- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๕๘
เมื่อเหาะมาตามทางเห้งเจียคิดจะไปให้ถึงก่อน แต่ซัวเจ๋งห้ามไว้โดยซัวเจ๋งมีความสงไสยเห้งเจียว่าจะทำอุบายประการใดก็ไม่รู้ เห้งเจียซัวเจ๋งพากันเหาะมาไม่ช้าก็ถึงเขาฮวยก๊วยซัว ลงยังพื้นเดินเข้าไปที่ประตูถ้ำแลไปเห็นเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นศิลา ทำกิริยาลุกนุ่งห่มไม่ผิดเห้งเจีย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก ก็ผละจากซัวเจ๋งโดดเข้าไปร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายนี่มึงเปนปิศาจร้ายที่ไหน จึงอาจสามารถแปลงเปนรูปเราดังนี้
ฝ่ายเห้งเจียนั้นก็มิได้โต้ตอบประการใด จับตะบองโดดลงมาจากแท่น ตรงเข้ารบกับเห้งเจีย เห้งเจียทั้งสองรบกันไม่รู้ว่าใครจริงใครปลอม แล้วก็เหาะขึ้นรบกันบนอากาศ ฝ่ายซัวเจ๋งก็เหาะตามขึ้นไปแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยข้างไหนได้ เพราะไม่ทราบว่าคนไหนปลอมคนไหนจริง จึงกลับลงมายังพื้นตีขนาบเข้าไปในถ้ำ พวกลิงเหล่านั้นก็พากันตกใจกลัว จึงหนีกระจัดกระจายไปทั้งสิ้น ซัวเจ๋งเข้าไปค้นหาถุงย่ามก็มิได้พบเห็น จึงเหาะกลับขึ้นไปคิดจะเข้าช่วยรบก็ไม่รู้ว่าคนไหนจะจริงแลปลอม เห้งเจียร้องส่งซัวเจ๋งว่า เจ้าช่วยไม่ได้ก็ให้รีบกลับไปบอกแก่พระอาจาริย์ว่า ที่นี่มีเหตุขึ้นดังนี้ พี่จะรบฬ่อมันไปเขาน่ำไฮ้ ให้พระโพธิสัตว์ชำระให้เห็นเท็จแลจริง เมื่อเห้งเจียร้องสั่งซัวเจ๋งดังนั้น เห้งเจียปลอมก็ร้องสั่งเหมือนดังนั้นซุ่มเสียงก็ไม่ฝิดกัน ซัวเจ๋งก็เหาะกลับไปหาพระอาจาริย์
ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางจนมาถึงเขาน่ำไฮ้ พวกเทวดาเทพารักษ์ก็ตกใจตื่น จึงพากันเข้าไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์ว่า มีเห้งเจียทั้งสองรบกันมาถึงที่นี่แล้ว
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น ก็พร้อมด้วยฮุยไง้เสี้ยนใช้ท่งจื๊อกับนางเล่งหนึงลงจากบัลลังก์ เดินออกไปจากสำนักตวาดว่าอ้ายพวกสัตว์มึงจะไปข้างไหน เห้งเจียทั้งสองก็ยั้งมือพูดว่าขอพระโพธิสัตว์ได้ทราบ อ้ายนี่รูปร่างกิริยาเหมือนตัวข้าพเจ้ารบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องจนมาถึงที่นี่ยังไม่แพ้ชะนะกัน ซัวเจ๋งเข้าช่วยไม่ได้ข้าพเจ้าให้กลับไปหาอาจาริย์ ข้าพเจ้าจึงรบฬ่อมาถึงนี่ขอพึ่งพระโพธิสัตว์โปรดเลงญาณจักษุพิจารณาดู ให้เห็นเหตุเท็จแลจริงชั่วดีด้วยเถิด เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเห้งเจียจริงเหมือนกัน
พระโพธิสัตว์กับเทพยดาทั้งหลาย พิจารณาดูเปนนานก็มิได้รู้ว่าข้างไหนเท็จข้างไหนจริง พระโพธิสัตว์จึงบอกว่าเจ้าทั้งสองจงละมืออยู่ก่อน เห้งเจียทั้งสองก็ต่างคนต่างถอยออกห่างกัน ทั้งสองข้างต่างพูดว่าข้าพเจ้าจริงข้างนั้นปลอม พระโพธิสัตว์จึงเรียกบัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อมากระซิบสั่งว่า เจ้าทั้งสองจงไปคุมอยู่คนละข้างอาตมจะร่ายคาถาบีบขมับหัว แม้ว่าคนไหนจริงก็ปวดศีศะคนไหนปลอมก็ไม่ปวด บัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น ต่างก็แยกกันไปคุมคนละคน พระโพธิสัตว์ก็ร่ายคาถาเห้งเจียทั้งสองก็เจ็บปวดพร้อมกันหมุนคว่ำลงกับพื้น เอามือประคองศีศะร้องว่าเจ็บปวดทนไม่ได้แล้ว ขอท่านได้งดเถิดอย่าภาวนาเลย พระโพธิสัตว์ก็หยุดภาวนาเห้งเจียทั้งสองหายปวดพร้อมกันก็เข้ารบกันอิกต่อไป พระโพธิสัตว์ก็สิ้นปัญญาไม่รู้ที่จะคิดประการใดจึงร้องเรียกหงอคงคำหนึ่ง เห้งเจียทั้งสองก็ขานรับ พระโพธิสัตว์บอกว่าเห้งเจียเคยขึ้นไปทำจลาจลบนดาวดึงษ์วิมานสวรรค์ เทวดาอินทร์พรหมก็รู้จักจำได้ทุกคน จงขึ้นไปให้เทวดาอินทร์พรหมพิจารณาเถิดจะได้ชำระตัดสินให้
เห้งเจียทั้งสองได้ฟังดังนั้น ต่างคนก็คำนับลาไปออกจากน่ำไฮ้รบกันพลางถอยกันพลางต่อสู้กันไป จนขึ้นถึงประตูสวรรค์น่ำทีหมึง พวกเทวดาใหญ่น้อยทั้งหลายที่เฝ้าประตูสวรรค์ แลเห็นดังนั้นก็พากันถืออาวุธออกสกัดกั้นมิให้เข้าไป แล้วร้องถามว่า จะมาทำอะไรกันที่บนนี้ มิใช่ที่สนามรบพุ่งกัน เห้งเจียจึงพูดว่าข้าพเจ้ารักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีถึงกลางทาง ข้าพเจ้าตีโจรตายเธอเกลียดข้าพเจ้าไล่ข้าพเจ้ามิให้ตามเธอไปไซที ไม่รู้ว่าอ้ายปิศาจอะไรแปลงตัวเหมือนข้าพเจ้า ไปตีพระถังซัมจั๋งสลบแล้วก็ลักเอาถุงย่ามที่ใส่สิ่งของไปเสีย แลไปชิงเอาที่ถ้ำอยู่ของข้าพเจ้าครอบครองตั้งตัวเปนใหญ่ ข้าพเจ้าต่อสู้รบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องไล่กันมาจนถึงน่ำไฮ้ซัว พระโพธิสัตว์ก็พิจารณาไม่ออกไม่รู้ว่าข้างไหนเปนเห้งเจียปลอม ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นมาขอให้หมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายช่วยกัน พิเคราะห์ดูว่าใครจะเท็จแลจริง เห้งเจียปลอมก็พูดดังนั้นเหมือนกัน
ฝ่ายหมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายก็พากันพิจารณาดู ก็มิได้รู้ว่าใครเท็จใครจริง เห้งเจียทั้งสองร้องว่าท่านทั้งหลายไม่เข้าใจได้ก็หลีกทางให้ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ พวกเทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่ฟัง จึงเปิดปล่อยให้เข้าประตู เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางเลยเข้าประตูสวรรค์ รบกันมาจนถึงน่าปราสาทเหลงเซียวเต้ย หมู่เทวดาผู้ใหญ่เห็นดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลว่าบัดนี้มีเห้งเจียทั้งสองรบต่อสู้กันมา เทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่อยู่ ร้องว่าจะเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลยังไม่สิ้นความก็ได้ยินเสียงอึกกะทึกเข้ามา เง็กเซียงฮ่องเต้แลไปเห็น พระองค์ก็เสด็จลงจากบัลลังก์ตรัสถามว่า เจ้าทั้งสองมีเหตุอย่างไรจึงได้ล่วงขึ้นมาทำวุ่นวายดังนี้ เห้งเจียทูลว่าขอพระเปนเจ้าได้โปรด ข้าพเจ้าได้สมาทานถือตามพระพุทธบัญญัติแล้ว ก็ไม่อาจล่วงเกินหมิ่นประมาท เหตุด้วยปิศาจนี้บันแปลงปลอมข้าพเจ้ากระทำการทุจริต เห้งเจียก็เล่าความจริงทุกประการให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟัง ขอพระองค์ได้โปรด เห้งเจียปลอมมันก็เล่าให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟังบ้างดุจเดียวกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้น จึงมีรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องเอากระจกวิเศษที่จับปิศาจออกมาส่องดู แม้ว่าจริงอย่างไรก็จะรู้ได้หากว่าเท็จก็สูญหายไป
ถักทะลีทีอ๋องก็เอากระจกนั้นมาส่องดู เง็กเซียงฮ่องเต้ก็พร้อมกับเทพยดาทั้งหลายพิเคราะห์ดูในบานกระจก ก็แลเห็นเห้งเจียทั้งสองยืนอยู่ในกระจก รูปร่างกิริยานุ่งห่มไม่ผิดกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าใครเท็จใครจริง จึงขับไล่ให้ออกจากสวรรค์ทั้งสองคน เห้งเจียทั้งสองต่างก็หัวเราะแล้วพูดว่า เราพากันไปหาอาจาริย์จึงจะรู้ได้แน่ พูดกันดังนั้นแล้วก็เข้ารบกันต่อไปอิก ซัวเจ๋งตั้งแต่กลับมาหาอาจาริย์ จึงเล่าให้อาจาริย์ฟังทุกประการ
พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เมื่อแรกคิดว่าเห้งเจียตีอาตมภาพ ไม่รู้เลยว่าปิศาจแปลงเปนเห้งเจียมาทำร้ายดังนี้ ซัวเจ๋งพูดว่าปิศาจนั้นมันแปลงเปนอาจาริย์แลมากับโป๊ยก่ายคนหนึ่ง แลแปลงเปนข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเอาพลองตีตายกลายเปนปิศาจลิง แต่ที่มันแปลงเปนเห้งเจียนั้น ยากที่จะรู้ได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พูดกันไปมาประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงบนอากาศอึกกะทึกก้องโกลาหลลงมา จึงพากันออกมาดู ก็เห็นเห้งเจียสองคนรบกันมา โป๊ยก่ายแลเห็นก็อดไม่ได้ ตะโกนร้องว่าพี่เห้งเจียอย่าละถอยมันข้าพเจ้ามาแล้ว เห้งเจียทั้งสองก็ร้องเรียกว่าน้องจงมาช่วยพี่ด้วย ซัวเจ๋งบอกแก่อาจาริย์ว่า ข้าพเจ้ากับพี่โป๊ยก่ายไปกันออกมาคนละคนแล้วอาจาริย์ร่ายคาถา ถ้าคนไหนปวดศีศะคนนั้นเปนจริงได้
พระถังซัมจั๋งพูดว่าคิดดังนี้ดี ซัวเจ๋งก็มาจับเห้งเจียคนหนึ่ง บอกโป๊ยก่ายให้จับเห้งเจียคนหนึ่ง ต่างคนต่างจับกันคนละคน ลากมายังน่าบ้านยายเฒ่า พระถังซัมจั๋งก็ร่ายคาถา เห้งเจียทั้งสองก็พร้อมกัน ร้องปวดศีศะพร้อมกันทั้งสองคนว่าปวดเต็มทีแล้ว อย่าภาวนาเลยหยุดเถิด พระถังซัมจั๋งก็หยุดไม่ภาวนา ก็มิได้รู้ว่าคนไหนจะจริงคนไหนจะเท็จ เห้งเจียทั้งสองก็เข้ารบกันอีกต่อไป เห้งเจียจึงร้องเรียกโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งสั่งว่าน้องทั้งสองจงรักษาอาจาริย์ไว้ พี่จะรบแก่มันไปหาพระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราช ให้พระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราชพิจารณาเพื่อเห็นจริงแล้วจะกลับ เห้งเจียมันก็สั่งดังนั้นเหมือนกันแล้วก็เข้าชุลมุนฟัดเหวี่ยงกันไป มาบัดเดี๋ยวก็ไม่เห็น
โป๊ยก่ายถามซัวเจ๋งว่า เมื่อน้องไปยังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นโป๊ยก่ายปลอมหามของอยู่ ทำไมจึงไม่ชิงเอามาเสียเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าเมื่อเวลานั้นเห็นซัวเจ๋งปลอมข้าพเจ้าก็โจมตีซัวเจ๋งปลอมนั้นตาย พวกมันเห็นดังนั้นก็เข้าล้อมจับข้าพเจ้า ๆ ก็ตีซ้ายป่ายขวา หนีรอดชีวิตรมาได้ แล้วภายหลังเห้งเจียทั้งสองกำลังรบกันอยู่กลางอากาศ ข้าพเจ้าได้กลับเข้าไปในถ้ำ เห็นมีชะวากในถ้ำมีน้ำไหล ก็หารู้ว่าประตูนั้นเข้าทางใดไม่ จึงได้กลับออกมา
โป๊ยก่ายพูดว่าไม่เข้าใจ เมื่อครั้งก่อนพี่ได้ไปเชิญเห้งเจีย พี่ได้เข้าไปในถ้ำนั้น เห็นพี่เห้งเจียเข้าไปผลัดเครื่องนุ่งห่ม เธอดำน้ำเข้าไปที่ชะวากน้ำไหลนั้น ชะรอยจะเปนประตูในอยู่ตรงนั้นเอง พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายไปค้นดูในเวลาเมื่อมันไม่อยู่ดังนี้ จะได้ถุงย่ามของเราดอกกระมัง ครั้นได้มาเราจะได้พากันไป แม้เห้งเจียจะมาเราก็ไม่ต้องการ โป๊ยก่ายได้ฟังอาจาริย์พูดดังนั้น ก็พูดว่าข้าพเจ้าจะไปเอง พูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ หมายตรงไปยังเขาฮวยก๊วยซัว ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบฬ่อกันมาจนถึงประตูเมืองนรก พวกหมู่ผีทั้งหลายได้ยินเสียงกึกก้องหวั่นไหวก็ตกใจ พากันหนีซุกซ่อนเอาตัวรอด ที่ใจกล้าก็วิ่งเข้าไปบอกพระยาเงียมฬ่ออ๋องว่า ขอใต้อ๋องให้ทราบ บัดนี้มีเห้งเจียรบกันกึกก้องโกลาหล ใกล้ประตูเข้ามาแล้ว เวลานั้นพระยามัจจุราชกำลังประชุมพร้อมกันทั้งสิบองค์ยังตำหนักซุมลอเต้ย ได้ยินพวกผีมาบอกดังนั้นก็ตกใจ จึงให้เกณฑ์ทหารมาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ยคอยระวังอยู่ แลให้ไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง นิมนต์มาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ย ประเดี๋ยวก็เห็นเห้งเจียทั้งสองรบกันชุลมุล เข้ามาถึงน่าตำหนักซุมลอเต้ย พวกทหารก็ออกมาสกัดกั้นไว้ ถามว่าท่านมีเหตุอย่างไรจึงได้รบกันวุ่นวายเข้ามาถึงนี่เล่า เห้งเจียจึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้ฟังแล้ว จึงพูดว่าบัดนี้ข้าพเจ้าจะมาขอให้ท่านเงียมฬ่ออ๋องเอาบาญชีสารบบออกมาตรวจดู เพื่อจะได้รู้ว่าอ้ายเห้งเจียปลอมคนนี้มันเกิดมาแต่ไหน จะได้จับเอาวิญญาณแลขับไล่มันไปเสียให้พ้น อย่าให้มันมาทำวุ่นวายขึ้นอย่างนี้อีกต่อไป เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเดียวกัน เงียมฬ่ออ๋องได้ฟังดังนั้น จึงให้สมุห์บาญชีค้นสารบบตรวจดูจนตลอด ก็ไม่เห็นมีเห้งเจียปลอม เอาสารบบพวกสัตว์มีขนมาตรวจดูร้อยสามสิบแห่ง ที่แห่งวานรนั้น เมื่อครั้งเห้งเจียได้สำเร็จภาคย์ลงมาแผ่อำนาจ เอาสารบบมาลบชื่อวานรเสียหมดแล้ว ตั้งแต่นั้นมาชื่อลิงก็ไม่มีจนเท้าทุกวันนี้ ครั้นตรวจดูแล้วพระยาเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบองค์บอกแก่เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ตรวจดูแล้วในสารบบทั้งหลายไม่มีชื่อ แม้ว่าจะให้เห็นจริงก็เชิญท่านกลับขึ้นไปยังมนุษย์โลกย์นั้นเถิด
เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋องพูดว่าจงยั้งก่อน อาตมภาพจะให้ (ที่เทีย) ฟังดูก็จะรู้ว่าใครจะเท็จแลจริง อันที่เทียนั้นคือสัตว์คล้ายสิงห์โต นอนอยู่ข้างน่าโต๊ะเตจองอ๋อง หากนอนกกอยู่กับดินแล้วก็ฟังรู้ได้ตลอดซึ่งการร้ายแลดี เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง จึงมีคำสั่งให้สัตว์ที่เทียนั้นนอนฟัง สัตว์นั้นก็นอนราบลงกับพื้น บัดเดี๋ยวก็เงยศีศะขึ้นบอกแก่พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องว่า อันปิศาจเห้งเจียปลอมนี้ก็จริง แต่ไม่ควรจะพูดออกในเวลานี้ แลมีกำลังจะช่วยจับก็ไม่ได้ พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องถามว่าเหตุใดจึงจะช่วยไม่ได้แลทำไมจึงไม่ควรจะพูดออก ทีเทียพูดว่าแม้พูดออกในเวลานี้ก็จะเกิดจลาจลวุ่นวายที่ตำหนักซุมลอเต้ยนี้ก็มิได้เปนศุข แลกำลังฤทธิ์อานุภาพนั้นก็เสมอกับเห้งเจีย ในนรกนี้จะมีใครฝีมือสักเท่าใดจึงจะช่วยจับได้ พระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง ถามว่าถ้าดังนั้นจะทำประการใดดี ทีเทียบอกว่าอภินิหารแห่งพระพุทธพระธรรมไม่มีผู้ใดเสมอ เตจองอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นึกขึ้นได้ จึงบอกแก่เห้งเจียว่าท่านทั้งสองรูปร่างเหมือนกันฤทธาอานุภาพเสมอกัน แม้จะให้เท็จแลจริงแล้ว จงรีบไปไซทีหาพระยูไลยที่วัดลุ่ยอิมยี่เถิดจึงจะได้รู้แน่ เห้งเจียทั้งสองพร้อมกันพูดว่าเห็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าจะขอลาไป เห้งเจียทั้งสองก็รบกันขับเขี้ยวไปมา แล้วพูดว่าเราทั้งสองจงไปไซทีหาพระยูไลยชำระให้เห็นจริง พูดแล้วก็เข้าบุกบั่นรบกันต่อไป
ฝ่ายพระยาเงียมฬ่ออ๋องก็ส่งพระโพธิสัตว์ไปยังที่ เงียมฬ่ออ๋องทั้งหลายก็กลับไปยังที่ เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางเหาะพลางมาจนถึงเขาเล่งจื้อซัว เสียงอึกกะทึกกึกก้องโกลาหลหวั่นไหวในพื้นพสุธาเวลานั้นหมู่เทพยดาอินทรพรหมแลหมู่สาวกทั้งหลาย กำลังแวดล้อมเฝ้าพระยูไลยเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ในพระอารามใหญ่ พระยูไลยก็เคลื่อนลงจากบัลลังก์แก้ว ตรัสแก่อินทรพรหมแลเทพบุตรสาวกทั้งหลายว่า บันดาที่มาสดับธรรมเทศนาจงสำรวมจิตรอันหนึ่งคอยดู สองจิตรรบกันมาแล้ว ในหมู่ประชุมก็ตั้งตาคอยแลดู จึงเห็นเห้งเจียทั้งสองต่อสู้กันมา ร้องฟ้าร้องดินอึกกะทึกมาถึงน่าอารามลุ่ยอิมยี่ หมู่เทพบุตรกับเจ้ากิมกังทั้งหลายก็ออกสะกัดกั้นไว้ .แล้วถามว่านี่จะรบกันไปข้างไหน เห้งเจียพูดว่าปิศาจมันแปลงทำเหมือนรูปข้าพเจ้า ๆ จะมาหาพระยูไลย ขอให้ท่านพิจารณาดูให้รู้แน่ว่าเท็จแลจริงประการใด หมู่เทพยดาอินทรพรหมทั้งหลายกั้นกางไว้ไม่อยู่ ก็เลยล่วงเข้ามาถึงที่หน้าพระ ต่างคุกเข่าลงนมัศการแล้ว จึงเล่าแต่ต้นจนปลายให้พระยูไลยฟัง พูดว่าข้าพเจ้าไปถึงชั้นฟ้าแลลงไปยังเมืองนรกก็ไม่มีใครสามารถจะพิจารณารู้ได้ จึงได้มาเฝ้าพระองค์เจ้า ขอพระบารมีได้โปรดทรงพิจารณาให้เห็นเท็จแลจริง ข้าพเจ้าจะได้กลับไปรักษาพระถังซัมจั๋งพามานมัศการพระพุทธองค์ อาราธนาพระไตรยปิฎกธรรมกลับไปเมืองใต้ถัง กระทำให้แพร่หลายแก่มหาชนในประเทศทิศบูรพา
พระยูไลยเจ้าเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ทรงทราบในพระญาณว่าเท็จจริงประการใดแล้ว พระองค์จะทรงแสดงให้แจ้งทันใดนั้น บังเอินแลไปเห็นเมฆสีเขียวลอยลิ่วมา ครั้นถึงแลเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมลงจากเมฆเข้ามาเคารพพระยูไลยเจ้าแล้ว พระยูไลยเจ้าถามว่า กวนอิมรู้บ้างหรือว่าเห้งเจียทั้งสองนี้ใครจริงใครเท็จ พระกวนอิมทูลว่าเดิมได้มาที่สำนักข้าพเจ้า ๆ พิจารณาไม่ออก เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอให้พระองค์โปรดให้เห็นเท็จแลจริง
พระยูไลยได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสว่ากวนอิม ถึงจะมีอภินิหารใหญ่กว้างก็จริง จะพึงรู้ได้แต่การโลก หารู้หมดซึ่งสัตว์เกิดนั้นไม่ แลหารู้มูลราคของสัตว์ได้ไม่ พระกวนอิมจึงเคารพขอให้พระองค์โปรดทรงแสดง พระจึงตรัสว่า อันในโลกย์นี้มีภูมิห้า คือฟ้าหนึ่ง ดินหนึ่ง เจ้าหนึ่ง มนุษย์หนึ่ง ผีเปรตหนึ่ง แลมีปูมห้า เลี่ยนหนึ่ง เกล็ดหนึ่ง ขนหนึ่ง ปีกหนึ่ง ปุ่มหนึ่ง ที่เห้งเจียทั้งสองนั้นไม่เกี่ยวอยู่ในภูมิห้านี้ มีนามเรียกว่ามูลวานร ลิงที่หนึ่งนั้นนามเรียกว่าเจี๊ยเก๊า แปลงกายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แลรู้ฟ้าดินแลเหตุร้ายดี ลิงที่สองนั้นนามเรียกว่าเบ๊เก๊า เข้าในทางอากาศฟ้าดินรู้การของมนุษย์ได้หนีตายทำให้อายุยืนได้นานปี ลิงที่สามนั้นนามเรียกว่าอวนเก๊า จับพระอาทิตย์พระจันทรรวบพันธ์ภูเขาเข้าได้เปนหนึ่ง เล่นฟ้าเล่นดินทดเข้าออกทำได้ดังนึก ลิงที่สี่นั้นนามเรียกว่ามิเก๊าหูฟังได้ทุกอย่าง เข้าใจตรวจกิจพจารณาการรู้ข้างน่าข้างหลังรู้แจ้งซึ่งการทั้งปวง ลิงทั้งสี่นี้ไม่ร่วมอยู่ในภูมิห้าปูมห้าไม่เข้าหมู่สองจำพวกนี้ ตถาคตพิจารณาดู หงอคงปลอมนั้นคือลิงมิเก๊า ๆ แม้จะยืนอยู่ในที่เดียว ๆ การไกลพันโยชน์ก็อาจเข้าใจได้ มนุษย์พูดจาว่ากระไรก็รู้ได้ทั้งสิ้น เพราะฉนั้นรูปร่างน้ำเสียงจึงอย่างเดียวกันแก่เห้งเจีย
มิเก๊าได้ยินพระตรัสดังนั้น ถูกต้องมูลเหตุของตัวอกใจก็ให้ไหวหวาด จะรีบเหาะหนีเอาตัวรอด พระยูไลยตรัสสั่งให้หมู่เทพบุตรล้อมไว้ เห้งเจียจะตรงเข้าตี พระยูไลยก็ทรงห้ามว่าเห้งเจียอย่าทำเขาเลย ตถาคตจะจับให้ ลิงมิเก๊าจิตรใจให้สดุ้งกลัวคิดว่าจะหนีไปไม่พ้น ก็ไหวกายแปลงเปนแมลงผึ้งรีบบินหนีไป จึงพระยูไลยเอาบาตรคว่างไปครอบไว้ แมลงผึ้งก็เข้าอยู่ในบาต พระองค์ก็ทรงเรียกบาตนั้นกลับคืนมา ทรงตรัสแก่เทพบุตรทั้งหลายว่า ลิงมิเก๊าอยู่ในบาตตถาคตแล้ว จึงหมู่เทพยดาทั้งหลายได้พากันมาดู ก็ได้เห็นลิงมิเก๊านอนคุดอยู่ในบาต เห้งเจียอดไม่ได้เอาตะบองกะทุ้งศีศะทีหนึ่ง ลิงมิเก๊าก็ถึงแก่ความตาย เพราะฉะนั้นพืชพันธุ์ลิงมิเก๊าจึงได้สาปสูญตั้งแต่นั้นมา พระยูไลยเห็นดังนั้น ก็ไม่เปนที่พอพระไทย ทรงตรัสว่าทำไมเห้งเจียจึงทำดังนี้เล่า เห้งเจียกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระกรุณาแก่สัตว์ชั่วร้ายอย่างนี้เลย มันตีอาจาริย์ข้าพเจ้าแล้วแลเอาเข้าของมาเสียด้วย โทษมันก็ควรถึงแก่ความตายอยู่แล้ว พระยูไลยจึงสั่งให้เห้งเจียรีบไปรักษาพระถังซัมจั๋งเถิด
เห้งเจียคุกเข่าคำรพทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบพระอาจาริย์ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าไปร่วม ข้าพเจ้ากลับไปจะเสียเวลาเปล่า ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเศกถอนมงคลบนศีศะข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าจะได้ทูลลาพระองค์ไปอยู่ยังที่เดิม พระยูไลยได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสแก่เห้งเจียว่าเห้งเจียอย่าคิดวุ่นวายไป ตถาคตจะให้พระกวนอิมไปส่งถังซัมจั๋งเธอก็ต้องให้ไปอยู่เอง เห้งเจียจงอุส่าห์รักษาพระถังซัมจั๋งให้ตลอด เมื่อเวลาสำเร็จแล้วจะได้ขึ้นนั่งบนแท่นบัว พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างนั้นได้ยินพระองค์ตรัสแก่เห้งเจียดังนั้น ก็กระทำเคารพลาพาเห้งเจียออกจากพระอาราม เหาะขึ้นกลางเวหาแล้วก็ตรงไป ครั้นถึงบ้านยายเฒ่าที่พระถังซัมจั๋งอาไศรยอยู่ก็ลงยังพื้น ฝ่ายคนในบ้านกับซัวเจ๋ง แลเห็นก็บอกแก่อาจาริย์ออกมานิมนต์พระโพธิสัตว์ ๆ พูดว่า เมื่อวันก่อนที่ตีถังซัมจั๋งนั้น คือลิงมิเก๊า ต่อไปหาพระยูไลยบอกให้จึงได้รู้แจ้ง บัดนี้เห้งเจียก็ตีตายแล้ว ส่วนเห้งเจียนั้นต้องให้ตามรักษาไปตามเดิม เมื่อเวลาเดินทางไปพบผีปิศาจยักษร้ายสัตว์ร้าย เธอจะได้ช่วยป้องกันไปกว่าจะถึงเขาเล่งจิ๋วซัว จะได้อาราธนาพระธรรมอย่าให้โกรธคึ่งเคืองแค้นเธอจะเสียการอันใหญ่ในเบื้องน่า
พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระกวนอิมสั่งสอน ก็เคารพรับคำสั่ง เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังขอบคุณพระโพธิสัตว์ ก็ได้ยินเสียงลมกระพือมา คนทั้งหลายแลไปเห็นโป๊ยก่ายเหาะมาบนอากาศ หลังสะพายถุงย่ามมาถึงก็ลงยังพื้น โป๊ยก่ายแลไปเห็นพระโพธิสัตว์ก็คุกเข่าลงคำรพนะมัศการแล้ว จึงพูดว่าข้าพเจ้าไปถึงเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นพระถังซัมจั๋งปลอมโป๊ยก่ายปลอม ข้าพเจ้าตีตายทั้งสองคน แต่อันที่จริงมันเปนลิงปิศาจ ข้าพเจ้าเอาถุงย่ามมาตรวจก็ไม่หายอะไรสักสิ่งเดียว ได้แล้วก็กลับมา แต่ยังไม่ทราบว่าเห้งเจียทั้งสองนั้นจะตกไปถึงไหน พระโพธิสัตว์จึงเล่าความให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ โป๊ยก่ายก็มีความยินดีหาที่สุดมิได้ อาจาริย์แลศิษย์ก็พากันเคารพพระโพธิสัตว์ก็เหาะกลับไป อาจาริย์กับศิษย์ก็ร่วมจิตรกันตามเดิมจึงลายายเฒ่าเจ้าของบ้าน จัดแจงพร้อมแล้วก็พากันออกเดินเข้าทางใหญ่หมายทิศปราจิณ