๘๙

ฝ่ายพวกช่างเหล็กในโรงหล่อ มีความเหน็ดเหนื่อยก็พากันหลับนอนไม่รู้สึกสมประดี ครั้นเวลารุ่งแจ้งก็มาพร้อมกันที่โรงสูบ ไม่เห็นอาวุธทั้งสามนั้น ทุกคนตกใจพากันเที่ยวค้นหาก็ไม่พบไม่เห็น พระราชบุตร์ทั้งสามก็เสด็จมาดู พวกช่างเหล็กก็กราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ อาวุธทั้งสามอย่างนั้นหายไปเสียแล้ว พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเที่ยวค้นหาก็มิได้พบเห็น พระราชบุตร์ทั้งสามพระองค์ได้ทรงทราบดังนั้นก็ตกพระไทย จึงพูดว่าเห็นอาจาริย์จะมาเก็บเอาไปเสียดอกกะมัง จึงพากันรีบไปที่ตำหนักม่อซอเต๊ง เวลานั้นอาจาริย์นอนหลับอยู่ยังไม่ตื่น ซัวเจ๋งได้ยินเสียงเรียกก็ผุดลุกขึ้นเปิดประตู พระราชบุตร์ทั้งสามก็เข้าไปค้นดูมิได้เห็นอาวุธก็ตกใจ จึงถามอาจาริย์ว่า อาวุธนั้นท่านเก็บมาแล้วหรือ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นบอกว่ามิได้เอามา พระราชบุตร์ทั้งสามบอกว่า เมื่อคืนนี้หายไปหาไม่พบ โป๊ยก่ายกำลังนอนได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ผุดลุกขึ้นถามว่าคราดของข้าพเจ้าอยู่หรือไม่ พระราชบุตร์ทั้งสามบอกว่าไม่เห็น ข้าพเจ้าคิดว่าท่านอาจาริย์ไปเก็บเอามาจึงได้มาถาม เพราะเห็นว่าอาวุธวิเศษของอาจาริย์เปลี่ยนแปลงได้อาจาริย์จะเอามาเก็บซ่อนไว้ในตัวดอกกะมัง เห้งเจียบอกว่าไม่ได้เอามา พูดแล้วก็พากันมาที่โรงสูบค้นหาอีกครั้งหนึ่งก็มิได้เห็น โป๊ยก่ายว่าเห็นพวกช่างเหล็กจะลักเอาไป จงรีบเอามาคืนโดยเร็ว หาไม่จะตีให้ตายทุกคน พวกช่างเหล็กได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้นก็ตกใจคุกเข่าลงร้องไห้พูดว่าขอท่านได้โปรด พวกข้าพเจ้ามากระทำการเหน็ดเหนื่อยก็หลับไหลไม่ได้สติ ครั้นตื่นมาดูก็ไม่เห็น พวกข้าพเจ้าเปนมนุษย์ปุทุชนที่ไหนจะมีแรงยกของกายสิทธิ์อย่างนี้ได้ ขอท่านได้โปรดไว้ชีวิตร์พวกข้าพเจ้านี้เถิด เห้งเจียนึกอยู่แต่ในใจว่า การทั้งนี้พวกเราไม่ดีเอง หากให้เขาเอาไปดูตัวอย่างแล้ว ก็เอากลับมาเก็บไว้กับตัวก็จะไม่หาย นี่ทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนดังนั้นจึงได้มีเหตุขึ้นดังนี้ อันของวิเศษนี้ทิ้งไว้หลายเวลานักก็มีรัศมีฟุ้งขึ้น ชรอยอ้ายคนพาลมาลักเอาไปในเวลากลางคืนเปนแน่ โป๊ยก่ายไม่เชื่อ พูดว่าในอาณาเขตร์บ้านเมืองกำลังรุ่งเรืองบริบูรณ์ แลอีกประการหนึ่งไม่ใช่กลางป่ากลางดงอะไรจึงจะได้มีคนพาลมาลักเอาไป คงจะเปนพวกช่างเหล็กเปนแน่ เห็นอาวุธมีรัศมีงดงามออกไปนอกกำแพงเมือง ให้สมักพรรคพวกเข้ามาลักเอาไป เอามาตีเสียให้ตายจึงจะสมควร พวกช่างเหล็กก็คุกเข่าลงปฏิญาณสาบาลตัวว่ามิได้เอาไปทุก ๆ คน ในขณะเมื่อพูดกันอยู่ก็พอพระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาทรงถามซึ่งเหตุการนั้น ทรงทราบทุกประการแล้ว ก็ทรงนิ่งนึกตรึกตรองอยู่ในพระไทยจึงตรัสแก่อาจาริย์ทั้งสามว่า ซึ่งอาวุธพิเศษของท่านทั้งสามนั้นมิใช่ของธรรมดา สักพันคนก็จะไม่มีสักคนหนึ่งเอาไปได้ อีกประการหนึ่งข้าพเจ้ารักษาครอบครองเมืองนี้ ได้ตั้งบทกฎหมายปรับโทษห้าประการ แลตัวข้าพเจ้าก็ตั้งอยู่ในยุติธรรม ลือชาปรากฎแพร่หลาย พวกเหล่านี้คงไม่กล้าลักของอันนี้ไป ข้อท่านอาจาริย์ได้ดำริห์การให้รอบคอบ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ต้องตรึกตรองไม่ต้องกล่าวถึงพวกช่างอีกต่อไปทำไม ข้าพเจ้าจะขอถามพระองค์ว่าในอาณาเฃตร์เมืองนี้ทั้งสี่ทิศจะมีป่าดงที่ไหนบ้าง ซึ่งมีผีปิศาจยักษ์ร้ายสำนักอยู่ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียถามดังนั้น จึงทรงตอบว่าท่านอาจาริย์ถามข้อนี้เห็นควรแก่การ ด้วยในอาณาเขตร์เมืองของข้าพเจ้านี้ ทางทิศอุดรมีเขาหนึ่งเรียกว่าเป๊าเถ้าซัว ในเขานั้นมีถ้ำหนึ่ง เรียกว่าถ้ำเฮ้าเถ้าต๋อง ชาวชนไปมาเล่าลือกันว่าในถ้ำนั้นมีฤๅษีเซียนผู้วิเศษอยู่คนหนึ่ง แลพูดกันว่ามีสัตว์เนื้อเสือร้ายปิศาจผีมีชุกชุม ข้าพเจ้าก็ยังสืบถามอยู่ว่าจะเปนสัตว์อันใดแน่ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าไม่ต้องพูดให้มากความ แน่แล้วพวกคนร้ายในที่นั้นมาลักเอาไปไม่ผิดเลย เห้งเจียจึงเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาสั่งว่า จงอยู่รักษาปฏิบัติพระอาจาริย์ พี่จะไปสืบถามให้ได้ความแล้วจะกลับมา พอสั่งเสร็จแล้วได้ยินเสียงว่าไปคำหนึ่งเท่านั้นก็แลไม่เห็นรูปกาย บัดเดี๋ยวก็เหาะมาถึงเขาเป๊าเถ้าซัวก็ลดลงยังยอดเขา พิเคราะห์ดูรอบเขาก็เห็นมีอัยปิศาจฟุ้งขึ้นจริงดังนั้น เวลาที่กำลังเห้งเจียพิจารณาดูอยู่นั้น เห็นปิศาจน้อยสองคนเดินพูดกันไปทางทิศตวันตกเฉียงเหนือ เห้งเจียนึกว่าชรอยอ้ายสองคนนี้จะเปนปิศาจลาดตระเวรเปนแน่ อย่าเลยเราจะตามไปดูมันจะพูดอะไรกัน คิดดังนั้นแล้วก็ไหวกายแปลงเปนผีเสื้อน้อยตัวหนึ่ง บินตามไปบนศีศะทั้งสอง ก็ได้ยินคนหนึ่งพูดว่า ต้ายอ๋องนายเราสองเดือนติด ๆ กันมีลาภสองอย่าง เมื่อเดือนก่อนได้นางรูปงามมาไว้ศุขสำราญในถ้ำ มาเดือนนี้ได้อาวุธวิเศษสามอย่างหาค่ามิได้ พรุ่งนี้จะเปิดการทำขวัญคราดวิเศษ พวกเราก็จะพลอยอิ่มนำสำราญด้วย คนหนึ่งพูดว่า พวกเราก็มีอันพอใจ เราเอาเงินยี่สิบตำลึงนี้ไปซื้อเนื้อหมูเนื้อแกะ ถ้าไปถึงที่พักเรากินสุราสักห้าแก้ว แลยักเงินสักสองสามตำลึงไว้ซื้อเสื้อกันหนาวจะมิดีหรือ ปิศาจทั้งสองเดินพลางพูดกันพลางหัวเราะกัน แล้วก็รีบเดินเข้าทางใหญ่ไป เห้งเจียได้ยินว่าจะทำขวัญคราดเหล็กก็มีความดีใจจะใคร่ตีปิศาจให้ตายแต่เครื่องมือไม่มี จึงชิงบินไปขึ้นน่าแล้วแปลงกายกลับเปนรูปเดิมยืนคอยอยู่ข้างน่า ครั้นปิศาจทั้งสองเดินมาถึง เห้งเจียก็ป่าวพระคาถาเปนมหาจังงัง ปิศาจทั้งสองก็ยืนกับที่ไม่อาจเดินไปได้ เห้งเจียก็เข้าแหวกเอาเสื้อปิศาจค้นดู ก็มีจริงเงินยี่สิบตำลึงอยู่ในสายรัดพุง แลมีป้ายแขวนที่บั้นเอวคนละแผ่น มีอักษรเขียนในป้ายว่าโตจั๊นโก๊กวั่ย คนหนึ่งว่า โก๊กวั่ยโตจั๊น เห้งเจียแก้เอาป้ายทั้งสองกับเงินยี่สิบตำลึงแล้ว ก็เหาะกลับไปยังเมืองจิวก๊ก ครั้นถึงก็ลดลงยังพื้นเข้าหาพระอาจาริย์แลเจ้าเมือง เล่าความตามเหตุผลให้ฟังทุกประการแล้ว โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เห็นจะคราดวิเศษของข้าพเจ้ามีรัศมีสีแสงสว่าง มันจึงได้ดีใจซื้อหมูจะทำขวัญดังนั้นเอง ถ้าดังนั้นจะทำประการใด จึงจะได้คราดของข้าพเจ้ากลับคืนเล่า เห้งเจียว่าพี่น้องเราจะต้องไปให้พร้อมกันทั้งสามคน เงินที่เราได้มาทั้งยี่สิบตำลึงนี้ เอาไปซื้อหมูแลแพะบำเหน็จรางวัลพวกช่างเหล็ก ให้ราชบุตร์ทั้งสามจัดซื้อสุกรแลแพะสักสองสามตัว ส่วนโป๊ยก่ายแปลงเปนโตจั๊นโก๊กวั่ย พี่จะแปลงเปนโก๊กวั่ยโตจั๊น ซัวเจ๋งแต่งเปนคนขายสุกรแลแพะ พากันไปที่ถ้ำได้โดยง่าย เมื่อเข้าใกล้ได้แล้ว เราจึงช่วยกันชิงเอาอาวุธคนละอัน ช่วยกันกำจัดมันเสียให้ราบคาบแล้ว จึงค่อยพากันกลับไป ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะชมว่าคิดดังนี้ดีจริงเรารีบไปเถิด พระเจ้าแผ่นดินจึงให้จัดสุกรแลแพะมาพร้อม พี่น้องก็ลาพระถังซัมจั๋งออกจากเมือง โป๊ยก่ายถามว่ารูปร่างโตจั๊นโก๊กวั่ยเปนอย่างไรข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็น ทำไมจะแปลงให้เหมือนได้ เห้งเจียว่าพี่จะแปลงให้ดูก่อน ว่าแล้วก็แปลงให้โป๊ยก่ายดู โป๊ยก่ายเห็นแล้วก็แปลงให้เหมือนปิศาจโตจั๊นโก๊กวั่ย เห้งเจียก็แปลงเปนปิศาจโก๊กวั่ยโตจั๊น แล้วเอาป้ายแขวนบั้นเอวคนละอัน ซัวเจ๋งก็แต่งตัวเปนคนขายแพะแลสุกร ครั้นเปลี่ยนแปลงเสร็จแล้ว ก็รีบพากันเหาะไปยังเขาเป๊าเถ้าซัว ครั้นถึงก็ลดลงยังยอดเขาพากันตัดทางไปยังถ้ำ บังเอิญมาพบปิศาจน้อยหน้าเขียวคนหนึ่ง ขนแลผมแดงที่รักแร้หนีบหีบหนังสือเดินมาประทะหน้าเห้งเจีย ก็ร้องเรียกว่าโก๊กวั่ยโตจั๊นมาแล้วหรือ ซื้อหมูแพะมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าเอามานี่แล้ว เห้งเจียจึงย้อนถามว่า ก็ตัวจะไปข้างไหนเล่า ปิศาจนั้นตอบว่า ข้าพเจ้าจะเอาหนังสือ ไปเชิญเล่าต้ายอ๋องผู้ใหญ่มากินโต๊ะพรุ่งนี้เข้าที่ประชุม เห้งเจียถามว่าจะเชิญผู้ใดบ้าง ๆ ปิศาจตอบว่ารวมทั้งเล็กใหญ่อยู่ในยี่สิบคนกว่า เห้งเจียจึงขอดูหนังสือเชิญ มีใจความว่าพรุ่งนี้ทำการทำขวัญคราดวิเศษ แลจะจัดเครื่องโอชารสเปนที่ประชุมรื่นเริง ขอคำนับมายังท่านผู้ใหญ่ที่นับถือยิ่ง เชิญมาตามเวลาอย่าให้คลาดเคลื่อน ขอคุณปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ยผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าซึงอึ้งไซคำนับเชิญ เห้งเจียดูรู้ความแล้วก็ส่งคืนให้แก่ปิศาจไป ปิศาจก็เดินไปทางทิศตวันออกเฉียงใต้ ซัวเจ๋งเห็นปิศาจไปแล้ว จึงถามเห้งเจียว่า ในหนังสือนั้นมันพูดว่าอะไรกัน เห้งเจียบอกว่าหนังสือเชิญมาทำขวัญคราดเท่านั้น ผู้เชิญลงชื่อซึงอึ้งไซ ถึงปู่เจ้าเก๊าเล่งง่วนเซี้ยผู้ใหญ่ ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น จึงหัวเราะว่าเห็นซึงอึ้งไซจะเปนราชสีห์ขนสีทองมาเปนปิศาจ แต่ชื่อเก๊าเล่งง่วนเซี้ยนั้นจะเปนสัตว์อะไร โป๊ยก่ายจึงพูดว่า คือสินค้าของข้าพเจ้าเอง เห้งเจียถามว่า ทำไมรู้เล่าว่าเปนสินค้าของตัว โป๊ยก่ายพูดว่า คำโบราณท่านย่อมกล่าวว่า แม่สุกรมักจะเลียบเคียงแก่ราชสีห์ เพราะฉนั้นจึงรู้ได้ว่าเปนสินค้าของข้าพเจ้า สามคนพูดโต้ตอบหัวเราะกันไปมา แล้วก็พากันรีบเอาหมูแพะเดินมายังประตูถ้ำเฮ้าเก้าต๋อง ครั้นถึงก็แลเห็นปิศาจใหญ่น้อยนั่งอยู่เปนหมู่ใหญ่ ก็พากันมาจับหมูจับแพะพูดกันเสียงอึกกะทึกได้ยินถึงในถ้ำปิศาจใต้อ๋อง จึงออกมาถามว่าเจ้าทั้งสองมาแล้วได้ซื้อหมูแพะเท่าใด เห้งเจียบอกว่า ซื้อสุกรได้เก้าสุกร ซื้อแพะได้เจ็ดแพะ รวมสิบหกด้วยกัน หมูสิบหกตำลึงแพะเก้าตำลึง เอาเงินไปยี่สิบตำลึงยังขาดอยู่ห้าตำลึง เจ้าของตามมาเอาเงินที่ยังค้างอยู่นั้น ปิศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็เรียกคนใช้ให้เอาเงินห้าตำลึงมาให้แก่เจ้าของสุกรไป เห้งเจียบอกว่าคนผู้นี้ตามมาโดยความประสงค์สองประการ จะขอเงินค่าแพะแลสุราประการหนึ่ง จะใคร่ดูเครื่องอาวุธที่จะทำขวัญคราวนี้ประการหนึ่ง ปิศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นจึงด่าว่า เจ้าโตจั๊นนี้เปนคนหยาบแท้ ๆ ไปซื้อก็ตามเรื่องซื้อ ๆ แล้วก็กลับมา ทำไมจึงต้องไปประกาศบอกประชาชนให้รู้ด้วยทำไม โป๊ยก่ายจึงพูดว่าขอใต้อ๋องได้ทราบ ด้วยของวิเศษอย่างนี้ ในใต้หล้านี้จะไปหาที่ไหน ควรจะให้ประชาชนเขาชมดู จะไปกลัวอะไรที่ไหน ปิศาจใต้อ๋องก็ตวาดว่าเจ้าโก๊กวั่ยเจ้าชาติชั่วไม่รู้จักอะไร อันของวิเศษอย่างนี้ได้มาจากเมืองเง๊กฮัวจิว หากคนนี้ดูแล้วจะกลับไปเที่ยวบอกเล่าต่อ ๆ ไป บางทีจะรู้ถึงเจ้าเมือง ก็จะมาทวงถามขอร้อง ถ้าดังนั้นจะทำอย่างไร เห้งเจียพูดว่าขอใต้อ๋องได้ทราบ แขกคนนี้อยู่ทิศตวันออกห่างเมืองออกไปไกล ไหนจะไปเล่าถึงเมืองได้ แลเธอมานี้ก็ยังมิได้กินเข้า ข้าพเจ้าทั้งสองท้องก็หิวเข้ายังไม่ได้กินด้วยกัน จะมีเข้าเหล้าก็ขอให้เธอกินสักอิ่มหนึ่งแล้วจะได้กลับไป พูดยังไม่ทันเสร็จปิศาจน้อยก็เอาเงินมาให้ห้าตำลึง ส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็ส่งให้ซัวเจ๋ง แล้วพูดว่าเงินที่ค้างห้าตำลึงเปนครบยี่สิบห้าตำลึงค่าแพะแลสุกรของท่าน ท่านไปกินเข้ากับข้าพเจ้า กินแล้วจะได้กลับไป พูดแล้วทั้งสามคนก็พากันเดินเข้าไปในถ้ำ ถึงประตูที่สองแลเห็นคราดวิเศษอยู่บนน่าหออันหนึ่ง ข้างตวันตกพลองพิงอยู่อันหนึ่ง ข้างตวันออกตะบองพิงอยู่อันหนึ่ง ปิศาจใต้อ๋องเดินตามหลังเข้ามาสั่งว่าจะดูก็ดู กลางนั้นคราดวิเศษหากกลับไปอย่าได้พูดให้คนอื่นรู้เปนอันขาด ซัวเจ๋งก็รับคำว่าข้าพเจ้าไม่อาจพูด โป๊ยก่ายนั้นมีสันดานลุกลน พอแลเห็นคราดของตัวก็มิได้คิดเกรงใจอะไรใคร ตรงเข้าฉวยออกมาแล้วก็แปลงกลับเปนรูปเดิม ยกคราดขึ้นสับลงไปหมายศีศะปิศาจ เห้งเจียซัวเจ๋งต่างก็วิ่งเข้าไป จับอาวุธของตัวได้แล้ว ก็กลายกลับเปนรูปเดิมเข้าช่วยกันระดมตีปิศาจมิได้รอรั้ง ปิศาจเห็นดังนั้นก็ตกใจวิ่งเข้าไปฉวยเอาจอบเหล็กออกมาต้านทานรอรบกับสามนาย ปิศาจร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า มึงเปนคนอะไรที่ไหนจึงสามารถมาทำฬ่อลวงเอาของวิเศษของเราดังนี้ เห้งเจียพูดว่า เราดูรู้ว่าเจ้าเปนอ้ายสัตว์น่าขน เจ้าจำเราไม่ได้หรือ เราคือสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง เพราะข้ามมาถึงเมืองเง๊กฮัวจิว พระราชบุตร์ทั้งสามเคารพนับถือเราเปนครู เธออยากฝึกหัดเพลงอาวุธ จึงเอาอาวุธของเราทั้งสามคนมาทำตัวอย่างวางไว้ในโรงหล่อพระราชวังใน มึงเปนขะโมยลักเอามาไว้ในถ้ำนี้ เราจึงตามมาเพื่อจะให้รางวัลแก่เจ้าคนละทีสองทีแล้วก็จะกลับไป ว่าแล้วก็รบกับปิศาจโดยสามารถทั้งสามคน ปิศาจต้านทานกำลังไม่ไหว ก็บันดานเปนลมหายตัวไปข้างทิศตวันออกเฉียงเหนือ โป๊ยก่ายก็ไล่ไป เห้งเจียร้องห้ามไว้ว่าปล่อยให้มันไปเถิด บูราณท่านย่อมว่าสุนักข์จนตรอกอย่ารุกไล่ โป๊ยก่ายก็หันกลับ เห้งเจียพูดว่าเราพากันเข้าไปในถ้ำทำลายถ้ำเสียก่อนอย่าให้มันอาไศรยอยู่ได้ต่อไป โป๊ยก่ายก็เชื่อพากันกลับมายังถ้ำ จับปิศาจเล็กใหญ่ฆ่าเสียทั้งสิ้น เห้งเจียก็กวาดสิ่งของเล็กน้อยกับทั้งสัตว์ปิศาจที่ตีตาย แลทั้งหมูแพะที่เอามานั้นเอาออกมาหมดแล้ว ซัวเจ๋งก็เก็บเอาไม้ฟืนแห้งมากองไว้แล้วเอาไฟจุดเผาในถ้ำนั้นไหม้เปนจุนไป แล้วพากันเก็บเอาสิ่งของเหล่านั้นเหาะกลับไปยังเมืองเง๊กฮัวจิว เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสทั้งสามแลพระถังซัมจั๋งนั่งชะแง้คอยท่าอยู่ที่ตำหนักม่อซอเต๊ง แลไปก็เห็นพี่น้องทั้งสามเก้กังหอบหิ้วสิ่งของมาทิ้งที่กลางชะลาน่าตำหนัก สิ่งของต่าง ๆ กับแพะแลสุกรแลสัตว์ต่าง ๆ วางไว้ แล้วไปหาพระอาจาริย์

พระเจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้น ก็กระทำความเคารพอย่างยิ่ง แลมีใจจงรักภักดี พระราชโอรสทั้งสามก็คุกเข่าลงคำนับอย่างนับถือหาที่เปรียบมิได้ จึงถามว่าสิ่งของเหล่านี้ท่านเอามาจากที่ไหน

เห้งเจียหัวเราะแล้วตอบว่า ที่ตำบลเขานี้มีปิศาจสัตว์ยักษ์ต่าง ๆ อ้ายนายปิศาจมันเปนราชสีห์ พวกข้าพเจ้าพร้อมกันเข้าไปเอาอาวุธคืนมาได้แล้ว ก็ช่วยกันระดมรบไล่มันออกจากถ้ำหนีไป ข้าพเจ้าก็มิได้ไล่ตาม จึงกลับเข้าไปในถ้ำกำจัดพวกมันเสียสิ้นแล้ว เก็บรวบรวมสิ่งของเล็กน้อยมาเสียสิ้น พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟัง ดีพระไทยก็ดีพระไทย หวาดหวั่นก็หวาดหวั่น ด้วยเกรงมันจะกลับมาทำอันตรายเมื่อผ่ายหลัง เห้งเจียจึงทูลว่าพระราชโอรสของพระองค์ทั้งสามก็มีฤทธาอานุภาพ ทั้งพวกข้าพเจ้าก็จะคอยช่วยกำจัดมิให้มาทำอันตรายได้ เพราะข้าพเจ้าได้ทราบอยู่แล้วว่ามันคงจะไปพาปู่เจ้าอะไรของมันมาแก้มือเปนแน่ ด้วยเมื่อเวลารบกันมันสู้ไม่ได้ก็หนีไปทางทิศใต้ คงจะไปหาเก๊าเล่งง่วนเซีย ข้าพเจ้าจะคอยกำจัดมันเสียให้จงได้ พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียทูลดังนั้น ก็มีความยินดีสิ้นความวิตก จึงสั่งพนักงานให้จัดโต๊ะเครื่องแจ ถวายพระถังซัมจั๋งแลศิษย์ทั้งสามแล้วก็พากันไปพักหลับนอน

ฝ่ายปิศาจอึ้งม้อกิมไซสู้เห้งเจียมิได้ ก็หนีไปตรงทิศตวันออกเฉียงใต้ ครั้นถึงเขาเต็กเจี๊ยดซัว ในเขานั้นมีถ้ำเรียกว่า เก๊าเด็กปั้วฮ่วนต๋อง ในถ้ำนั้นมีปู่เจ้านามเรียกว่า เก๊าเล่งง่วนเซี้ย คือเปนเจ้าปู่ของอึ้งม้อกิมไซ เมื่อมันหนีมาตามลมมิได้หยุดถึงครึ่งคืนก็มาถึงประตูถ้ำเข้าไปเคาะประตูร้องเรียกให้เปิดประตู แล้วก็เข้าไปแลเห็นปู่เจ้านั่งอยู่ก็คุกเข่าลงกับพื้นคำนับแล้ว อึ้งม้อกิมไซก็ร้องไห้สอึกสอื้น

ปู่เจ้าแลเห็นดังนั้นก็ปลาดใจจึงถามว่า เมื่อวานนี้หลานให้คนถือหนังสือมาเชิญก็จัดแจงจะไป ก็เหตุใดจึงได้มาเองแลมีความโทมนัศเศร้าหมองดังนี้เล่า อึ้งม้อกิมไซจึงเล่าซึ่งเหตุผลต้นปลายให้ปู่เจ้าฟังทุกประการ แลไม่ทราบว่าคนทั้งสามนั้นชื่ออะไรมีฝีมือเข้มแข็งทุกคน หลานต่อสู้ไม่ได้จึงได้หนีมา ขอพึ่งปู่เจ้าช่วยจับคนทั้งสามแก้แค้นให้ด้วย จึงจะเห็นว่ามีความเมตาแก่หลาน ปู่เจ้าได้ฟังก็นิ่งนึกอยู่นานแล้วก็หัวเราะพูดว่า อันความจริงนั้นเดิมเขาเปนหลานของปู่ เจ้าไม่รู้จักไปโดนเข้าแล้วจึงได้เกิดความ อึ้งม้อกิมไซถามว่าปู่รู้จักหรือว่าคนทั้งสามนั้นเปนผู้ใด ปิศาจเฒ่าจึงบอกว่า ปากยาวหูใหญ่นั้นชื่อโป๊ยก่าย หน้าสีหมอกดำนั้นชื่อซัวเจ๋งสองคนนี้ยังไม่สู้กะไรนัก ยังอีกคนหนึ่งที่หน้ามีขนเหมือนรามสูรย์นั้น เรียกว่าซึงเห้งเจีย ลิงนี้มีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวง เมื่อห้าร้อยปีก่อนเคยทำจุลาจลบนสวรรค์ พลเทพบุตสิบหมื่นก็ไม่อาจจะจับเธอได้ เธอเปนต้นสาระบานหาเหตุไม่มีผู้ใดเสมอ เจ้าทำไมจึงไปโดนเข้าดังนี้เล่า เอาเถอะปู่จะไปกับเจ้า จับทั้งสามคนกับเจ้าเมืองเง๊กฮัวจิวพ่อลูกมาแก้แค้นให้เจ้า อึ้งม้อกิมไซได้ฟังดังนั้นก็กราบคำนับขอบคุณปู่เจ้า ฝ่ายปิศาจเฒ่าจึงเกรียมพลทหารเอกทหารเลว คือราชสีห์เขียว ราชสีห์ขาว สุนักข์เผือกแลช้างดำอีเก้ง ต่างก็ถืออาวุธทุก ๆ ตน ปิศาจอึ้งม้อกิมไซก็คุมพลเหล่านั้นเหาะขึ้นบนอากาศไปยังเขาเป๊าเถ้าซัว ครั้นถึงก็ได้กลิ่นไฟกระทบจมูก แลได้ยินเสียงคนร้องไห้โฮ ๆ แลไปดูก็เห็น โตจั๊นโก๊กวั่ยสองคนกำลังร้องไห้พรรณาถึงนายของตัว ปิศาจอึ้งม้อกิมไซตรงเข้าไปใกล้ร้องตวาดถามว่า เจ้าเปนโตจั๊นโก๊กวั่ยจริงหรือปลอม ปิศาจทั้งสองกลั้นน้ำตาคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า พวกข้าพเจ้าจะมีปลอมที่ไหนเล่า เมื่อวันวานนี้รับเงินไปซื้อแพะแลสุกร ข้ามเขาเดินไปตามทางทิศตวันตก กำลังเดินมาก็แลเห็นคนหน้าตาคล้ายแก่รามสุรย์ยืนอยู่ข้างทางคนหนึ่ง มันเอาปากเป่าข้าพเจ้าทั้งสองคนมือแลเท้าก็แข็งปากก็พูดไม่ออก มันเข้ามาเลิกเสื้อผ้าค้นเอาเงินไปเสียสิ้น ข้าพเจ้าทั้งสองมืดมัวอยู่จนเวลาเย็นจึงได้รู้สึกตัว กลับมาถึงที่ก็เห็นไฟไหม้ยังไม่หยุด บ้านเรือนเคหาไฟก็ไหม้เสียทั้งสิ้นแล้ว แลยังไม่รู้ว่าใต้อ๋องจะเปนประการใด ทั้งเพื่อนฝูงบริวารใหญ่น้อยก็ไม่เห็น เพราะฉนั้นจึงได้มีความเศร้าโศกโทมนัศเสียใจร้องไห้ แลไม่ทราบว่ามีเหตุอย่างไรไฟจึงได้ไหม้ดังนี้ อึ้งม้อกิมไซได้ฟังดังนั้น ก็กลั้นน้ำตามิได้กระทืบเท้าร้องไห้คร่ำครวญพรรณาว่า อ้ายพวกนี้ใจอาธรรม์เหลือเกิน เหตุใดมันจึงได้คิดร้ายดังนี้ เอาไฟเผาถ้ำของเราเสียทั้งลูกเมียบริวารใหญ่น้อยต้องอรรคคีไภยไม่เหลือ มันทำแก่เราถึงสาหัศคิดจะใคร่เอาศีศะกะแทกเข้ากับศิลาเสียให้แตกตาย ปิศาจปู่เจ้าเห็นดังนั้นจึงให้ปิศาจราชสีห์เขียวยึดไว้ ค่อยปลอบโยนว่าการเปนไปเช่นนั้นแล้ว จะทำลายตัวเสียดังนี้ จะมีผลอะไรจงอุส่าห์รักษากำลังไว้ให้ดีก่อน จะได้เข้าไปยังเมืองเง๊กฮัวจิวจับพวกพระสงฆ์ แลเจ้าเมืองฮัวจิวพ่อลูกมาแก้แค้นจะมิดีหรือ พูดดังนั้นแล้วก็ประกาศพร้อมกันต่างแผ่อำนาจออกจากเขาเป๊าเถ้าซัวเหาะตรงมายังเมืองเง๊กฮัวจิว เวลานั้นก็เกิดลมพยุใหญ่เมฆหมอกออกมืดฟ้ามัวฝนลมก็พัดส่งมาใกล้เมือง

ฝ่ายชาวเมืองฮัวจิวไม่ว่าหญิงแลชายแลเห็นดังนั้น ก็พากันตื่นแตกโกลาหฬไปทั้งเมือง ฝ่ายคนเฝ้าประตูเมืองก็รีบปิดประตูแล้วก็รีบเข้าไปกราบทูล เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรสแลพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่ตำหนักม่อซอเต๊ง ได้ยินคนมาบอกก็ออกมาถามเหตุการ พวกขุนนางทูลว่ามีหมู่ปิศาจทำให้เกิดลมแลฝนพยุใหญ่ หอบซายหอบอิฐพัดโกรกเข้ามาใกล้กำแพงเมืองแล้ว พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็ตกพระไทยถามว่าจะทำอย่างไรดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพระองค์อย่าทรงพระวิตกจงวางพระไทยเถิด การที่เปนดังนี้นั้น คืออ้ายอึ้งม้อกิมไซปิศาจที่ถ้ำเป๊าเถ้าต๋อง เมื่อวานนี้รบแพ้หนีไปข้างทิศตวันออกเฉียงใต้ ไปชวนปู่ของมันชื่อเก๊าเล่งง่วนเซี้ย มาแก้แค้นพวกข้าพเจ้า ไว้ธุระข้าพเจ้าพี่น้องจะออกไปรบแก่มันข้างนอก พระองค์จงจัดเตรียมปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้นก็เกณฑ์พลทหารขึ้นประจำน่าที่ทุก ๆ แห่ง แล้วพระเจ้าแผ่นดินกับพระถังซัมจั๋งแลพระราชโอรสทั้งสาม ขึ้นอยู่บนหอสูงคอยโบกธงอาญาสิทธิ์ ให้พลทหารยิงปืนโห่ร้องเอาไชย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ