วันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๓ น

ตำหนักปลายเนิน คลองเตย

วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๓

กราบทูล สมเด็จกรมพระยาดำรง ฯ ทราบฝ่าพระบาท

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ได้รับลายพระหัตถ์เวรลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ซึ่งเขาส่งไม่ล่าช้า ซองก็เรียบร้อยไม่มีรอยตัด มีแต่ตรารูปจั่วประทับสั่งผ่าน เว้นแต่เลขตรงกลางเป็นเลข ๑๑ ซึ่งแสดงว่าสั่งผ่านได้มีหลายกอง จะกราบทูลสนองความในลายพระหัตถ์ต่อไปนี้

สนองลายพระหัตถ์

หนังสือของเกล้ากระหม่อมซึ่งมีมาถวาย คงเขียนมาถวายเสมอ แม้ไม่ได้ทรงรับก็โปรดเข้าพระทัยว่าเป็นเหตุอะไรอยู่ที่อื่น ที่จะขาดไปเพราะเกล้ากระหม่อมเจ็บป่วยนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แม้เจ็บป่วยจนถึงทำหนังสือส่งมาถวายไม่ได้ หญิงอามก็จะต้องกราบทูลมาให้ทราบฝ่าพระบาท ไม่ใช่ขาดหายไปเฉยๆ

เป็นพระเดชพระคุณล้นเกล้า ที่ทรงพระเมตตาโปรดอุทิศส่วนพระกุศลอันได้ทรงปฏิบัติในการวิสาขบูชาประทานไป ขอถวายอนุโมทนาในพระกุศลอันได้ทรงปฏิบัตินั้นเป็นอย่างดีล้ำเลิศ

ได้ความตามลายพระหัตถ์ ว่าวัดจันทรารามได้ตกแต่งในวันวิสาขบูชาก็เป็นอันได้รับอภัย พระลังกาสวดมนต์มีทำนองเป็นอย่างไรนั้นน่ารู้ เกล้ากระหม่อมเคยได้ฟังครั้งพระสุภูติเข้าไปกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดนิมนต์มาฉัน ดูเหมือนจะได้สวดอนุโมทนาหรืออย่างไร เวลาโน้นเกล้ากระหม่อมก็ไม่เอาใจใส่ กราบทูลอะไรไม่ได้ ทีหลังก็มีเข้ามาอีก ฝ่าบาทได้ทรงนิมนต์ไปฉันที่วังวรดิศก็คราวหนึ่ง เกล้ากระหม่อมก็ได้ไปในการนั้น แต่คราวนั้นมีการอนุโมทนาเป็นอย่างเทศน์อย่างครั้งพุทธกาล ไม่เป็นสวดมนต์ ส่วนทำนองสวดคาถานั้นเคยได้ยินพระไทย ๆ ท่านจำทำนองที่พระลังกาสวดมาได้ ท่านสวดให้ฟัง ไม่เหมือนทำนองที่พระธรรมยุติสวดสรภัญญะกันเลย อันทำนองสวดสรภัญญะของเรานั้นก็มีจริงๆ เมื่อเกล้ากระหม่อมขึ้นไปเมืองมัณฑเลโดยทางเรือ ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีรถไฟ เผอิญมีพวกทหารแขกเดินสารเรือขึ้นไปด้วยมาก เขาสวดมนต์กันที่มีทำนองเป็นสรภัญญะ อย่างเราก็มี ให้รู้สึกซึมซาบดีจริงๆ อันฉันท์นั้นมีวิธีแต่งมากอย่างนัก คิดว่าทำนองอ่านแต่ละฉันท์คงผิดๆ กันไปทั้งนั้นเป็นหลายทำนองด้วยกัน พูดถึงสวดสรภัญญะ ทุกวันนี้ ในการศพแล้วท้ายเทศน์ก็ต้องมีสวดจึ่งจะเป็นงานศพ แม้พระมหากายก็สวดสรภัญญะอย่างธรรมยุติได้ นึกถามตัวเองว่าทำไมจึงต้องสวดสรภัญญะ จะสวดทำนองอย่างอื่นไม่ได้หรือ ทำนองสวดมีอยู่ต่างๆ ถมไป ที่เคยสวดมาแต่เก่าก่อน แปลว่า “แฟแช่น” เท่านั้นเอง

ตามที่ตรัสถึงงานวัด ว่ามีอุบาสิกาไปมากกว่าอุบาสกนั้น ให้นึกถึงที่เคยไปดูเขาทำบาตรกันที่บ้านบาตร พบแต่ผู้หญิงทำกันอยู่ทั้งนั้น ผู้ชายไม่พบเลยจนคนเดียว เข้าใจว่าไปเที่ยวเล่นกันหมด

ตามที่หญิงแดงเธอมีหนังสือมาถวาย เธอก็ทำตามปกติ ด้วยเธอคงไม่ทราบว่าเขาจำกัดจำเขี่ยให้ทำอย่างไร ที่เธอเขียนพระนามเป็นหนังสือไทย มีแต่ตำบลที่ให้ส่งเป็นหนังสืออังกฤษเท่านั้น ถ้าเป็นยามปกติก็ควรจะพอ หนังสือจะถึงใครก็ตามที กรมไปรษณีย์ไม่จำต้องรู้ สุดแต่ส่งให้ถูกตำแหน่งเท่านั้นก็แล้วกัน เกล้ากระหม่อมได้คิดจะทำอย่างนั้นมาแต่เมื่อก่อนเกิดสงครามอยู่เหมือนกัน

การทำธูปหอมขายที่ในกรุงเทพฯ เวลานี้กำลังฮือเป็น “แฟแช่น” เห็นจะมีร้านขายธูปหอมนับได้ตั้งร้อยร้าน ในการที่มีธูปหอมที่ปีนังก็เพราะส่งออกมาจำหน่าย เป็นการแข่งกันอย่างที่จีนเรียกว่า “เสี่ย” ไม่ใช่ชาวปีนังต้องการ ธรรมดา “แฟเช่น” ย่อมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปต้องที่ดูไปก่อน ร้านขายอะไรต่ออะไรแต่ละคราวล้วนมากๆ แล้วก็หายไปเมื่อสิ้นฮือ แม้การเล่นก็เป็นเช่นเดียวกัน เหมือนคราวฮือเล่นกล้วยไม้ที่ไหน ๆ ก็มีปรำไม้ระแนงเกิดขึ้น ครั้นสิ้นฮือแล้วก็หายไป คงเห็นแต่ที่บ้านคนซึ่งเขาเล่นต้นไม้เป็นอาชีพ เช่นที่บ้านพระยาพจนปรีชาเป็นต้น

หนังสือแจกงานศพพระยาพจนปรีชานั้นเหมาะมาก เล่มหนึ่งก็เป็นเรื่องกล้วยไม้ซึ่งเป็นไปในทางอาชีพ เล่มหนึ่งเป็นพระนิพนธ์ของกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ผู้ซึ่งพระองค์เป็นต้นสกุล ที่ทรงพระดำริให้นางเบญกายหึงส์นางสุวรรณกันยุมานั้น เป็นพระดำริที่ลอดไปแปลกมาก เรื่องนั้นถึงลือ แต่นิราศกาญจนบุรีที่ฝ่าพระบาทตรัสถึงนั้นยังไม่เคยเห็น

นึกถึงคนพูด ร เป็น ล, ล เป็น ร ควรที่จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิด เพราะคำที่ใช้พยัญชนะ ร กับ ล โดยมากมีความหมายผิดกัน เช่น ร้าน กับ ล้าน หรือ ร่อน กับ ล่อน เป็นอาทิ แต่ไม่ยักทำให้เข้าใจผิดไปได้ กลับส่อให้เห็นว่าผู้พูดพูดไม่ถูกไปเสียอีก เหตุทั้งนั้นก็เป็นด้วยความในคำพูด ส่องเป็นประทัดไปให้รู้ว่าผิดถูกอยู่ที่ไหน

ปกิณกะ

ตามที่ตรัสถึงธูปจีนมีควันมาก ทำให้นึกขึ้นมาถึงเจ้าพระยาเทเวศร เมื่อเกล้ากระหม่อมเจ็บครั้งรัชกาลที่ ๕ ท่านชวนมาอยู่กับท่านที่บ้านคลองเตย ได้ร่วมการปฏิบัติอะไรแก่ท่านหลายอย่าง ในเรื่องบูชาพระนั้นเป็นการใหญ่ธูปจีนที่ท่านใช้จุดบูชาพระนั้นต้องเลือกหาจำเพาะแต่ชนิดที่มีควันน้อย เพราะท่านทนสู้ควันไม่ได้ ธูปจีนโดยมากมักมีควันมาก ในการที่เกล้ากระหม่อมออกมาอยู่กับท่านคราวนั้นทำให้รู้สึกใจขึ้นได้ว่าอยู่บ้านนอกนั้นสบายดี จึงได้หาที่แถวคลองเตยก็ได้ปลายเนินซึ่งอยู่ในเดี๋ยวนี้ แต่แรกคิดว่าจะอยู่แต่หน้าร้อน หน้าอื่นจะเข้าไปอยู่บ้านท่าพระ แต่เข้าไปไม่ได้ เข้าไปอยู่ทีไรก็เจ็บทุกที จำต้องอยู่ที่บ้านคลองเตยเป็นประจำจนทุกวันนี้

บรรดาธูปเทียนที่เขาให้มาลาตาย เกล้ากระหม่อมนำขึ้นจุดบูชาพระแผ่กุศลให้เขาทุกที เทียนนั้นสังเกตได้ว่าเขาทำแต่ให้เป็นเทียน คือมีด้ายไส้มากหุ้มขี้ผึ้งแต่บางๆ ทีหลังพบมีขึ้นอีกชนิดหนึ่ง ด้ายไส้ก็มีน้อยที่สุดแลขี้ผึ้งก็บางที่สุด รู้สึกว่านี่เป็นของใหม่ ขี้ผึ้งไม่เปลืองมาก ด้ายก็ไม่เปลืองมาก แต่เขาทำอย่างไรคิดไม่เห็น แม่โตเป็นคนบอกให้ได้ว่าเขาทำแกนเอาด้ายหุ้มแกนแล้วฟั่นขี้ผึ้ง เสร็จแล้วชักแกนออกเสียจึงไม่เปลืองทั้งด้ายทั้งขี้ผึ้ง เห็นเจ้าเจ๊กผู้หญิงทำกันอยู่มาก เกล้ากระหม่อมก็นึกให้ความดีแก่เจ๊กว่า เจ๊กคิดเพราะเจ๊กเขารู้จักเบียดกรอในทางค้าขาย แต่ความจริงจะอย่างไรไม่ทราบ

อ่านหนังสือพิมพ์ข้างไทย พบเขาพูดถึงกำลังแรงเปรียบด้วยลมสลาตัน นั่นเป็นความเข้าใจกันอย่างไทย ว่าลมสลาตันเป็นลมแรงร้าย แม้มีมาก็เป็นของมาแขก พวกเดียวกันกับลมเพชหึง แต่คำสลาตันนั้นเป็นคำมลายู เขามีความหมายกันว่าทิศใต้ ลมสลาตันก็ตกเป็นลมใต้เท่านั้นเอง ไม่แปลกประหลาดร้ายแรงอะไร

เห็นอีกอย่างหนึ่งนั้นน่าสงสาร เป็นเรื่องอ่านเล่นผู้แต่งเขาแต่งเป็นเรื่องชาวบ้านนอกไทยๆ เรานี้ แต่มีรูปเขียนประกอบหน้าเรื่องซึ่งช่างเขียนประกอบไว้ พระเอกนั้นเขียนเป็นมิสเตอร์อะไรคนหนึ่ง ใส่เสื้อซึ่งเราเรียกกันว่าพวงมาลัย นางเอกนั้นเขียนเป็นแหม่มคนหนึ่ง ใส่เสื้อซึ่งแต่งเวลาเย็นอย่างฝรั่งผู้ดีตามแฟชั่น ดูก็ขันดี

ข่าวเบ็ดเตล็ดในกรุงเทพฯ ไม่มีอะไรที่สำคัญควรจะกราบทูลมาให้ทราบฝ่าพระบาท

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ