมองมัว |
ทูลเอยทูลหัวของเมีย |
สู้ตัดญาติขาดมิตร |
มาเข้ารีตฝรั่งเสีย |
สู้ต่ำต้อยละห้อยละเหี่ย |
อะลิ้มอะเหลี่ยเหลืออาลัย |
ทั้งรูปก็ดีเป่าปี่ก็เพราะ |
ละมุนเหมาะจับใจ |
ทั้งโลกหล้าไม่หาได้ |
เหมือนพระอภัยภูมินทร์ |
จะเกี้ยวจะพานก็หวานสนิท |
ดังอำมฤตวาริน |
ครองสัตย์ซื่อถือศิล |
ควรเปนปิ่นนครา |
พระสังฆราชบาดหลวง |
ช่างไปล่อลวงเอาเธอมา |
จะให้ฟันฟาดพิฆาตฆ่า |
น้องเวทนาเหลือใจ |
เออเมื่อเธอรักน้องหนักหนา |
จะให้คิดฆ่าเสียกลใด |
เธอมิตรจิตน้องก็มิตรใจ |
ฆ่าไม่ได้แล้วนา |
สงสารเอยสงสารนัก |
พระยอดรักของน้องนี่หนา |
เคยสุขไสยาสน์บนอาสนไสยา |
ยี่ภู่ผ้าอันโอฬาร |
แม้นน้องไม่คิดขวยเขิน |
จะเชื้อเชิญด้วยคำหวาน |
ประทมที่นอนวอนวาน |
จะอยู่งานให้ประทม |
เออทำไมไม่มาเล่า |
ช่างนั่งนิ่งเหงาง่วงงม |
จนเข้ามาชิดยังไม่คิดจะชม |
น่าน้อยอารมณ์เสียนี่กระไร |
โอ้โอ๋พระพี่ช่างขี้ขลาด |
ขยั้นขยาดผู้หญิงได้ |
นางคำนึงตะลึงตะไล |
ด้วยพิศมัยพระภูธร |
ฝ่ายพระอภัยใจจะขาด |
เพราะแสนสวาดิหวังสมร |
ถอนหทัยให้สะท้อน |
ทุรนร้อนเสียจริงจริง |
จึงออกอุบายภิปรายเปรย |
ตรัสเฉลยแก่ลูกหญิง |
แกล้งทำสำออยอ้อยอิ่ง |
ว่าหนาวจริงจริงสุลาลี |
พ่อต้องลมว่าวหนาวนัก |
ช่วยถอดสลักให้สักที |
นึกว่าช่วยชีวี |
บิดานี้เถิดบังอร |
๓๑ เห่เอยบุตรฝรั่ง |
เมื่อได้ฟังท้าวเธอวอน |
จึงถอนสลักชักกลอน |
ค่อยกระซิบสอนแต่เบาเบา |
มาตุรงค์ยังทรงประชวร |
อย่าเข้าไปกวนสะกิดเกา |
เธอว่าถึงถูกก็เพลาเพลา |
จริงจริงนะเจ้าจงคอยดู |
ว่าพลางทางเข้าชิด |
เพ่งพินิจอยู่เปนครู่ |
จึงเล้าโลมโฉมตรู |
หวังจะใคร่รู้โรคประชวร |
แม่เป็นไฉนอย่างไรบ้าง |
จึงได้เฝ้าครางคร่ำครวญ |
เป็นโรคจรประจวบจวน |
ฤๅเคยประชวรประจำกาย |
ตัวพี่เป็นหมอจะขอนวด |
ให้เจ็บปวดนั้นเคลื่อนคลาย |
เคยเรียนรู้เส้นถึงเปนตาย |
จะนวดถวายสักวัน เอย |
เห่เรื่องอนิรุทธ
๓๒ อัญชลิตอดิศรกุมาเรศ |
ขอถวายนิเทศในเบื้องหลัง |
อนิรุทธพงศภุชบัลลังก์ |
นิราศบังอรอุสาลาวัณย์ |
ปางพระยุพยงวงศจักรกฤษณ์ |
เธอเนานิทรเหนือรถรังสรรค์ |
ดาราดาษคลาดคล้อยเมฆัน |
รังษีจันทร์หย่อนแสงสุริยา |
อโณทัยไขกาญจโนภาษ |
สกุณชาติเพรียกพร้องต่างภาษา |
กุกกุแก้วขันก้องในวนา |
โกกิลาเร้าเร่งรวีวรรณ |
เสนาะเสียงมยุเรศร้องหา |
เรียกนิกรมยุราแซ่สรรพ์ |
จัตุบททวิบาทนานาพรรณ |
บ้างตื่นตาหากันในดงดอน |
หิมาเยือกเย็นกระเซ็นสาด |
บุษปมาศเผยแผ่เกสร |
สุคนธรสรวยกลิ่นขจายจร |
ผึ้งภมรดื่มเคล้าเสาวคนธ์ |
ประจุสสมัยไขสางสว่างหล้า |
ฟื้นไสยาขัติยวงศทรงฉงน |
พลิกพระกายหมายแม่นมิ่งวิมล |
แนบสกนธ์ไสยาสน์เหนืออาสนนาง |
กรตระกองต้องเขนยข้างขนอง |
เผยเนตรบ่ยลน้องกระมลหมาง |
พิศวงวินิจฉัยสมัยปาง |
นฤมลแม่ห่างพี่กลใด |
เผยอองค์ทรงประทับทอดพระเนตร |
มณฑรีที่ประเทศสูงใหญ่ |
ประกอบเหมหิรัญรัตน์อำไพ |
ทั้งห้องในที่เธอนิทรา |
ล้วนจำหลักฉลุลายหลายหลาก |
กินรนาคเวนไตยสิงหา |
เทพไททวยเทพธิดา |
ฟ้อนรำทำท่าถวายกร |
อีกทั้งบัลลังก์แว่นฟ้า |
ประดับมหาเนาวรัตน์ประภัสสร |
วิเชียรประพาฬโกมินนิลบวร |
ไพฑูรย์ซ้อนบุษรามุกดาดวง |
มรกตใสสุดบุษย์เสวตร |
สุดวิเศษประเสริฐแสงโชติช่วง |
วิสูตรสุวรรณโปร่งรายมาลาพวง |
บรรจถรณ์เทียบเทพสรวงไสยา |
ทั้งคณากำนัลนารีรัตน์ |
ก็วิบัติหายเห็นให้กังขา |
ยลแต่สุวรรณรถรัตนา |
กับหมู่มาตยาโยธี |
ยังสนิทนิทราดาดาษ |
ประจักษ์ราชฤทัยพระทรงศรี |
ว่าเทวฤทธิ์มหิทธิศักดี |
นำสมรสกามีกรีธา |
โอ้นำสมฤๅนำนิรารัก |
แสนจะหักไห้โหยฤทัยหา |
วิบากใดจึงจากพรากน้องยา |
อาทวาอกเทวษอ่วนทวี |
ปัจฉิมยามยังสนิทนุชแนบ |
ตระอรแอบองค์อุ่นอุราพี่ |
กลิ่นกายแก้วกัลยาณี |
สุคนธ์ซาบทรวงศรียังรวยรมย์ |
ยามสมานร่วมรสเรียงเขนย |
นาสาเชยปรางชวนให้เรียมสม |
สัมผัสฉวีวรรณน้องน้อยนิยม |
ถันอุดมเด่นดวงประทุมมาลย์ |
เรียมสอดเคล้าเต้าต้องเจ้าป้องปัด |
ทำเทียมขัดแต่มิข้องการสมาน |
ระทวยทับทีแสดงแห่งสำราญ |
ให้ละลานละลุงรสกามา |
เนตรนุชนิลสีจำรัสแสง |
ดังศรแสลงแย้งยิงเสนหา |
ยามตระกองกกแก้วกัลยา |
แม่ชายตาเพียงสายอสนี |
พระวิโยคโศกสลดรันทดถอน |
ทรงนุสรสู่สร้อยสวาดิศรี |
พึ่งประจักษ์รักรสเมื่อราตรี |
ฤๅห่อนอิ่มใจพี่โดยจินดา |
เจ้าสถิตใดด้าวแดนประเทศ |
ธิดาภูธเรศไหนรัฐา |
เรียมจะถามนามวงศพงศยุพา |
วจนาเอื้อนโอษฐบ่ออกความ |
แม้นถามได้แจ้งใจจะเต้าติด |
ถึงสุดคิดแสนขัดไม่ขอขาม |
แรมทุเรศรัฐยาสาหะตาม |
โดยจะข้ามกรดนทีอัคคีกัลป์ |
เมรุมาศหิมเวศสิงขร |
อิสินธรยุคันธรภาคมหันต์ |
ไกรลาศวินันตกสัตตภัณฑ์ |
หัศกันจักรวาฬคิรี |
ซึ่งเปนขุนไศลในโลก |
อีกหนึ่งโอฆสมุทใสศรี |
สีทันดรสรภูวารี |
ประกอบมีสัตว์ร้ายนานา |
ช้างน้ำฉลามฉนากนาคราช |
เงือกงูราหูกาจตัวกล้า |
กุมภีล์ติมิงคเหรา |
เพียนหมอมัศยาโลมาวาฬ |
ดุร้ายหยาบช้าสามารถ |
อยู่เกลื่อนกลาดสมุทัยสถาน |
สิ้นหล้าไตรโลกแสนกันดาร |
จะสู้ด้นทนทานให้ถึงองค์ |
สุดฤทธิ์จนจิตไม่ประจักษ์ |
พระทรงลักษณ์รำพึงพิศวง |
แว่วสุโนคเสนาะวนาวง |
ว้าว่านวลอนงค์เต้าตามมา |
ผันพักตร์พิศจบขอบเขต |
ไม่ยลยอดเยาวเรศยิ่งกังขา |
สุมาลย์แม่ดวงกมลพี่ยา |
แสดงกายเถิดอย่าซ่อนองค์ |
เรียมสุดศัลย์ทุกข์เท่าเขาขุน |
คิดข้องขุ่นจิตไข้ใหลหลง |
ฟังสำเนียงใช่เสียงโฉมยง |
พระยิ่งทรงโศกาจาบัลย์ |
โอ้เวรใดไยมาปลิดเปลื้องสวาดิ |
จากไสยาสน์ยามสมเกษมสันต์ |
ฤๅบุพปางสร้างกรรมอเนกนันต์ |
พรากคู่สัตว์พลัดกันกำลังเชย |
เวรนี้นำสนองน้องรัก |
กับตัวพี่ให้ประจักษ์นิจาเอ๋ย |
พระทรงตรองหมองมุ่งไม่ละเลย |
ศรีสุดาคู่เคยลืมละลาย |
อีกทั้งสวรรยาราชายศ |
จำเรียงรสดนตรีดีดสีสาย |
สิบสองพระกำนัลสกลกาย |
วิลาศลักษณ์เล็งคล้ายสุรางค์นาง |
อีกปรางคิมหันต์วสันต์ปราสาท |
ไพชยนต์มาศเหมันต์รังสฤษดิสร้าง |
ห้องสถิตย์ที่ประทมภิรมยางค์ |
เครื่องสำอางเจือจันทน์สุคันธา |
แท่นเสวยที่สรงทรงสนาน |
ชลธารใสสุทธิ์เย็นกล้า |
ทั้งพระผู้ทรงณรงกา |
บิตุเรศมาตุราธิบดี |
ให้งวยงงหลงตะลึงเล็งสวาดิ |
ภูวนาถโศกสร้อยเศร้าศรี |
ปะทะทุ่มอุราโศกี |
ระทวยทอดอินทรีย์กำสรวญโทรม |
ดังชีวิตจะวินาศขาดประเวศ |
พระพักตร์เพศวิปริตผิดโฉม |
ชลนัยน์นองเนตรมนัสโทรม |
ทรวงสกนธ์เล่ห์โหมเพลิงกัลป์ |
สวายสวิงนิ่งวินิจระอิดอ่อน |
สุดร้อนแสนรักดวงขวัญ |
หทัยหวาดวิ่งหวิวแดยัน |
พระทรงธรรม์ถึงกาลสัญญี |
นิบาตอนิรุทธหยุดยั้ง |
ถวายบังคมเบื้องบทศรี |
ขอพระองค์ทรงเจริญสวัสดี |
อย่ารู้มีโรคันอันตราย |
จงเกษมสุขาสถาผล |
ศรีมงคลชนมานมากหลาย |
สรรพสิ่งวิทยาวิชาชาย |
จงทรงได้ง่ายดายเถิด เอย |
วิจารย์บทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์
เหตุที่เกิดบทเห่แบบกรุงรัตนโกสินทร์ มีเค้าที่จะสังเกตอยู่แห่ง ๑ ในบทเห่แบบกรุงศรีอยุธยา บทที่ ๔๒ ว่า
“เชิญประทมภิรมย์ถนอม |
สดับช้ากล่อมกลอนประทาน |
พระโปรดประดิษฐลิขิตลาร |
ทรงบรรหารให้มาร้องฉลองเอย” |
ความในเห่บหนี้แสดงว่ามีเจ้านายที่สูงศักดิ์ทรงแต่งบทเห่ขึ้นใหม่ นอกจากที่เห่อยู่นั้น ประทานลงไปให้พี่เลี้ยงนางนมเห่กล่อมพระกุมาร ผู้แต่งอาจจะเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็ได้ เพราะผู้เห่ใช้คำสรรพนามว่า “พระ” ถ้าเป็นเจ้านายเพียงชั้นต่างกรมหรือพระองค์เจ้า มักใช้คำสรรพนามว่า “ท่าน” หรือ “เสด็จ” คิดสันนิษฐานตามเค้าความของบทที่ว่าเห่นี้ เห็นว่าน่าจะเป็นด้วยการเห่กล่อมเจ้านายที่ยังทรงพระเยาว์ ต้องกล่อมอยู่กว่าปีทุกพระองค์ ผู้ที่อยู่ใกล้ได้ฟังคำซ้ำๆ ซากๆ ออกเบื่อหู จึงมีผู้ที่รู้จักแต่งบทกลอนในพวกผู้หญิงชาววังแต่งบทใหม่ เห่ขยายยาวออกไปให้น่าฟังขึ้น แล้วให้พวกพี่เลี้ยงนางนมเห่พระกุมารขึ้นก่อน บทเห่ที่ยาว เพียง ๔ คำ ๖ คำ คงอยู่ในพวกนี้ ครั้นเจ้าของวังหรือเจ้าของตำหนักได้ฟังหรือเห็นบทเห่ที่แต่งใหม่ก็โปรด เลยช่วยแต่งบ้าง อย่างว่า “แต่งเล่น” แล้วประทานลงไปให้เห่กล่อมพระกุมาร บทเห่ที่ไม่มีชมพระยศ เป็นแต่ชมพระจันทร์ ชมดาว และชมดอกไม้ เห็นจะอยู่ในพวกนี้ เพราะผู้แต่งเป็นชั้นสูงศักดิ์ เมื่อขอบใช้บทเห่ยาวกันมากขึ้น ตำหนักที่ไม่มีคนแต่งในพวกผู้หญิง หรืออยากได้บทเห่ให้ดียิ่งขึ้นไป ก็ให้ไปวานกวีผู้ชายแต่ง ยกตัวอย่างดังเช่นบทหมายเลข ๑ ซึ่งขึ้นว่า “เห่เอยพระหน่อนาถ” และบทต่อๆ ไป จนบทหมายเลขที่ ๕ ดูเป็นสำนวนกวีผู้ชายแต่งทั้งนั้น
บทเห่ที่เอาเรื่องนิทานมาแต่ง พึงสังเกตได้ว่าแต่งสำหรับเจ้านายแต่บทเรื่องอิเหนากับเรื่องโคบุตร แต่ก็ผิดกัน บทเห่เรื่องอิเหนาหมายเลขที่ ๑๒ ขึ้นต้นว่า
“สรวมชีพบังคมบาท |
พระเยาวราชธิเบนทร์สูร |
ภุชงพงศวงศประยูร |
อิศรราชเรืองเดชา” |
บทนี้เห็นได้ว่า แต่งสำหรับกล่อมพระราชกุมารชั้นสูงศักดิ์ บทเห่เรื่องโคบุตรหมายเลขที่ ๑๖ ดูแต่งสำหรับเห่เจ้านายชั้นต่ำลงมา ขึ้นต้นว่า
“เห่เอยเห่ถวาย |
ถึงเรื่องนิยายแต่ปางหลัง |
ให้พระองค์ทรงฟัง |
เมื่อแรกตั้งโลกา” |
แต่บทเห่นิทานเรื่องอื่น คือ เรื่องจับระบำ เรื่องกากี และเรื่องพระอภัยมณี ไม่มีคำเครื่องหมายว่าแต่งกล่อมเจ้านายอยู่ในนั้นเลย สันนิษฐานว่าผู้แต่งตั้งใจแต่งจะให้เห่กล่อมได้เหมือนกันทุกชั้น ยศศักดิ์ตามคำเล่ากันมาว่า บทเห่กล่อมเรื่องนิทานนั้น สุนทรภู่แต่งโดยมาก พิเคราะห์ดูสำนวนก็น่าจะจริง ถึงบทเห่กล่อมอย่างชมพระยศพระราชกุมารที่เป็นสำนวนผู้ชาย ก็อาจจะเป็นสุนทรภู่แต่งหลายบท เพราะเมื่อรัชกาลที่ ๒ สุนทรภู่ฝากตัวอยู่ในเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี มีเจ้าฟ้าพระราชโอรสหลายพระองค์ อาจจะดำรัสสั่งให้สุนทรภู่แต่งบทเห่กล่อมถวาย แต่เห่กล่อมเรื่องนิทานนั้นสุนทรภู่อาจจะแต่งต่อชั้นหลัง ด้วยมีผู้ขอให้แต่งสำหรับกล่อมกุมารที่มียศต่ำลงมาไม่ถึงไม่เป็นพระราชกุมาร จึงว่าแต่เรื่องนิทานไม่กล่าวถึงยศศักดิ์กุมารที่กล่อม
แต่กวีชายที่แต่งบทเห่กล่อมนอกจากสุนทรภู่ยังมีอีก เพราะฉะนั้นบทเห่ก็รวมไว้ในพวกแบบกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นบทผู้อื่นแต่งก็คงมีบ้าง บทเห่ที่แต่งยาวๆ แต่แรกคงต้องอาศัยอ่านสมุดบทเมื่อเห่ แต่ไม่ช้าเท่าใดคนเห่ก็จำได้ด้วยชอบบทกลอน ต้นฉบับบทเห่ที่ได้มาดูเหมือนจะจดตามคำคนจำได้โดยมาก เพราะฉะนั้นถ้อยคำจึงมักขาดเหลือไม่ตรงกับตำรากาพย์
บทเห่พิเศษ
ในต้นฉบับบทเห่ที่ได้มา มีบทเห่แปลกกับพวกที่พิมพ์ไว้ข้างหน้า ๔ บท เป็นบทเห่คำฉันท์ดุษฎีสังเวย บท ๑ เป็นบทเห่วังหน้า และมีพระวิจารณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้เจ้าอยู่หัวกำกับอยู่ด้วย ๒ บท เป็นบทเห่กล่อมเจ้าหญิงเยาวเรศ บท ๑ จึงเอามารวมไว้เป็นพวก ๑ ต่างหาก และเขียนวิจารณ์แยกเป็นบทๆ ต่อไปนี้
บทเห่คำฉันท์ดุษฎีสังเวย
ลาที่ ๑ ขยมบาทอภิวาทพรหมมินทร์ |
ศิวเทพมหิน |
ทรานุรักษภูวดล |
|
จัตุรภุชทรงครุฑธบินบน |
อาภรณ์อำพน |
ด้วยนิลวัดถ์ชัชวาล |
|
วิฆเนศวรศักดิ์เหี้ยมหาร |
คือขันทกุมาร |
มยุรอาสนเลิศฤา |
|
หกหน้าทวาทัศหัตถถือ |
ทิพสาครครบมือ |
พิพิธฉายพลายแสง |
|
วัชรินทร์ปิ่นเมรุกำแหง |
กระลึงเพชรเดชแสดง |
บำบัดอสูรรำบาน |
|
ธตรฐสถิตเบื้องบูรพสถาน |
พิรุฬหกพิมาน |
ทักษิณสุเมรุแมนสวรรค์ |
|
วิรูปักษปจิมทิศเวศวรรณ |
พลยักษ์อนันต์ |
สถิตย์อุดรทิศาสถาน |
|
สุริยจันทรจรัสแจ่มคัคนานต์ |
เทพทั่วจักรวาฬ |
พนมพนัศขุนเขา |
|
เทวฤทธิสถิตทุกลำเนา |
ย่อมมาเทียวเทา |
พิทักษรักษานรชน |
|
อีกเทพบริรักษพระมน |
เทียรแก้วแกมกล |
ดุสิตมหาประสาทชัย |
|
เสวตรฉัตรศิริรัตน์โภไคย |
ศูรย์ราชมีใน |
นิเวศสวัสดิเสวยรมย์ |
|
ภัณฑาคารานุกรม |
หน้าในพระบรม |
มหานิเวศเรือนทอง |
|
โองการสั่งข้าทูลละออง |
ผูกพากย์จำนอง |
อัญเชิญถ้วนเทพสบสถาน |
|
ขอเชิญสรรพเทพมาภิบาล |
สุขุมาลกุมาร |
บุตรีสมเด็จจอมผไทย |
|
คาบนี้ควรมาประชุมใน |
เรือนจันทรอันไพ |
บูลยราชศฤงคาร |
|
รับเครื่องวรามิสสักการ |
เทียนทองชัชวาล |
สุคนธรสบุษบา |
|
บายศรีหิรัญรจนา |
แก้วกาญจนามหา |
พิจิตรบรรจงผจงถวาย |
|
ชมเครื่องประดับพรรณราย |
ประทีปเทียนวิเชียรฉาย |
จำรัสจำรูญรุ่งเรือง |
|
แสงแก้วแวววับมลังเมลือง |
แสงทองประเทือง |
พิพิธพรายฉายฉัน |
|
ชมราชูปโภคเนืองนันต์ |
ดำกลเรียงรัน |
แลนาฏอนงค์บริพาร |
|
เชิญชมพระอู่ทองอลังการ |
เสาสมทรงสถาน |
สุวรรณทาบทอตา |
|
ผจงจัดทุกุลพัตรภูษา |
พระยีภู่รจนา |
ขนอบเขนยพระเศียรทรง |
|
ซ้ายขวาธารีถนอมองค์ |
พร้อมพระปยุรวงศ์ |
ประเล้าประโลมโฉมสมร |
|
นางอยู่งานคอยถวายกร |
เห่ช้าเกลากลอน |
บำเรอบำรุงผดุงผดา |
|
สาครใส่สุพรรณมัศยา |
ธงฉัตรรจนา |
ประดับสำหรับลูกหลวง |
|
สวมเทพเทวราชทั้งปวง |
ทุกสถานพิมานสรวง |
เชิญช่วยอำนวยสวัสดี |
|
ให้พระราชบุตรบุตรี |
เสวยรมย์เปรมปรีดี |
อย่ามีพระโรคันตราย |
|
เสร็จพราหมณ์โอมอ่านมนต์ถวาย |
อิศวรเวทสาทยาย |
นิพนธ์โสลกแถลงสาร |
|
ให้พระชนม์วรรณะสันถาน |
ศรีสวัสดิยืนนาน |
สุขะพละสถาวร |
|
ลาที่ ๒ อ้าองค์พระสหบดี |
สุรเชษฐมหิศร |
เชิญช่วยอภิบาลปิยอุทร |
เอารสไท้ผไทยสยาม |
ชมฌานอย่าลืมผดุงถนอม |
พระเยาวราชดนัยทราม |
ชมช่วยขจัดพระโรคปราม |
ปรีเทวหวนหา |
อ้าองค์อนงค์ภริยอิน |
ททั้งสี่อัญเชิญมา |
เชิญช่วยบำรุงอรยุพา |
ประโลมเลี้ยงถนอมขวัญ |
ท้าวโลกบาลมหิทธิศักดิ์ |
บริรักษ์กะลึงขรรค์ |
สี่ทิศพระอู่กุมารกัน |
ภัยพาธบำราษไกล |
อ้าองค์อุมาทิพยลักษณ |
มหิษีศุลีไคล |
เกลาศจุฑาทิปผไท |
อรช่วยอำนวยพร |
อ้าโฉมพระลักษมิยุพินท์ |
ภิริยองคพระสังข์กร |
เชิญช่วยถนอมพระอรอร |
อย่าให้ไห้กระหายหวน |
ชานีนิกรอมรเทพ |
อัญเชิญห้ามกำสรวลครวญ |
บำบัดพระโรคอย่ามีประชวร |
เจริญชื่นทุกคืนวัน |
สรวมเทพภิบาลให้เยาวราช |
สุขอาสนมไหศวรรย์ |
วงศานุวงศวรสัมพันธ์ |
บริรักษสมัครสมาน |
อ้าพระอย่าโศกแลสะอื้น |
ทุกขแดกำเดาดาน |
เชิญชมมไหสวรรย์ตระการ |
อเนกโภคพัฬเหา |
ของเล่นบพิตรก็ประสาท |
สุวรรณรูปฉลักเฉลา |
อีกเครื่องสุคันธรสเสา |
วคนธเทศประทินหอม |
อ้าพระอย่างทุกขโทมนัส |
กมลโศกจะตรมตรอม |
พี่เลี้ยงพระนมบำเรอถนอม |
บร้างโรคจะแผ้วพาน |
ลาที่ ๓ หนึ่งโสดบพิตรไห้ |
บรมนาถอวยการ |
ชุมแพทย์กุมารชาญ |
บริรักษรักษา |
เรื่อนรมย์นิเวศสถาน |
อเนกไอศวรรยา |
พรั่งพร้อมพระวงษา |
นุวงศมาถวายชัย |
อนงค์นาถประจำงาน |
ยุพราชบรรทมใน |
พระอู่ทองอันผ่องใส |
สุขุมพัตรรองเรือง |
เบื้องบนเพดานดัด |
เสวตรพัตรบรรเทือง |
แสงแก้วสุวรรณเมลือง |
ระยับย้อยพร้อยตาม |
อ้าพระอย่าหวนละห้อย |
ครหนครโหยหา |
เสวยโภชกษิรธา |
รรสชื่นกมลเสบย |
พี้เลี้ยงพระนมถนอม |
สบรักพร้อมพระทรามเชย |
อย่าทรงกรรแสงเลย |
จะช้ากล่อมพระจอมใจ |
เชิญชมนิเวศสถาน |
ทั้งศฤงคารโภไคย |
สูรย์ราชอเนกใน |
อยุทธเยศมหาสถาน |
ยามเมื่อเสร็จสรง |
พระสาครชลาธาร |
ครบเครื่องมงคลสถาน |
ชมสุพรรณมัศยา |
กุ้งกั้งอเนกนอง |
ทั้งปูทองแลเหรา |
มังกรกุมมินภา |
คณาล่องชลาลัย |
โลมากะโห้ฉนาก |
ประหลาดหลากก็ลอยไสว |
ดุจพิศวกรรมใน |
อมรแมนมารังถวาย |
ยามทรงพระสำอาง |
เสาวคนธ์ชโลมกาย |
พี่เลี้ยงประคองสาย |
สมรให้พระไสยา |
เชิญขวัญพระบรรทม |
ภิรมสุขอย่าโหยหา |
ขวัญพระอย่าคลาดคลา |
มละองค์พระยุพเยาว์ |
ขวัญพระอย่าไปชม |
พนเวศศิขรเขา |
ธารท่าแลลำเนา |
ละแวกวุ้งคูหาสถาน |
เชิญมานิทรารมย์ |
สุขุมอาสนอลังการ |
เสมอทิพยพิมาน |
สุรโลกยสรวงสวรรค์ |
เชิญเชยเสวยสวัสดิ์ |
คฤหรัตนเรือนจันทร์ |
แก้วกาญจนาพรรณ |
พิพิธโภคพึงชม |
กรุงเทพมหา |
นัคเรศเรือนรมย์ |
พูนสุขเกษมสม |
บูรณด้วยมไหศวรรย์ |
สพร้อมเทพบริรักษ |
สพรักเทพผดุงขวัญ |
สะพรั่งนางบำเรอคัล |
สะพรึบพร้อมถนอมสมร |
สิทธิเกียรติดำเกิงคุม |
อดุลยเดชกำจร |
สิทธิเสร็จสรวมพร |
ประสิทธิสรรพสมบูรณ |
วิจารณ์บทเห่ดุษฎีสังเวย
บทเห่นี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ขุนสารประเสริฐ (นุช) แต่งสำหรับกล่อมสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าเมื่อทำพิธีขึ้นพระอู่ แต่ประหลาดที่ผู้แต่งวิจารณ์นี้ไม่เคยได้ยินว่าใช้กล่อมเจ้าฟ้าพระองค์ใด แม้จนในรัชกาลที่ ๕ พิเคราะห์ตามลักษณะพิธีพระราชกุมารขึ้นพระอู่ตามประเพณีเดิม ดังคัดตำราลงไว้ข้างต้น พระครูพราหมณ์เป็นแต่เชิญองค์พระราชกุมารขึ้นพระอู่ แล้วให้พี่เลี้ยงนางนมเห่กล่อม แต่ตามการพิธีในชั้นหลังตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ มาจนตลอดรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระครูพราหมณ์เชิญองค์พระราชกุมารขึ้นพระอู่แล้ว ตัวพระครูพราหมณ์เองไกวพระอู่ และเห่กล่อมด้วยมนต์ภาษาสันสกฤตกับพราหมณ์อีก ๑ คนจนครบ ๓ ลา ถ้าพระราชกุมารเป็นชั้นพระองค์เจ้าก็เสร็จพิธีเพียงเท่านั้น ถ้าพระราชกุมารเป็นเจ้าฟ้ายังมีพวกขับไม้กล่อมต่อไปอีกพัก ๑ จึงเป็นเสร็จพิธี หามีเห่กล่อมดุษฎีสังเวยไม่ ที่มีบทเห่ปรากฏอยู่แต่มิได้ใช้นั้น สันนิษฐานว่าเห็นจะเป็นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ระเบียบการพิธีขึ้นพระอู่ เดิมทรงพระราชดำริจะให้พราหมณ์เห่กล่อม ๒ คน อย่างเดียวกับประเพณีเห่กล่อมเมื่อสมโภชพระยาช้างเผือก จึงโปรดให้แต่งบทเห่ดุษฎีสังเวยสำหรับกล่อมพระราชกุมารเป็นทำนองเดียวกัน พึงสังเกตได้ในบทเห่กล่อม กวีผู้แต่งเอาถ้อยคำในฉันท์กล่อมช้างเผือกซึ่งกรมหมื่นศรีสุเรนทรทรงแต่งเมื่อรัชกาลที่ ๒ มาเลียนหลายแห่ง แต่เมื่อแต่งแล้วชะรอยจะมีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด เช่นจะต้องเห่นานนักก็ดี หรือพระมหาราชครูพราหมณ์ผู้ไกวพระอู่แก่ชราไม่สามารถจะเห่ได้ก็ดี หรือทรงพระราชดำริขึ้นใหม่ว่าเห่ด้วยเวทมนต์จะเป็นมงคลดีกว่า จึงโปรดให้พระครูพราหมณ์ ผู้ไกวพระอู่เห่ด้วยมนต์ภาษาสันสกฤต และเห่ ๓ ลาเช่นเดียวกันกับเห่ดุษฎีสังเวย บทเห่ที่แต่งขึ้นใหม่จึงไม่ได้ใช้
บทเห่วังหน้า
เห่บท ๒ บทต่อไปนี้มีเรื่องกล่าวกันมา ว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแรกประสูติ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้แต่งเห่บทนี้ขึ้นเพื่อจะพระราชทานมาให้เห่กล่อมโดยทรงพระเมตตา แต่เผอิญเกิดขัดพระราชหฤทัยขึ้นกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยเหตุอันหนึ่ง จึงมิให้ส่งประทานมา บทเห่นี้จึงลี้ลับอยู่ในวังหน้าจนรัชกาลที่ ๕ พระองค์เจ้าหญิงดวงประภา ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวไปพบฉบับเข้า จึงนำขึ้นทูลเกล้าถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
บทเห่วังหน้า
ข้าบาทบำรุงรักษ |
พระทรงศักดิจอมเมาฬี |
ทูลถนอมเหนือเกศี |
ให้เสวยโภชชิรารมย์ |
อุ้มองค์สรงสาคร |
พระสายสมรชื่นเชยชม |
สุระเสียงย่อมสวยสม |
ชมเครื่องเล่นเย็นพระทัย |
สุพรรณกุมมินคลา |
รูปมัจฉาสุกแสงใส |
ท่องเที่ยวเลี้ยวลอยไป |
ใสสำหรับพระสาคร |
เป็ดน้ำดำไล่ปลา |
กลับกรอกตาพาจิกจร |
เหรันกันกุญชร |
มังกรเกี่ยวเลี้ยวตามกัน |
เครื่องเล่นล้วนเป็นกล |
มีเกลื่อนกล่นแกล้งรังสรรค์ |
ดังว่าพระวิศณุกรรม์ |
บรรจงแต่งแกล้งมาถวาย |
สรงแล้วไล้สุคนธาร |
ตระการกลิ่นกำจรจาย |
รื่นรวยสวยพระกาย |
ตระหลบฟุ้งกรุ้มเกริ่นใจ |
น้อมหัตถ์บังคมบาท |
พระหนอนาถอิศรพงศ์ |
เชิญเสด็จสำอางองค์ |
ทรงอู่มาศพรรณราย |
กลั่นกลีบพัตราอ่อน |
ช้อนประคองพระวรกาย |
อยู่งานสร้อยทองถวาย |
ย้ายเห่หวนชวนสำราญ |
พราหมณ์เสนออาเศียรภาษ |
พระบวรราชกุมาร |
จุดเทียนเวียนเอางาน |
ขานพาทย์ฆ้องก้องกาหล |
ถวายเครื่องโดยวรกิจ |
วิธีราชมงคล |
เสวยสุขในไพชยนต์ |
มนเทียรราชเรือนจันทร์ |
วิจารณ์บทเห่วังหน้า
เห่บทนี้ต้นฉบับที่ได้มามีลายพระหัตถ์เลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเขียนด้วยดินสอขาวไว้บนใบปกว่า “พระองค์ดวงประภาว่ารับสั่งให้เขียนจะมาถวายเมื่อทำขวัญเดือนแต่โกรธกันเสียไม่ได้ถวาย เห็นว่าไม่จริง” ดังนี้ พิจารณาดูก็เห็นหลักฐานเป็นเช่นพระราชดำริ ว่า “ไม่จริง” ด้วยที่ใบปกสมุดต้นฉบับมีอักษรเขียนด้วยเส้นหรดาน ว่า “ร่างเมื่อวันศุกร์ เดือน ๘ แรม ๑๑ ค่ำ เบญจศก” (พ.ศ. ๒๓๙๖) สอบกับวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นวันอังคาร เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ ปีฉลู เบญจศก เห็นได้ว่าบทเห่นี้ร่างล่วงหน้าก่อนประสูติถึง ๒ เดือน อีกแห่ง ๑ ในบทเห่มีคำว่า
“พราหมณ์เสนออาเศียรภาษ |
พระบวรราชกุมาร” |
ตรงนี้บอกชัดว่าแต่งสำหรับเห่กล่อมพระเจ้าลูกเธอของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อได้ว่าเห่ ๒ บทนี้มิใช่ที่แต่งสำหรับเห่กล่อมสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงดังพระองค์เจ้าดวงประภากราบทูล แต่จะตัดสินว่าพระองค์เจ้าดวงประภากราบทูลเท็จก็ไม่ควร เพราะที่จริงอาจจะมีบทเห่เช่นพระองค์ดวงประภาทูลอ้าง แต่ท่านทรงหลงไปว่า ๒ บทนี้เท่านั้น ก็เป็นได้
บทเห่กล่อมเจ้าหญิงเยาวเรศ
เห่บทนี้ผิดกับบทเห่อื่น ที่แต่งสำหรับกล่อมแต่เฉพาะเจ้าหญิงองค์ ๑ ซึ่งทรงนามว่า “เยาวเรศ”
บทเห่กล่อมพระองค์หญิงเยาวเรศ
เจตมากาละปักษเยื้อง |
สนทยา สยองเฮอ |
นาคสังวัชรา |
ฤกษ์แพร้ว |
พุททัศวัฒนราชา |
สิทธิโชค เฉลิมแฮ |
ประสูติสพร้องคล่องแคล้ว |
เคลื่อนคล้อยคอยประคอง ฯ |
รับสั่งรังสฤษดิ์สร้อย |
สมยา นิยมเฮย |
เยาวเรศราชธิดา |
ประดิษฐไว้ |
เจริญราชวรวงศา |
เสาวภาคย์ เพ็ญแฮ |
พ้นพิบัติวัฒนให้ |
เลิศฟ้าราศี ฯ |
เห่เอ่ยพระเทพิน |
อำมรินทราวงศ์ |
ดนัยนาถคณาอนงค์ |
อบเชยชิดสนิทนัย |
หวังพวงประสงค์เสาะ |
พอจำเพาะที่พิศมัย |
เทียมทัดพระหัตไทย |
และนัยน์เนตรเกษตรา |
ถนอมชมภิรมณ์รัก |
เป็นเอกอัครธิดา |
โดยนิยมจึงสมยา |
ชื่อเยาวเรศวิเศษนาม |
พระยอดหญิงมิ่งมนุษย์ |
ประเสริฐสุดเสงี่ยมงาม |
ฤาลั่นสนั่นสนาม |
หน้าจักรวรรดิจำรัสตา |
พระบารมีเป็นศรีโสด |
วันสมโภชตติยวาร |
ก็กำจัดพวกพารา |
ให้รื่นรอบริมขอบคัน |
ต่างสรรเสริญเจริญพระยศ |
ก็ปรากฏเป็นอัศจรรย์ |
พระวงศาเกศสรร |
ด้วยแสนสวาดิไม่คลาดคลา |
ประทมพระกรงอลงกต |
กระจกจรดจำรัสตา |
เรืองระยับประดับประดา |
เพดานดาดด้วยดาดสุวรรณ |
นางนมบังคมเคียง |
พระพี่เลี้ยงและสาวสรร |
แวดล้อมอยู่พร้อมกัน |
บกตึกใหม่วิไลแล |
พินิจไหนพื้นไพจิตร |
กระจกติดตามช่องแกล |
วิเศษสันเมื่อผันแปร |
ประเทืองโคมประทีปราย |
เตียงตั้งบัลลังก์อาสน์ |
ยี่ภูลาดล้วนเฉิดฉาย |
รวบรุดพระสูตรสาย |
แสนโสพิศวิจิตรจริง |
อัฒจันทร์ชั้นบูชา |
ระยะม้าจมูกสิงห์ |
ดาดาดดูพาดพิง |
ล้วนเครื่องแก้วกับเครื่องทอง |
นาฬิกาฝารั่งติด |
ชวลิตแลลำยอง |
โมงยามตามทำนอง |
สำเนียกเสียงสำเนียงระฆัง |
โคมอร่ามติดตามเสา |
กระจกเงาลับแลบัง |
ทอดที่ทางวางบัลลังก์ |
เสวยสรงทรงสำอางค์ |
มีชานพักตำหนักนอก |
สำรับออกซึ่งหอกลาง |
เทียบที่หอรีขวาง |
ทั้งตึกคลังอลังกร |
ซุ้มทวารชานชลา |
ล้วนตั้งม้าไม้ดัดสลอน |
ยามสนทยาทิวากร |
ก็เสร็จประพาสด้วยบริพาร |
พูนเพิ่มเฉลิมพระยศ |
เปรื่องปรากฏประกอบการ |
ทรงสถิตในราชฐาน |
ประเทืองทุกข์เป็นสุขทรวง |
เกษมสิ้นมลทินไถง |
ดังเนานัยดุสิตสรวง |
เหมือนนางฟ้าสุดาดวง |
ลีลาศล่วงครรไล เอย |
วิจารณ์บทเห่กล่อมเจ้าหญิงเยาวเรศ
เห่กล่อมบทอื่นๆ ที่พิมพ์มาแล้ว ถึงจะใช้ถ้อยคำเชิดชูยศศักดิ์พระราชกุมารเป็นอย่างสูงก็ไม่มีที่จะออกพระนาม อาจจะใช้เห่บทเดียวกันกล่อมพระราชกุมารชั้นเดียวกันได้ทุกพระองค์ แม้บทเห่ดุษฎีสังเวย ซึ่งแต่งสำหรับกล่อมพระราชกุมารที่เป็นเจ้าฟ้าก็เช่นนั้น แต่เห่บทนี้ สำนวนดูเป็นผู้ชายแต่ง แต่งเฉพาะสำหรับเห่กล่อมเจ้าหญิงองค์ ๑ ซึ่งทรงนามว่า “เยาวเรศ” ปัญหาที่จะต้องพิจารณาเป็นข้อต้นจึงมีว่าเจ้าหญิงเยาวเรศนั้นคือใคร ตรวจดูในหนังสือราชสกุลวงศ์ประกอบกับความรู้ตามเคยได้ยินมา พระราชธิดาซึ่งทรงพระนามว่าเยาวเรศหาเคยมีไม่ ทั้งฝ่ายวังหลวงและวังหน้าพิจารณาดูตามถ้อยคำในบทเห่ มีในโคลงนำบทที่ ๒ ว่า
“รับสั่งรังสฤษดิ์สร้อย |
สมยา |
เยาวเรศราชธิดา |
ประดิษฐ์ไว้” |
โดยลำพังคำ “ราชธิดา” จะหมายว่าเป็นพระเจ้าลูกเธอก็ได้ แต่เมื่อพิจารณาความที่พรรณนาต่อไปในบทเห่ เช่นว่าแรกได้พระราชธิดาสมประสงค์ ผิดกับเรื่องพงศาวดารที่ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระมหาอุปราชมีพระราชธิดาตั้งแต่ก่อนเสวยราชย์แล้วทุกพระองค์ เว้นแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว มีพระราชธิดาพระองค์แรกเมื่อเสวยราชย์แล้ว แต่ก็ประสูติเมื่อปีกุล พ.ศ. ๒๓๙๕ มิใช่ปีมะโรงซึ่งในบทเห่บอกไว้ว่าเป็นปีประสูติของเจ้าองค์นั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่แต่งใช้คำ “ราช” น่าจะหมายความว่า “เจ้า” เท่านั้นเอง อีกแห่ง ๑ กล่าวความอัศจรรย์ว่าเมื่อวันสมโภช ๓ วัน ประจวบกับกำจัดพวกพาลได้ราบคาบ “รอบขอบค้น” ถ้าหมายความว่าพระเจ้าแผ่นดิน จะต้องเป็นเหตุการณ์มีในพงศาวดาร เหตุเช่นนั้นก็หามีไม่ ส่อว่าจะหมายความเพียงแต่ปราบพวกพาลรอบวังเจ้า ข้อนี้สมกับความที่กล่าวอีกแห่ง ๑ ว่าการประสูตรเจ้าหญิงองค์นั้น “ลื่อลั่นสนั่นสนาม หน้าจักรวรรดิ” (คือถนนสนามชัย) หมายความว่าหน้าวังเจ้านายที่ตั้งอยู่รายตามถนนนั้น ตามความที่พิจารณามาชวนให้เห็นว่าเห่บทนี้แต่งสำหรับกล่อมหม่อมเจ้าหญิง ในเจ้านายต่างกรมที่สูงศักดิ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หาใช่กล่อมลูกหลวงไม่.