๙๐

เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งจึงสั่งอาจาริย์กับเจ้าเมืองเสร็จแล้ว ก็พากันเหาะลอยขึ้นกลางอากาศออกไปนอกเมือง แล้วก็ลงมาประจันน่าแก่พวกปิศาจ แลเห็นปิศาจล้วนแต่เปนสัตว์มีขนสีต่าง ๆ อ้ายอึ้งม้อกิมไซนำหน้าราชสีห์เขียวราชสีห์ดำอยู่ข้างซ้าย ราชสีห์ขาวราชสีห์หมอกอยู่ข้างขวาอยู่ท่ำกลางราชสีห์เก้าเสียร คือเก๊าเล่งง่วนเซี้ยเปนแม่ทัพ อ้ายปิศาจหน้าเขียวมือถือสัปทนคอยกั้นให้เก๊าเล่งง่วนเซี้ย โตจั๊นโก๊กวั่ยโก๊กวั่ยโตจั๊นก็ถือธงแดงยืนอยู่สองข้างตั้งเปนกระบวนเรียบร้อย โป๊ยก่ายเข้าไปใกล้ร้องด่าว่าอ้ายขะโมยคนร้าย มึงหนีไปหาอ้ายพรรคพวกสัตว์หน้าขนเหล่านี้มาทำไม ปิศาจอึ้งม้อกิมไซได้ฟังก็ด่าตอบว่า อ้ายสัตว์ร้าย เมื่อวานนี้มึงสามคนรบกูคนเดียวสู้ไม่ได้ต้องยอมแพ้ให้พวกมึงเปนคนเก่ง มึงพวกอ้ายใจโหดร้ายทำไมจึงเผาถ้ำแลญาติพี่น้องพวกบริวารของกูตายด้วยทั้งสิ้นดังนี้ มึงมาลองดูรศจอบสักทีจะเปนประการใด มึงกับกูจะผูกเวรกันลึกดังมหาสมุทใหญ่ โป๊ยก่ายได้ฟังปิศาจด่าว่า ก็ตรงเข้ารบยกคราดเหล็กขึ้นสับ ต่างต่อสู้กันยังหาทันแพ้ชะนะกันไม่ ปิศาจยู่ไชราชสีห์แกว่งเคียวตรงเข้ามา ปิศาจเจียดไชราชสีห์ถือเหล็กสามเหลี่ยมตรงเข้าช่วย ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็แกว่งพลองเหล็กเข้าช่วยโป๊ยก่าย พวกปิศาจจุนเงราชสีห์ แปะเจ๊กราชสีห์ ท่วนเฉียราชสีห์ เก๊าลีราชสีห์ทั้งสี่ก็พากันระดมรบ เห้งเจียชักตะบองออกจากหูตรงเข้าสกัดต้านไว้ จุนเงถือพลองเหล็กแปะเจ๊กถือลูกตุ้มทองแดง ท่วนเฉียถือทวนทองแดง เก๊าลีถือขวานราชสีห์ทั้งเจ็ด เข้าระดมรบกับเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งสามคน รบกันประมาณสักครึ่งวันเวลาก็จวนค่ำ โป๊ยก่ายอ่อนกำลังลง จึงขยับคราดหลอกสับไปทีหนึ่งแล้วก็ชักคราดวิ่งหนี เจียดไซราชสีห์ยู่ไซราชสีห์ทั้งสองไล่ตามมา ตีถูกโป๊ยก่ายที่หลังก็ล้มคว่ำลงกับพื้น ปิศาจทั้งสองก็เข้าจับขนท้ายทอยโป๊ยก่ายจูงกลับไปหาปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ย บอกว่าข้าพเจ้าทั้งสองจับได้คนหนึ่งเอามานี่แล้ว พูดยังไม่ทันขาดคำเห้งเจียซัวเจ๋งก็ถอยหนี พวกปิศาจก็ตรูกันไล่ตามมากระชั้นชิด เห้งเจียเห็นจวนตัวก็เอามือถอนขนออกกำมือหนึ่งใส่ปากเคี้ยวพ่นไป ก็กลายเปนรูปเห้งเจียตั้งพันตั้งหมื่น ตรูเข้าล้อมพวกปิศาจไว้ เห้งเจียซัวเจ๋งก็หันกลับมาตีขนาบจนเวลาค่ำ ก็จับได้ปิศาจจุนเงไซกับแปะเจ๊กทั้งสอง ที่หนีไปได้นั้นคือเก๊าลีไซท่วนเฉียไซกิมม้อไซทั้งสาม พวกปิศาจน้อยวิ่งกลับมาบอกข่าวให้ปู่เจ้ารู้แล้วว่าถูกจับไปสองราชสีห์ จึงสั่งให้เอาโป๊ยก่ายมัดไว้ก่อนอย่าเพ่อฆ่า รอให้มันเอาหลานเราทั้งสองมาเปลี่ยนกันแล้วเราจึงปล่อยให้มันกลับไป ถ้าพวกมันไม่รู้เอาหลานเราทั้งสองไปฆ่าเราจึงค่อยฆ่ามันเสียบ้าง เวลานั้นพวกปิศาจใหญ่น้อยก็พากันไปพักหลับนอน

ฝ่ายเห้งเจียจับได้ปิศาจทั้งสองก็ลากกลับมายังประตูเมือง พระเจ้าแผ่นดินเห็นก็สั่งให้เปิดประตูรับ พวกทหารสามสิบคนเอาเชือกออกไปมัดปิศาจทั้งสองหามเข้าไปในเมือง เห้งเจียเรียกขนเข้ากายแล้วก็พากันขึ้นบนหอคำนับอาจาริย์ พระถังซัมจั๋งถามว่ารบพุ่งกันครั้งนี้ดูรุนแรงมาก ไม่ทราบว่าโป๊ยก่ายจะเปนประการใด เห้งเจียว่าไม่ต้องวิตกข้าพเจ้าจับพวกมันมาได้สองคน เปนอันขาดพวกมันไม่กล้าฆ่าโป๊ยก่าย จงเอาปิศาจทั้งสองนั้นขังไว้ให้แน่นหนา พอรุ่งขึ้นเอาออกไปแลกโป๊ยก่ายกลับมา พระราชบุตร์ทั้งสามมาเคารพเห้งเจียแล้ว จึงถามว่าท่านอาจาริย์ เมื่อเวลากำลังรบกันเห็นแต่ท่านผู้เดียว ครั้นเวลาแกล้งทำแพ้หนีมานั้นทำไมจึงเห็นรูปอาจาริย์มากมายหลายร้อยหลายพันเล่า กับเมื่อเวลาจับปิศาจได้แล้วก็เห็นแต่อาจาริย์คนเดียว อย่างนี้จะเปนวิชามนต์เวทประการใดหรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วตอบว่า ในกายตัวข้าพเจ้านี้มีขนแปดหมื่นสี่พันเส้น ๆ หนึ่งแปลงได้สิบได้ร้อยจนพันหมื่นแสนดังนี้ คือรูปกายผ่ายนอก พระราชโอรสทั้งสามได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับ สั่งให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องแจมาเลี้ยงเสร็จแล้ว จึงสั่งผู้รักษาการทุก ๆ น่าที่ให้จุดใต้ตามไฟตีเกราะเคาะไม้นั่งยามระวังรักษาเสร็จแล้ว ต่างก็พากันไปหลับนอนตามที่ ครั้นรุ่งแจ้งฝ่ายปิศาจใหญ่เก๊าเล่งง่วนเซี้ย จึงเรียกปิศาจอึ้งม้อกิมไซมาคิดอุบายว่า วันนี้พวกเจ้าทั้งหลายจงอุส่าห์ตั้งใจรบจับตัวเห้งเจียซัวเจ๋งให้จงได้ เราจะแผลงฤทธิ์บินขึ้นไปบนหอจับเอาตัวพระถังซัมจั๋งกับทั้งเจ้าเมืองพ่อลูกเอาไปยังถ้ำเก๊าเต๊กปั้วฮ่วมต๋อง พวกเจ้ารบชนะแล้วจึงค่อยกลับไปต่อพายหลัง อึ้งม้อกิมไซรับคำสั่งแล้ว ก็นำยู่ไซเจียดไซท่วนเฉียไซเก๊าลีไซปิศาจทั้งสี่ไป ต่างถืออาวุธสำหรับมือทุก ๆ คน ตรงมายังน่ากำแพงเมืองแล้ว ก็แผลงฤทธิ์เปนลมหมอกร้องท้าชวนรบ เห้งเจียซัวเจ๋งก็เหาะออกจากกำแพงเมืองร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายสัตว์มารร้ายชาติชั่วมึงรีบส่งโป๊ยก่ายน้องกูมาโดยเร็ว จึงจะยกชีวิตร์ให้ ถ้ามิฉนั้นพวกเจ้ากระดูกจะแหลกป่นไปเปนแป้ง พวกปิศาจก็มิได้ยำเกรงพากันตรูเข้ารบกับเห้งเจียซัวเจ๋งทั้งสอง ต่างก็ออกกำลังเข้มแข็งเข้าประจันบานรบกันเปนอลหม่าน ในเวลากำลังรบกันชุลมุนอยู่นั้น ปิศาจเก๊าเล่งง่วนเซี้ยก็บันดานเปนเมฆดำมืด โผตรงขึ้นไปบนหอสั่นศีศะทีหนึ่ง พวกรักษาองค์ใหญ่น้อยก็พากันตกใจหล่นร่วงลงจากหอทั้งสิ้น ปิศาจเก๊าเล่งง่วนเซี้ยก็เข้าในหอ อ้าปากคาบเจ้าเมืองแลราชบุตร์ทั้งสามกับพระถังซัมจั๋งได้แล้ว ก็เหาะกลับมาคาบเอาโป๊ยก่ายไปด้วยอีกคนหนึ่ง แล้วร้องประกาศสั่งพวกปิศาจทั้งห้าว่าปู่เจ้ามีไชยชนะแล้วจะกลับไปก่อน พวกปิศาจทั้งห้ากำลังรบได้ยินดังนั้น ก็รู้ว่าปู่เจ้ามีไชยชนะแล้วต่างก็ออกกำลังต่อสู้โดยสามารถ เห้งเจียได้ยินเสียงคนโห่ร้องที่กำแพงเมืองก็นึกรู้ว่าเสียกลปิศาจแล้ว จึงร้องสั่งซัวเจ๋งว่าน้องจงคอยระวังให้ดี สั่งแล้วเห้งเจียก็ถอนขนที่บ่าซ้ายลงกำมือหนึ่งใส่ปากเคี้ยวพ่นไป ก็กลายเปนรูปเห้งเจียตั้งหมื่นตั้งแสนตรูกันเข้าล้อมจับปิศาจทั้งห้า จับได้ยู่ไซเจียดไซท่วนเฉียไซเก๊าลีไซทั้งสี่ปิศาจ ยังอึ้งม้อกิมไซเห้งเจียจับทุบตาย บ้างก็ลากก็จูงกึกก้องโกลาหฬ พาปิศาจทั้งสี่มายังกำแพงเมืองที่หนีไปได้สามคนนั้น คือปิศาจหน้าเขียวกับโตจั๊นโก๊กวั่ยโก๊กวั่ยโตจั๊น พวกขุนนางเฝ้าประตูเมืองแลเห็นเห้งเจียกลับมาก็เปิดประตูเมืองให้คนเอาเชือกออกไปมัดราชสีห์ทั้งสี่หามเข้ามาในเมือง ยังหาทันจะทำประการใดไม่ ก็เห็นพระมเหษีแลนางในร้องไห้มาคุกเข่าคำนับเห้งเจียบอกว่า พระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสแลพระอาจาริย์ของท่านไม่มีชีวิตร์แล้ว ทิ้งให้บ้านเมืองร้างเปล่าอยู่ดังนี้ท่านจะว่าประการใด เห้งเจียจึงพูดว่าขอท่านอย่ามีความเศร้าโศกเลย เพราะข้าพเจ้าจับปิศาจมาได้เจ็ดคนแล้ว เก๊าเล่งเซี้ยทำอุบายจับพระเจ้าแผ่นดินกับราชโอรสแลพระถังซัมจั๋งได้คงจะไม่อาจทำร้ายเปนแน่ รอพอเวลารุ่งแจ้งข้าพเจ้ากับซัวเจ๋งจะพากันไปที่เขานั้น คิดจับปิศาจให้ได้ พระมเหษีกับนางพระสนมได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็คำนับลาพากันกลับเข้าพระราชวัง เห้งเจียจึงสั่งขุนนางให้เอาศพปิศาจอึ้งม้อกิมไซที่ตีตายนั้น ลอกหนังตากไว้ให้แห้ง ยังปิศาจราชสีห์ที่เปนอยู่นั้นให้ใส่ตรงเหล็กขังไว้ แลให้เจ้าพนักงานจัดเข้าแจมากิน ครั้นกินอิ่มแล้วก็พากันไปหลับนอนตามที่ พอรุ่งแจ้งเห้งเจียก็เรียกซัวเจ๋งพากันเหาะไป บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาเต๊กเจี๊ยดซัว จึงลงยังยอดเขาพิจารณาดูรอบเขา แลเห็นปิศาจหน้าเขียวถือตะบองสั้นเดินฃ้ามเนินเขามา เห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เองจะหนีไปข้างไหนเรามาแล้ว ปิศาจได้ยินเห้งเจียว่าดังนั้นก็ตกใจหันกลับคิดจะวิ่งหนี เห้งเจียซัวเจ๋งก็พากันไล่ติดตามมาแลเห็นประตูถ้ำปิดอยู่แน่นหนา ข้างบนประตูมีแผ่นศิลาจารึกอักษรใหญ่สี่ตัว คือเขาบ้วนเล้งเต๊กเจึ๊ยดซัว ถ้ำเก๊าเต๊กปั้วฮ่วมต๋อง ปิศาจหน้าเขียวหนีเข้าไปในถ้ำได้แล้วก็ปิดประตูถ้ำเสีย เข้าไปบอกแก่เก๊าเล่งเซี้ยว่า บัดนี้ข้างนอกถ้ำมีสานุศิษย์พระถังซัมจั๋งสองคนมาอยู่ข้างนอก ปิศาจเก๊าเล่งง่วนเซี้ยถามว่าปิศาจใต้อ๋องนายของเจ้า กับยู่ไซเจี๊ยดไซท่วนเฉียเก๊าลีทั้งสี่นั้นมาหรือเปล่า ปิศาจหน้าเขียวบอกว่าข้าพเจ้าไม่เห็นใครมาสักคนหนึ่ง เก๊าเล่งง่วนเซี้ยได้ฟังก็นิ่งนึกตรึกตรองอยู่สักประเดี๋ยวมีความเศร้าโศกเสียใจน้ำตาไหลลงเผาะผอย รู้ว่าอึ้งม้อกิมไซหลานของตัวตายเสียแล้ว แต่หลานอีกหกคนนั้นถูกจับไปกักขังไว้แล้วทำอย่างไรจะแก้แค้นได้ จึงสั่งพวกบริวารว่าเจ้าทั้งหลายจงระวังอยู่ในนี้ให้ดี เราจะออกไปรบจับอ้ายสองคนได้แล้วจึงค่อยชำระต่อพายหลัง เมื่อปิศาจเก๊าเล่งเซี้ยออกมาก็มิได้แต่งตัวหรือสวมเกราะอะไร ครั้นถึงเห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง เก๊าเล่งเซี้ยก็อ้าปากตรงเข้าจะคาบเห้งเจียกับซัวเจ๋ง เห้งเจียยกตะบองเข้าสกัด ซัวเจ๋งกระโจมตีด้วยพลอง เก๊าเล่งเซี้ยสั่นศีศะก็ออกมาอีกทั้งซ้ายขวาแปดศีศะไล่รวบงับเห้งเจียกับซัวเจ๋งเข้าอยู่ในปาก แล้วก็กลับเข้าในถ้ำ ร้องเรียกบริวารให้เอาเชือกมามัด ปิศาจโก๊กวั่ยโต๊จั๊นกับปิศาจโต๊จั๊นโก๊กวั่ยแลปิศาจหน้าเขียว ก็เอาเชือกมาสองเส้นมัดเห้งเจียซัวเจ๋งไว้ ปิศาจเก๊าเล่งเซี้ยร้องด่าว่า อ้ายชาติลิงไม่มีดี เจ้าจับลูกหลานของเราไปเจ็ดคน บัดนี้เราจับพวกเจ้ามาได้เจ็ดคน พอจะทดแทนชีวิตร์ลูกหลานเราแล้ว เจ้าปิศาจน้อยๆ จงไปหากิ่งสนมาเฆี่ยนอ้ายลิงสักพักหนึ่ง จะได้แก้แค้นอึ้งม้อกิมไซหลานของเรา ปิศาจทั้งสามต่างถือกิ่งสนมาคนละกำ เข้ามาระดมเฆี่ยนเห้งเจีย ๆ เดิมได้ประกอบธาตุตัวแข็งยิ่งกว่าเหล็กไม่มีผู้ใดที่จะทำลายได้ จะเฆี่ยนตีสักเท่าใดก็ไม่เจ็บปวด พวกปิศาจเฆี่ยนพักใหญ่จนไม้ละเอียดไปหมด เวลานั้นก็จวนจะพลบค่ำปิศาจเก๊าเล่งเซี้ยร้องห้ามว่าให้หยุดไว้ก่อน สูเจ้าจงไปเอาตะเกียงไฟมาตาม กินเข้าแล้วรอให้เราไปพักนอนยังห้องกิ๊มหุ้น แล้วเจ้าทั้งสามจงอยู่เฝ้าคอยระวังให้ดี รุ่งเช้าจึงค่อยเฆี่ยนมันอีกต่อไป ปิศาจทั้งสามได้ฟังเก๊าเล่งเซี้ยสั่งดังนั้นก็จัดแจงจุดใต้ตามไฟ แล้วก็พากันเอากิ่งสนมาตีหัวเห้งเจียเสียงโกก ๆ ดุจดังว่าเคาะเกราะ ครั้นเวลาดึกแล้วก็พากันไปหลับนอนทั้งสามปิศาจ

ฝ่ายเห้งเจียเห็นเงียบสงัด ก็ร่ายพระคาถากระทำให้ตัวเล็กลงหลุดจากเชือกได้แล้ว ก็ชักตะบองออกจากหูแกว่งตรงมาที่ปิศาจทั้งสามนอนอยู่นั้น จึงออกปากว่ามึงอ้ายเดรฉานพวกพาลเหล่าร้าย กูปล่อยให้พวกมึงทำแก่กูมากแล้ว บัดนี้พ่อจะลองตีดูบ้างเองจะว่ากะไร ว่าแล้วก็ยกตะบองขึ้นตีลงไปทีหนึ่ง ปิศาจทั้งสามแหลกละเอียดกองอยู่กับพื้น เห้งเจียเห็นไฟกำลังสว่างก็ลงมาแก้ซัวเจ๋งออกจากมัด โป๊ยก่ายอดไม่ได้ก็ร้องเรียกเสียงดังว่า พี่เห้งเจียน้องต้องมัดอยู่ที่นี่จนเท้าบวมหนักเหลือทนแล้ว ทำไมพี่ไม่มาแก้ข้าพเจ้าก่อนเล่า

ฝ่ายปิศาจเก๊าเล่งเซี้ยกำลังนอนหลับ ได้ยินเสียงก็ตกใจตื่นผุดลุกขึ้นตะลีตะลาน ถามว่านี่ใครแก้มัดปล่อยอ้ายพวกนี้ เห้งเจียได้ยินเสียงปิศาจ ก็ดับไฟให้ซัวเจ๋งเอาพลองตีรื้อประตูหักพังไปทั้งสิ้น เห้งเจียก็หนีออกไปก่อน ฝ่ายปิศาจเก๊าเล่งเซี้ยเดินออกมาเห็นหมืดไม่มีไฟ จึงร้องเรียกพวกปิศาจให้จุดไฟก็ไม่ได้ยินผู้ใดขาน จึงเที่ยวคลำหาเอาไฟมาจุดเที่ยวส่องดู ก็เห็นที่พื้นมีโลหิตไหลออกนองไป แลปิศาจทั้งสามนอนตายอยู่เนื้อหนังป่นละเอียดไปทั้งสิ้น จึงส่องไปดูคนที่จับมาได้นั้นก็อยู่พร้อมหน้ากัน ไม่เห็นแต่เห้งเจียกับซัวเจ๋ง จึงเอาไฟเที่ยวส่องค้นดู เห็นซัวเจ๋งยืนแอบอยู่ข้างริมระเบียง ปิศาจก็เข้าจับตัวไปมัดไว้อย่างเดิม แล้วส่องดูประตูเห็นหักพังไปทั้งสิ้น ก็เข้าใจว่าเห้งเจียหักพังประตูหนีไปแล้ว ก็มิได้คิดจะตามไป จึงเอาไม้แลศิลาขึ้นซ้อนกันให้ดีแล้วก็กลับเข้าไปข้างในคอยระวัง

ฝ่ายเห้งเจียหนีออกจากถ้ำได้แล้ว ก็เหาะกลับไปยังเมืองเง็กฮัวจิว ครั้นถึงน่าเมืองแลเห็นบนกำแพงเมือง มีพระภูมิ์เจ้าที่พระเสื้อเมืองทรงเมืองยืนรายเรียงคำนับรับ เห้งเจียถามว่าท่านทั้งหลายทำไมจึงมาเวลานี้เล่า พระเสื้อเมืองตอบว่าข้าพเจ้าเห็นพระเจ้าแผ่นดินมีความเคารพรับนับถือท่านโดยยุติธรรมแล้วก็ไม่กล้ามา บัดนี้ทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินต้องไภยร้าย ใต้เซียกำจัดปิศาจข้าพเจ้าจึงได้มาคอย เวลานั้นเห้งเจียกำลังหุนหัน แลไปเห็นเทพยดาเทพารักษ์ลักเตงลักกะนำตัวพระภูมิ์เจ้าที่มาคุกเข่าอยู่ตรงน่า แล้วพูดว่า ข้าพเจ้าจับพระภูมิ์เจ้าที่ๆ เขาเก๊กเจี๊ยดซัวมานี้ เพื่อจะให้ใต้เซี้ยใต่ถามดู คงจะรู้มูลเหตุของปิศาจนั้น ถ้ารู้เหตุผลแล้วใต้เซี้ยก็อาจช่วยพระเจ้าแผ่นดินกับอาจาริย์ออกได้ เห้งเจียได้ยินดังนั้นจึงถามถึงเหตุการพระภูมิ์เจ้าที่ พระภูมิ์เจ้าที่คำนับบอกว่าปิศาจนั้นลงมาเมื่อปีก่อนที่ตำบลเขาเต๊กเจี๊ยดซัวถำปั้วฮ่วมต๋องนี้เดิมเปนรังของราชสีห์ทั้งหก เมื่อเก๊าเล่งง่วนเซี้ยมาอยู่ราชสีห์ทั้งหกก็ยกเธอเปนปู่เจ้า เก๊าเล่งง่วนเซี้ยนี้คือราชสีห์เก้าเสียรหากว่าจะกำจัดเธอต้องขึ้นไปบนสวรรค์เชิญเจ้าของเธอมา เจ้านั้นอยู่ที่ตำหนักตังเก็กเงียมเกง แม้เจ้าของเธอมาจึงจะกำจัดได้ นอกนั้นแล้วอย่าพึงคิดเลยว่าจะรอดพ้นไปได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็นิ่งนึกอยู่สักอึดใจหนึ่งจึงพูดว่า ที่ตำหนักตังเก็กเงียมเกงคือท่านพรหมท้ายอิ๊กกิ๊วเค้าทีจุน เธอเคยขี่ราชสีห์เก้าเสียร ถ้ากระนั้นเราต้องไปเชิญมา เห้งเจียจึงให้พระภูมิ์เจ้าที่กับเทพารักษ์กลับไปยังที่ เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์ข้างทิศบูรพาในเวลาจวนแจ้ง ก็มาพบท่านท้าวกวั๊งบกจัตุราช ๆ แลเห็นเห้งเจียก็ยกมือขึ้นคำนับถามว่า ท่านใต้เซี้ยจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียคำนับตอบว่าข้าพเจ้าจะไปที่ตำหนักตังเก็กเงียมเกง ท้าวจัตุราชพูดว่าทางไซทีไม่ไปจะกลับมาทิศนี้ทำไม เห้งเจียบอกว่าเพราะเดินไปถึงเมืองเง็กฮัวจิว เจ้าเมืองมีน้ำใจจงรักภักดีขอให้พระราชบุตร์ทั้งสามเรียนศิลปสาตร์ ไม่รู้เลยว่าจะมาปะราชสีห์ปิศาจร้าย บัดนี้สืบรู้ได้แน่ว่า ท่านพรหมท้ายอิ๊กกิ๊วเค้าทีจุนเปนเจ้าของ ข้าพเจ้าจึงต้องมาเชิญท่านให้ช่วยปราบราชสีห์ เพื่อจะได้ช่วยให้อาจาริย์ข้าพเจ้าให้พ้นแห่งไภย ท้าวจัตุราชพูดว่าเพราะใต้เซี้ยเปนอาจาริย์เขา จึงได้มีราชสีห์ออกมาจากกลางฝ่ามือ เห้งเจียหัวเราะพูดว่าจริงดังนั้นแล้ว ก็ลาท้าวจัตุราชไปยังประตูสวรรค์ข้างทิศบูรพา เดินมาบัดเดี๋ยวก็ถึงตำหนักเงียมเกง แลเข้าไปในประตูเห็นเทพบุตร์น้อยองค์หนึ่งยืนอยู่น่าประตูตำหนัก เห้งเจียก็เดินตรงเข้าไปยืนอยู่น่าประตู เทพบุตร์น้อยแลเห็นเห้งเจียมาก็เข้าไปบอกว่า ขอพระผู้เปนเจ้าทราบข้างน่าประตูมีคนที่ทำจุลาจลบนสวรรค์ชื่อซีเทียนใต้เซี้ยมาแล้ว ท่านทีจุนได้ทราบดังนั้นก็ให้หมู่เทพบุตร์ออกไปรับเข้ามา เห้งเจียเห็นเทพบุตร์ออกมารับก็เดินตามเทพบุตร์เข้าไป ครั้นถึงแลขึ้นไปเห็นทีจุนนั่งอยู่บนแท่นแก้ว มีรัศมีสีแสงสว่างพรรณรายระยับ เห้งเจียก็ย่อตัวลงคำนับ ทีจุนก็ลงจากแท่นคำนับตอบถามว่า ใต้เซี้ยหลายปีแล้วมิได้พบกัน เราได้ยินว่าท่านถือเพศตามพระพุทธสาศนาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าอันธุระนั้นยังไม่ถึงแต่ก็ควรจะถึงอยู่แล้ว บัดนี้มาถึงตำบลเขาเต๊กเจี๊ยดซัวถ้ำเก๊าเก๊กปั้วฮ่วมต๋อง ต้องด้วยราชสีห์ตนหนึ่งเก้าเสียรทำร้ายพวกข้าพเจ้า ๆ จึงถามพระภูมิ์เจ้าที่เจ้าเขา ๆ จึงบอกว่าท่านทีจุนเปนเจ้าของ เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาเชิญท่าน เพื่อได้ไปปราบปิศาจร้ายเหล่านั้น

ฝ่ายท่านพรหมทีจุนได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น จึงให้เทพบุตร์ไปที่ห้องคนเลี้ยงราชสีห์เรียกมาถามดู เทพบุตร์ไปที่ห้องคนเลี้ยงราชสีห์ เห็นนอนหลับกรนอยู่ไม่รู้สึก เทพบุตร์เข้าผลักปลุกจึงได้รู้สึกลุกขึ้นก็พาตัวมาหาทีจุน ครั้นมาถึงคนเฝ้าราชสีห์ก็คุกเข่าลงร้องไห้ ทีจุนถามว่าราชสีห์อยู่หรือไม่ คนเฝ้าราชสีห์พูดว่าขอผู้เปนเจ้าได้โปรดยกโทษข้าพเจ้าด้วย ทีจุนพูดว่ามีท่านเห้งเจียใต้เซี้ยอยู่นี่จักไม่ทำโทษเจ้า ๆ จงบอกความไปตามจริง เหตุไรจึงไม่ดูแลปล่อยให้ราชสีห์เก้าเสียรหนีไป คนเฝ้าราชสีห์บอกว่าขอผู้เปนเจ้าได้ทราบ เมื่อวันก่อนนั้นข้าพเจ้าลักกินสุราในคุนโท ที่ตำหนักกันโลเต้ย กินแล้วก็เมาหลับไปไม่รู้สึกสมประดีราชสีห์จึงหนีไปได้ ทีจุนพูดว่าสุราของท่านท้ายเสียงเล่ากุนให้มาคือสุราทิพย์ เจ้ากินเข้าไปเมาถึงสามวันจึงส่าง ราชสีห์หนีไปได้กี่วันแล้ว เห้งเจียบอกว่าตามคำพระภูมิ์เจ้าที่บอกนั้นได้สามปีแล้ว ทีจุนพูดว่าจริงแล้วบนสวรรค์วันหนึ่งในมนุษยโลกก็เปนหนึ่งปี ทีจุนจึงเรียกคนเฝ้าราชสีห์ให้ลุกขึ้นพูดว่าเรายกโทษให้เจ้า ๆ จงตามเรากับเห้งเจียลงไปเมืองใต้ จับเอาราชสีห์มาเสียยังเดิม ทีจุนกับเห้งเจียแลคนเฝ้าราชสีห์พร้อมกันเคลื่อนจากวิมานสวรรค์ลงมายังเขา เต๊กเจี๊ยดซัว แลไปก็เห็นเจ้าเจี๊ยดพี้กับหมู่เจ้าลักเตงลักกะแลพระภูมิ์เจ้าที่มาคำนับต้อนรับ เห้งเจียถามว่าพวกท่านทั้งหลายอยู่รักษาป้องก้นอาจาริย์ข้าพเจ้าเปนอันตรายหรือเปล่า หมู่เจ้าบอกว่าปิศาจมีความเร่าร้อนนอนเสียแล้ว อาจาริย์ของท่านอยู่ดีมิได้เปนอันตรายอะไร ทีจุนพูดว่าเก๊าเล่งง่วนเซี้ยถือศีลปะฏิบัติมานานแล้ว เธอแผดคำหนึ่งเสียงดังตลอดสามภพมิใช่เล่น แต่ไม่ฆ่าสัตว์ เห้งเจียจงไปที่น่าประตู ท้ารบฬ่อให้ออกมาจากถ้ำเราจะได้จับจึงจะดี เห้งเจียมือถือตะบองตรงไปยังน่าประตูถ้ำ จึงร้องด่าท้าทายว่าอ้ายสัตว์เสียเดรฉานมารร้าย มึงจงรีบเอาคนออกมาใช้ให้เราโดยเร็ว เห้งเจียร้องท้าด่าว่าเปนหลายคำก็ไม่เห็นใครโต้ตอบ เห้งเจียก็เกิดโทโสมือแกว่งตะบองตีขนาบเข้าไปปากก็ด่าไม่หยุด เวลานั้นปิศาจกำลังหลับอยู่ ตกใจตื่นมีความโกรธเปนอันมาก ผุดลุกขึ้นตวาดด้วยเสียงอันดัง สั่นศีศะทั้งเก้าเสียรอ้าปากออกมาจะคาบเห้งเจีย ๆ กระโดดหนีออกมานอกถ้ำ ปิศาจก็ไล่ตามมาด่าว่าอ้ายลิงมึงจะหนีไปไหน เห้งเจียยืนบนโขดสูงหัวเราะว่าอ้ายมารร้ายมึงยังอาจสามารถอย่างนั้นทีเดียวหรือ ความตายจะมาถึงตัว นี่มิใช่เจ้าของมึงอยู่นี่หรือ ปิศาจก็ไล่รุกมาจะทำร้ายเห้งเจีย ทีจุนจึงร้องตวาดว่าง่วนเซี้ยเรามาแล้ว ฝ่ายปิศาจเงยหน้าขึ้นแลเห็นทีจุน ก็ไม่อาจสยายเท้าหมอบฟุบอยู่กันดิน คนเฝ้าก็มาจับขนที่ศีศะกำหมัดทุบแล้วด่าว่าอ้ายเดรฉาน เพราะมึงหนีมาทำให้เรามีความผิด ปิศาจก็ซบศีศะฟุบนิ่งอยู่กับพื้นไม่อ้าปาก คนเฝ้าทุบจนเจ็บมือแล้วก็เอาแพรปักผืนหนึ่งปูลงบนหลังแล้ว ก็ขึ้นนั่งตวาดว่าไปคำหนึ่งราชสีห์ก็เผ่นขึ้นแซกเมฆเหาะไปยังตำหนักเงียมเกง เห้งเจียก็คำนับขอบคุณไปยังอากาศแล้วก็เข้าไปในถ้ำ แก้มัดอาจาริย์แลพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสทั้งสาม แลโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทุก ๆ คนแล้ว ช่วยกันค้นเก็บเอาสิ่งของได้แล้วก็พากันกลับออกนอกถ้ำ โป๊ยก่ายเที่ยวหาฟืนแห้งยัดเข้าไปในถ้ำแล้วเอาไฟจุดเผาถ้ำเสีย ไฟก็ไหม้จนถ้ำเก๊าเก๊กปั้วฮ่วมต๋อง ป่นละเอียดเปนเถ้าไปทั้งสิ้น เห้งเจียก็ให้เจ้าทั้งหลายกลับไปยังที่ของตน แลให้พระภูมิ์เจ้าที่อยู่รักษาตำบลเขานี้ต่อไป ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายแผลงฤทธิ์อุ้มเจ้าแผ่นดิน กับพระราชบุตร์เหาะกลับไปเมือง เห้งเจียอุ้มพระอาจาริย์เหาะตามกันไป มาบัดเดี๋ยวก็ถึงเมืองเปนเวลาจวนค่ำ มเหษีแลนางในข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยก็มาคอยรับพร้อมกันคำนับแล้ว ก็สั่งพนักงานให้จัดเครื่องเลี้ยงต่างก็ไปพักหลับนอนตามที่ พอรุ่งแจ้งเจ้าเมืองเง็กฮัวจิวสั่งเจ้าพนักงานให้จัดโต๊ะเครื่องแจมาเลี้ยง

ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ ก็พากันมาคำนับขอบคุณทุกๆ คน เห้งเจียสั่งพระราชบุตร์ให้เอาราชสีห์มาชำแหละเสียทั้งหกตัว แล่เนื้อแจกให้ชาวบ้านกินคนละก้อนๆ ชาวบ้านชาวเมืองมีความยินดีเปนที่ยิ่ง เวลานั้นพวกช่างเหล็กก็มาบอกว่า เครื่องอาวุธที่ทำก็สำเหร็จแล้ว เห้งเจียถามช่างว่าจะมีน้ำหนักสักเท่าใด นายชั่งบอกว่าตะบองวิเศษนั้นหนักพันชั่ง คราดกับพลองนั้นหนักอันละแปดร้อยชั่ง เห้งเจียว่าพอสมควรแล้ว เชิญพระราชโอรสทั้งสามมารับเครื่องมือสำหรับพระองค์ พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า เพราะอาวุธนี้ข้าพเจ้ากับบุตร์จวนจะสิ้นชีวิตร์เสียแล้ว พระราชโอรสทั้งสามตรัสว่า ได้ท่านเห้งเจียช่วยชีวิตร์ก็ได้รอดแล้ว แลทั้งได้ปราบมารร้ายได้ด้วย บ้านเมืองจะอยู่เย็นเปนศุขไปสิ้นกาลนาน จึงพระราชทานรางวัลแก่ช่างหล่อเสร็จแล้ว ก็มาคำนับขอบคุณอาจาริย์ พระถังซัมจั๋งจึงให้เห้งเจียประสิทธิ์วิทยาให้แก่พระราชโอรสทั้งสาม เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งต่างคนก็บอกเพลงอาวุธแลประสิทธิ์เวทแก่ศิษย์ของตน ๆ สองสามวันก็แคล่วคล่องว่องไวแลเปลี่ยนแปลงกายได้เจ็ดสิบสองอย่าง พระราชบุตร์ทั้งสามก็มีฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญ เพราะเห้งเจียทำให้เกิดกำลังขึ้นได้จึงได้ถืออาวุธที่หนักถึงพันชั่งแลแปดร้อยชั่งได้ ครั้นมอบประสิทธิ์วิทยากันแล้ว ก็สั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะเลี้ยง แลเอาทองคำมาถาดใหญ่เปนเครื่องบูชาคำนับครู เห้งเจียแลเห็นก็หัวเราะแล้วบอกว่า จงรีบเอาคืนไป พวกข้าพเจ้าถือบวชเงินทองไม่ต้องประสงค์ โป๊ยก่ายว่าเงินทองไม่ต้องการ ๆ แต่เสื้อผ้า เพราะสู้รบแก่ราชสีห์มันฉีกขาดไปหมดแล้ว ถ้าเอนดูก็ขอทานเปลี่ยนให้เท่านั้นก็ดีถมไปแล้ว พระราชโอรสก็รีบให้ช่างเย็บตัดเสร็จแล้ว ก็นำมาให้เปลี่ยนผลัดทั้งสามคน จึงจัดแจงเข้าของใส่หาบจะลาไป อาจาริย์กับศิษย์ทั้งสามลาพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็ออกเดิน พวกชาวเมืองพากันชื่นชมยินดีแลมีความเสียดาย ร้องสรรเสริญว่าพระอะระหันต์มาโปรดแท้ ๆ พระเจ้าแผ่นดินแลพระราชโอรส กับขุนนางข้าราชการต่างประโคมเครื่องดนตรี แลแห่แหนห้อมล้อมไปส่งจนสิ้นระยะทางห้าสิบเส้น จึงได้กลับเข้าเมือง ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามลาพระเจ้าแผ่นดินกับคนทั้งหลายแล้ว ก็ตั้งหน้าหมายมุ่งไปยังประเทศทิศตะวันตก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ