- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๒๒
เมื่อหลวงจีนถังซัมจั๋งออกพ้นไภยปิศาจอึ้งฮองใต้อ๋องแล้ว พร้อมด้วยเห้งเจียโป๊ยก่ายออกเดินมาวันหนึ่ง ก็ข้ามพ้นอึ้งฮองเนี้ย ลงเดินกับพื้นดินตัดตรงหมายทิศปราจิณ ในฤดูนั้นเปนฤดูวะสันต์จักระจั่นเรไรร้องออกเพรียกไปทั้งป่า อาจาริย์กับศิษย์เดินพลางชมพลางตามทางมา ในเวลานั้นตวันยอแสงจวนจะค่ำ ได้ยินเสียงคลื่นละลอกซัดดังสนั่น หลวงจีนถังซัมจั๋งแลไปข้างหน้าเห็นแม่น้ำขวางหน้ากว้างใหญ่แลไม่เห็นฝั่ง คลื่นซัดขึ้นสูงดุจภูเขา แลดูเวิ้งว้างน่ากลัว จึงร้องเรียกเห้งเจียโป๊ยก่ายเข้ามาใกล้แล้ว ถามว่าข้างน่านั้นมีแม่น้ำขวางน่าแลไม่เห็นฝั่ง ทำไมไม่แลเห็นเรือไปมาเลยเราจะข้ามไปทางใดได้เล่า
เห้งเจียได้ฟังพระอาจาริย์ถามดังนั้น จึงเหาะขึ้นไปบนอากาศเอามือบังตาดู แล้วก็ลงมาบอกแก่พระอาจาริย์ว่า อันแม่น้ำนี้กว้างซวางนักยากที่จะข้ามไปได้ หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า กว้างประมาณสักเท่าใด เห้งเจียบอกว่า กว้างประมาณแปดร้อยโยชน์เสศ โป๊ยก่ายถามว่า ทำไมพี่ประมาณรู้ว่าแปดร้อยโยชน์เล่า ข้าพเจ้ามีความสงไสยอยู่
เห้งเจียตอบว่าน้องยังไม่รู้ สองจักษุพี่นี้ดุจดวงพระอาทิตย์ที่ส่องโลกย์อยู่เวลากลางวันพี่แลไปเห็นได้พันโยชน์ มีความดีร้ายพี่ย่อมรู้ได้ทั้งสิ้น แต่ลำแม่น้ำนี้ด้านใต้ด้านเหนือไม่รู้ว่าใกล้ไกลสักเท่าใด แต่พอคะเนได้ว่าตรงที่จะข้ามไปนี้กว้างประมาณแปดร้อยโยชน์
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็มีจิตรหวาดเสียวเศร้าหมอง จึงชักม้าหันถอยหลังหันหน้าไปแลเห็นเสาศิลาปักอยู่มีอักษรจารึกไว้สามอักษร อาจาริย์กับศิษย์เดินเข้าไปใกล้ อ่านดูว่า (หลิวซัวหอ) คือกระแสชลทราย แลข้างบนนั้นมีหนังสือตัวเล็กสี่แถวว่า โป๊ยแปะหลิวซัวก่าย แปลว่าแปดร้อยโยชน์กระแสชล แถวที่สองว่า (ซัมเชยเนกจุ๊ยซิม) แปลว่าลึกนั้นสามพันเส้น แถวที่สามว่า (หง่อหม้อเพียวปุ๊ดกี้) แปลว่าขนห่านก็ไม่ลอยได้ แถวที่สี่ว่า (สูฮวยเตี้ยเต้ยติ๊ม) แปลว่าถึงใบไม้เล็กน้อยหรือขนแห่งจามจุรีถ้าตกลงแล้วก็ไม่อาจลอยอยู่หลังน้ำได้
อาจาริย์กับศิษย์กำลังดูหนังสือนั้นอยู่ พอได้ยินเสียงดังในลำแม่น้ำ คลื่นละลอกนูนสูงขึ้นดุจภูเขา เสียงหวั่นไหวไปทั้งลำแม่น้ำ บัดเดี๋ยวใจแลไปที่กลางน้ำ เห็นโผล่ขึ้นมารูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว บนศีศะมีผมสีแดงรุงรัง จักษุทั้งสองข้างสว่างโชติดุจดาวประจำเมือง เสียงดุจฟ้าลั่นตัวสวมเสื้อขนห่านลาย นุ่งผ้าถักด้วยหวาย ที่ฅอแขวนโกลกหัวผีเก้าโกลก มือถือไม้พลองวิเศษดูเข้มแข็งปิศาจนั้นแลเห็นหลวงจีนถังซัมจั๋งก็เดินรี่ตรงเข้ามาที่ตลิ่ง คิดจะทำร้ายหลวงจีนถังซัมจั๋ง
เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็เข้าอุ้มเอาพระอาจาริย์ลงจากหลังม้าหลีกออกไปให้ห่าง โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็วางหาบลงกับพื้น ฉวยคราดเหล็กตรงมาสกัดหน้าปิศาจไว้ แล้วยกคราดขึ้นสับลงที่ศีศะปิศาจ ๆ เอาพลองขึ้นรับ ต่างคนต่างเข้มแข็งรบกันประมาณยี่สิบเพลงก็ยังหาแพ้แลชะนะกันไม่
เห้งเจียกำลังเฝ้ารักษาพระอาจาริย์อยู่ เห็นโป๊ยก่ายต่อสู้ปิศาจดังนั้น อดไม่ได้จึงบอกพระอาจาริย์ว่า พระอาจาริย์จงอยู่ที่นี่ข้าพเจ้าจะไปช่วยโป๊ยก่ายตีจับอ้ายปิศาจนั้นให้จงได้ พูดแล้วก็จับกระบองเหล็กกระโดดวิ่งเข้าไป ครั้นถึงก็ยกกระบองตีลงที่ศีศะปิศาจ ๆ เห็นดังนั้นจึงเอาไม้รับแล้วกระโดดถอยออกมาลงน้ำหนีไป มิได้ผุดขึ้นมาอีก โป๊ยก่ายโกรธเห้งเจียว่าพี่มาทำไมก็ไม่รู้ ปิศาจนั้นฝีมือมันอ่อน อีกสามสี่เพลงก็จะจับตัวได้ นี่มันเห็นพี่ดุร้ายนักมันกลัวมันจึงหนีลงไปเสียจะทำอย่างไรจึงจะจับตัวได้เล่า
เห้งเจียพูดว่า พี่เห็นน้องรบกับปิศาจพี่ก็คันมืออดอยู่ไม่ได้ลองฝีมิอให้มันรู้มันกลัวมันก็หนีลงน้ำไป พูดแล้วก็พากันไปหาพระอาจาริย์
หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า จับตัวปิศาจได้หรือเปล่า เห้งเจียบอกว่ามันไม่ต่อสู้หนีลงน้ำไปไม่ขึ้นมา หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าปิศาจนี้มันอยู่ในลำน้ำนี้ มันคงจะรู้เหตุการได้ทุกประการ
เห้งเจียจึงพูดว่า เห็นจะจริงของพระอาจาริย์แต่มันอยู่ในน้ำจะทำประการใด โป๊ยก่ายจึงพูดว่า เมื่อเดิมข้าพเจ้าเปนผู้บังคับการในแม่น้ำทีฮ้อบนสวรรค์ ข้าพเจ้าเข้าใจได้ แต่วิตกว่าในน้ำมีบริวารมากข้าพเจ้าคนเดียวจะต่อสู้ไม่ไหว เห้งเจียจึงพูดว่าถ้ากระนั้นน้องจงลงไปรบฬ่อให้มันขึ้นมาบนบก่อน แล้วพี่จะคอยจับตัวมันให้จงได้ โป๊ยก่ายว่าถ้ากระนั้นเห็นจะได้การ โป๊ยก่ายพูดแล้วก็ผลัดผ้าผูกรัดให้แน่นมั่นคงดีแล้ว มือถือคราดเหล็กโดดลงไปในน้ำ ร่ายพระเวทคาถาเบิกน้ำให้เปนช่องแล้ว ก็ลงไปยังที่ปิศาจอาไศรย์อยู่
ฝ่ายปิศาจรบแพ้ไปนั่งพักบัดเดี๋ยวใจ ก็แลเห็นคนแหวกน้ำลงมา ผุดลุกขึ้นเห็นอ้ายคนที่คู่รบกันลงมา จึงฉวยได้พลองร้องตวาดว่า อ้ายคนนี้มึงลงมาที่นี่ทำไม มึงจงดูให้ดีกูจะตีหัวมึง ว่าแล้วก็ยกกระบองขึ้นตรงมาจะตีศีศะโป๊ยก่าย ๆ เอาคราดรับปัดป้องกันไปมา แล้วโป๊ยก่ายจึงถามว่า นี่เองเปนปิศาจยักษ์อะไรที่ไหนจึงสามารถมาอยู่กั้นกลางหนทางอย่างนื้
ปิศาจยักษ์ตอบว่า เจ้าจำเราไม่ได้หรือ เรามิใช่ปิศาจราชทูตยักษ์มารอะไรที่ไหน แลมิใช่ไม่มีชื่อเสียงเมื่อไรมี เจ้าอยากจะรู้มูลเหตุเราจะเล่าให้เจ้าฟัง เมื่อเริ่มเกิดนั้น มีภากเชี่ยวชาญหาใช่น้อยไม่ ครั้นมาภายหลังได้เรียนวิชา สำเร็จทางโลกิยฌานสำรวมจิตร์ ต่อมาพระอาจาริย์แนะนำทางมรรคผล นานวันฌานนั้นก็แก่กล้าขึ้นทุกที จึงจุติไปเกิดอยู่ในชั้นดาวดึงษ์ พระผู้เปนจอมโลกาคือเง็กเซียงฮ่องเต้ ทรงตรัสต่อพระโอฐให้เปนที่ราชองครักษ์ใต้เจียงกุน พระเปนเจ้าจะเสด็จแห่งหนตำบลใด เราต้องตามเสด็จทุกครั้ง สำหรับคอยแหวกวิสูตรราชรถ มาวันหนึ่งแม่อ๋องโบ๊เลี้ยงโต๊ะชมภู่ พร้อมด้วยเทพบุตร์เทพธิดา บังเอินเคราะห์ร้าย ข้าพเจ้าทำคนโทแก้วเจียระไนแตก เทวดาทั้งหลายพากันตกใจ เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงพระพิโรธรับสั่งให้ประหารชีวิตร์ข้าพเจ้า เดชะบุญท่านชิดเคียดเซียนกราบทูล ขอโทษข้าพเจ้าไว้จึงได้รอดชีวิตร์ แต่ให้ลงอาญาเฆี่ยนแปดสิบที สาบให้ลงมาใต้หล้าอาไศรย์แม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ทรมานอดอยากเหลือที่จะพรรณา หิวก็เที่ยวหาเนื้อมนุษย์กิน อิ่มแล้วก็จมอยู่ในน้ำ เที่ยวท่องไปมาอยู่อย่างนี้ กินมนุษย์ก็มากมายหลายคนอยู่แล้ว เก็บกะโลกหัวผีไว้แขวนฅอดูเล่น ทำไมเจ้าจึงอาจสามารถมาอวดดีในถิ่นที่แห่งเรา วันนี้ท้องเรามันร้องคอยเจ้าอยู่แล้ว เจ้าอย่าพูดเลอะเทอะไปเลย
โป๊ยก่ายได้ฟังปิศาจเล่าให้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าเจ้าอย่าอวดดีไปเลย ถ้าเจ้าดีจริงแล้วเหตุใดเจ้าจึงหนีเราลงมาดำน้ำอยู่เล่า ตัวเราก็กำเนิดมาจากน้ำเหมือนกัน. เจ้าจงแลดูคราดของเรา โป๊ยก่ายว่าดังนั้นแล้วก็ยกคราดขึ้นสับลงไปตรงศีศะปิศาจ ๆ ก็ยกพลองขึ้นป้องกันรับรองไว้ ต่างรบกันโดยมีความสามารถมิได้ย่อหย่อน โป๊ยก่ายรบรอฬ่อขึ้นมาทางบก เห้งเจียยืนอยู่ริมฝั่งเห็นโป๊ยก่ายรบแก่ปิศาจอยู่กลางน้ำ ฬ่อเข้ามาจนริมฝั่ง ปิศาจก็ไล่แต่ไม่อาจเข้าริมฝั่งรั้งรออยู่ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ จับกระบองเหล็กจะใคร่ตีปิศาจสักทีหนึ่ง ปิศาจเห็นดังนั้นก็ไม่ต่อสู้ กลับดำน้ำหนีไปเสียมิได้ผุดขึ้นมาอีก โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงบ่นว่าพี่เห้งเจียทำใจดุจลิงไม่คอยรอรั้ง ให้ข้าพเจ้าฬ่อมันขึ้นมาถึงบนบกก่อนแล้วจึงค่อยล้อมจับมัน พี่มาทำใจร้อนมันกลัวมันก็หนีลงน้ำไปเสียแล้วไม่ขึ้นมา ทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปเล่าจึงจะจับมันได้
เห้งเจียจึงว่าอ้ายสัตว์เดระฉานมึงอย่าบ่นไปเลย พากันไปหาอาจาริย์ก่อน แล้วจึงค่อยคิดอ่านกันใหม่ ครั้นมาถึงจึงเล่าเหตุการที่รบกันกับปิศาจให้พระอาจาริย์ฟังทุกประการ
หลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงพูดว่าถ้าดังนั้นเราจะทำประการใดดี โป๊ยก่ายว่าถ้าได้ตัวปิศาจนี้มาแล้ว สารพัดการก็คงจะสำเร็จได้ทุกประการ
เห้งเจียจึงพูดว่าพระอาจาริย์อย่ามีความวิตกเลย เวลาจวนค่ำอยู่แล้ว ไว้รอพรุ่งนี้ฉันเช้าแล้วจึงค่อยคิดอ่านกันใหม่ ในคืนนั้นศิษย์กับอาจาริย์นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ รุ่งเช้าเห้งเจียจึงเอาบาตรเหาะไปทางทิศอุดร บิณฑบาตบัดเดี๋ยวใจก็ได้กระยาหารเหาะกลับมาเอาอาหารถวายพระอาจาริย์ ๆ จึงถามว่า เห้งเจียไปบิณฑบาตร์ทำไมจึงไม่ถามเหตุการในลำแม่น้ำนี้เล่า บางทีเขาจะรู้ได้บ้างกระมัง
เห้งเจียบอกว่า ข้าพเจ้าเหาะไปไกลทางถึงเจ็ดพันโยชน์ บ้านเหล่านั้นอยู่ไกลนักที่ไหนจะรู้เหตุการในลำแม่น้ำนี้ได้เล่า
โป๊ยก่ายฟังเห้งเจียพูดแปลกหูดังนั้น จึงถามว่าพี่ไปมาก็บัดเดี๋ยวใจ ทำไมว่าไกลถึงเจ็ดพันโยชน์ พี่พูดดังนี้ใครเขาจะเชื่อได้
เห้งเจียพูดว่า อันความข้อนี้น้องยังหาเข้าใจไม่ เพราะวิชาของพี่หกเหาะไปทีหนึ่งเปนระยะทางได้ถึงหมื่นแปดพันโยชน์ ทำไมกับทางเจ็ดพันโยชน์เล่า ขยับตัวหน่อยเดียวก็จะไปมาถึงได้โดยเร็ว
โป๊ยก่ายพูดว่า พี่มีฤทธาศักดานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้โดยสดวก จะให้พระอาจาริย์ขึ้นบ่าแบกเหาะข้ามไปไม่ต้องรบพุ่งจะมิดีหรือ
เห้งเจียจึงพูดว่า น้องก็มีฤทธาอานุภาพเหมือนกัน ทำไมจึงไม่อุ้มพระอาจาริย์ข้ามฟากไปเล่า น้องอย่าเข้าใจว่าเปนการง่าย ด้วยพระอาจาริย์ร่างกายจิตร์ใจเปนปุถุชนมีความหนักยิ่งกว่าเขาพระสุเมรุ ส่วนพี่ร่างกายเปนกายสิทธิ์มีฤทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างทุกประการ แต่ที่พระอาจาริย์นั้นแสนยาก ดังคำโบราณท่านว่า ภูเขาใหญ่จะใคร่ให้ย้ายไปพ้นพี่ ก็เบาดุจเมล็ดพรรณผักกาด อันจะยกปุถุชนให้ข้ามพ้นขันธมารนั้น ยากที่จะให้พ้นได้ มาทว่าเราทั้งสองมีฤทธาอานุภาพอันเชี่ยวชาญก็คุ้มได้แต่ชีวิตรของเรา อันจะคุ้มชีวิตรร่างกายของพระอาจาริย์ด้วยนั้น ยากที่จะคุ้มให้พ้นสมุททุกข์ได้ แลหากว่าโดยง่าย เราทั้งสองเหาะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมมาก่อนจะไม่ได้หรือ ก็ขัดอยู่อิกเล่า ด้วยไปถึงโน่นพระพุทธเจ้าจะไม่ให้ก็จะเปนการยากที่สุด เราจะว่าง่ายอย่างไรได้เล่า พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็จัดเครื่องแจถวายพระอาจาริย์เหลือจากนั้น เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็รับประทาน
ครั้นเสร็จแล้วพระถังซัมจั๋งจึงถามเห้งเจียว่า เห้งเจียจะคิดประการใดต่อไป เห้งเจียว่าไม่ต้องอย่างไร จะต้องให้โป๊ยก่ายลงไปฬ่ออิกสักครั้งหนึ่ง จึงสั่งโป๊ยก่ายว่า วันนี้น้องต้องลงไปรบฬ่ออิกสักครั้งหนึ่ง ทีนี้พี่ไม่ทำใจเร็ว จะคอยให้มันขึ้นมาบนบกให้ถนัดแล้ว จึงจะล้อมจับมัน โป๊ยก่ายขัดไม่ได้ เกาหัวเกาหูแล้วก็ผลัดผ้าจับคราดสำหรับมือแล้ว ก็ร่ายพระเวทแหวกน้ำลงไปยังที่ปิศาจอยู่ ปิศาจแลเห็นโป๊ยก่ายก็กระโดดออกมาสกัดหน้าพูดว่า เฮ้ยอ้ายนี่อย่าเพ่อเข้ามา แล้วตวาดด้วยเสียงอันดังว่ามึงจงดูพลองของกูก่อน
โป๊ยก่ายว่าพลองของเองดุจไม้ท้าวที่ถือไว้ทุกข์ให้แก่คนตาย ยังมีหน้าเอาออกมาให้ปู่ตาดูจะวิเศษอย่างไร
ปิศาจว่าเจ้ายังไม่รู้เรื่องพงษาวดารของพลองนี้ ไม้พลองวิเศษอันนี้มิใช่ของในมนุษย์โลกย์นี้เมื่อไร ไม้นี้เปนของผู้สำเร็จกระทำประกอบด้วยของวิเศษแลประดับล้วนแต่เพ็ชร์นิลจินดามีราคามาก เปนของไว้สำหรับปราบปิศาจแลยักษ์ร้าย แลไว้สำหรับคุ้มกัน บนปราสาทเล่งเซียวโป๊เต้ โดยเราเปนองครักษ์สำหรับพระองค์เรียกว่าใต้เจียงกุน เง็กเซียงฮ่องเต้ประทานให้เราสำหรับตัว อยากให้ยาวก็ได้ให้สั่นก็ได้ จะให้เล็กให้ใหญ่ก็ได้ทั้งสิ้น เพราะฉนั้นจึงได้เรียกว่าพลองวิเศษ มิใช่ของในมนุษย์โลกย์นี้ ตั้งแต่เราถูกถอดก็ถือติดมือมาจนทุกวันนี้ ไม่เหมือนอาวุธของเจ้า เปนคราดที่สำหรับเขาคราดหญ้าคราดฟางอย่างนั้น ก็เอามาถืออวดกับเขาช่างไม่มีอายเลยจริง ๆ
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่า เจ้าอย่าประมาทว่าคราดหญ้าคราดฟาง ถ้าเอ็งถูกสักทีหนึ่งแล้วเลือดก็จะไหลออกมาสด ๆ ทั้งเก้าแผล พูดเถียงกันไปมาปิศาจยักษ์ยกพลองขึ้นตีโป๊ยก่าย โป๊ยก่ายก็ยกคราดขึ้นรับรบกันเปนสามารถ โป๊ยก่ายสู้พลางถอยพลางทำอุบายรบฬ่อทอดคราดลากหนี ปิศาจก็ไล่กระชั้นชิดติดพัน โป๊ยก่ายร้องว่าเฮ้ยอ้ายปิศาจมึงดีแล้วจงขึ้นมารบกันบนบกให้ถึงแพ้แลชนะจึงจะเห็นจริงว่าเจ้ามีฝีมือ
ปิศาจยักษ์ว่าเจ้าหลอกเราจะให้ขึ้นบนบก เจ้าจะได้ช่วยกันกับอ้ายหน้าขนรุมกันรบเรากระนั้นหรือ ถ้าเจ้าถือว่ามีฤทธิ์ก็จงลงมารบกันในน้ำเถิด
เมื่อปิศาจหัน ๆ รีๆ พูดโต้ตอบแก่โป๊ยก่ายอยู่ริมฝั่งน้ำ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็บังเกิดใจร้อน จึงคิดในใจว่าจำเราจะแปลงเปนนกตะกรุมหาปลา คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายพระเวทแปลงกายเปนนกตะกรุมบินขึ้นบนอากาศ แล้วโผลงที่ปิศาจจะเข้าโฉบเอาปิศาจ ฝ่ายปิศาจกำลังโต้ตอบอยู่แก่โป๊ยก่าย ได้ยินเสียงลมหวิวมาแลขึ้นไปเห็นนกตะกลุมลงมา ก็คิดว่าเห็นจะเปนอ้ายหน้าขนแปลงกายมาจึงโดดลงน้ำดำหนีไปมิได้ขึ้นมาสู้รบ
ฝ่ายเห้งเจียกับโป๊ยก่ายต่างพูดกันว่า อ้ายปิศาจร้ายนี้มันก็มีกำลังแลฝีมือจะรบเอาไชยชนะมันก็ไม่ได้ จะฬ่อให้ขึ้นบกมันก็ไม่ขึ้น ดูเปนการยากที่สุดเสียแล้ว เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็พากันกลับมาหาพระอาจาริย์เล่าความที่ได้สู้รบกับปิศาจ ให้พระอาจาริย์ฟังทุกประการ
พระถังซัมจั๋งเมื่อได้ฟังเห้งเจียกับโป๊ยก่ายเล่าให้ฟังดังนั้น ก็ไม่มีความสบายจึงพูดว่าการที่มาติดขัดเสียเช่นนี้แล้ว ฉันใดเราจะได้ข้ามแม่น้ำนี้ไปได้เล่า
เห้งเจียจึงพูดว่าอย่าเลยข้าพเจ้าจะไปน่ำไฮ้หาพระโพธิสัตว์กวนอิม นิมนต์ท่านมาช่วยแก้ไขจึงจะได้ โป๊ยก่ายจงอยู่ระวังรักษาพระอาจาริย์อย่าให้มีเหตุอันตรายได้
โป๊ยก่ายจึงพูดว่าพี่จงไปเถิดดีแล้ว แต่ถ้าไปถึงแล้วพี่ช่วยกราบเรียนขอบพระคุณของท่านด้วย โดยท่านได้อนุเคราะห์แนะนำสั่งสอนข้าพเจ้า หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงสั่งว่า เห้งเจียจงไปเร็วมาเร็วเปนการรีบร้อนอย่าได้นอนใจเลย
เห้งเจียคำนับพระอาจาริย์แล้ว แล้วก็สำรวมจิตร์เหาะขึ้นเวหาหมาตรงไปยังทิศอาคะเณเขาน่ำไฮ้ มาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงน่ำไฮ้ ลงยังพื้นพสุธาเดินเข้าไปยังสำนัก ครั้นถึงประตูนอกเห้งเจียบอกแก่เด็กที่เฝ้าประตู ให้กราบเรียนพระโพธิสัตว์
เวลานั้นพระโพธิสัตว์อยู่ที่ริมสระบัวกับด้วยพวกศิษย์ทั้งหลาย ครั้นทราบว่าเห้งเจียมาพระโพธิสัตว์ก็กลับเข้ามายังสำนัก ให้เปิดประตูรับเห้งเจียเข้าไป เห้งเจียนมัศการแล้วก็ยืนคอยฟังพระโพธิสัตว์อยู่ ส่วนพระโพธิสัตว์จึงถามว่าท่านมีกิจธุระอย่างใดหรือ เห้งเจียกราบเรียนว่า วันก่อนนั้นมาถึงตำบลเกาเล้า จึงได้สานุศิษย์คนหนึ่งชื่อหงอเหนง แล้วเดินมาพึ่งข้ามพ้นอึ้งฮองเนี้ย บัดนี้มาถึงลำแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ แม่น้ำนั้นกว้างใหญ่น้ำก็ลึกเรือแพจะใช้พาหนะข้ามก็ไม่มี แลในแม่น้ำนั้นมีปิศาจยักษ์ร้ายจะคอยทำร้ายพระอาจาริย์ หงอเหนงได้ต่อสู้ถึงสามครั้งแล้ว ก็เอาไชยชะนะมิได้ เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอพึ่งพระบารมีท่านได้โปรดสงเคราะห์ด้วย โดยข้าพเจ้าสิ้นความคิดแล้ว
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อันสัญชาติวานรแล้วย่อมอวดเก่งว่าตนมีฝีมือ พอใจแต่จะรบสู้เหตุใดท่านไม่บอกเล่าว่าจะไปอาราธนาพระคำภีร์ไตรยปิฎกธรรมเล่า เห้งเจียว่าข้าพเจ้าหมายจะจับตัวปิศาจให้ได้ จะได้บังคับให้พาพระอาจาริย์ข้ามน้ำส่ง ก็หาทันจะบอกออกชื่อว่าจะไปอาราธนาพระคำภีร์ไตรยปิฎกไม่
พระโพธิสัตว์พูดว่ามันมิใช่ยักษ์มารอะไรที่ไหน มันคือองครักษ์ใต้เจียงกุน ขุนนางข้างที่ของเง็กเซียงฮ่องเต้ ต้องโทษบนสวรรค์จึงสาบให้ลงมาอยู่ในลำแม่น้ำหลิวซัวฮ้อนี้ เมื่อครั้งก่อนอาตมได้ชักนำสั่งสอนให้อยู่ปฏิบัติรักษาธรรม แลได้สั่งว่าแม้มีผู้มาทางนี้ก็ให้ติดตามสามิภักดิ์เปนศิษย์ไป กว่าจะสำเร็จการธุระภายหลังจึงจะเอาคุณลบล้างโทษ แม้เมื่อแรกมาบอกว่าจะไปอาราธนาพระไตรย์ปิฎกแล้ว เธอก็คงจะเข้าสาพิภักดิ์ ไม่ให้ต้องลำบากอย่างนี้ พระโพธิสัตว์พูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกฮุยไง้สานุศิษย์ใหญ่มาแล้ว จึงหยิบลูกน้ำเต้าในมือเสื้อออกมาส่งให้ฮุยไง้แล้วสั่งว่า จงไปด้วยเห้งเจียยังแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ยืนบนหลังน้ำร้องเรียกว่าหงอเจ๋ง บัดนี้มีผู้จะไปอาราธนาพระไตรยปิฎกมาแล้ว ให้รีบขึ้นมาสาพิภักดิ์ติดตามไปด้วยเถิด แล้วส่งน้ำเต้าให้หงอเจ๋งร้อยหัวโกลกผีเปนวงรอบ แล้วเอาน้ำเต้าไว้ตรงกลางวงทำเปนกิริยาเรือจะได้ส่งพระถังซัมจั๋งข้ามฟาก
ฮุยไง้ได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งทุกประการแล้ว คำนับลาพระโพธิสัตว์พาเห้งเจียออกจากสำนัก เหาะกลับมายังแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ครั้นถึงฮุยไง้หยุดกลางแม่น้ำ แล้วร้องเรียกว่าหงอเจ๋ง ๆ บัดนี้ผู้อาราธนาพระไตรยปิฎกธรรมมาคอยถ้าอยู่นี่แล้ว ทำไมจึงไม่รีบขึ้นมาสาพิภักดิ์เปนศิษย์ไปเล่า ฮุยไง้เรียกดังนั้นแล้ว ก็เลยมาหาพระถังซัมจั๋ง ต่างคำนับกัน โป๊ยก่ายแลเห็นฮุยไง้มาก็ดีใจ จึงมาคำนับ โป๊ยก่ายคำนับแล้วคำนับอีก เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงพูดว่าน้องอย่ากระทำให้ชักช้าไป ให้ท่านเรียกปิศาจขึ้นมาเสียก่อนเถิดจึงค่อยขอบพระคุณท่าน
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ใครจะเรียกปิศาจเล่า เห้งเจียบอกว่าพระโพธิสัตว์สั่งฮุยไง้มาให้เปนผู้เรียก
หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์มีความกรุณาเมตาจิตร์อย่างนั้น ก็มีความยินดีจึงยกมือขึ้นนมัศการไปยังทิศที่พระโพธิสัตว์อยู่ แล้วคำนับขอบใจฮุยไง้ซึ่งได้มีใจมาช่วย
ฝ่ายปิศาจอยู่ใต้น้ำ เมื่อได้ยินเสียงมาเรียกชื่อของตัว แลพูดว่ามีผู้มาอาราธนาพระไตรย์ปิฎกธรรม มาคอยอยู่ข้างฝั่งดังนั้น ก็นึกขึ้นได้คือพระโพธิสัตว์สั่งไว้ คิดดังนั้นก็แซกน้ำโผล่ขึ้นมาเหลียวซ้ายแลขวา พอแลมาปะฮุยไง้เข้าก็จำได้ คำนับแล้วก็ถามว่า พระโพธิสัตว์อยู่ที่ไหน ฮุยไง้บอกว่า พระโพธิสัตว์มิได้มา สั่งให้ข้าพเจ้ามาสั่งท่านว่า จงรีบติดตามสาพิภักดิ์หลวงจีนถังซัมจั๋งไปประเทศไซที แลให้เอาโกลกหัวผีเก้าหัวที่ห้อยคอนั้นร้อยรอบเปนวงแล้ว เอาน้ำเต้าวางกลางวง แล้วยกวางลงบนหลังน้ำเปนต่างเรือ จะได้ส่งพระอาจาริย์ข้ามฟากไป
หงอเจ๋งจึงถามว่าบัดนี้ผู้จะไปอาราธนาพระไตรยปิฎกนั้นอยู่ที่ไหน ฮุยไง้จึงชี้มือว่าที่ยืนอยู่บนฝั่งน้ำนั้นมิใช่หรือ
หงอเจ๋งแลไปเห็นพระถังซัมจั๋งยืนอยู่ จึงวางไม้พลองเสียวิ่งมากราบนมัศการแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามีตาเนื้อ แต่ไม่มีแก้วตาปัญญาจำอาจาริย์ไม่ได้ ขอพระอาจาริย์อย่าได้ถือโทสาข้าพเจ้าเลย
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ตัวมีจิตร์ศรัทธาจริงใจจะยอมอยู่ในคำสั่งสอนของอาตมาหรือ
หงอเจ๋งพูดว่าข้าพเจ้าได้พึ่งพระโพธิสัตว์สั่งสอน แลได้รับคำสั่งสอนของท่าน แลท่านได้ตั้งฉายาให้นามเรียกว่า (ซัวหงอเจ๋ง) เมื่อได้รับอย่างนี้แล้ว ทำไมจะไม่อยู่ในคำสั่งสอนของท่านเล่า
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็ดีแล้ว จึงเรียกเห้งเจียให้เอามีดโกนมาโกนผมให้หงอเจ๋ง แล้วหงอเจ๋งจึงนมัศการหลวงจีนถังซัมจั๋งเปนอาจาริย์ คำนับเห้งเจียโป๊ยก่ายเปนพี่ พระถังซัมจั๋งเห็นกิริยาหงอเจ๋งมัทยัด จึงให้เรียกนามว่า (ซัวฮั่นเสียงแลซัวเจ๋งก็เรียก)
ฝ่ายฮุยไง้เห็นซัวเจ๋งมีความเคารพเรียบร้อยแล้ว จึงพูดว่า หงอเจ๋งได้สะมาทานองค์ศีลแล้ว จงอย่ามีความเกียจคร้าน รีบทำเรือจะได้ส่งท่านถังซัมจั๋งข้ามฟาก
หงอเจ๋งได้ฟังฮุยไง้บอกดังนั้น ก็ถอดหัวโกลกผีทั้งเก้าออกจากฅอแล้ว เอาเชือกหวายร้อยวงกระโหลกทั้งเก้านั้นวางลงที่หลังน้ำแล้วเอาน้ำเต้าวางอยู่ท่ามกลาง แล้วจึงนิมนต์พระอาจาริย์ถังซัมจั๋งลงเหยียบน้ำเต้า ตัวลอยดุจอยู่บนเรือไม่พลิกแพลงดุจยืนอยู่บนแผ่นดิน ข้างซ้ายมีโป๊ยก่ายข้างขวามีซัวเจ๋งประะคับประคอง ข้างหลังมีเห้งเจียจูงม้า ข้างบนมีฮุยไง้คุมรักษา วันเมื่อหลวงจีนถังซัมจั๋งเหยียบน้ำเต้าข้ามฟากไปนั้น ก็โดยอานุภาพอะภินิหารของพระกวนอิมน้ำเต้าก็ลอยละลิ่วไป คลื่นละลอกก็มิได้ซัดสงัดสงบเงียบถึงฟากฝั่งได้โดยสะดวกดังประสงค์ อาจาริย์กับศิษย์ก็พากันขึ้นบก ฮุยไง้ก็ลงเก็บเอาน้ำเต้าขึ้นมา หัวโกลกผีเหล่านั้นก็อันตระทานสูญหายไป ฮุยไง้ก็ลากลับไปยังน่ำไฮ้ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ยกมือนมัศการ อาจาริย์กับศิษย์ก็ตั้งหน้าตรงไปยังทิศปราจิณ