- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๓๘
บัดเดี๋ยวก็ถึงพระนคร เข้าประตูเมืองเลยไปยังประตูหลังวังใน เข้าไปในวัง เวลานั้น นางฮ่องเฮ้าออกมานั่งอยู่ที่หอเย็น มีสาวใช้เฝ้าอยู่ด้วยสองสามคน นางกำลังคร่ำครวญโศกศัลอยู่ โดยเหตุที่ทรงพระสุบินฝันไปถึงพระราชสามี พอไท้จื๊อเข้าไปถึงคุกเข่าลงคำนับร้องเรียกว่าพระมารดา ฮ่องเฮ้าเงยพระภักตร์แลไปเห็นไท้จื๊อ ออกพระโอฐว่าลูกแม่ดีแล้วดีแล้ว สองสามปีแล้วไม่ได้พบเห็น แม่คิดถึงเปนที่สุด วันนี้ทำไมจึงมาหาแม่ได้เล่า เขาไม่ห้ามปรามดอกหรือ ไท้จื๊อเคารพแล้วพูดว่า ลูกมีธุระจะพูดด้วยพระมารดา ขอจงบอกคนเหล่านี้ให้ออกไปเสียก่อน ฮ่องเฮ้าจึงบอกให้สาวใช้เหล่านั้นออกไปเสียแล้ว ไท้จื๊อพูดว่าขอพระมารดาได้โปรดยกโทษให้ลูกเถิด ลูกจึงจะพูดได้ ฮ่องเฮ้าตรัสว่าแม่ลูกกันทำไมไม่กล้าพูดเล่า เจ้าจงพูดไปเถิด ไท้จื๊อถามว่า พระมารดาอยู่กินอบรมณ์กับพระราชบิดาเมื่อสามปีก่อนกับสามปีหลังนั้นมีความผิดแปลกพระไทยอย่างไรบ้าง
ฮ่องเฮ้าได้ฟังไท้จื๊อทูลถามดังนั้น ให้หวาดหวิวในพระไทยตกตลึงไปเปนครู่ จึงลุกมากอดไท้จื๊อไว้กับอก น้ำพระเนตรตกลงพราก ๆ จึงค่อยกระซิบแต่เบาๆ ถามว่า นี่ลูกไปเอาเหตุการที่ไหนมาถามแม่ แม้ว่าเจ้าไม่ถามแม่ ถึงแม่ตายไปเมืองนรกแล้ว ความเรื่องนี้ก็ไม่แจ่มแจ้งว่ากระไรเลย แม่จะเล่าให้พ่อฟัง เมื่อสามปีก่อนจะอยู่กินด้วยกันอบอุ่นสุขุมดี เมื่อสามปีหลังมาจนบัดนี้ ความสัมผัศถูกต้องรู้สึกว่าเย็นดุจน้ำแข็งแลกระด้างขัดแข็ง ถามเธอ ๆ ก็บอกว่าอายุมากกำลังก็ถอยไป ไท้จื๊อเมื่อได้ฟังพระราชมารดาเล่าให้ฟังดังนั้นก็เคารพจะลาไป ฮ่องเฮ้าจึงยึดไว้ถามว่ามีกิจธุระจะทำไมหรือ เหตุใดไม่พูดให้หมดความจะด่วนไปข้างไหน ไท้จื๊อทูลว่าลูกไม่อาจอยู่ช้า ด้วยเมื่อเช้านี้มีรับสั่งให้ออกไปป่าไล่เนื้อ บังเอินไปพบพระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ชื่อเห้งเจีย จะไปไซทีอาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม เห้งเจียมีฤทธาอานุภาพอาจปราบภูตผีปิศาจได้ เหตุด้วยพระราชบิดาตายอยู่ที่ในสวน ที่บ่อโป๊ยกั๊กลิวลี่แจ๊ ช่วนจินแปลงเปนพระราชบิดาชิงราชสมบัติตั้งตั้วอยู่บัดนี้ เมื่อคืนนี้ในเวลาสามยามพระราชบิดาไปเข้าฝัน เชิญเธอทั้งสองมายังเมืองจับปิศาจ พระราชบิดาให้หยกขาวแก่พระถังซัมจั๋งไว้เปนสำคัญ ลูกก็ไม่สามารถจะเชื่อได้ จึงได้เข้ามาถามพระมารดาก็ได้ทราบเหตุการดังนี้ จึงแน่ใจว่าปิศาจจริงไม่สงไสย จึงส่งหยกขาวให้พระราชมารดาทอดพระเนตร ฮ่องเฮ้ารับหยกมาดูก็รู้แน่ว่า เปนของพระราชสามีก็ทรงพระกันแสง บอกไท้จื๊อว่า เมื่อคืนนี้เวลาย่ำรุ่งพระบิดาของเจ้ามายืนอยู่ต่อหน้าแม่นี้ เปียกน้ำทั้งพระองค์ บอกว่าเธอสิ้นพระชนม์แล้ว วิญญาณจิตรของเธอไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้ช่วยมาปราบปรามปิศาจ เธอเล่าบอกให้ฟังทุกประการ จำได้บ้างลืมไปเสียบ้าง เวลานี้กำลังตรึกตรองอยู่ บังเอินเจ้าเข้ามาพูดดังนี้ แลทั้งได้เพ็ชร์นั้นมาด้วย แม่จะขอเอาเพ็ชร์นั้นไว้ก่อน ลูกจงไปเชิญพระถังซัมจั๋งเข้ามา จะได้คิดอ่านกำจัดปิศาจนั้นเสีย เพื่อได้รู้ความเท็จจริง แลจะได้แก้แค้นแทนบิดาด้วย
ไท้จื๊อได้ฟังพระราชมารดาสั่งสอนดังนั้น ก็รีบทูลลากลับออกมาขึ้นม้า ตรงไปยังวัด (โป๊ลิ่มยี่) ลงจากม้าเข้าไปหาพระถังซัมจั๋งแต่พระองค์เดียว ครั้นถึงจึงคำนับเห้งเจีย ๆ จับมือไท้จื๊อถามว่า พระองค์ไปพบพระราชมารดาได้ความประการใด ไท้จื๊อแจ้งความว่า ข้าพเจ้าได้ถามพระราชมารดาแล้ว พระองค์ทรงเล่าความฝันให้ฟังไม่ผิดเพี้ยนตรงกันทุกประการตามที่ท่านเล่าบอก เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า การก็นานมาถึงสามปีแล้วก็เงียบสงบอยู่ไม่มีผู้รู้เหตุ ขอไท้จื๊ออย่ารีบร้อนจะเสียการ ไว้ธุระข้าพเจ้าจะคิดกำจัดปิศาจนั้นให้จงได้ เวลานี้ก็จวนค่ำแล้ว พระองค์จงรีบกลับไปเมืองก่อน คอยรอเวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไป
ไท้จื๊อพูดว่า มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าออกมาไล่เนื้อ ในวันนี้ก็ไม่ได้สัตว์สักตัวเดียว จะกลับเข้าไปก็ยากอยู่ เห้งเจียพูดว่าทำไมจึงไว้ให้จวนเวลาอย่างนี้ พูดแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ ร่ายพระคาถาเรียกเจ้าที่เจ้าเขาเจ้าป่ามาพร้อมกันในทันใดนั้น เห้งเจียพูดว่า ขอแรงเจ้าเขาเจ้าป่าทั้งหลาย ให้ช่วยไล่สัตว์ป่ามาให้ไท้จื๊อ เธอจะได้กลับเมือง เจ้าทั้งหลายได้ฟังคำสั่งเห้งเจียดังนั้น ต่างก็พากันไปให้พวกผีไล่ประเดี๋ยวใจ สัตว์ป่าต่าง ๆ ก็วิ่งมาเปนอันมาก เจ้าทั้งหลายก็มาคำนับบอกเห้งเจีย เห้งเจียก็ร่ายพระคาถาให้สัตว์เหล่านั้นอยู่ที่ข้างทาง เห้งเจียก็กลับลงมาบอกแก่ไท้จื๊อให้ไปจับสัตว์ป่าที่ข้างหน้านั้น
ไท้จื๊อจึงคำนับพระถังซัมจั๋งแลเห้งเจียแล้ว สั่งให้พวกทหารยกกลับเข้าเมือง ไท้จื๊อขี่ม้าขับพลเดินมาประเดี๋ยวหนึ่ง แลไปข้างหน้าก็เห็นสัตว์ป่ายืนอยู่มากมายหลายตัว พวกพลก็ดีใจพากันเข้าจับได้ต่างคนต่างร้องสรรเสริญว่า ไท้จื๊อมีบุญมากเทพยดาจึงไล่สัตว์มาให้ดังนี้ พวกเหล่านั้นก็หาได้รู้ว่าความสักสิทธิ์ของเห้งเจียไม่ พวกพลทหารพากันร้องเพลงรื่นเริงมาตามทาง
ฝ่ายเห้งเจียพระถังซัมจั๋งครั้นไท้จื๊อกลับไปแล้ว ก็พากันกลับเข้าไปพักยังหอพระธรรม ประมาณยามเศษเห้งเจียมีธุระในจิตรก็หลับไม่ลง จึงผุดลุกขึ้นมาเดินมาข้างเตียงพระถังซัมจั๋ง เรียกว่าพระอาจาริย์ข้าพเจ้ามีธุระอย่างหนึ่ง พระถังซัมจั๋งถามว่ามีธุระอะไรหรือ เห้งเจียว่าเมื่อกลางวันนี้พูดอวดแก่ไท้จื๊อว่า อันจะจับปิศาจนั้นดุจล้วงของในถุง ข้าพเจ้ามานึกขึ้นได้ว่า เห็นจะเปนการยากมากที่สุดเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่ายากด้วยเหตุอย่างไร เห้งเจียพูดว่าพระอาจาริย์ก็รู้แต่สวดมนต์ไหว้พระเท่านั้น หาได้รู้การผันแปรอะไรไม่ คำโบราณท่านว่าแม้จับโจรก็ต้องดูท่วงที ปิศาจนี้มันแปลงทำเปนพระเจ้าแผ่นดินสามปีแล้ว ได้ร่วมสำผัดสนมนางใน ขุนนางซ้ายขวาก็เปนที่รื่นเริงด้วยกันทั้งสิ้น แม้ว่าข้าพเจ้าจับได้ปิศาจนั้นก็จะไม่มีข้ออันใดคาดโทษลงได้ พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมจึงจะไม่คาดโทษลงได้ เห้งเจียพูดว่าปิศาจจะพูดว่าข้าพเจ้าไม่มีผิดอะไร มาจับเขาเอาโทษอะไรมาชี้แจงให้เห็นเท็จแลจริง หากเขาจะพูดอย่างนี้เราจะเอาอะไรมาสำแดงเล่าดูไม่ชอบกล พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็สุดแต่เห้งเจียจะคิดอ่านให้การสำเร็จได้ก็แล้วกัน เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าได้คิดอุบายไว้อย่างหนึ่งเสร็จแล้ว แต่ยังวิตกด้วยพระอาจาริย์มีความป้องกัน พระถังซัมจั๋งถามว่าป้องกันด้วยเหตุอะไร เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายมีความถือตัวว่า อาจาริย์มีความลำเอียงเข้าแก่เธอมาก พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมไม่ลำเอียง เห้งเจียจะต้องประสงค์อย่างไรหรือ เห้งเจียจึงพูดว่าจะต้องทำการให้ทันในเวลานี้ คือข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายจะต้องเข้าไปในเมืองโอเกยก๊ก แลเข้าไปในสวนดอกไม้ที่บ่อ (โป๊ก๊กลิวลี่แจ๊) ค้นหาซากศพเอามา พรุ่งนี้เราพากันเข้าไปในเมืองทำเปนจะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง แม้เห็นปิศาจได้เข้าไปใกล้ถึงแล้ว ข้าพเจ้าจะตีด้วยกระบอง แม้ว่าปิศาจจะมีความโต้ตอบว่ากะไร เราเอาศพนั้นให้เธอดู แลพูดว่า มึงฆ่าพระเจ้าแผ่นดินแล้วแปลงตัวปลอมเข้านั่งเมือง แล้วให้ไท้จื๊อออกมาร้องไห้ดูศพพระราชบิดา แลให้ฮ่องเฮ้าออกมาพิจารณาดูพระศพพระราชสามี แลให้ข้าราชการดูพระศพเจ้านายของตัว ต้องกระทำอย่างนี้ข้าพเจ้าจึงจะลงมือกระทำได้ถนัด เพราะเรามีสิ่งสำคัญเปนพยานปรากฎมั่นคงแล้ว
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นึกยินดีอยู่ในใจจึงพูดว่า ซึ่งเห้งเจียคิดอ่านดังนี้ก็ดีแล้ว วิตกแต่โป๊ยก่ายจะไม่ยอมไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพูดว่าอาจาริย์คอยป้องกัน ทำไมพระอาจาริย์จึงรู้ว่าโป๊ยก่ายจะไม่ยอมไปเล่า แม้ว่าพระอาจาริย์ไม่ลำเอียงแล้ว อย่าว่าแต่โป๊ยก่ายคนเดียวเลย ให้อีกเก้าโป๊ยก่ายข้าพเจ้าก็มีปัญญาคิดให้ตามหลังข้าพเจ้าไปได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ตามใจเห้งเจียเห็นชอบเห็นควรอย่างใดก็จงทำเถิด เห้งเจียจึงเดินไปริมเตียงโป๊ยก่าย ร้องเรียกว่าโป๊ยก่ายจงลุกขึ้นเถิด โป๊ยก่ายขี้เซาไม่ลุก เห้งเจียเปิดมุ้งดึงใบหูให้ลุกขึ้น โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ป่านนี้แล้วก็ยังไม่นอน จะมาหยอกอะไรกันอยู่อิก นอนเอากำลังไว้พรุ่งนี้จะให้เดิน เห้งเจียพูดว่าไม่ใช่หยอกเล่น มีธุระสำคัญจะใคร่ให้โป๊ยก่ายไปด้วยกัน โป๊ยก่ายถามว่า มีธุระอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่า น้องไม่ได้ยินหรือเมื่อกลางวันนี้ไท้จื๊อเธอมาพูดแก่พระอาจาริย์ว่า ปิศาจนั้นมีของวิเศษวันพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปในเมืองก็คงจะไม่ทันต่อสู้กับปิศาจ แต่วิตกว่าปิศาจมีของวิเศษ ก็จะกลับให้ร้ายแก่พวกเรา จำเปนพวกเราจะต้องลงมือเสียก่อน ลักเอาของวิเศษนั้นมาเสียจะมิดีหรือ
โป๊ยก่ายว่า นี่พี่จะหลอกให้ข้าไปเปนโจรโขมยด้วยหรือ ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าไปด้วยไม่ได้ หากว่าไปกับพี่แม้ได้ของวิเศษมาข้าพเจ้าจะเอาเปนของข้าพเจ้า พี่จะยอมให้ข้าพเจ้าหรือ เห้งเจียบอกว่าพี่จะยอมให้ของวิเศษแก่น้อง ตัวพี่จะขอแต่ชื่อเสียงเท่านั้น โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ผุดลุกขึ้นหยิบเอาเสื้อใส่เสร็จแล้ว ก็พร้อมกันค่อย ๆ เปิดประตูออก เห้งเจียโป๊ยก่ายก็เหาะไปยังเมืองโอเกยก๊ก เวลานั้นตีกลองยามได้สองยาม โป๊ยก่ายเห้งเจียก็ลงเดินเข้าไปยังกำแพงชั้นในเผ่นขึ้นไปบนกำแพงแล้วโดดลงไปยังพื้น ก็พากันเดินเที่ยวค้นหาสวนดอกไม้ เห้งเจียเดินมาก่อนเห็นประตูลั่นกุญแจไว้แน่นหนา เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายให้ลงมือ โป๊ยก่ายเอาคราดสับกระชากประตูก็หักพังล้มลงไปสิ้น เห้งเจียกระโดดเข้าไปก่อน โป๊ยก่ายตกใจยึดเห้งเจียไว้ พูดว่าเราเปนโขมยทำอึกกระทึกอย่างนี้ เขารู้เขามิจับตัวเราไปชำระหรือ จะไม่ถึงความตายดอกหรือ เห้งเจียพูดว่าน้องยังไม่รู้ น้องจงพิเคราะห์ดูในสวนนี้ มีต้นผลไม้ดอกไม้ปลาดต่างๆ ดูงดงามหาที่เปรียบมิได้ โป๊ยก่ายว่าไปสนุกทำไมกับของเหล่านั้น รีบไปธุระของเราให้เสร็จจะได้กลับ เห้งเจียจึงคิดขึ้นได้ว่า พระอาจารย่ได้ฝันเห็นว่า ที่ใต้ต้นกล้วยนั้นมีบ่อ แลไปก็เห็นต้นกล้วยมีอยู่ต้นหนึ่ง เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายว่า ของวิเศษนั้นอยู่ใต้ต้นกล้วยนี้ จึงรีบลงมือขุดเถิด โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับลงกระชากต้นกล้วยล้มลงแล้วค่อย ๆ เอาปากคุ้ยดินขึ้นประมาณลึกสักสามสี่ศอก ก็แลเห็นมีแผ่นศิลาใหญ่ปิดขวางอยู่ โป๊ยก่ายดีใจพูดว่า พี่เห้งเจียเห็นจะมีของวิเศษจริง จึงมีแผ่นศิลาปิดอยู่อย่างนี้ เห้งเจียบอกว่าจงงัดเอาแผ่นศิลานั้นขึ้น โป๊ยก่ายก็เอาปากคุ้ยงัดแผ่นศิลานั้นขึ้นแล้ว เห็นมีแสงสว่างฟุ้งขึ้นมาเปนวาววับ โป๊ยก่ายดีใจว่าเปนของวิเศษ ครั้นพิจารณาดูก็เปนบ่อ ด้วยแสงพระจันทร์ส่องลงไปจึงได้มีแสงระยับขึ้นดังนั้น โป๊ยก่ายว่าถ้ารู้ว่าเปนดังนี้ เราได้ติดเอาเชือกมาด้วยก็จะดีได้ลงไป เห้งเจียถามว่าจะลงไปหรือ โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะลงไป เห้งเจียว่าถ้าจะลงไปก็ผลัดเสื้อกางเกงเสีย พี่จะทำให้ลงไปได้โป๊ยก่ายก็ผลัดเสื้อกางเกง เห้งเจียก็เอากระบองวิเศษออกร้องให้ยาว กระบองก็ยาวออกแปดเก้าศอก บอกโป๊ยก่ายให้กอดหัวกระบอง แล้วเห้งเจียก็ค่อย ๆ หย่อนลงไปในบ่อ ครั้นถึงหลังน้ำเห้งเจียร้องถามว่า เห็นของวิเศษหรือยัง โป๊ยก่ายว่าของวิเศษไม่เห็น ๆ แต่น้ำเท่านั้น เห้งเจียว่าของวิเศษนั้นจมอยู่ก้นบ่อ จงดำลงไปเอาขึ้นมา โป๊ยก่ายถนัดในการน้ำ เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ปล่อยจากกระบองดำมุดลงไป บ่อนั้นลึกลงไปยังบาดาร โป๊ยก่ายดำลงไปทีหนึ่งก็ลืมตาแลดูเห็นมีตึกสูง มีหนังสือจดไว้ที่น่าประตูว่าตำหนัก (จุ๊ยเจียเกง) โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ตกใจ สำคัญว่านี่เราออกท้องทะเลใหญ่ ด้วยเดิมโป๊ยก่ายก็มิได้รู้ว่าบ่อนั้นทะลุไปถึงบาดาร บังเอินบริวารพวกพระยานาคเที่ยวตระเวรตามชายทะเล มาพบโป๊ยก่ายเข้าก็รีบไปบอกแก่ฮั้ยเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปพบคนผู้หนึ่งปากยาวหูใหญ่แหวกน้ำเดินมาขอใต้อ๋องได้ทราบ
เล่งอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เห็นทีจะเปนพ่องง่วนโซ่ยเมื่อวานนี้ เทพารักษ์ได้มานำเอาวิญญาณจิตรของเจ้าเมืองโอเกยก๊กไปหาถังซัมจั๋ง บัดนี้จะมาถึงดอกกระมัง จึงเดินออกมาน่าตำหนักแลเห็นโป๊ยก่าย จึงเรียกว่าพี่พ่องง่วนโซ่ยเข้ามาพักข้างในก่อน โป๊ยก่ายแลไปเห็นเล่งอ๋องก็ค่อยดีใจด้วยคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน โป๊ยก่ายเข้าไปข้างในตัวยังเปียกน้ำอยู่ จึงคำนับแล้วเข้านั่ง เล่งอ๋องถามว่าข้าพเจ้าได้ยินว่า ท่านรักษาพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีอาราธนาพระธรรม ทำไมท่านจึงลงมาถึงที่นี่ได้ โป๊ยก่ายตอบว่า อันความจริงก็จริงดังท่านถาม แต่พี่ซึงหงอคงให้ข้าพเจ้าลงมาเอาของวิเศษอะไรที่ท่านก็ไม่รู้ เล่งอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะเอาของวิเศษอะไรที่ไหนมาให้ ไม่เหมือนท่านเล่งอ๋องตามมะหาสมุทใหญ่ เธอเหาะเหินเปลี่ยนแปลงรูปกายได้ จึงจะมีของวิเศษ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แต่ละวันก็มิได้เห็นจะเอาของวิเศษที่ไหนมา
โป๊ยก่ายพูดว่าท่านเล่งอ๋อง อย่าหลีกเลี่ยงไปเลย แม้มีแล้วจงเอาออกมาเถิด เล่งอ๋องพูดว่ามีก็มีอยู่สิ่งหนึ่งแต่เอาออกไม่ได้ ท่านง่วนโซ่ยไปดูเอาเองเถิด โป๊ยก่ายว่าดีแล้วๆ โป๊ยก่ายเดินตามเล่งอ๋องไปดู ครั้นถึงที่ห้องหอระเบียง เล่งอ๋องยกมือชี้ว่านี่แลของวิเศษแล้ว โป๊ยก่ายแลไปก็เห็นคนนอนอยู่บนเตียง ตัวยาวหกศอก เล่งอ๋องพูดว่านี่แลคือของวิเศษ โป๊ยก่ายเดินเข้าไปใกล้พิจารณาดู ก็เห็นเปนซากอาศพคนตาย บนศีศะสวมหมวกอย่างกระษัตริย์ พร้อมเครื่องแต่งตัวล้วนแต่เครื่องกระษัตริย์ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หวเราะแล้วพูดว่า ของวิเศษอย่างนี้เมื่อข้าพเจ้าอยู่เปนปิศาจ เอามากินเสียกระดูกกองเท่าภูเขา อย่างนี้จะว่าของวิเศษอะไรได้ เล่งอ๋องพูดว่า ท่านง่วนโซ่ยยังไม่ทราบ นี่แลคือพระเจ้าแผ่นดิน (โอเกยก๊ก) ตกลงมาในบ่อนี้ถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าเอาแก้ววิเศษใส่ปากไว้ รูปกายจึงยังไม่เน่าเปื่อยพอง อยู่มาได้จนทุกวันนี้ แม้ว่าท่านเอาขึ้นไปให้หงอคงบางทีจะหายาวิเศษแก้ฟื้นเปนขึ้นได้แล้ว สารพัดของวิเศษท่านจะปราถนาอย่างไรก็คงได้ทั้งสิ้น
โป๊ยก่ายพูดว่าถ้ากระนั้นท่านเล่งอ๋องกับข้าพเจ้าช่วยกันหามออกไป ท่านจะให้เงินข้าพเจ้าหรือ เล่งอ๋องพูดว่าความจริงนั้นเงินของข้าพเจ้าก็ไม่มี ข้าพเจ้าจะเอาที่ไหนมาให้ท่านเล่า โป๊ยก่ายพูดว่าท่านใช้คนทำไมไม่มีเงินเล่า ถ้าไม่มีเงินข้าพเจ้าก็ไม่หามละ
เล่งอ๋องพูดว่าท่านไม่หามก็เชิญออกไปเถิด โป๊ยก่ายก็เดินกลับออกไป เล่งอ๋องจึงเรียกบริวารสองคนให้หามศพนั้นออกไปนอกประตูแล้ว เอาแก้ววิเศษบังน้ำ โป๊ยก่ายหันหน้ามาดูก็ไม่เห็นห้องหอ เอามือไปคลำดูก็ถูกซากอาศพก็ตกใจ รีบโผล่ขึ้นบนหลังน้ำ เกาะอยู่ข้างริมบ่อร้องเรียกว่าพี่เห้งเจีย ส่งไม้กระบองลงมารับข้าพเจ้าด้วย เห้งเจียร้องถามลงไปว่า มีของวิเศษหรือเปล่า โป๊ยก่ายบอกว่าข้างก้นนั้นมีพระยานาคบอกให้ข้าพเจ้าหามศพคนตายขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่ยอมหาม เห้งเจียบอกว่านั่นแลของวิเศษแล้ว ทำไมจึงไม่หามขึ้นมาเล่า โป๊ยก่ายบอกว่าเปนขากศพเปรอะเปื้อนข้าพเจ้าจะหามอย่างไรได้ เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่หามศพขึ้นมาข้าจะกลับไปวัดนอนให้สบายใจดีกว่า
โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า พี่อย่าเพ่อไปคอยข้าพเจ้าก่อนจะกลับไปหามขึ้นมา โป๊ยก่ายดำลงไปคลำค้นพบแล้วก็พยุงยกขึ้นวางบนหลังแบกกลับขึ้นมา โผล่พ้นน้ำแล้วจึงร้องเรียกว่าพี่เห้งเจียส่งกระบองลงมารับทีเถิด เห้งเจียก็หย่อนกระบองลงไป โป๊ยก่ายก็อ้าปากกัดกระบอง เห้งเจียก็ค่อย ๆ ลากขึ้นมา โป๊ยก่ายก็วางซากศพนั้นลง เอาเสื้อผ้าผลัดเห้งเจียก็มาพิจารณาดู เห็นรูปกายก็ยังสดใสดุจคนเปน จึงหันหน้ามาพูดแก่โป๊ยก่ายว่า คนนี้ตายได้สามปีแล้วทำไมจึงไม่ซุดโซมเน่าเปื่อย โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ยังไม่รู้ที่ใต้บ่อนี้มีเล่งอ๋อง บอกแก่ข้าพเจ้าว่า เธอได้เอาแก้วมณีวิเศษใส่ไว้ในปากศพ รูปกายจึงมิได้ซุดโซม เห้งเจียว่าเหมาะแล้ว ๆ ข้อหนึ่งเธอยังมิได้แก้แค้น ข้อสองจะให้หากเราสำเร็จคิด โป๊ยก่ายจงรีบแบกไปเถิด
โป๊ยก่ายถามว่าจะให้แบกไปที่ไหน เห้งเจียว่าแบกกลับไปหาอาจาริย์ โป๊ยก่ายบ่นว่าเรากำลังนอนดี ๆ ถูกอ้ายหัวลิงมันหลอกว่ามีของวิเศษ แล้วมิหนำซ้ำใช้ให้เราแบกคนตายไปอีก เราไม่แบกไปแล้ว เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่แบกไป ก็จงนอนลงให้เราตีเสียยี่สิบที โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ไม้กระบองใหญ่แม้จะตียี่สิบที ก็จะเหมือนพระเจ้าแผ่นดินนี้เปนแน่ เห้งเจียพูดว่าแม้เจ้ากลัวตาย ก็จงรีบแบกศพนี้ไปโดยเร็วเถิดข้าจะได้ไม่ตี โป๊ยก่ายก็เข้าพยุงศพขึ้นบนหลังแบกออกจากสวนดอกไม้ เห้งเจียก็ร่ายพระคาถา บันดานเปนม้วนลมเป่าหอบเอาโป๊ยก่ายข้ามพ้นกำแพงเมืองออกมา เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ลงยังพื้นค่อยๆ เดินไป โป๊ยก่ายเดินพลางนึกแค้นใจว่าอ้ายลิงนี้มันธาระกรรมกู กูกลับไปถึงต่อหน้าพระอาจาริย์จะแก้แค้นมันบ้าง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงวัด เดินเข้ามาที่น่าหอ เอาศพวางลงที่น่าประตู แล้วร้องเรียกว่าอาจาริย์ลงมาดูเถิด พระถังซัมจั๋งถามว่าดูอะไร โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ทราบว่าปู่ย่าตายายหรือชวดอะไรของพี่เห้งเจีย ใช้ให้ข้าพเจ้าแบกมานี่แล้ว
พระถังซัมจั๋งก็รีบเปิดประตูออกมาดู เห็นรูปพระมหากระษัตริย์ยังสดไสอยู่มิได้แปรปรวน ดูดุจยังมิชีวิตรอยู่ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนี้ก็เกิดคาามสังเวทพูดว่า ไม่รู้พระองค์ทำกรรมเวรไว้อย่างไรจึงให้เขาคิดฆ่าได้อย่างนี้ แลทั้งบุตรภรรยาแลขุนนางข้าราชการแลราษฎรทั้งบ้านทั้งเมืองก็ไม่มีใครรู้เหตุผลคิดดูก็น่าสงสาร พูดดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลตกลงพรั่งพราย โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าเธอก็มิใช่วงษาคะณาญาติของอาจาริย์ ทำไมจึงได้ร้องไห้ร้องห่มเอาจริงเอาจังอย่างนั้น
พระถังซัมจั๋งพูดว่า เราบวชเปนสมณะต้องมีจิตรกรุณาปรานจึงจะควร โป๊ยก่ายทำไมจึงมีจิตรคัดง้างอย่างนั้นเล่า โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ใช่คัดง้าง คือเหตุที่พี่เห้งเจียได้พูดแก่ข้าพเจ้าว่า เธอจะแก้ให้ฟื้นขึ้นอย่างเดิม พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงเรียกเห้งเจียมาพูดว่า แม้ฝีมือประสิทธิ์แก้ให้พระมหากระษัตริย์กลับเปนมาได้ จะสร้างกุศลสักเจ็ตวันก็สู้ไม่ได้ เห้งเจียพูดว่า ทำไมพระอาจาริย์จึงไปเชื่ออ้ายชาติหมูกินรำอย่างนั้นเล่า อันธรรมดาคนตายแล้วได้เจ็ดวันก็ดี หรือเดือนหนึ่งก็ดี ในมนุษย์โลกย์ก็สิ้นกรรมเวรแล้ว ย่อมเคลื่อนไปปะฏิสนธิต่อเข้าแห่งภพน่าถือเอากำเนิดมีวิญญานอิก ในภพใดภพหนึ่ง ก็นี่ตายมาได้ถึงสามปีแล้ว ทำอย่างไรจึงจะแก้ให้คืนกลับเปนมาได้เล่า
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่า ถ้าดังนั้นก็เห็นจะแก้ไม่ได้ โป๊ยก่ายยังไม่หายโกรธ พูดว่าอาจาริย์ถูกเธอหลอกแล้ว ท่านลองภาวนาคาถาดูทีเธอจะแก้ได้หรือไม่ พระถังซัมจั๋งก็เชื่อจึงภาวนา เห้งเจียก็ปวดศีศะในตาทะเล้นออกมาเหลือจะทนได้ จึงร้องขอพระอาจาริย์ว่า ท่านจงหยุดก่อน ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขให้จงได้ พระถังซัมจั๋งว่าจะแก้อย่างไร จงบอกให้เรารู้