๙๗

จะกล่าวในเมืองท่งท่ายฮูตำบลบ้านตี้เล่งกุ้ย มีโจรพวกหนึ่งตั้งซ่องมั่วสุมประชุมพรรคพวกโจรเที่ยวปล้นสดมภ์หาเลี้ยงชีพ เวลานั้นตรึกตรองปฤกษากันว่าในเมืองนี้ควรจะไปเที่ยวสืบเสาะดูว่า บ้านไหนจะมั่งมีเปนที่หนึ่ง บ้านไหนจะมั่งมีเปนที่สอง พวกเราจะได้พากันไปลงมือ ในพวกนั้นมีคนหนึ่งพูดว่า ไม่ต้องไปสืบเสาะให้ยาก วันนี้ที่บ้านเข่าญ่วนหลายเสรฐีไปส่งพระ บ้านนี้คงจะมีเงินทองมากคืนวันนี้ฝนตกมากคนเหล่านั้นก็คงจะมิได้คิดระวังอะไร เราพากันลงไปปล้นเก็บเอาเข้าของเงินทองมาไว้เลี้ยงชีวิตร์จะมิดีหรือ พวกโจรทั้งหลายก็ตกลงเห็นชอบด้วยพร้อมกัน จึงตระเตรียมเครื่องมือถือคบไฟแลอาวุธครบมือกันแล้ว ได้เวลาก็พากันเดินไปในเวลาฝนตกนั้น ครั้นถึงประตูบ้านเสรฐีก็พร้อมกันโห่ร้องกรูเข้าไป คนในบ้านได้ยินเสียงพวกโจรโห่ร้องเกรียวกราวดังนั้น ก็พากันตกใจกลัวต่างคนก็เล็ดลอดเอาตัวรอดหนีไปทั้งสิ้น ยายเฒ่าเมียเสรฐีหนีมุดเข้าไปอยู่ใต้ถุนเตียง ตาเฒ่าเสรฐีหนีออกประตูหลังบ้าน บุตร์ชายบุตร์สาวต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด

ฝ่ายพวกโจรก็พากันถือคบไฟเข้าค้นในบ้าน ขนเอาเงินทองเข้าของออกมา ฝ่ายเสรฐีเห็นพวกโจรขนเอาเข้าของเงินทองออกมา มิได้คิดแก่ชีวิตร์จึงออกมาร้องบอกแก่พวกโจรว่า ขอท่านทั้งหลายได้เอ็นดูเถิด เข้าของเงินทองที่จะเอาไปนั้น อย่าเอาไปเสียให้หมดเลย เหลือไว้ให้ข้าพเจ้าเลี้ยงชีวิตร์บ้างเถิด

ฝ่ายพวกโจรเมื่อได้เห็นเสรฐีมายืนร้องอยู่ดังนั้น ก็พากันมากลุ้มรุมทุบตีเสรฐีนั้นจนถึงแก่ความตาย พวกโจรทั้งหลายก็พากันหนีออกนอกเมืองไป

ฝ่ายผู้คนในบ้านเห็นพวกโจรกลับออกไปจากบ้านแล้ว ก็พากันกลับมา แลเห็นเสรฐีตายอยู่กับพื้น ต่างคนก็พากันร้องไห้ ยกเอาศพนายขึ้นวางไว้บนเตียงแล้ว ก็พากันเศร้าโศกโสกาอาดูรรำพรรณ์ถึงนายไม่หยุดเสียงจนเวลาใกล้รุ่ง

ฝ่ายยายเฒ่าให้คิดแค้นโกรธพระถังซัมจั๋งว่า เพราะพระไม่รับนิมนต์อยู่ พากันตกแต่งประดับประดาร่างกายตามส่งเธอ จึงได้เกิดทุกข์ไภยขึ้นชะนี้ ยายเฒ่าคิดเห็นดังนั้น ก็ให้มีจิตร์คิดพยาบาทจะใคร่ล้างผลานให้จงได้ คิดแล้วยายเฒ่าจึงมาพะยุงบุตร์ชายให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า เจ้าอย่าเศร้าโศกไปเลย ซึ่งเปนเหตุทั้งนี้ก็เพราะบิดาเจ้ามีจิตร์ศรัทธาถวายเข้าสงฆ์ทุกวันทั้งเช้าแลเพน ก็หาได้รู้ว่าวันนี้ทำกุศลไปส่งชีวิตร์สงฆ์ บุตร์ทั้งสองจึงถามว่า ที่มารดาว่าบิดาทำบุญกุศลส่งชีวิตรแก่สงฆ์นั้น หมายความว่ากะไร ยายเฒ่าตอบบุตร์ว่า เมื่อเวลาพวกโจรกรูเกรียวเข้ามาโดยรวดเร็วนั้น แม่แอบอยู่ใต้ถุนเตียงแสงไฟสว่างแลเห็นชัดแจ่มแจ้ง ใครเล่าที่ถือคบไฟคือพระถังซัมจั๋ง ถือดาบคือโป๊ยก่าย เข้าค้นเอาเงินทองสิ่งของคือซัวเจ๋ง เห้งเจียเปนผู้ตีบิดาของเจ้าตาย เมื่อบุตร์ชายทั้งสองได้ฟังมารดาพูดดังนั้น ก็สำคัญมั่นใจเสียว่าเปนความจริงมิได้มีความสงไสย จึงพูดแก่มารดาว่า อันความจริงก็คงจะเปนดังนั้นแน่ไม่ควรจะสงไสยเลย เพราะเธอทั้งสี่มานอนค้างอ้างแรมอยู่หลายเวลา ทั้งนอกในก็ทราบสิ้น เห็นเข้าของเงินทองก็เกิดโลภเจตนาขึ้น เพราะฉนั้นเห็นฝนตกหนักจึงได้แอบเข้ามา ปล้นบ้านเราค้นเอาเข้าของเงินทองไปแล้ว มิหนำซ้ำฆ่าบิดาตายเสียด้วยดังนี้ ใครที่ไหนจะร้ายกาจเหมือนพวกพระถังซัมจั๋งก็ไม่มีแล้ว รอพอให้สว่างจะทำเรื่องราวไปร้องแก่ผู้รักษาเมือง ให้ชำระเอาตัวผู้ร้ายให้จงได้ เข่าต๊งน้องชายถามว่า ในเรื่องราวที่จะแต่งว่าอย่างไร เข่าเหลียงพี่ชายตอบว่า ต้องแต่งตามที่มารดาบอกเล่าว่า พระถังซัมจั๋งถือคบไฟ โป๊ยก่ายร้องให้ฆ่าคน ซัวเจ๋งเข้าค้นทรัพย์เก็บเอาสิ่งของเงินทอง เห้งเจียเปนผู้ฆ่าบิดาเราดังนี้ แลจึงจะเอาตัวผู้ร้ายได้ เวลานั้นผู้คนในบ้านก็วุ่นวายทุก ๆ คนจนเวลาสว่าง ฝ่ายหนึ่งจัดแจงเอาศพใส่โลง ฝ่ายหนึ่งนำเรื่องราวไปร้องต่อผู้รักษาเมือง ผู้รักษาเมืองท่งท่ายฮู้ผู้นี้เปนผู้ที่ตั้งอยู่ในยุติธรรมชื่อเสียงปรากฎ เวลานั้นออกศาลาว่าการบ้านเมือง คอยที่จะรับคะดีทุกข์ร้อนของราษฎร ฝ่ายเข่าเหลียงเข่าต๊งบุตร์เสรฐีทั้งสองคนนำเรื่องราวยื่นต่อผู้รักษาเมือง แล้วเรียนว่าขอท่านผู้ใหญ่ได้ทราบ ด้วยเมื่อเวลาคินนี้มีอ้ายผู้ร้ายเข้าปล้นบ้านเรือนฆ่าบิดาข้าพเจ้าตาย ขอท่านได้โปรด

ฝ่ายผู้รักษาเมืองรับเรื่องราวมาดูแล้วก็ถามปากคำ จึงสั่งให้พนักงานกองตระเวรจัดสรรเลือกคนที่ล่ำสันแข็งแรงร้อยห้าสิบคน ถืออาวุธครบมือกันทุกคน รีบออกทางประตูข้างทิศตวันตก จับเอาตัวพระถังซัมจั๋งกับศิษย์มาให้จงได้

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ในคืนวันนั้น อาไศรยอยู่ในศาลเจ้าจนสว่าง ครั้นสว่างแล้วก็ออกเดินไปตามทางทิศตวันตก

ฝ่ายพวกโจรรีบหนีออกจากเมืองแล้ว เดินเลยศาลเจ้าฮ้อกวางไปประมาณสักสองร้อยเส้น ก็พากันเข้าแอบส้อนในชะวากเขา เพื่อจะได้แบ่งปันเข้าของเงินทองแก่กัน บังเอินแลไปเห็นพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์เดินตามกันมา พวกโจรมีความโลภเจตนา จึงชี้มือว่าพระสงฆ์เหล่านี้อยู่ในบ้านเข่าญ่วนเสรฐีหลายเวลา คงจะมีเข้าของสิ่งใดติดมาบ้าง พวกเราช่วยกันออกสกัดทางไว้ ตีชิงเอาสิ่งของแลม้าไว้แบ่งปันกันจะมิดีหรือ ว่าดังนั้นแล้วพวกโจรก็พร้อมกันถือเครื่องอาวุธต่างๆ โห่ร้องออกสกัดทาง แล้วร้องห้ามว่าพระสงฆ์อย่าเพ่อไป จงเอาค่าเดินทางมาให้ก่อนจะยกชีวิตร์ให้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังพวกโจรว่าดังนั้น ตกใจตัวสั่นไม่เปนสมประดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจาริย์อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าจะถามดูก่อน ว่าแล้วเห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้ พนมมือร้องถามว่า ท่านทั้งหลายร้องว่ากระไรหรือ พวกโจรร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เจ้าคนนื้ยังไม่รู้จักความตายกล้ามาถามเรา ในตาเจ้าเห็นจะไม่มีแก้วตาดอกกระมัง เจ้าจำเราไม่ได้หรือคือเราเปนใต้อ๋องนายใหญ่ เจ้าจงรีบเอาค่าเดินทางมาให้เสียแล้ว ก็จะปล่อยให้เจ้าไปโดยดี เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่แล้วจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพวกเจ้าก็เปนโจรคอยสกัดทางกระนั้นหรือ พวกโจรได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น มีความโกรธจึงร้องว่าพวกเราช่วยกันฆ่ามันเสียเถิด เห้งเจียทำเปนตกใจกลัว ร้องว่าท่านใต้อ๋องข้าพเจ้าเปนคนชาวป่าชาวดงไม่รู้จักพูดจา หนักเบาท่านอย่าถือโทษโกรธครึ่งเลย ถ้าท่านจะเอาค่าเดินทางแล้วไม่ต้องถามคนทั้งสามนั้น ด้วยสารพัดจะอยู่ที่ข้าพเจ้า ๆ จะจัดแจงได้ทั้งสิ้น ที่ขี่ม้านั้นคืออาจาริย์ของข้าพเจ้า ท่านรู้แต่สวดมนต์ภาวะนาเท่านั้น ไม่เกี่ยวแก่ธุระอย่างอื่น ๆ คนหน้าสีหมอกนั้นข้าพเจ้าให้สำหรับเลี้ยงม้ามาตามทางเท่านั้น คนที่ปากยาวนั้นข้าพเจ้าจ้างมาสำหรับหาบคอน หากว่าท่านใต้อ๋องปล่อยให้ไป ข้าพเจ้าจะเอาเข้าของทั้งนี้ให้แก่ใต้อ๋อง พวกโจรได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าคนนี้ซื่อสัตย์ ถ้ากระนั้นเราจะยกชีวิตร์ให้ เจ้าจงบอกให้คนทั้งสามวางหาบของลงเราจะปล่อยให้ไป เห้งเจียจึงหันหน้ามาขยิบตา ซัวเจ๋งรู้ทีจึงวางหาบลงแล้วก็จูงม้าพากันเดินไป เห้งเจียก็ทำเปนก้มลงแก้ห่อของ เอามือกำฝุ่นทรายคว่างขึ้นไปบนอากาศ แล้วร่ายคาถามหาจังงังร้องว่าหยุดคำหนึ่ง พวกโจรสามสิบคนก็ยืนหัวแข็งมือแลเท้าไม่กระดิกได้ ยืนแข็งแลดูตากันอยู่ไม่กระพริบได้ ทั้งปากก็พูดไม่ออก เห้งเจียร้องเรียกอาจาริย์ว่าให้กลับมาก่อน พระถังซัมจั๋งได้ยินเรียกก็ชักม้ากลับมาถามว่า เห้งเจียจะเรียกว่ากระไรหรือ เห้งเจียว่าพระอาจาริย์จงดูพวกโจรเหล่านี้ว่ามันเปนอย่างไร โป๊ยก่ายวิ่งมาจับพวกโจรผลักไปมา แล้วถามว่าอ้ายพวกโจรทำไมไม่เต้นรำไปเล่า พวกโจรยืนแข็งนิ่งไม่พูด โป๊ยก่ายว่าอ้ายพวกนี้เห็นจะเปนใบ้ไปเสียแล้ว เห้งเจียบอกว่ามันถูกจังงังจึงยืนแข็งนิ่งอยู่ไม่พูดจา นิมนต์อาจาริย์ลงจากม้าก่อน คำโบราณท่านว่า “จับผิดไม่เปนไรปล่อยผิดไม่ได้” พี่น้องเราช่วยกันจับมัดมันเสียก่อน เราจะได้ซักถามรู้เหตุ ว่าแล้วเห้งเจียก็ถอนขนในตัวออก แปลงเปนเชือกสามสิบเส้น โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ตรงเข้ามัดพวกโจรไว้ทุก ๆ คน เห้งเจียนิมนต์อาจาริย์ให้นั่งพักลงแล้ว เธอสามคนถืออาวุธทำเงื้อง่าร้องตวาดถามว่า พวกเจ้ามีมากน้อยเท่าใด เปนเชื้อแถวพวกโจรมาแต่เดิมหรือพึ่งจะริอ่านกันเปนโจร ได้ทำโจระกรรมมากี่ปีแล้ว ได้เที่ยวปล้นแลตีชิงเขามากี่ตำบลแล้ว ฆ่าผู้ฟันคนตายมากี่มากน้อยแล้ว จงบอกเล่ามาตามจริงทุกประการ พวกโจรได้ฟังถามดังนั้นก็ร้องไห้แล้วพูดว่า พวกข้าพเจ้ามิได้เปนเทือกแถวโจรแท้ เปนคนดีมีบ้านเรือนทุกคน เพราะไม่มีปัญญาเอาของบิดามารดาไปทำลายล้างผลาญเสียหมดสิ้นไม่มีจะใช้สรอย สืบรู้ว่าเสรฐีเข่าญ่วนเปนผู้มั่งมีทรัพย์มากจึงชักชวนกันเข้าปล้นบ้านเสรฐี ได้เงินทองสิ่งของมาเปนกันมาก หวังใจจะแบ่งปันกัน บังเอินเห็นท่านมา พวกข้าพเจ้ารู้จ้กจำได้ว่าพระถังซัมจั๋งที่เปนพระสงฆ์แห่ส่งเมื่อวานนี้ คงจะมีเข้าของเงินทองติดมามากเปนแน่ จึงมีความโลภออกสกัดทางโดยความอยากได้ ไม่ทราบว่าท่านมีอะภินิหารเดชานุภาพ จึงจับพวกข้าพเจ้ามัดไว้ดังนี้ ขอท่านได้มีความกรุณาเอาเข้าของเงินทองที่ข้าพเจ้าปล้นมาได้นั้นถ่ายโทษตัว ขอท่านได้โปรดให้ข้าพเจ้ารอดชีวิตร์ไปสักครั้งหนึ่ง พระถังซัมจั๋งได้ยินออกชิ้อปล้นบ้านเสรฐีก็ตกใจผุดลุกขึ้นถามเห้งเจียว่า เสรฐีคนนี้เปนบุญกุศล เหตุไฉนจึงต้องไภยร้ายถูกปล้นสดมภ์เช่นนี้ เห้งเจียพูดว่าเพราะเหตุแกส่งพวกเรา แห่แหนประคับประคองดีมาก เพราะฉนั้นพวกโจรเหล่านี้จึงได้ปล้นบ้านแก พระถังซัมจั๋งพูดว่าพวกเราติดบุญคุณแกอยู่มาก เราไม่มีอะไรจะแทนคุณ ถ้ากระนั้นพวกเรารวบรวมรวมเอาเข้าของเงินทองเหล่านี้คืนไปให้แก จะมิเปนการดีหรือ เห้งเจียได้ฟังอาจาริย์ว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายเข้าไปในชะวากเขา เก็บเอาเข้าของเงินทองที่พวกโจรขนมานั้น บันทุกบนหลังม้าแลให้โป๊ยก่ายหาบคอนเข้าของเงินทองเหล่านั้นแล้ว เห้งเจียจะใคร่ตีพวกโจรให้ตายเสียทั้งสิ้น แต่กลัวอาจาริย์จะว่าฆ่าสัตว์จึงได้เรียกขนกลับคืนเข้าตัว พวกโจรหลุดจากมัดแล้วก็พากันวิ่งหนีเอาตัวรอดไปหมด

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ก็พากันตรงไปยังบ้านเสรฐี ราวกับแมลงเม่าเข้าไฟฉนั้น อาจาริย์กับศิษย์กำลังพากันเดินมา แลไปข้างน่าเห็นผู้คนมากมาย ถือเครื่องสาตราอาวุธทุก ๆ คนเดินตรงมา พระถังซัมจั๋งมีความหวาดเสียวสดุ้ง จึงบอกแก่พวกศิษย์ว่าข้างหน้าจะเปนพวกดีหรือร้ายอย่างไร โป๊ยก่ายว่าไภยจะมาถึงแล้ว พวกนี้คือพวกโจรที่ปล่อยไปมันพากันกลับมาจะทำร้ายเราอีกแล้ว ซัวเจ๋งว่าดูท่าไม่ใช่พวกโจร พี่เห้งเจียจงพิเคราะห์ดูให้แน่ว่าจะเปนพวกอะไร เห้งเจียหันมาพูดบ่นแก่ซัวเจ๋งว่า ไภยร้ายของอาจาริย์มาอีกแล้ว พวกนี้คือพวกพลทหารมาจับพวกโจรผู้ร้าย พูดยังไม่ทันขาดคำพวกทหารก็มาถึง ตั้งกระบวนล้อมเข้ามาร้องว่า พวกพระสงฆ์ที่ปล้นเอาเข้าของเขามาอยู่นี่สนุกหรือ ก็พร้อมมือกันเข้าจับเอาพระถังซัมจั๋งลากลงมาจากม้ามัดไว้ แล้วก็เข้าจับเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมัดทั้งสามคน แล้วเอาไม้คานสอดหามสองคนต่อคนเหมือนหามสุกร เข้าของห่อย่ามแลเงินทองกับม้าก็รวบรวมเอาไปทั้งสิ้น พากันรีบกลับเข้าเมือง ฝ่ายพระถังซัมจั๋งรัว ๆ สั่น ๆ ร้องไห้ โป๊ยก่ายปากบ่นพิมพำในใจคิดแค้น ซัวเจ๋งใจกระสับกระส่ายไม่ปรกติ เห้งเจียหัวเราะกึ้ก ๆ จะใคร่ออกฝีมือ

ฝ่ายพวกขุนนางที่คุมทหารมาจับนั้น ก็พากันหาบหามมาบัดเดี๋ยาก็ถึงประตูเมือง ตรงเข้าไปยังศาลบอกแก่ขุนนางผู้ชำระโจรผู้ร้ายว่า ขอท่านได้ทราบ พวกข้าพเจ้าไปตามจับผู้ร้ายมาได้แล้ว ตามแต่ท่านจะโปรดประการใด

ฝ่ายผู้รักษาเมืองแลเห็นของกลางดังนั้น จึงให้บุตร์เข่าญ่วนหลายเสรฐีมารับของคืนไปแล้ว จึงเรียกตัวพระถังซัมจั๋งมาถามว่า ตัวเปนสงฆ์พูดว่าจะไปไซทีนมัศการพระ อันที่จริงหาใช่ไม่ คือเปนโจรผู้ร้ายเที่ยวปล้นสดมภ์ฆ่าคนดังนี้ดอกหรือ พระถังซัมจั๋งว่า ขอท่านผู้ใหญ่ได้ทราบอาตมภาพนี้ไม่ใช่ผู้ร้าย มีหนังสือสำหรับตัวเดินทางมาขอท่านได้พิจารณาดูเถิด เพราะเหตุท่านเสรฐีมีความเลื่อมไสยได้นิมนต์อาตมภาพมาถวายเข้าสงฆ์ถึงครึ่งเดือน อันบุญคุณของท่านเสรฐีหาที่เปรียบมิได้ เมื่ออาตมภาพเดินไปตามทางบังเอินไปพบพวกโจรที่ปล้นบ้านเสรฐีเอาเข้าของเงินทองไปแบ่งปันกัน สานุศิษย์ของอาตมภาพทราบเหตุจึงชิงเอาสิ่งของที่โจรมาได้ ก็หวังใจจะเอาคืนมาให้เสรฐีตอบแทนคุณ กำลังเดินกลับมาก็บังเอินมาพบพวกทหารจับเอาตัวมาว่าเปนผู้ร้าย อันความสัตย์จริงอาตมภาพหาใช่พวกผู้ร้ายไม่ ขอท่านได้พิจารณาจงดีเถิด ผู้ชำระจึงพูดว่า ตัวเห็นพวกพลทหารจึงพลิกแพลงว่าจะเอาของมาแทนคุณ ถ้าหากว่าพบปะพวกผู้ร้ายจริง ทำไมจึงไม่จับกุมผู้ร้ายไว้เล่า จะได้ให้ผู้รักษาเมืองเห็นด้วย พวกเจ้าทั้งสี่คนจงมาดูเรื่องราวของบุตร์เสรฐี เขามาฟ้องหามีชื่อดังนี้จะยังพูดแก้ตัวไปทางใดเล่า พระถังซัมจั๋งเข้ามาหยิบดูเรื่องราวเห็นดังนั้นก็ให้ขวัญหนีดีฝ่อ จึงร้องเรียกเห้งเจียว่าทำไมเจ้าไม่มาดูเล่า เห้งเจียพูดว่าเอาของกลางเปนจริงแล้วจะต้องไปดูทำไมเล่า ผู้พิพากษาว่าจริงดังนั้นสิ มีของกลางเปนพยานอยู่จะมาพูดแก้ไปอย่างไรได้อิกเล่า จึงเรียกคนใช้ให้เอาไม้บีบขมับมาติดขมับอ้ายสงฆ์คนนี้ดูทีหรือมันจะกล้าปากไปถึงไหน ติดไม้เสียก่อนแล้วจึงค่อยเฆี่ยนด้วยหวาย เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็คิดในใจว่า อาจาริย์ของเราท่านมีเคราะห์ร้ายก็จริง แต่ไม่ควรปล่อยให้ได้ความทุกข์ทรมาน เห็นนักการเอาไม้สำหรับบีบขมับมาเตรียมจะบีบพระถังซัมจั๋ง จึงอ้าปากบอกว่าช้าก่อน อย่าเพ่อบีบขมับท่านสงฆ์องค์นั้นก่อน ข้าพเจ้าเองเปนคนที่เข้าปล้นบ้านฆ่าคนตายเก็บเอาเข้าของเงินทองไป มิใช่ผู้อื่นเลย จะทำประการใดจงมาทำแก่ข้าพเจ้าเถิด ด้วยข้าพเจ้าเปนนายโจรแท้ ๆ ท่านทั้งสามคนนั้นไม่เกี่ยวข้องเลย จงทำโทษแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเถิด ผู้ชำระได้ฟังเห้งเจียรับดังนั้น จึงให้นักการเอาไม้บีบขมับมาติดเห้งเจียเข้า พวกนักการก็เอาไม้ติดเห้งเจียบีบจนไม้หักกระเด็นไปเปนดังนั้นถึงสามสี่ครั้ง หน้าก็ไม่นิ่วหนังก็ไม่ย่น พวกเหล่านั้นเปลี่ยนไม้จะบีบอีก ก็พอได้ยินคนใช้มาบอกว่าท่านขุนนางผู้ใหญ่ให้มาเชิญผู้ชำระออกไปหา ผู้พิพากษาจึงเรียกผู้คุมมาให้เอาตัวผู้ร้ายทั้งสี่คน ไปจำรักษาไว้ในห้องมืดก่อน เราจะออกไปรับท่านผู้ใหญ่ แล้วจะเอามาชำระซักฟอกอีกสักครั้งหนึ่ง ผู้คุมก็นำเอาตัวพระถังซัมจั๋งเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสี่คนไปขังในห้องมืดแล้ว เวลานั้นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เก็บเข้าของ ๆ ตัวไปในห้องด้วยทั้งสิ้น พระถังซัมจั๋งจึงร้องถามเห้งเจียว่า การเปนเช่นนี้แล้วเราจะคิดอ่านประการใดจงจะหลุดพ้นไปได้เล่า เห้งเจียแกล้งพูดว่าอาจาริย์เข้าอยู่ในนี้ก็ดีแล้ว เพราะว่าเงียบสงัดดีเราจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้

ฝ่ายพวกเฝ้าประตู ก็ถือไม้เรียวมาหวดซ้ายหวดขวาเฆี่ยนพระถังซัมจั๋งไม่เลือกว่าเนื้อตัวหัวหู พระถังซัมจั๋งจึงร้องเรียกเห้งเจียว่าจะแก้ไขอย่างไรดี เห้งเจียร้องบอกว่า เขาจะเร่งเอาเงินเท่านั้นเอง พระถังซัมจั๋งว่าเราจะไปเอาที่ไหนมาให้เขาเล่า เห้งเจียบอกว่า ไม่มีเงินก็เอาจีวรให้เขาก็ใช้ได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น เปรียบดุจเอามีดมากรีดหัวใจ พวกผู้คุมมันก็เฆี่ยนมิได้หยุด เหลือที่จะอดทนความเจ็บปวดได้ จึงร้องบอกเห้งเจียว่า ตามแต่เห้งเจียจะเห็นควรเถิด ด้วยอาตมภาพเหลือที่จะทนแล้ว เห้งเจียจึงร้องบอกว่าท่านทั้งหลาย จงหยุดก่อนอย่าเพ่อเฆี่ยนตี พวกข้าพเจ้าจีวรเปนผ้ากาสาวะภัตอยู่ในห่อ ราคาพันตำลึงทองขอพวกท่านจงแก้เอาไปเถิดแทนค่าทุเลา พวกผู้คุมได้ฟังดังนั้น ก็เอาห่อผ้ามาแก้ออกดูเห็นจีวรสองตัวเก่า ๆ ไม่มีราคา แต่จีวรอีกตัวหนึ่งมีผ้าน้ำมันห่ออยู่สองสามชั้น มีรัศมีสว่างออกมาแวววาบ ก็รู้ว่าเปนของดีจึงแก้ห่อออกดู ก็เห็นดอกแลลายที่ห่อปักเปนรูปหงษ์ร่อนมังกรรำ แลประดับซับซ้อนงดงามจะหาที่เปรียบมิได้ พวกผู้คุมก็แย่งชิงกันดูเสียงอึกทึก จนรู้ถึงหูผู้คุมใหญ่ ก็วิ่งมาถามว่าพวกเหล่านี้ทำอะไรกัน พวกผู้คุมเหล่านั้นคุกเข่าลงบอกว่า ท่านผู้พิพากษาพึ่งส่งพระสงฆ์กับศิษย์มาสามคน สั่งให้พวกข้าพเจ้าคุมรักษาไว้ในนี้ เพราะเปนพวกโจรผู้ร้าย เธอเห็นพวกข้าพเจ้าเฆี่ยนสองสามที ก็เอาของสิ่งนี้ให้แก่พวกข้าพเจ้า หากพวกข้าพเจ้าจะฉีกแบ่งกันก็เสียดายท่านมาก็ดีแล้ว โปรดช่วยแบ่งให้แก่พวกข้าพเจ้าพอสมควรเถิด นายผู้คุมใหญ่จึงพิจารณาดูเห็นผ้ากาสาวะภัตผืนหนึ่ง จึงเปิดห่อออกดูก็เห็นมีหนังสือเดินทาง แลมีตราทุก ๆ เมืองประทับไว้เปนสำคัญจึงพูดว่า นี่หากเรามาดูก่อนมิฉนั้นก็จะเกิดเหตุ ด้วยพระสงฆ์พวกนี้มิใช่โจรผู้ร้าย อย่าได้ไปทำวุ่นวายแก่เข้าของๆ ท่าน จงเก็บห่อไว้เสียอย่างเดิม พรุ่งนี้ท่านผู้ชำระ ๆ อีกจึงจะได้ความแจ่มแจ้ง พวกคนเหล่านั้นได้ฟังผู้คุมใหญ่ว่าดังนั้น ก็เชื่อฟังจึงเก็บผ้ากาสาวะภัตแลสิ่งของเหล่านั้นไว้เสียยังเดิม เวลาพลบค่ำพวกกองตระเวรก็เที่ยวตรวจตราจนสามยาม เห้งเจียเห็นคนเหล่านั้นหลับนอนหมดแล้วก็ตรึกตรองว่า อาจาริย์ของเราวันนี้เคราะห์ร้ายต้องจองจำธรมานทุกข์คืนหนึ่ง เพราะฉนั้นตัวเราจึงไม่พูดออกมาได้ เวลานี้ก็เข้ายามสามเปนเวลาที่อาจาริย์จะสิ้นเคราะห์แล้ว เราจำจะต้องไปตรวจดูให้รู้เหตุ เวลาเช้าจะได้แก้ไขให้อาจาริย์เราออกได้ คิดดังนั้นแล้วก็แปลงตัวเปนแมลงหวี่บินลอดมาตามรูกะเบื้อง แลไปก็เห็นแสงดาวเดือนสว่างไปทั้งท้องฟ้า จำทางได้ก็บินตรงไปยังบ้านเสรฐีเข่าญวนหลาย มาถึงบ้านหนึ่งอยู่ใกล้แก่บ้านเสรฐี บินลงจับ่ที่ประตูบ้านเห็นแสงไฟสว่าง อันที่จริงเปนบ้านที่เขาทำเต้าหู้ แลเห็นตาเฒ่ากำลังใส่ไฟ ยายเฒ่ากำลังคลุกถั่วจะทำเต้าหู้ ตาเฒ่าจึงร้องเรียกยายเฒ่าพูดว่า ท่านเสรฐีเข่าญ่วนหลายมีบุตร์มีทรัพย์แต่อายุน้อย เรากับเสรฐีเวลายังเยาว์อยู่ด้วยอันเคยไปเรียนหนังสือด้วยกัน เราแก่กว่าเขาห้าปี บิดาเราเรียกเข่าเม้งมีนาสิบเก้าไร่ ให้เขาเช่าเก็บเงินก็ไม่ค่อยจะได้ เข่าญ่วนหลายอายุได้ยี่สิบปี บิดาเธอก็ถึงแก่กรรม เธอรักษาความสุจริตก็เปนกุศลฉะตาขึ้นไปขอเมียซึ่งเปนบุตร์สาวของท่านเตียวอ้อง เรียกนามว่าชวนจำ เข่าญ่วนหลายตั้งแต่ไปอยู่บ้านภรรยา ไร่นาก็ทำได้ผลให้เขาเช่าก็เก็บได้ ตั้งแต่นั้นมาก็มั่งมีเงินทองมาก หลายสิบหมื่นตำลึง อายุเธอได้สี่สิบเสศก็กลับใจเข้าในทางกุศล ตั้งอัทธิฐานถวายเข้าแจสงฆ์หมื่นรูป เวลากลางคืนบังเอินมีโจรเข้าปล้น พวกโจรเตะตาย คิดดูก็น่าสงสาน ปีนี้อายุเธอพึ่งได้หกสิบสองปี ควรจะได้รับซึ่งความศุขก็หารู้ไม่ว่าการกุศลกลับให้โทษร้ายดังนี้น่าสังเวศนัก เห้งเจียเงี่ยหูฟังได้ยินทุกประการแล้ว เวลานั้นก็จวนจะรุ่ง เห้งเจียก็บินเข้าไปในบ้านเข่าญ่วนหลาย แลไปก็เห็นห้องกลางตั้งศพเข่าญ่วนหลายมีเครื่องประดับแลดอกได้สีต่างๆ ตั้งธูปเทียนบูชา ยายเฒ่าภรรยาก็ร้องไห้อยู่ข้างโลง บุตร์ชายทั้งสองก็มานั่งร้องไห้คร่ำครวน ลูกสะใภ้ก็ยกเข้ามาเส้น เห้งเจียจับอยู่หัวโลง ก็ทำกระแอมไอขึ้นทีหนึ่งลูกสะใภ้ทั้งสองคนก็ตกใจ วิ่งล้มไม่เปนสมประดี บุตร์ชายทั้งสองก็ตกใจกลัว ก้มหน้าฟุบลงกับพื้นไม่กล้ากระดุกกระดิก ร้องว่าบิดาทำไมหลอกข้าพเจ้าเล่า แต่ยายเฒ่าใจกล้าเอามือตบเข้าที่หัวโลงทีหนึ่ง ร้องถามว่าท่านเข่าญ่วนหลายจะกลับเปนมาแล้วหรือ เห้งเจียทำเปนพูดแทนว่าเรายังไม่เปนดอก บุตร์ชายก็ตัวสั่นไม่เปนสมประดี ยายเฒ่าสกดใจถามว่าท่านเข่าญ่วนหลายไม่กลับเปนทำไมจึงพูดได้เล่า เห้งเจียพูดว่าพระยามัจุราชให้ยมพบาลพาตัวเรามาบ้าน จะบอกให้รู้เหตุการว่านางชวนจำ ปากเราะร้ายทำฆ่าคนไม่มีโทษ ยายเฒ่าได้ฟังเรียกชื่อเดิมก็ตกใจกลัวคุกเข่าลงกับพื้นทำเคารบถามว่าท่านตาอายุข้าพเจ้าก็มากแล้ว ทำไมจึงมาเรียกชื่อเดิมเราเล่าแลว่าอะไรที่ไหนทำฆ่าคนไม่มีโทษ เห้งเจียพูดว่าทำไมจึงว่าพระถังซัมจั๋งถือคบไฟ โป๊ยก่ายร้องฆ่าคน ซัวเจ๋งปล้นเอาเข้าของเงินทองไป เห้งเจียเตะเสรฐีตาย เจ้าเอาที่ไหนมากล่าวดังนี้ เหตุที่กล่าวเท็จทำให้คนดีต้องรับโทษธรมาทุกข์ พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามเดินไปตามทาง พบโจรผู้ร้ายเอาเข้าของเงินทองของเราไป ศิษย์ของพระถังซัมจั๋งจึงแย่งเอาทรัพย์ของเราคืนมาได้ ปราถนาจะเอากลับมาคืนให้แก่เรา เพื่อจะตอบแทนคุณเรา ทำไมพวกเจ้าจึงคิดใส่ความทำเรื่องราวฟ้องร้องกล่าวโทษเธอยังโรงศาล ผู้ชำระก็หาได้ไต่ตรองให้ถี่ถ้วนไม่ จับเธอไปคุมขังกระทำเธอให้ได้รับความเดือดร้อน เพราะฉนั้นจึงได้ร้อนถึงเจ้าเจตะคุกแลพระภูมิ์เจ้าที่พากันนั่งไม่เปนศุข จึงร้อนถึงพระยามัจจุราช ๆ จึงให้ยมพระบาลคุมเรามาบอกพวกเจ้าให้รู้สึก รุ่งพรุ่งนี้จงไปปล่อยเธอทั้งสี่คนออก ถ้าไม่ทำดังนั้นเราจะอยู่รบกวนเจ้า เอาทั้งบ้านไม่ว่าผู้ใหญ่เด็กหมูหมาเป็ดไก่ให้วินาศทั้งสิ้นมิให้เหลือหลอ

เข่าเหลียงเข่าต๊งทั้งสองได้ฟังดังนั้น ก็เอาศีศะโขกลงกับพื้นร้องไห้อ้อนวอนว่า ขอบิดาได้กลับไปเถิดอย่าทำอันตรายแก่พวกข้าพเจ้าเลย รุ่งพรุ่งนี้ลูกจะไปยังศาลขอถอนฟ้อง แลท่านทั้งสี่นั้นจะทำความเคารพมิให้ได้ความเดือดร้อนต่อไป เห้งเจียจึงว่าถ้ากระนั้นจงเผากระดาษเงินกระดาษทองเราจะกลับไป พวกในบ้านไม่ว่าเด็กแลผู้ใหญ่พากันออกมาเผากระดาษ เห้งเจียก็บินกลับไปยังบ้านตุลาการ เห็นผู้พิพากษาตื่นแล้วเดินออกมาล้างหน้า เห้งเจียบินเข้าไปจับห้องในเห็นมีโคมไฟตามอยู่ แลไปที่ฝาเห็นมีฉากแขวนอยู่ เขียนเปนรูปขุนนางขี่ม้ามีคนตามหลังสองคน ๆ หนึ่งถือร่มกาง คนหนึ่งแบกเก้าอี้ ข้างน่าฉากตั้งที่บูชา เห้งเจียพิศดูก็หารู้ว่าเปนรูปผู้ใดไม่ บังเอินผู้พิพากษาเดินกลับเข้ามาเช็ดหน้า เห้งเจียกระแอมขึ้นคำหนึ่ง ผู้พิพากษาก็ตกใจหวั่นหวาด รีบเดินเข้าในห้องสวมเสื้อยาวแล้วก็เดินออกมาที่หน้าโต๊ะบูชาจุดธูปเทียน บ่นว่าท่านลุงเกียงกงเจียน ข้าพเจ้าผู้หลานเกียงคุมซัมเหตุกุศลเข้าสอบไล่ได้ที่กุยกะนีกเรียนที่สาม บัดนี้ได้เปนขุนนางตำแหน่งผู้พิพากษา ข้าพเจ้าก็กระทำความเคารพจุดธูปเทียนบูชาอยู่ทุกเวลา วันนี้ทำไมจึงมีเสียงดังขึ้น ขอท่านลุงอย่าได้เปนผีปิศาจเลยคนทั้งหลายจะตกใจกลัว เห้งเจียนึกหัวเราะอยู่ในใจก็รู้ได้ว่ารูปในฉากนั้นเปนรูปลุงของผู้พิพากษา จึงร้องเรียกว่าเกียงคุนซัม ตัวได้เปนขุนนางตำแหน่งผู้พิพากษาก็โดยได้พึ่งกุศลของปู่ย่าตายาย เปนขุนนางที่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ทำไมวันวานนี้จึงไม่รู้ จับเอาท่านทั้งสี่นั้นลงโทษว่าเปนโจร ทำไมจึงมิได้ไตร่ตรองเค้ามูลเหตุเดิมมาอย่างไร เพราะเหตุเอาเธอไปขังไว้ จึงร้อนถึงเจ้าเจตะคุกแลพระภูมิ์เจ้าที่อยู่ไม่ศุข ร้อนถึงพระยามัจจุราช ๆ ให้ยมพระบาลคุมตัวเรามาบอกแก่หลานให้ทราบ จงไตร่ตรองข้อความให้ละเอียด จงรีบปล่อยเธอทั้งสี่นั้นออก ถ้ามิฉนั้นจะเอาตัวหลานไปยังนรกชำระ ผู้พิพากษาได้ฟังก็สะดุ้งจึงยกมือขึ้นเคารพพูดว่า ขอท่านลุงจงกลับไปเถิด หลานจะออกที่ชำระปล่อยท่านทั้งสี่นั้นให้ออกพ้นจากขัง เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นจงเผากระดาษเราจะบอกแก่พระยามัจจุราชให้รู้เหตุ ผู้พิพากษาก็เผากระดาษส่งไป เห้งเจียจึงบินออกจากบ้านผู้พิพากษา เวลานั้นแสงอาทิตย์ส่องสว่างก็บินเลยไปบ้านตี้เลงกุ้ย แลเห็นพวกกรมการทั้งหลายกำลังประชุมกันณะศาลากลาง เห้งเจียคิดว่าถ้าจะพูดขึ้นด้วยแปลงอย่างนี้จะเปนการไม่ดี คิดแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศแปลงเปนรูปใหญ่ เอาเท้าห้อยลงมากลางศาลา ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า พวกกรมการทั้งหลายจงคอยฟังเราคือพระอินทร์ให้เราลงมา ตัวเราคือเทพารักษ์ลาดตระเวร ว่าในเมืองนี้จำขังคนไม่มีโทษผิดกับลูกพระตะถาคตเฆี่ยนตี กระทำให้หวาดไหวไปทั้งสามภพ เทพบุตทั้งหลายพลอยร้อนไม่เปนศุข สั่งให้เรามาบอกแก่พวกท่านว่า รุ่งเช้าจงรีบปล่อยท่านทั้งสี่นั้นออก แม้ว่าชักช้าไปสั่งให้เราเอาเท้ากระทืบศาลให้แหลกทะลายไปทั้งสิ้น แลให้เหยียบกรมการเสียให้ตายทั้งเมืองไม่เลือกว่าใหญ่น้อย ทั้งไพร่บ้านพลเมืองไม่ให้เอาไว้ ทั้งป้อมแลกำแพงก็ให้เหยียบทำลายเสียให้สิ้น

ฝ่ายพวกกรมการทั้งหลาย เมื่อได้ฟังแลได้เห็นดังนั้น ต่างก็ตกใจกลัวทุก ๆ คน ก็พร้อมกันลงคุกเข่าพะนมมือคำนับแล้วพูดว่า ขอเชิญท่านกลับไปเถิด จงงดโทษข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย พวกข้าพเจ้าจะได้พร้อมกันไปหาผู้รักษาเมือง แลผู้พิพากษาให้รีบปล่อยมิให้ช้าได้ เห้งเจียเห็นพวกกรมการอ่อนน้อมดังนั้นแล้ว ก็แปลงกลับเปนแมลงหวี่ตามเดิม บินกลับเข้าไปในห้องขังคอยฟังว่าพวกเจ้าเมืองกรมการจะทำประการใด

ฝ่ายผู้พิพากษาเวลารุ่งเช้าออกนั่งศาลจะใคร่ให้ป้ายสัญญาเปิดพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามออกจะได้พิจารณาให้ได้ความเท็จแลจริง ก็พอบุตร์ชายเสรฐีทั้งสองเข้ามาร้องถอนฟ้อง ผู้พิพากษาได้ฟังก็โกรธพูดว่า เมื่อวานนี้เจ้าเอาเรื่องราวมาฟ้องร้อง เราก็ให้คนตามจับพวกผู้ร้ายมาให้แล้ว แลทรัพย์ของกลางก็ได้แล้ว เหตุใดจึงจะมาถอนฟ้องดังนี้เล่า เข่าเหลียงเข่าต๊งบุตร์เสรฐีทั้งสองคนร้องไห้แล้วเล่าเนื้อความที่บิดาเปนปิศาจมาเล่าบอกให้ฟังทุกประการแล้ว จึงร้องขอว่าท่านได้โปรดด้วยเถิด ผู้พิพากษาได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าบิดาของเขาพึ่งตายใหม่ ๆ จะเปนปิศาจมาบอกเล่าก็ควรอยู่ ลุงของเราตายไปหกเจ็ดปีแล้ว ทำไมเมื่อคืนนี้จึงมาบอกให้เราพิจารณาให้ละเอียด ดูก็เปนน่าพิศวงมากอยู่ หากจะพิเคราะห์ดูพวกสงฆ์เหล่านี้ ถ้าเปนโจรผู้ร้ายก็คงจะหลบหนีไป เหตุใดจะกลับมาดังนี้ หากจะจับผิดตัวไปเปนแน่ กำลังตรึกตรองอยู่ดังนั้นก็พอเห็นพวกกรมการแลขุนนางใหญ่น้อยทั้งหลายเดินตรงเข้ามาคำนับแล้วพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้พิพากษาที่จับพวกพระสงฆ์ทั้งสี่ไว้นั้นเห็นจะไม่ดีเสียแล้ว เมื่อเวลาเช้านี้เง็กเซียงฮ่องเต้ใช้ให้เทพารักษ์ลงมาสั่งว่าให้ปล่อยพระสงฆ์ที่จำขังไว้นั้นโดยเร็ว พระสงฆ์เหล่านั้นมิใช่โจรผู้ร้าย คือเปนพระสุจริตไปอาราธนาพระธรรม หากว่าทิ้งไว้ให้เนิ่นช้าจะทะลายบ้านเมืองแลเหยียบย่ำผู้คนชายหญิงให้ตายเสียทั้งเมือง ผู้พิพากษาได้ฟังดังนั้นก็ตกตลึงไปเปนนาน ครั้นได้สติจึงสั่งผู้คุมให้รีบไปถอดพระถังซัมจั๋งกับศิษย์มาโดยเร็ว พวกผู้คุมก็ไปถอดตามสั่ง โป๊ยก่ายเปนทุกข์บ่นว่าวันนี้จะชำระประการใดก็ยังไม่รู้ จะเฆี่ยนหรืออย่างไรอิกเปนแน่ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เราจะรับประกันให้ว่าแต่สักทีเดียวก็จะไม่ต้องถูกตี เราได้จัดแจงไว้เรียบร้อยดีแล้ว หากว่าขึ้นไปบนศาลอย่าทำคำนับ พวกเหล่านั้นคงต้องลงมาเชิญเราขึ้นไปนั่งที่อันสมควร เราจะแผลงฤทธิ์ให้พวกเหล่านั้นกลัวเราไปทั้งสิ้น พูดยังไม่ทันจะขาดคำ พวกขุนนางกรมการก็ลงมาคำนับเชิญทุก ๆ คน พูดว่าเมื่อเวลาวานนี้ท่านพระอริยะสงฆ์มามีของกลางมาด้วย ก็ยังหาได้พิจารณาไม่ พระถังซัมจั๋งพนมมือเล่าความตามที่ได้มาพบพวกโจรให้กรมการฟังทุกประการ ขุนนางทั้งหลายพร้อมกันพนมมือพูดว่า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายผิดแล้วย่อมมีโทษทุกคน เห้งเจียเดินเข้ามาใกล้พูดตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ม้ากับเข้าของ ๆ เราจงรีบส่งมาโดยเร็ว วันนี้เราจะชำระพวกเจ้าที่เอาโทษร้ายมาใส่เราคนดี ๆ ว่าเปนโจรผู้ร้าย พวกเจ้าจะมีโทษประการใด พวกขุนนางกรมการทั้งหลายเห็นเห้งเจียทำกิริยาดุร้ายดังนั้นก็พากันตกใจกลัวทุก ๆ คน จึงรีบเอาเข้าของแลม้ามาคืนให้ เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งสามต่างคนก็กระทำกิริยาดุร้าย พวกขุนนางกรมการแก้ตัวว่าพวกเสรฐีมายื่นฟ้องกล่าวโทษจึงได้ทำ พระถังซัมจั๋งพูดห้ามสานุศิษย์ว่าถ้าดังนี้จะไม่แจ่มแจ้ง พวกเราพากันไปที่บ้านเสรฐีซักไซ้ไล่เลียงดูว่า ผู้ใดเห็นว่าพวกเราเปนโจรผู้ร้าย เห้งเจียพูดว่าพระอาจาริย์ว่าดังนั้นถูกแล้ว ข้าพเจ้าจะทำให้เสรฐีฟื้นขึ้นแล้วจะได้ถามเธอดูว่าผู้ใดตีเธอตาย ซัวเจ๋งก็อุ้มพระอาจาริย์ขึ้นบ่าพากันไปบ้านเสรฐี ฝ่ายขุนนางกรมการก็พร้อมกันตามพระถังซัมจั๋งมายังบ้านเสรฐี

ฝ่ายลูกเสรฐีทั้งสองคนแลเห็นก็ลนลานพากันออกมารับยังประตูบ้าน คนในบ้านเสรฐีไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ไว้ทุกข์ทุก ๆ คน เห้งเจียตรงเข้าไปถามว่า ผู้ใดเปนต้นคิดเอาความร้ายใส่ให้พวกเราทั้งนี้ เห้งเจียห้ามคนในบ้านเสรฐีทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ว่าเจ้าอย่าร้องไห้ จงคอยเราจะเข้าไปพาตัวท่านเสรฐีมาถามดูว่าผู้ใดฆ่าเธอให้ถึงแก่ความตาย จะได้ทำให้มันอายเล่น พวกขุนนางได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็เข้าใจว่าพูดเล่น เห้งเจียจึงพูดว่าเชิญท่านทั้งหลายนั่งพูดเล่นเปนเพื่อนอาจาริย์สักประเดี๋ยว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งจงอยู่รักษาอาจาริย์ให้จงดี เราจะไปสักประเดี๋ยวจะกลับมา เห้งเจียสั่งเสร็จแล้วก็เดินออกนอกประตูบ้านเหาะขึ้นไปบนอากาศ คนทั้งหลายเห็นดังนั้นก็พากันจุดธูปเทียนนมัศการบูชา พากันเข้าใจว่าท่านพวกนี้เปนผู้วิเศษ

ฝ่ายเห้งเจียเหาะตรงลงไปยังเมืองนรก ครั้นถึงประตูเมืองก็ตรงเข้าไปยังตำหนักเซียมหลอเต้ยที่อยู่แห่งพระยาเงียมฬ่ออ๋อง ๆ แลเห็นตกใจลุกลงจากที่นั่งมาต้อนรับ ถามว่าท่านไต้เซียลงมาถึงนี่มีธุระอันใดหรือ เห้งเจียตอบว่าท่านเสรฐีเข่าญวนหลายที่อยู่เมืองทงท่ายฮู้ตำบลบ้านตี้เลงกุ้ยนั้นตายลงมาเดี๋ยวนี้วิญญาณไปอยู่ที่ไหน ขอให้พามาหาข้าพเจ้าสักหน่อยเถิด พระยาเงียมฬ่ออ๋องตอบว่า ท่านเสรฐีเข่าญ่วนหลายนั้นเปนคนใจบุญไม่มีผู้ใดจับเธอมา เธอมาโดยลำพังถึงนี่พบกับกิมอี้ท่งจื้อนำไปหาพระโพธิสัตว์ตี้จองอ๋องแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ลาเงียมฬ่ออ๋องตรงไปยังตำหนักจุ๊ยหุนเกง ครั้นถึงตรงเข้าไปกระทำนมัศการพระโพธิสัตว์ตี้จองอ๋อง แล้วจึงเล่าเรื่องเสรฐีเข่าญ่วนหลายให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ พระโพธิสัตว์ได้ฟังก็มีความยินดีพูดว่า เสรฐีเข่าญ่วนหลายนี้อายุในมนุษย์โลกก็ถึงเวลาแล้ว เพราะฉนั้นเมื่อเวลาจะถึงแก่มรณะกรรมก็มิได้เจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ อาตมะเห็นเธอเปนคนใจบุญใจกุศลจึงให้เธอเปนพนักงานบาญชีกุศล หากท่านใต้เซียจะมาเอาเธอกลับไปยังมนุษย์โลก อาตมะจะเพิ่มอายุให้อีกรอบหนึ่ง ให้เธอตามไต้เซียกลับไป พระโพธิสัตว์จึงให้กิมอี๊ท่งจื้อนำเสรฐีเข่าญ่วนหลายออกมาพบแก่เห้งเจีย เสรฐีเห็นเห้งเจียก็ร้องว่าท่านอาจาริย์ช่วยข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด เห้งเจียว่าท่านถูกโจรเตะตายลงมาที่แห่งนี้คือเมืองนรก บัดนี้พระโพธิสัตว์ปล่อยให้ท่านไปยังมนุษย์โลกเพิ่มอายุให้ท่านอีกรอบหนึ่งถึง ๑๒ ปี แล้วจึงกลับลงมา ฝ่ายเสรฐีเข่าญ่วนหลายได้ฟังดังนั้นก็ขอบคุณนมัศการลาพระโพธิสัตว์ เห้งเจียก็ลาพระโพธิสัตว์นำเอาวิญญาณจิตร์เสรฐีร่ายคาถาวิเศษเป่าแปรลมยัดใส่ในมือเสื้อแล้ว ก็เหาะกลับยังมนุษย์โลก ครั้นถึงก็ลดลงยังพื้นเดินเข้าบ้านเสรฐี เรียกโป๊ยก่ายให้แก้ปลอกมัดโลงแล้วเห้งเจียจึงเอาวิญญาณปล่อยเข้าในรูปกายของเสรฐี บัดเดี๋ยวลมแลโลหิตก็เดินทั่วกาย รู้สึกผุดลุกขึ้นออกมาจากโลง เดินมาทำคำนับพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม แล้วพูดว่าท่านอาจาริย์ตัวข้าพเจ้าตายลงไปยังเมืองนรก ได้พึ่งสานุศิษย์ใหญ่ของท่านช่วยให้กลับเปนขึ้นดุจดังว่าเกิดใหม่ พระเดชพระคุณหาที่เปรียบมิได้ แลหันไปเห็นขุนนางเจ้าเมืองกรมการทั้งหลายนั่งอยู่พร้อมหน้า เสรฐีเข่าญ่วนหลายจึงกระทำคำนับทุก ๆ คนแล้ว จึงถามว่าท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายทำไมจึงมาพร้อมกันอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าเล่า พวกเจ้าเมืองกรมการ จึงเล่าความให้เสรฐีฟังตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการ เสรฐีได้ฟังก็คุกเข่าลงคำนับพูดว่า ท่านเล่าเอี๊ยได้ทราบที่ใส่โทษเอาท่านทั้งสี่นั้นผิดไป เมื่อคืนวันที่พวกโจรมาปล้นบ้านข้าพเจ้านั้น ประมาณสามสิบคนจุดคบไฟถืออาวุธโห่ร้องอึกทึกเข้ามาปล้นเอาเข้าของ ๆ ข้าพเจ้า ๆ จึงออกมาดูแลพูดจาตามธรรมเนียมก็หาทันจะรู้สึกไม่ว่าพวกโจรเตะข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย ไม่เกี่ยวข้องอะไรแก่ท่านทั้งสี่นี้เลย พูดแล้วเสรฐีก็เรียกบุตร์ภรรยาออกมาพร้อมกัน แล้วบอกแก่ผู้พิพากษาว่า ขอท่านให้โปรดปรับโทษตามการเถิด เวลานั้นคนในบ้านเสรฐีทุกคนออกมาทำความเคารพขอลุขโทษตัวทุก ๆ คน

ฝ่ายผู้พิพากษาเห็นดังนั้น ก็ยกโทษให้ทุก ๆ คน เสรฐีจึงให้จัดเครื่องโต๊ะสามโต๊ะเลี้ยงเปนการขอบคุณ ต่างรับประทานอาหารแล้วก็พากันกลับไปบ้าน รุ่งขึ้นวันที่สองเสรฐีจัดให้จัดหาเครื่องแจถวายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสาม แล้วนิมนต์ให้หยุดพักอยู่ก่อน พระถังซัมจั๋งไม่ยอมอยู่ เสรฐีจึงให้เป่าร้องวงษ์ญาติแลชาวบ้านให้จัดแจงธงเทียวแห่ส่งอิกเหมือนเช่นครั้งก่อน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ