๘๘

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ลาเจ้าเมืองแลราษฎรแล้ว ก็พากันออกจากเมืองเดินตามแนวทางหมายทิศไซที เวลานั้นพระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้ามีความยินดีปราโมชรื่นเริงในใจ จึงเรียกเห้งเจียพูดว่าทำการครั้งนี้มีความดีมาก อันกุศลผลบุญหาที่เปรียบมิได้ เห้งเจียพูดถ่อมตัวว่า ซึ่งการเปนทั้งนี้ก็เพราะชนทั้งหลายเขาหาซึ่งความชอบธรรม เพราะฉนั้นเขาจึงได้รับผลอันดี จะได้เปนเพราะความดีของข้าพเจ้าแต่ส่วนเดียวก็หามิได้ อาจาริย์กับศิษย์สนทนากันพลางเดินพลางก็รีบเดินมา ในเวลานั้นเปนฤดูเดือนเก้าเดือนสิบ พากันเดินชมต้นผลไม้ตามระยะทางทั้งสองข้าง ครั้นเดินทะลุออกจากป่าดงแลไปข้างน่า เห็นมีป้อมกำแพงเมืองแต่ไกล พระถังซัมจั๋งจึงเอาแซ่ม้าชี้บอกแก่เห้งเจียว่า จงดูข้างน่านั้นมีป้อมแลกำแพงจะเปนแห่งตำบลใด พูดยังไม่ทันขาดคำก็แลเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งอยู่ในรกกระโดดออกมา พระถังซัมจั๋งตกใจพลัดตกจากหลังม้าแล้วลุกขึ้นเดินมาปราไสยแก่ตาเฒ่า ๆ ก็ยกมือขึ้นคำนับตอบ แล้วถามว่าท่านอาจาริย์อยู่เมืองไหนไปไหนมา

พระถังซัมจั๋งย่อตัวแล้วพูดว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ให้ไปยังประเทศไซที เพื่ออาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม ยังวัดลุ่ยอิมยี่ บัดนี้มาถึงตำบลนี้ไม่ทราบว่าที่นี่เปนเมืองอะไร ถ้าท่านตาทราบเรื่องขอได้กรุณาบอกให้ข้าพเจ้าทราบด้วยเถิด ตาเฒ่าได้ฟังพระถังซัมจั๋งถามดังนั้น จึงพูดว่าพระอาจาริย์นี้มีอะภินิหารเชี่ยวชาญมากนัก จึงได้มาถึงตำบลนื้ อันตำบลนี้เปนเขตรแดนเมืองโซจ็อกนามเมืองเรียกเง็กฮัวจิ้ว เจ้าเมืองเง็กฮัวจิ้วนั้นคือพระญาติพระวงษ์ของเจ้าเมืองโซจ็อก เจ้าเมืองเง็กฮัวจิ้วนี้เปนคนดีตั้งอยู่ในทางยุติธรรมมีใจโอบอ้อมอารีรักใคร่ราษฎร หากท่านอาจาริย์เข้าไปหาเธอคงเลื่อมไสยสัทธา พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็กระทำคำนับขอบคุณ ตาเฒ่าก็หันกลับลัดเข้าดงไป พระถังซัมจั๋งก็หันหน้ากลับมาบอกแก่สานุศิษย์ทั้งสามคนทุกประการ แล้วก็พากันเดินตัดตรงเข้าเมือง ครั้นเดินเข้าถนนใหญ่แล้ว จึงพิเคราะห์ดูทั้งสองข้างทาง ตั้งร้านค้าขายผู้คนแออัด โรงร้านตึกเรือนเรียบร้อยเปนสง่างาม ลักษณชนชาวเมืองมีอาการกิริยาคล้ายแก่คนชาวเมืองใต้ถัง พระถังซัมจั๋งจึงสั่งสานุศิษย์ทั้งสาม ให้สำรวมจิตร์ระวังสังวรอย่าให้พลั้งเผลอ โป๊ยก่ายก็เดินก้มหน้าส้อนปากไว้กับอก ซัวเจ๋งเอาผ้าคลุมหน้า เห้งเจียเดินประคับประคองข้างพระอาจาริย์ พวกชาวเมืองก็ชิงกันดูแล้วพูดว่า ที่เมืองเรามีผู้วิเศษปราบได้แต่เสือกับมังกร ยังไม่เคยเห็นพระสงฆ์ปราบหมูปราบลิงดังนี้ โป๊ยก่ายได้ฟังชาวเมืองพูดก็อดไม่ได้ จึงยื่นปากออกพูดว่าพวกเจ้าไม่เคยเห็นพระสงฆ์ปราบพระยาสุกรหรือ หมู่ชนเหล่านั้นก็พากันตกใจล้มคว่ำล้มหงายเปนระนาวไป ลุกขึ้นได้ก็พากันวิ่งหนีซุกซ่อนตัวไปทั้งสิ้น โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็เดินก้มหน้าตามอาจาริย์ไป ครั้นเดินมาถึงประตูเมืองก็ตรงเข้าไปในเมือง เห็นผู้คนมากมายดุจเมืองหลวง พระถังซัมจั๋งมีความยินดีจึงพูดว่า ได้ฟังเขาเล่ากันว่าชาวเมืองโซจ็อกแต่ยังไม่เคยมาถึง เมื่อพิเคราะห์ดูโดยละเอียดก็ไม่ผิดชาวเมืองใต้ถัง แลได้ยินเขาพูดกันว่าเข้าสารถังละหนึ่งเฟื้อง น้ำมันงาถังละสองไพเข้าปลาบริบูรณ ไชยภูมิ์เมืองก็สนุกสนานปราศจากโจรผู้ร้าย ครั้นเดินมาประมาณสักสองชั่วโมงก็มาถึงที่ประตูพระทวารวัง ข้างน่านั้นมีหอสำหรับที่รับแขก แลที่เลี้ยงแขก แลมีขุนนางคอยรักษาทั้งซ้ายขวา พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่สานุศิษย์ทั้งสามว่าที่นี้เปนที่รับแขกเมืองเราพากันเข้าไปพักก่อน เพื่ออาตมภาพจะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางแล้วจึงค่อยไป บางทีเจ้าเมืองจะมีสัทธาเลี้ยงเครื่องแจจะให้คนมาตามเข้าไป ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นจึงหาบของเข้าไปพักที่หอรับแขก

ฝ่ายพวกขุนนางรับแขก แลเห็นรูปร่างเธอทั้งสามคนดุร้ายน่าเกลียดน่าชังไม่น่าจะทักถามดังนั้น ปล่อยให้นั่งลุกตามสบายมิได้ว่ากล่าวประการใด ฝ่ายพระถังซัมจั๋งจัดแจงแต่งกายครองจีวรสำรวมกิริยาเรียบร้อยแล้ว ถือหนังสือเดินทางเข้าในประตูพระราชวัง ครั้นเข้ามาถึงชั้นในขุนนางก็มาคำนับรับรอง ถามว่าท่านอาจาริย์มาจากเมืองไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินให้ไปไซที วัดลุ่ยอิมยี่ เพื่อขออาราธนาพระไตรยปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงนี่ จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เพราะฉนั้นอาตมภาพปราถนาจะเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ขอท่านได้อนุกูลกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ ขุนนางผู้นั้นครั้นได้ทราบความดังนั้นแล้ว จึงนำความเสนอท่านผู้ใหญ่ให้ทราบ ก็นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ จึงรับสั่งให้ขุนนางออกมานิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้าไปเฝ้า

ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเดินตามขุนนางเข้ามา ครั้นถึงที่เฝ้าก็นำหนังสือออกถวายพระเจ้าแผ่นดิน ก็สำรวมกิริยานำหนังสือขึ้นถวายต่อพระหัถพระเจ้าแผ่นดิน ๆ รับมาคลี่ออกดูเห็นมีตราประทับทุก ๆ เมืองก็มีความยินดี จึงเซ็นลายพระหัถลงแล้ว ก็ประทับตราแผ่นดินลงแล้วก็คืนให้พระถังซัมจั๋ง แล้วรับสั่งถามว่าท่านก๊กซืออาจาริย์เมื่อออกจากเมืองใต้ถัง ข้ามทุกเมืองมาถึงนี่ ประมาณระยะทางจะไกลสักเท่าใดท่านอาจทราบหรือไม่ พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า อาตมภาพเดินมาก็มิได้จำว่าใกล้ไกลเท่าใด แต่เมื่อปีก่อนนี้มีพระโพธิสัตว์กวนอิมแบ่งภาคลงมาชี้แจงต่อหน้าพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ บอกว่าหนทางจะไปไซทีนั้นไกลสิบหมื่นแปดพันโยชน์ อาตมภาพเดินมาได้สิบสี่รอบฤดูร้อนหนาวแล้ว พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังทรงพระสวนว่าสิบสี่รอบฤดูร้อนหนาวมิได้สิบสี่ปีมาแล้วหรือ ตามระยะทางเห็นจะมีความลำบากมากดอกกะมัง พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า อันความลำบากยากแค้นพบปะปิศาจอะสุระกายยักษ์มารนั้น ไม่สามารถจะพรรณาได้ รับความเดือดร้อนไม่รู้ว่าเท่าไรแล้วจึงได้มาถึงนี่ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น ก็ให้เกิดสัทธาปราโมชรื่นเริงบันเทิงพระไทย รับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องโต๊ะแจมาถวาย พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า อาตมภาพมีสานุศิษย์ยังคอยอยู่ข้างนอก ไม่อาจนำเข้ามาเฝ้าวิตกเกรงจะมีความผิด พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางออกไปนิมนต์เข้ามาจะได้ฉันเครื่องแจด้วยกัน พวกขุนนางก็ออกไปที่ประตูมิได้เห็นมีผู้ใด พวกเฝ้าประตูบอกว่า เห็นอยู่สามคนรูปร่างอยาบช้าพักอยู่ที่หอรับแขกเมือง เห็นจะเปนคนทั้งสามนั้นดอกกะมัง พวกขุนนางได้ฟังดังนั้นก็เดินไปที่หอพัก ถามขุนนางที่เฝ้าหอว่า คนไหนเปนสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง บัดนี้มีรับสั่งให้นำเข้าไปฉันแจ โป๊ยก่ายนั่งอยู่ที่นั่นได้ยินว่าจะให้เข้าไปกินเลี้ยง ก็ทะลึ่งออกมาพูดเสียงดังว่าข้าพเจ้าเอง พวกขุนนางแลเห็นรูปร่างก็ตกใจ แข็งใจพูดว่าขอเชิญท่านทั้งหลายเข้าไปประเดี๋ยวนี้เถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็พากันตามขุนนางเข้าไปในพระราชวัง พวกขุนนางครั้นพาคนทั้งสามเข้ามาแล้ว ก็นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมีรูปร่างดุร้ายดังนั้นก็ตกพระไทย พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเกรงกลัวเลยจงวางพระไทยเถิด คนทั้งสามนี้รูปร่างดุร้ายก็จริงแต่ใจดี โป๊ยก่ายทะลึ่งทูลขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าข้าพเจ้าขอคำนับ พระเจ้าแผ่นดินก็ตกพระไทยยิ่งนัก พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า สานุศิษย์ทั้งสามนี้อาตมภาพได้มาแต่ในป่า มิได้รู้จักขนบธรรมเนียมบ้านเมือง ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานอะไภย พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางพนักงาน จัดเครื่องโต๊ะพาไปยังตำหนักม่อซอเต๊ง จะได้รับประทานอาหารแจ พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามก็คำนับลาพระเจ้าแผ่นดิน ออกเดินตามขุนนางพนักงานเครื่องไปยังตำหนักม่อซอเต๊ง ขุนนางก็จัดโต๊ะเชิญพระถังซัมจั๋งเข้านั่งโต๊ะหนึ่ง สานุศิษย์ทั้งสามเข้านั่งรวมกันโต๊ะหนึ่งตามสบาย

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จเข้าข้างใน ให้มีพระภักตร์ผิดปรกติไป พระราชบุตร์ทั้งสามพระองค์คอยเฝ้าอยู่ในพระตำหนักนั้น ก็แลเห็นพระราชบิดาเสด็จเข้ามามีสีพระภักตร์ผิดเผือดไปดังนั้น จึงพากันทูลถามว่า พระองค์มีเหตุการไฉนจึงมีสีพระภักตร์ผิดปรกติดังนี้ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสแก่พระราชบุตร์ทั้งสามว่า เมื่อกี้นี้มีพระสงฆ์รูปหนึ่งมาจากเมืองใต้ถังเข้ามาขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เธอมีลักษณะรูปร่างงามมิใช่คนเมืองใต้ เรามีสัทธาจะเลี้ยงแจเธอสักเวลาหนึ่ง เธอบอกว่ายังมีสานุศิษย์อีกสามคนคอยอยู่ที่หอรับแขกเมือง เราจึงสั่งให้เข้ามาทั้งสามคน บัดนี้ก็เข้ามาแล้ว แต่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมข้าราชการที่จะเคารพต่อเจ้านาย เราพิเคราะห์ดูคนทั้งสามนั้น มีลักษณะรูปร่างน่าเกลียดน่าชังดุจดังว่าผีแลยักษ์ร้าย ในใจให้สดุ้งหวาดไม่เปนปรกติ เพราะฉนั้นจึงมีสีหน้าผิดปรกติไป เมื่อพระราชโอรสทั้งสามได้ฟังพระราชบิดาตรัสดังนั้น ก็กราบทูลว่าชะรอยจะเปนผีปิศาจแปลงกายมาดอกกะมัง พวกข้าพเจ้าจะขอออกไปดูให้เห็นแน่แก่ตาว่าจะเปนประการใด เมื่อทูลพระราชบิดาดังนั้นแล้ว พระองค์ที่หนึ่งก็ทรงถือตะบองใหญ่ พระองค์ที่สองก็ทรงถือคราดเก้าซี่ พระองค์ที่สามก็ทรงถือแผ่นป้ายดำอันหนึ่ง สามองค์พี่น้องถืออาวุธครบมือกันแล้ว ก็พากันออกจากพระราชวัง ถึงประตูก็ร้องตวาดว่า พวกไหนที่จะไปอาราธนาพระไตรยปิฎกอยู่ที่ไหน ในขณะนั้นมีขุนนางพนักงานเครื่องผู้หนึ่งอยู่ที่นั่น ได้ยินพระราชโอรสถามดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับทูลว่า พวกพระสงฆ์ที่พึ่งเข้ามาฉันโต๊ะเครื่องแจอยู่ที่ตำหนักม่อซอเต๊ง พระราชโอรสทั้งสามได้ทรงฟังดังนั้นมิได้รอรั้งรีบเดินเข้าไปในตำหนักม่อซอเต๊ง ร้องถามด้วยเสียงอันดังว่า พวกเหล่านี้เปนมนุษย์หรือปิศาจหรือยักษ์ร้าย จงรีบบอกออกมาโดยเร็วอย่าให้ถึงลงมือ พระถังซัมจั๋งกำลังฉันจังหันอยู่ เห็นดังนั้นก็ตกใจวางชามเข้าเสียทันที ขอตัวว่าอาตมภาพเปนชาวเมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระธรรม มิใช่ผีปิศาจยักษ์ร้ายอะไรดอก พระราชโอรสทั้งสามพูดว่า ตัวท่านก็เปนมนุษย์อย่างเดียวกับเรา แต่คนทั้งสามนั้นรูปร่างดุร้าย ชะรอยจะเปนปิศาจอะสุระยักษ์เปนแน่ โป๊ยก่ายกำลังกินไม่ธุระที่จะฟังเสียงร้ายดี ซัวเจ๋งกับเห้งเจียเห็นดังนั้น จึงถ่อมตัวพูดว่า พวกข้าพเจ้าหน้าตาไม่สวยงามก็จริง แต่ใจเปนพระร่างกายอยาบคายแต่สันดานดี ท่านทั้งสามคือผู้ใดออกท่าทางฮึกหาญกล่าวความหมิ่นประมาทดังนี้ ขุนนางพนักงานเครื่องที่อยู่ในที่นั้น จึงบอกว่าท่านทั้งสามนี้คือพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินประจุบันนี้ โป๊ยก่ายวางชามเข้าลุกขึ้นถามว่า ท่านราชบุตร์ทั้งสามจะถืออาวุธมาทำไม หรือจะใคร่ลองฝีมือกับพวกข้าพเจ้าดอกกะมัง

พระราชบุตร์องค์ที่สองได้ฟังโป๊ยก่ายถามดังนั้น สองมือจับคราดเหล็กแกว่งกวัด โป๊ยก่ายแลเห็นก็หัวเราะแล้วพูดว่า คราดของเธอนั้นเปนลูกหลานคราดของข้าพเจ้า ว่าแล้วโป๊ยก่ายก็แหวกเสื้อชักเอาคราดเหล็กออกมาจากเอว แกว่งกวัดมีรัศมีศรีทองพุ่งพรายออกมานั้นได้พันแลหมื่นสาย พระราชบุตร์ที่สองเห็นดังนั้นก็ตกใจมือแลเท้าก็อ่อนเปลี้ยไปทั้งกาย เห้งเจียเห็นพระราชบุตร์ที่หนึ่งถือกระบองโลดเต้นกวัดแกว่ง ก็ชักตะบองออกจากหูแกว่งไปมาตะบองก็ใหญ่กว่าสามกำ ยาวสี่ศอกเศสปักลงกับพื้นลึกสามศอกเศส แล้วก็หัวเราะพูดว่าข้าพเจ้าให้ตะบองนี้แก่ท่าน พระราชบุตร์ที่หนึ่งก็ทิ้งตะบองของตนเสีย วิ่งเข้าไปจับตะบองของเห้งเจียโยกถอนโดยกำลังแรง ถอนเท่าใดก็ไม่ขึ้น พระราชบุตร์องค์ที่สามเห็นดังนั้นก็จับป้ายเหล็กออกท่า ซัวเจ๋งยกตะบองวิเศษออกสกัด แล้วแกว่งไปมามีรัศมีแสงพุ่งออกมาระยับระย้า พวกขุนนางพนักงานในห้องเครื่องเห็นดังนั้น พากันตกใจครั่นคร้ามไม่เปนสมประดี พระราชโอรสทั้งสามคุกเข่าลงเคารพพูดว่าท่านครูข้าพเจ้าไม่ทราบเลย ขอท่านได้สำแดงความประสิทธิ์ของท่านให้ข้าพเจ้าเห็นอีกสักครั้งหนึ่ง จะได้เปนที่นับถือของพวกข้าพเจ้า เห้งเจียกระโดดมาจับตะบองที่ปักอยู่นั้น ยกขึ้นเบา ๆ ก็หลุดถอนขึ้นมาโดยง่ายไม่เปนความยาก แล้วพูดว่าในสถานที่นี้คับแคบ ไม่สมควรที่จะแผลงอิทธิฤทธิ์ได้ ข้าพเจ้าจะเหาะขึ้นบนเวหาแผลงฤทธิ์ให้ท่านทั้งหลายดู พูดแล้วก็ทำสิงหะนาจร้องตวาดด้วยเสียงอันดังคำหนึ่งแล้ว ก็ขึ้นเหยียบเมฆลอยขึ้นไปบนอากาศ จับตะบองออกท่าเรียกว่าเพลงโปรยดอกไม้ แลเรียกว่ามังกรพลิกตัว เห้งเจียจับตะบองแกว่งหมุนคว้าง ๆ โป๊ยก่ายอยู่ข้างล่างอดไม่ได้ ร้องขึ้นไปว่าข้าพเจ้าจะแผลงฤทธิ์ให้ดูบ้าง ว่าแล้วถือคราดเผ่นขึ้นเหยียบสายลมเหาะลอยขึ้นบนอากาศ มือจับคราดตีข้างบนสามทีล่างสี่ที ซ้ายห้าทีขวาหกทีหน้าเจ็ดทีหลังเก้าที หมุนหันรอบตัวโดยความแคล่วคล่องว่องไว ได้ยินเสียงดุจลมพัดดังอู้ ๆ ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็มาคำนับอาจาริย์พูดว่า ขอพระอาจาริย์จงนั่งคอย ข้าพเจ้าจะไปซ้อมฝีมือให้พระอาจาริย์ดูบ้าง พูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ จับตะบองควงหมุนดังจังหัน มีรัศมีสีแสงสว่างพรายเปนประกายดูงดงามยิ่งนัก เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งต่างแผลงฤทธิ์อยู่บนอากาศโดยเชี่ยวชาญ พระราชโอรสทั้งสามแลเห็นดังนั้น ก็ให้สยดสยองหวาดหวั่นครั่นคร้ามยิ่งนัก พากันคุกเข่าลงกับพื้นในตำหนักม่อซอเต๊ง พวกขุนนางพากันกราบไหว้ทุก ๆ คนทั้งฝ่ายน่าฝ่ายใน แลชาวเมืองพลไพร่ใหญ่น้อยเห็นดังนั้น ก็มีความเลื่อมไสยสัทธาจุดธูปเทียนบูชา เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแผลงอิทธิฤทธิ์แล้ว ก็หยุดพักพากันลงมายังพื้นไปหาพระอาจาริย์

ฝ่ายพระราชโอรสทั้งสามก็รีบพากันเข้าไปยังพระราชวังใน กราบทูลพระราชบิดาว่า มีความปราโมชชื่นชมโสมนัดหาที่เปรียบมิได้ พระบิดาได้เห็นหรือไม่เมื่อตะกี้นี้ พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสแก่พระราชโอรสทั้งสามว่า บิดาพึ่งเห็นบนอากาศเมื่อกี้มีรัศมีสีรุ้งพรายสว่างไสวย ก็ได้พากันจุดธูปเทียนสักการะบูชา ไม่รู้ว่าเทพยดาพระองค์ใดมาแผลงสักดานุภาพดังนี้ พระราชโอรสทั้งสามจึงกราบทูลว่า ที่แผลงฤทธานุภาพนั้นมิใช่ใครผู้ใดเลย คือสานุศิษย์ทั้งสามของพระสงฆ์ที่จะไปอาราธนาพระไตรยปิฎกธรรมนั้นเอง คนหนึ่งถือตะบองเหล็ก คนหนึ่งถือคราดเหล็ก คนหนึ่งถือพลองเหล็ก ล้วนแต่อาวุธวิเศษทั้งสามคน อาวุธของข้าพเจ้าทั้งสามนั้นไม่สามารถจะเปรียบได้ พวกข้าพเจ้าขอให้เธอแผลงอิทธิฤทธิ์ให้ดู เธอว่าคับแคบนักไม่พอที่จะแผลงฤทธิ์ได้ เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงเชิญให้เธอเหาะขึ้นบนอากาศ ที่บังเกิดแสงสว่างรุ่งเรืองนั้น คือรัศมีของอาวุธต่าง ๆ บัดนี้เธอยังอยู่ที่ตำหนักม่อซอเต็ง ลูกมีความยินดีที่สุด อยากจะใคร่เปนสานุศิษย์แห่งเธอเรียนวิชาไว้สำหรับรักษาบ้านเมือง แต่ไม่ทราบว่าพระบิดาจะเห็นประการใด

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้ฟังพระราชโอรสทั้งสาม ทูลดังนั้นก็มีพระไทยยินดียิ่งนัก จึงพาพระราชโอรสทั้งสามเสด็จไปยังตำหนักม่อซอเต๊ง ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามกำลังจัดแจงจะเข้าไปลาพระเจ้าแผ่นดิน ก็พอเห็นพระเจ้าแผ่นดิน เง๊กฮัวจิวเสด็จมากับพระราชบุตร์ พระราชโอรสทั้งสามพระองค์พร้อมกันกราบลงกับพื้น พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจก็ลงคุกเข่าคำนับตอบ เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็ลุกจากที่เดินแอบไปข้างหนึ่งยิ้ม ๆ อยู่

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสนมัศการแล้ว ก็นิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ขึ้นนั่งยังเดิมแล้ว พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า ข้าพเจ้ามีกิจธุระจะขอยอมเคารพต่อท่าน ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามจะปลงใจด้วยหรือไม่ พระถังซัมจั๋งถวายพระพรถามว่า พระองค์มีความเห็นอย่างไรก็ตามแต่พระไทยเถิดถ้าควรแล้วอาตมภาพไม่ขัดสัทธา จึงพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า เมื่อแรกข้าพเจ้ายังมิได้พบแก่ท่านทั้งสาม ก็นึกแต่ว่าพระสงฆ์มาแต่เมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระธรรมเท่านั้น ครั้นได้เห็นท่านสำแดงฤทธาอานุภาพในกลางอากาศจึงทราบได้ว่าท่านผู้สำเร็จลงมา บุตร์ข้าพเจ้าทั้งสามนี้พอใจแต่ในการฝึกหัดเพลงอาวุธ เพราะฉนั้นขอท่านได้กรุณาแนะนำสั่งสอนวิทยาให้แก่บุตร์ของข้าพเจ้าทั้งสาม ข้าพเจ้าจะขอบใจท่านแบ่งสมบัติให้แก่ท่านครึ่งหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านยังไม่ทราบหรือว่าพวกข้าพเจ้าอยู่ในทางธรรม รักษาศีลภาวนาไม่พอใจในลาภยศ หากพระราชบุตร์ของพระองค์ปราถนาจะเรียนรู้วิชา อย่ายกสิ่งของขึ้นเปนกำนัน เอาแต่น้ำใจเท่านั้นก็พออยู่แล้ว พระราชบุตร์ทั้งสามได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น ก็มีความยินดีเปนที่สุด จึงสั่งพนักงานเครื่องแจให้จัดเครื่องโต๊ะเลี้ยงยังพระราชวังใน แลสั่งพนักงานพิณพาทย์ขับร้อง ครั้นจัดเสร็จแล้ว ศิษย์กับอาจาริย์ก็พร้อมกันเข้านั่งฉันเครื่องแจในเวลานั้น ครั้นเสร็จแล้วก็พากันพักนอนยังตำหนักม่อซอเต๊งคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นพระเจ้าแผ่นดินเง๊กฮัวจิวกับพระราชโอรสทั้งสามเสด็จมานมัศการพระถังซัมจั๋งแล้ว พระราชบุตร์ทั้งสามก็มาคำนับเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งแล้วพูดว่า ขอท่านครูอย่าได้มีความเสียดายเลย ขอให้ข้าพเจ้าดูเครื่องมือของท่านทั้งสามอีกครั้งหนึ่งเถิด โป๊ยก่ายซัวเจ๋งมีความยินดีหัวเราะแล้ว จึงชักอาวุธออกวางไว้กับพื้น พระราชบุตร์ที่สองที่สามเฃ้ามาลองยกดูก็ไม่หวาดไหว เปรียบดุจตั๊กกะแตนเข้าโยกเสาร์ตะลุงช้างฉนั้น พระราชบุตร์ทั้งสองออกกำลังจนสีพระภักตร์แดงก็ไม่ไหวไม่ขะเยื่อน พระราชบุตร์ที่หนึ่งตรัสว่าพระน้องทั้งสองอย่าออกกำลังให้เสียแรงเปล่าเลย ด้วยเครื่องอาวุธทั้งสองอย่างนั้น มิใช่ของธรรมดา เปนของกายสิทธิ์ไม่ทราบว่าจะหนักสักเท่าใด โป๊ยก่ายบอกว่า คราดนั้นไม่หนักสักเท่าใดดอก ทั้งตัวทั้งดั้มหนักประมาณห้าพันสี่สิบแปดชั่งเท่านั้น พระราชบุตร์ที่สามถามซัวเจ๋งว่าพลองของท่านอาจาริย์หนักประมาณสักเท่าใด ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วตอบว่าพลองนั้นหนักห้าพันสี่สิบแปดชั่งเหมือนกัน พระราชบุตร์ที่หนึ่งขอดูตะบองของเห้งเจีย เห้งเจียเอียงหูลงควักออกมาเปนเข็มเล่มหนึ่ง แกว่งกระทบสายลมตะบองก็โตขึ้นประมาณสี่กำ แล้วปักตั้งอยู่ตรงหน้า พวกขุนนางแลเห็นดังนั้นก็พากันครั่นคร้ามเกรงกลัว พระราชบุตร์ทั้งสามจึงถามว่า อาวุธของอาจาริย์ทั้งสองซ่อนไว้ที่บั้นเอว แต่อาวุธของท่านอาจาริย์เห้งเจียซ่อนไว้ในหูเล็กเท่าเข็ม ครั้นถูกลมแล้วจึงโตขึ้นนั้นด้วยเหตุผลประการใด เปนน่าอัศจรรใจยิ่งนัก เห้งเจียหัวเราะแล้วจึงพูดว่า ตะบองเหล็กนี้ท่านยังไม่ทราบ มิใช่ของธรรมดา เปนกายสิทธิ์ ตั้งแต่ท่านเจ้าต้ายผู้วิเศษสกดไว้กลางทะเล หากข้าพเจ้ามีนิไสยจึงไปเอามาได้ จะเปลี่ยนแปลงอย่างใดก็ได้ทุกประการ น้ำหนักหมื่นสี่พันห้าร้อยชั่ง แลไม่เหมือนเหล็กธรรมดา พระราชบุตร์ได้ฟังดังนั้น ก็มีความเลื่อมไสยสัทธา ตั้งใจจะให้เห้งเจียสั่งสอนฝึกหัด เห้งเจียจึงถามว่า ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามจะเรียนอาวุธอันใด พระราชบุตร์ทั้งสามจึงบอกว่า อยากจะเรียกอาวุธของอาจาริย์ทั้งสามนั้น เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ถ้าดังนั้นก็ง่ายไม่ยาก แต่วิตกเห็นว่ากำลังของท่านทั้งสามจะไม่พอแก่อาวุธของข้าพเจ้า เมื่อยกไม่ไหวแล้วจะฝึกหัดอย่างไรได้ ดุจจะเขียนไม่เปนจะกลายเปนเขียนสุนักข์ไป หากท่านทั้งสามตั้งใจอยากจะได้จริง ก็จงตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนบูชาให้เทพยดาฟ้าแลดินแล้ว ข้าพเจ้าจะสอนกำลังภาคใหญ่ให้เกิดขึ้นแล้ว จึงค่อยเรียนฝึกหัดเพลงอาวุธ พระราชบุตร์ทั้งสามได้ฟังดังนั้น ต่างก็ดีใจยกโต๊ะมาตั้งเอง แล้วจุดธูปเทียนสักการะบูชาไหว้เทพยดาฟ้าแลดินแล้ว จึงมาขอให้อาจาริย์สอนทางวิเศษให้ เห้งเจียหันหน้ามาหาพระถังซัมจั๋งแล้ว ทำความเคารพว่าท่านอาจาริย์ ผู้มีคุณอันประเสริฐของข้าพเจ้า ขออนุญาตโปรดให้อะไภยแก่ข้าพเจ้าด้วย บัดนี้พระราชบุตร์ทั้งสามนี้มาขอเคารพเปนสานุศิษย์ จะขอเรียนศิลปสาตร์วุฒิทางอาวุธ เธอยอมเปนสานุศิษย์ของข้าพเจ้า ก็นับว่าเปนนัดาของพระอาจาริย์ ขอพระอาจาริย์ได้ทราบ ข้าพเจ้าจะให้ความรู้แก่เธอทั้งสาม โป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นเห้งเจียกระทำเคารพแก่พระอาจาริย์ดังนั้น ก็กระทำความเคารพแก่พระอาจาริย์บ้าง แล้วจึงพูดว่า ขอพระอาจาริย์นั่งให้สบาย ผ่อนให้ข้าพเจ้าทั้งสองหาสานุศิษย์คนละคน ไว้เปนที่ระลึกซึ่งทางไซทีนี้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังสานุศิษย์ทั้งสามมาขออนุญาตดังนั้น ก็มีความยินดีที่สุดจึงให้อนุญาต เห้งเจียจึงสอนพระราชบุตร์ทั้งสามที่ในห้องตำหนักม่อซอเต๊งในที่สงัด เห้งเจียเขียนยันต์แล้ว ให้พระราชบุตร์ทั้งสามคุกเข่าสำรวมจิตร์หลับพระเนตร์นิ่งแน่ทั้งสามองค์ เห้งเจียจึงร่ายพระคาถาป่าวลงที่ท้องพระราชบุตร์ทั้งสามพระองค์ ถอดกำลังของตัวให้แก่พระราชบุตร์ทั้งสามองค์ ดุจดังว่าเปลี่ยนแปลงกายขึ้นใหม่ พระราชบุตร์ทั้งสามก็รู้สึกพระองค์ว่ามีกำลังเกิดขึ้น ผุดลุกขึ้นลูบเนื้อลูบตัวดูแข็งแรงมีกำลังขึ้นมากยิ่งกว่าแต่ก่อนร้อยเท่าพันทวี พระราชบุตร์องค์ใหญ่ก็มาลองจับตะบองของเห้งเจีย พระราชบุตร์องค์ที่สองก็มาจับคราดของโป๊ยก่าย พระราชบุตร์องค์ที่สามก็มาจับพลองของซัวเจ๋ง ต่างก็มีกำลังยกขึ้นกวัดแกว่งได้ทั้งสามองค์ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเห็นพระราชโอรสทั้งสามมีกำลังขึ้นดังนั้น ก็มีความยินดีเปนที่ยิ่ง สั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะมาเลี้ยงขอบคุณ ในเวลาเลี้ยงนั้นเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ต่างให้วิชาความรู้แก่สานุศิษย์ของตน แต่กำลังนั้นทนไม่นานก็หอบเหนื่อย เพราะเครื่องอาวุธของอาจาริย์เปนของกายสิทธิ์ ครั้นเลิกแล้วก็ลาไปพักยังที่ รุ่งขึ้นพระราชบุตร์ทั้งสามก็มาเคารพขอบคุณอาจาริย์ แล้วจึงพูดว่าเครื่องอาวุธของอาจาริย์ยกได้ก็จริงแต่ยังลำบาก ข้าพเจ้าทั้งสามอยากจะให้ช่างทำตามอย่างนี้ แต่ผ่อนลดน้ำหนักให้เบาลง ไม่ทราบว่าท่านอาจาริย์จะเห็นเปนประการใด โป๊ยก่ายว่าถ้าคิดดังนั้นเห็นจะถูกต้อง เพราะเหตุว่าอาวุธของข้าพเจ้าหนักมากเกินกว่ากำลังของท่าน อีกประการหนึ่งก็เปนของคู่มือข้าพเจ้าสำหรับที่จะได้ปราบภูตผีปิศาจแลยักษ์ร้าย ดีแล้วควรจะให้ช่างทำขึ้นไว้สำหรับตัวท่าน พระราชบุตร์ทั้งสามได้ฟังดังนั้น ก็เรียกช่างเหล็กมาให้เลือกเหล็กอย่างดีตั้งเตาสูบหล่อเสียวันหนึ่ง รุ่งขึ้นจึงมาขอยืมอาวุธไปทำตัวอย่าง พิงไว้ในโรงช่างเหล็กทั้งวันทั้งคืน อันเครื่องอาวุธทั้งสามนี้เปนของกายสิทธิ์ติดอยู่กับตัว เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมิได้ห่างจากกาย ครั้นว่านำไปพิงไว้ในโรงช่างเหล็ก ก็บังเกิดเปนรัศมีสีแสงรุ่งโรธโชตนาฟุ้งสว่างขึ้นบนอากาศ เวลานั้นมีปิศาจตนหนึ่ง อยู่ห่างเมืองประมาณเจ็ดสิบโยชน์ เขานั้นเรียกว่าเป๊าเถ้าซัว ถ้ำนั้นเรียกถ้ำเฮ้าเถ้าต๋อง เวลาคืนวันนั้นปิศาจนั่งอยู่ที่น่าถ้ำ แลขึ้นไปบนอากาศ ก็เห็นมีแสงสว่างฟุ้งขึ้นบนอากาศจึงเหาะตรงมาที่แสงสว่างนั้น ครั้นถึงก็เห็นแสงสว่างนั้นฟุ้งขึ้นมาจากพระราชวังใน ปิศาจก็ลงยังพื้นพิจารณาดู เห็นเครื่องอาวุธทั้งสามอย่างปิศาจก็มีความยินดีมีความพิศวงคิดว่าอาวุธนี้จะเปนของผู้ใดหนอเอามาพิงไว้ที่นี้ เปนนิไสยของเราควรจะเอาไปไว้สำหรับตัว คิดดังนั้นแล้วก็ลักเอาอาวุธทั้งสามอย่างนั้นกลับไปยังถ้ำ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ