- คำนำ (เล่ม ๑)
- แจ้งความ (เล่ม ๑)
- คำนำ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๒)
- แจ้งความ (เล่ม ๓)
- คำนำ (เล่ม ๓)
- แจ้งความ (เล่ม ๔)
- คำนำ (เล่ม ๔)
- รูปภาพ
- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
๘
ครั้นถึงพระทอดพระเนตรเห็นหมู่ศิษย์ทั้งหลายใหญ่น้อย ถือฉัตรธงแลมาลาธูปเทียนยืนรายกันคอยนมัศการรับพระองค์ ๆ จึงตรัสแก่ศิษย์ทั้งหลายเปนอรรถว่า ปัญญาลุ่มลึกรู้แจ้งทั้งสามภพ มูลรากสันดานเดิมสุดสิ้นระงับทุกข์ดุจดังอากาศว่าง อันไม่มีลักษณะเจตะสิกธรรมไม่มีแลกำจัดวานรร้าย การเหล่านี้ไม่อาจรู้ได้นามเดิมว่าเกิดดับธรรมลักษณะดังนี้แล เมื่อพระองค์ตรัสอรรถธรรมดังนั้นแล้ว รัศมีเปล่งออกจากพระเมาลี เปนศรีรุ้งขาวเขียวแดงเหลืองหงษ์สิบบาตยี่สิบสี่สายส่องสว่างรอบทั่วในอากาศ
หมู่ศิษย์ทั้งหลายเห็นดังนั้น ต่างตนก็ประนมมือนมัศการ อิกประเดี๋ยวหนึ่งพระองค์ก็เสด็จเข้าในที่ ขึ้นนั่งบนบัลลังก์บัวเก้าชั้น แล้วทรงระงับกิริยาแน่วแน่
ฝ่ายหมู่สานุศิษย์ทั้งหลาย ต่างคนก็นมัศการแล้วนั่งประนมมือพร้อมกันทูลถามพระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐสูงสุด ซึ่งเกิดการวุ่นวายบนวิมานนั้น ได้สงบเรียบร้อยแล้วหรือประการใด
พระองค์จึงทรงตรัสว่า การวุ่นวายนั้นคือในตำบลเขาฮวยก๊วยซัว เกิดมีวานรตัวหนึ่งได้กระทำให้หมู่เทพยดาทั้งหลายได้ความเดือดร้อนเหลือที่จะพรรณนา แม้หมู่เทพยดาทั้งหลายก็ไม่สามารถจะปราบปรามได้ ขณะเมื่อเราไปถึงวานรอยู่ท่ามกลาง หมู่เทพยดาอารักษ์รามสูรย์ล้อมวานรไว้แน่นหนา วานรก็สำแดงฤทธิ์ห้าวหาญไม่มีผู้ใดสามารถจะต่อฤทธิ์วานรได้
เราจึงให้หมู่เทพบุตรทั้งหลายหยุดรบกัน เราจึงได้ไต่ถามวานรแลวานรได้ตอบโต้ชี้แจงอวดอิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงเล่าความตามที่ได้กล่าวมาแล้วไปเบื้องต้นจนที่สุด ที่พระองค์ได้กระทำให้วานรไปถูกทรมานอยู่ในเขาเง้าเห้งซัวให้ศิษย์สาวกฟังทุกประการ พวกศิษย์สาวกทั้งหลายเมื่อได้ฟังพระองค์ทรงเล่าดังนั้น ก็พากันยกมือขึ้นประนมร้องสาธุการ แล้วต่างคนก็ถวายอะภิวาททูลลากลับไปยังสฐานแห่งตน
อยู่มาวันหนึ่งสมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ จึงรับสั่งแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า ตั้งแต่เราปราบปรามวานรวิมานสวรรค์ก็ได้เปนศุขมาประมาณถึงพันปีแล้ว ในเวลานี้เรามีบาตรวิเศษจะประชุมทำฉลากพัดเลี้ยงศิษย์ทั้งปวงจะควรหรือไม่ ศิษย์ทั้งหลายยกมือขึ้นนมัศการแล้วทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐหาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นควรแล้ว สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงฟังศิษย์ทั้งหลายทูลว่าชอบพร้อมกันแล้ว จึงรับสั่งให้พระออนันกับพระเกียเอี๊ยมจัดแจง
พระออนันกับพระเกียเอี๊ยมรับคำสั่งแล้วจึงออกมายังศาลาธรรม บอกบุญแก่พวกทายกทั้งหลาย ๆ ก็บอกกันต่อๆ ไป ครั้นได้เวลาก็เอาเครื่องแจมาใส่ในบาตรพระตามศรัทธา พระออนันพระเกียเอี๊ยมครั้นจัดแจงเสร็จแล้ว จึงนิมนต์หมู่ศิษย์ใหญ่น้อยทั้งหลายมาประชุมพร้อมกันแล้ว นั่งเรียงรายเปนลำดับรับซึ่งไทยทานเปนที่ระงับกายวาจาใจ ครั้นเสร็จแล้วต่างก็ถวายยะถาสัพพีแล้วก็ลุกมากระทำนมัศการพระโดยความเคารพ
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ พระองค์ก็เสด็จขึ้นประทับบนธรรมาศน์นั่งสำรวมกิริยา หมู่ศิษย์ทั้งหลายต่างนมัศการประนมมือตั้งโสตรคอยสดับรับรศพระสัทธัม พระองค์จึงทรงแสดงทูลรากไตรย์ศิกขา แลธรรมอันยิ่งคืออะภิธรรมซึ่งจะให้ผู้ปฏิบัติบันลุถึงมรรคแลผลตามลำดับ ในเวลานั้นศิษย์สาวกทั้งหลายได้สดับธรรมแล้วต่างก็บังเกิดปีติศุขโสมนัศ รื่นเริงยินดีในรสพระสัทธัม ครั้นพระองค์ทรงแสดงธรรมาภิไมยแล้ว จึงตรัสต่อไปว่า เราได้พิจารณาดูทั้งแปดทวีปในชมภูทวีปนี้ ซึ่งหมู่สัตว์ทั้งหลายมักจะมากไปด้วยความโลภเจตนา แลความโกรธประทุษร้ายแลโมหะความหลง มีความมัวเมาประมาทแลเห็นผิดวิปลาดไปต่าง ๆ เรามีพระไตรย์ปิฎกธรรมควรจะให้บุถุชนรักษาปะฏิบัติ จะได้ละพ้นหลุดจากความชั่วใจบาปอยาบช้ากว่าจะได้ลุถึงซึ่งมรรคผลแลนฤพานพระไตรยปิฎกรวมมีสิบห้าผูกคิดเปนหมื่นห้าพันร้อยยี่สิบสี่เล่ม ล้วนเปนธรรมอันวิเศษสัมมาปะฏิปะธาหนทางวิสุทธิมรรคอันจะนำสัตว์เข้าสู่ห้องพระนฤพาน อาไศรยเหตุนี้ เราปราถนาจะให้ใครที่มีบุญญาอะภินิหารบารมีเชี่ยวชาญ ข้ามไปข้างทิศบุรพาในประเทศจีน ชักนำผู้มีศรัทธาอุสาหะข้ามมาประเทศนี้ อาราธนาพระไตรยปิฎกไปรักษาปะฏิบัติให้แพร่หลายทั่วไป แลแสดงธรรมสั่งสอนสาธุชนให้มีจิตรตั้งอยู่ในกุศลธรรมทางสัมมาทิฐิ คนผู้นั้นก็จะได้บุญกุศลมีนิไสยอันใหญ่ยิ่งหาที่เปรียบมิได้ เรายังไม่เห็นว่าผู้ใดจะสามารถข้ามไปได้
ในขณะเมื่อพระทรงปรารพอยู่นั้น มีพระกวนอิมองค์หนึ่งคลานเข้าไปไกล้ธรรมาศน์แล้วประนมมือขึ้นนมัศการ แล้วทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าจะขอรับอาสาไปยังทิศทูรพาในประเทศจีน เกลี้ยกล่อมชักชวนให้ผู้มีศรัทธาในประเทศนั้น มาอาราธนาพระไตรย์ปิฎกไปประดิษฐานในประเทศทิศบูรพาให้จงได้
เมื่อสมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ ได้ทรงฟังพระกวนอิมกราบทูลดังนั้น พระองค์มีพระไทยยินดีเปนอันมาก จึงตรัสแก่พระกวนอิมว่าโดยผู้อื่นจะรับอาสาไป เรายังไม่เชื่อว่าจะตลอดสำเร็จได้ ถ้าตัวท่านอาสาไปแล้ว เรามีความเชื่อว่าอาจสำเร็จได้ดังประสงค์จริง
พระกวนอิมจึงกราบทูลว่า ซึ่งโปรดจะให้ข้าพเจ้าไปนั้นจะทำประการใดจึงจะควรขอพระองค์ได้โปรดทรงแนะนำให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
สมเด็จพระเซีกเกียมองนิฮุดโจ๊จึงตรัสว่า เมื่อไปนั้นควรจะทำปาฏิหารก็ให้กระทำปาฏิหาร ถ้าเห็นว่าไม่ควรจะกระทำก็ให้เดินไป จะได้พิจารณาระยะทางว่าใกล้หรือไกล ร้ายหรือดีก็จะได้รู้แม่นยำสำหรับจะได้เล่าบอกแก่ผู้ที่มีศรัทธา จะได้ข้ามมานำพระไตรยปิฎกไปจะได้รู้ซึ่งหนทางเดิน เราจะให้ของวิเศษแก่ท่านไปห้าอย่าง ตรัสดังนั้นแล้ว ก็ทรงเรียกพระออนันกับพระเกียเอิ๊ยมให้นำของวิเศษทั้งห้านั้นออกมา คือผ้ากาสาวะพัดจีวรหนึ่ง ไม้เท้าหนึ่ง มงคลดอกไม้สามวง รวมห้าอย่างมาถวายต่อพระหัดถ์
สมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ทรงรับของห้าอย่างแล้ว จึงตรัสสั่งแก่พระกวนอิมว่า จีวรแลไม้เท้าสองสิ่งนี้ให้ผู้ที่ตั้งใจมาเชิญพระไตรยปิฎกสำหรับตัว จีวรนั้นถ้าห่มแล้วก็สามารถจะพ้นจากวัตตะสงสาร ไม้เท้านั้นถ้าถือแล้วก็พ้นจากวิบากขันธ์แลไภยอันตรายต่าง ๆ ได้ดังความปราถนา
พระกวนอิมรับจีวรแลไม้เท้าแล้ว พระองค์จึงหยิบมงคลสามวง แลตรัสสั่งพระกวนอิมว่า มงคลสามวงนี้เอาไว้แก่ตัวท่านก่อนเมื่อเวลาผู้ที่จะมาเชิญพระไตรยปิฎกนั้น ถ้าเดินมาตามทางบางทีจะพบปะผู้ที่มีฤทธาอานุภาพอันเชี่ยวชาญ จะได้เอามงคลนี้บังคับให้อยู่ในอำนาจของผู้ที่จะมาเชิญพระไตรปิฎกนั้น จะได้เอาไปเปนสานุศิษย์ใช้สรอย บางทีจะดื้อดึงไม่อยู่ในโอวาท จึงให้เอามงคลนี้ครอบใส่บนศีศะแล้วเอาคาถาภาวะนา มงคลนั้นก็จะรัดศีศะจนไนตาปลิ้นออกมาให้มีความเจ็บปวดยิ่งนัก คนผู้นั้นจึงจะมีความเกรงกลัวแลอยู่ในอำนาจไม่ขัดขืนคำสั่งแลบังคับได้
พระกวนอิมได้ฟังพระตรัสดังนั้นแล้ว ก็รับสิ่งของทั้งห้าอย่างนั้นจากพระหัดถ์ แล้วถวายบังคมลาคลานออกมาจากโรงธรรมศาลา จึงเรียกฮุยไง้สานุศิษย์ ให้จัดแจงสิ่งของที่ควรจะเอาไปใช้ได้ตามทาง ฮุยไง้จัดแจงเสร็จแล้วถือกระบองเหล็กสำหรับมือ พระกวนอิมจึงเอาของวิเศษห้าอย่างมอบให้ฮุยไง้ใส่ถุงย่ามสะพายไป พระกวนอิมกับฮุยไง้ก็ลงจากเขาเดินมา ครั้นถึงเชิงเขากิมเต๊งใต้เซียนทั้งห้าก็ออกมารับนิมนต์พระกวนอิมเข้านั่งพักแล้วยกน้ำชามาถวาย พระกวนอิมจึงเล่าความที่จะไปยังประเทศทิศบูรพาในเขตแขวงเมืองจีนให้พวกเซียนทั้งหลายฟังทุกประการ
กิมเต๊งใต้เซียนจึงถามว่า สักเมื่อไรผู้ที่จะมาเชิญพระไตรย์ปิฎกจึงจะมาถึงที่นี่
พระกวนอิมจึงบอกว่า ประมาณอิกสักสองสามปีจึงจะมาถึง พระกวนอิมสนทนาแก่กิมเต๊งใต้เซียนแล้วก็จะลามา กิมเต๊งใต้เซียนจึงตามออกมาส่ง แล้วก็นมัศการลากลับไปยังที่อยู่ของตน
พระกวนอิมกับศิษย์ออกจากนั้นไปสังเกตหมายระยะทางตรงไปยังทิศบูรพา เมื่อพระกวนอิมไปนั้นบางทีเดินบางทีเหาะตามกำลังที่จะไปได้ในเมื่อเวลานั้นได้แลเห็นแม่น้ำหนึ่งกว้างใหญ่ เรียกว่าแม่น้ำ (ลิ้วซัวฮ้อ) พระกวนอิมแลเห็นดังนั้นจึงเหาะรอบนอากาศแล้วพูดแก่ฮุยไง้ว่าแม่น้ำนี้จะทำการลำบากแก่ผู้ที่จะมาเชิญพระไตรย์ปิฎก โดยเหตุที่กว้างใหญ่แลไม่มีเรือแพพาหะนะที่จะข้ามได้
ในขณะนั้นได้ยินเสียงดังอยู่ใต้น้ำสักประเดี๋ยวก็เกิดเปนคลื่นลมพัดกล้าขึ้น แลไปเห็นสัตว์โผล่ขึ้นมาจากน้ำหน้าตาน่ากลัวรูปร่างน่าเกลียด พิจารณาดูเหมือนจะเปนปิศาจยักษ์ มีมือถือกระบองตรงเข้ามาจะจับพระกวนอิมกินเปนอาหาร ฮุยไง้เห็นดังนั้นก็เข้าขวางหน้าร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายปิศาจมึงจะไปข้างไหน
ฝ่ายยักษ์ถือกระบองก็มิได้พูดจาตรงเข้ามาเอากระบองตีฮุยไง้ ๆ แกว่งกระบองเหล็กเข้ารบรับกันอยู่ต่างคนต่างมีแรงมีฤทธิ์เข้มแข็ง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันไปมารบกันประมาณได้สักยี่สิบเพลงก็หาแพ้ชนะกันไม่ ปิศาจยักษ์ค่อยถอยห่างออกมาแล้ว จึงร้องถามว่าตัวเปนพวกไหนพาพระที่ไหนมาสามารถล่วงเข้ามาในแดนของเรา
บกเฉียจึงตอบว่าเราคือบุตรที่สองของถักทะลีทีอ๋องชื่อบกเฉีย ครูให้ชื่อว่าฮุยไง้ทำไมเจ้าไม่รู้จักเราหรือ ตัวเจ้าเปนชาติ์ปิศาจอะไรจึงอาจสามารถมากั้นกางขวางหน้าแห่งเราฉนี้
ปิศาจได้ฟังฮุยไง้บอกดังนั้นจึงตอบว่าถ้ากระนั้นเราจำได้คือท่านเปนสานุศิษย์ของพระน่ำไฮ้กวนอิมหรือมิใช่
ฮุยไง้จึงชี้บอกว่า ที่ยืนอยู่ข้างฝั่งน้ำนั้นแลคือพระกวนอิมแล้ว เจ้าไม่มีไนตาหรือ
ปิศาจยักษ์เมื่อได้ทราบดังนั้นจึงย่อตัวลงคำนับแล้วก็เดินตรงขึ้นมาบนฝั่งวางอาวุธลงแล้วจึงกระทำการเคารพนมัศการกราบไหว้ แล้วจึงพูดว่าขอพระองค์จงได้โปรดงดโทษข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจะเล่าซึ่งเหตุผลให้ท่านทราบทุกประการ คือตัวข้าพเจ้านี้มิใช่ปิศาจยักษ์มารอะไร คือเปนเซียนสำหรับแหวกพระวิสูตรของเง็กเซียงฮ่องเต้เมื่อเวลาที่พระองค์เสด็จมาประทับยังตำหนัก ห่งท้อที่ประชุมคราวเลี้ยงโต๊ะเทพยดานั้น เวลานั้นข้าพเจ้าเปิดพระวิสูตรหาทันพิจารณาไม่ ชายพระวิสูตรสบัดไปถูกคนโทแก้ววิเศษตกแตก เง็กเซียงฮ่องเต้จับข้าพเจ้าทำโทษลงอาญาสาปข้าพเจ้าให้รูปกายพิกลอย่างรูปปิศาจลงมาประจำอยู่ในที่นี้ถึงเจ็ดวันแล้วก็มีอาวุธเกี่ยมคือกระบี่วิเศษลอยลงมาแทงชายโครงข้าพเจ้าเจ็ดวันครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ความเดือดร้อนเหลือกำลัง ทรมานความอดอยากเปนที่สุด เมื่อสองสามวันก่อนข้าพเจ้าขึ้นมาจากแม่น้ำเที่ยวหาเนื้อมนุษย์กิน บังเอินมีคนเดินมาคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงจับมาฉีกเนื้อกินเสียแล้ว มาวันนี้ก็มาพบพระองค์เข้าก็หมายใจจะเอาเปนอาหาร ขอพระองค์ได้โปรดงดโทษข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าตัวเจ้ามีโทษบนสวรรค์ต้องสาปลงมาแล้ว มิหนำซ้ำกระทำปาณาฏิบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตรดังนี้ จะมิเปนโทษหนักลงไปอิกหรือ บัดนี้เรารับคำสั่งของพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ให้หันไปทิศบูรพาประเทศจีน แสวงหาผู้ซึ่งมีศรัทธาเลื่อมไสยในคุณแห่งพระรัตนไตรย ไปเชิญพระไตรยปิฎกมาประดิษฐานในบูรพาประเทศทิศตวันออกเจ้าคอยอยู่ที่นี่ แลจงกลับใจปฏิบัติตามพระพุทธสาศนาซึ่งเปนสัมมาปฏิปะธาเถิด ถ้าคนนั้นมาที่นี่เจ้าจงตามไปเปนสานุศิษย์ เราจะทำอภินิหารมิให้อาวุธเกี่ยมแทงเจ้าได้ เมื่อเจ้าไปติดตามท่านผู้นั้นไปได้พระไตรยปิฎกแล้วกลับมา ยกคุณความชอบอันลบล้างโทษจะได้คืนขึ้นไปยังสวรรค์ตามเดิม เราว่าดังนี้ใจของเจ้าจะเห็นเปนประการใด
ปิศาจยักษ์ประนมมือแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยแล้ว จะขอรัปทานปฏิบัติตามที่พระองค์สั่งสอนทุกประการ แล้วพูดต่อไปว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี้กินเนื้อคนเสียมากแล้ว เมื่อก่อนมีคนเดินมาทางนี้ ข้าพเจ้าจับตัวมาถามคนผู้นั้นบอกว่า จะไปเชิญพระไตรยปิฎกข้าพเจ้าก็หักคอกินเนื้อเสีย แต่ศีศะขว้างลงไปไนแม่น้ำอิวซัวฮ้อจมลงไปทั้งสิ้น เพราะแม่น้ำนั้นละเอียดไม่ว่าสิ่งใดตกลงไปแล้วก็จม ยังมีปลาดศีศะอิกเก้าศีศะที่คนจะไปอาราธนาพระไตรยปิฎก ข้าพเจ้าได้จับกินแล้วยังเหลือศีศะโยนลงไปในน้ำศีศะคนทั้งเก้าก็มิได้จม ลอยอยู่บนหลังน้ำ ข้าพเจ้าเห็นปลาดได้เขี่ยกลับเอาขึ้นมา แล้วเอาเชือกเล็กร้อยแขวนไว้ เวลาสบายว่างธุระก็เอาออกมาดูเล่น ข้าพเจ้าวิตกคิดเห็นว่าคนที่จะมาเชิญพระคำภีร์ไตรยปิฎกนั้นจะไม่อาจเดินทางนี้ ถ้ามิได้มาทางนี้แล้วจะมิคลาดทางไปเสียหรือ
พระกวนอิมพูดว่าทำไมจะไม่ไปทางนี้ท่านอย่าวิตกเลย จึงเอาศีศะคนทั้งเก้ามาทำเปนลูกประคำร้อยแขวนคอไว้ เผื่อว่าผู้ที่จะมาอาราธนาพระคำภีร์ไตรยปิฎกนั้นจะมีประโยชน์ใช้ได้บ้างดอกกระมัง
ปิศาจยักษ์จึงตอบว่า ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะทำตามถ้อยคำที่ท่านสั่งสอน
พระกวนอิมจึงยกหัดถ์ลูบศีศะยักษ์นั้นแล้วก็ให้ศิลห้าแก่ปิศาจยักษ์ แล้วจึงชี้ทรายนั้นให้ยักษ์ดูว่าจะตั้งแซ่ให้คือในแม่น้ำ ลิวซัวฮ้อ ซัวนั้นคือทราย ๆ นั้นเกิดมาแต่หิน ๆ นั้นเกิดมาแต่เขา จึงตั้งแซ่ให้เปนแซ่ซัว นามคือชื่อเรียกหงอเจ๋งที่คนทั้งหลายเรียกว่าซัวเจ๋งนั้นเอง ในเวลานั้นซัวหงอเจ๋งได้อยู่ในคำสั่งสอนของพระ แล้วก็มีความชื่นชมยินดีหาที่เปรียบมิได้
พระกวนอิมบอกแก่หงอเจ๋งว่า เราจะต้องลาท่านไปก่อน ท่านจงอุสาหะตั้งใจถึงพระรัตนไตรยเปนที่พึ่งแลรักษาศีลห้าไว้ให้มั่นคง จะได้พ้นทุกขกลับไปเมืองสวรรค์ ซัวหงอเจ๋งก็ตามส่งพระกวนอิมไปจนพ้นเขตรแล้วก็คำนับลากลับมายังที่อยู่ของตนตามเดิม
ฝ่ายพระกวนอิมกับฮุยไง้เดินตรงมาทางทิศบูรพา ครั้นมาถึงภูเขาสูงขวางหน้า เห็นอากาศเปนลมร้ายหมอกมืดมัวฟุ้งขึ้นมาจะเดินต่อไปก็ไม่เห็นหนทาง จึงเหาะขึ้นไปสูงหมายใจจะข้ามเขาก็ยังหาทันจะข้ามพ้นไปได้ไม่ บังเกิดเปนลมพะยุห์ใหญ่ แลไปข้างหน้าเห็นปิศาจยักษ์หน้าตาดุร้ายคล้ายดังสุกร มีขนแลผมรุงรังแยกเขี้ยวออกดุจคมมีดในมือถือสามง่ามไม่พูดจาว่าอะไร ตรงขึ้นมาจะแทงพระกวนอิม ฮุยไง้แลเห็นดังนั้นก็แกว่งกระบองแซงเข้ามาสกัดหน้าร้องตวาดว่าอ้ายสัตว์เดระฉานมึงอย่าทำล่วงเกิน จงดูกระบองเหล็กนี้ก่อน
ฝ่ายปิศาจสุกรจึงร้องว่า อ้ายพวกเหล่านี้ไม่รู้จักความตาย เองจงดูสามง่ามนี้บ้างเปนไร ต่างคนโต้ตอบกันแล้วก็เกิดโทโสขึ้นมาด้วยกันไม่รอรั้งตรงเข้าประจัญบาลรบกันเปนสามารถ
พระกวนอิมนั้นลอยดูอยู่บนอากาศ เห็นทั้งสองรบเขี้ยวขับกันไปมาหาเพลี้ยงพลั้งต่อกันไม่ จึงเศกคาถาเปนดอกบัวคว่างลงมาสกัดกลางแยกคนทั้งสองนั้นให้ออกห่างกัน
ฝ่ายปิศาจเห็นปลาดดังนั้น ใจก็สดุ้งหวาดเสียวจึงร้องถามว่า คนที่เหาะลอยอยู่บนอากาศนั้นมาแต่ข้างไหน จึงทำดอกไม้มาล้อเราเล่นดังนี้
ฮุยไง้ได้ยินยักษ์หมูถามดังนั้นจึงบอกว่า ไนตาเจ้าเห็นจะไม่มีแก้วตา เพราะเปนสัตว์เดระฉานจึงมิได้รู้ว่าท่านผู้ใด เราคือสานุศิษย์ใหญ่ของพระน้ำไฮ้ที่ขว้างดอกบัวดอกนั้น คือพระกวนอิมเจ้าจำไม่ได้หรือ
ฝ่ายปิศาจสุกรจึงพูดว่า ถ้าเปนน่ำไฮ้กวนอิมจริงดังเจ้าว่า ก็เปนผู้โปรดสัตว์ทั้งหลายจริงหรือ
ฮุยไง้ตอบว่าไม่ใช่ก็ใครเล่า ปิศาจสุกรได้ฟังดังนั้นก็ทิ้งสามง่ามลงกับพื้นดิน แล้วจึงคำนับฮุยไง้ว่าท่านจงช่วยพาข้าพเจ้าไปคำนับนมัศการพระกวนอิมด้วย ขอท่านจงอไภยแก่ข้าพเจ้าครั้งหนึ่งเถิด
ฮุยไง้จึงชี้ขึ้นไปบนอากาศว่า องค์ที่ลอยอยู่นั้นมิใช่พระกวนอิมหรือ
ปิศาจสุกรจึงแหงนหน้าขึ้นไป เห็นพระกวนอิมยืนลอยอยู่บนเมฆ จึงประนมมือนมัศการแล้วร้องด้วยเสียงอันดังว่า ขอพระได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด
พระกวนอิมได้ยินดังนั้นจึงลอยลงมายังพื้นปัตพีดล เดินตรงเข้ามาถามว่า เจ้าเปนปิศาจมาจากไหน จึงเปนรูปลักษณสุกร ทำไมจึงอาจสามารถมากั้นทางเราดังนี้
ปิศาจสุกรจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามิใช่ชาติสุกร เดิมข้าพเจ้าเปนนายทหารใหญ่ ที่ตั้งเรียกว่าเทียนฮองง่วนโซ่ย ได้เปนผู้รักษาอยู่ในลำน้ำทีฮ้อ เหตุด้วยข้าพเจ้าเมาสุรามาหยอกนางจันทรเทพธิดา ครั้นทราบถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ ท่านก็จับเอาข้าพเจ้าไปทำโทษ เฆี่ยนข้าพเจ้าสองพันที แล้วสาปข้าพเจ้าให้ลงมาในมนุษย์โลกย์ ครั้นเมื่อกายข้าพเจ้าจุติลงมาบังเอินให้หลงทางไป จึงเข้าสู่ท้องแม่สุกร กายข้าพเจ้าจึงแปรเปนรูปลักษณอย่างนี้ ข้าพเจ้ามีความอายจึงกินแม่สุกรแลฝูงหมูทั้งหลายเสียจนสิ้น จึงได้อาไศรยภูเขานี้เปนที่อยู่แลคอยจับมนุษย์กินเปนภักษาหารพอแก้หิว ครั้นมาวันนี้หมายใจจะเอาท่านเปนภักษาหารโดยเหตุที่มิได้รู้จักพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษข้าพเจ้าพ้นทุกขด้วยเถิด
พระกวนอิมจึงถามว่า ภูเขานี้ชื่อว่าภูเขาอะไร ปิศาจสุกรจึงบอกว่า นามเรียกภูเขาฮกลิ่นซัว ในเขามีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเรียกว่า (หุ้นจางต๋อง) ในถ้ำนั้นเดิมมีปิศาจหญิงอยู่คนหนึ่ง เรียกนามว่านางหุ้นจางต๋องเห็นข้าพเจ้ามีฤทธิ์มาก จึงยอมเปนภรรยาให้ข้าพเจ้าเปนสามี ครั้นอยู่มายังไม่ทันถึงปีภรรยาข้าพเจ้าตาย มรฎกในถ้ำนั้นก็ตกอยู่แก่ข้าพเจ้าได้รักษาดูแลทั้งสิ้น ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก็นานปีนานเดือนมาแล้ว ไม่ทราบว่าสักเมื่อไรจะได้กลับคืนขึ้นไปสวรรค์อย่างเดิมเปนความจนใจก็ต้องอาไศรยอยู่ที่นี้ คอยจับมนุษย์กินพอประทังชีวิตรไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ขอท่านผู้มีบุญญาอะภินิหารโปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด
พระกวนอิมจึงพูดว่า มีคำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า แม้อยากจะใคร่หาหนทางข้างน่าให้ตลอดอย่าทำให้หนทางข้างน่านั้นเสียไป ตัวเจ้าทำผิดบนสวรรค์แล้วก็ยังไม่กลับใจที่โหดร้ายเสีย ซ้ำกระทำซึ่งการบาปมีฆ่าสัตว์ตัดชีวิตรเปนต้น กันเปนอกุศลโทษอยู่อย่างนี้จะมิเปนสองโทษขึ้นหรือ
ปิศาจสุกรจึงตอบว่าหนทางข้างน่านั้น แม้ข้าพเจ้าจะทำตามคำสอนของท่านก็ยังขัดอยู่ เพราะโลกย่อมถือว่าถ้าขัดขวางข้อบังคับคือกฎประกาศพระราชบัญญัติ ก็ถูกเฆี่ยนถูกจำปรับประหารชีวิตร ทำตามพระพุทธบัญญัติคำสอนในพระพุทธสาศนาจะต้องอดอยากทนทรมานจึงจะทำไปได้ ข้าพเจ้าคิดดูจะสู้จับมนุษย์ที่อ้วน ๆ มากินไม่ ด้วยเนื้อหนังก็อร่อย พวกพี่น้องวงษ์ญาติของเขาก็ไม่เอาโทษ จะมีโทษอะไร สองโทษสามโทษร้อยโทษหมื่นโทษจะมีด้วยอย่างไร
พระกวนอิมจึงพูดว่า แม้ผู้ใดจะประพฤติในทางชอบหรือทางผิดนั้น เทวดาแลมนุษย์ก็จะไม่เห็นด้วย ผลของความดีแลความชั่วนั้นแลจะบันดานให้เปนศุขแลทุกข์เกิดขึ้นให้ปรากฎ อันผู้ที่ประพฤติชอบทางสัมมาวายามะตามองค์มรรค คงจะบันดานให้ผลเกิดขึ้นเปนเครื่องเลี้ยงชีพ แม้ผู้ที่ทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่เห็นผู้ใดอดอยากลำบากใจ เพราะอาหารในโลกย์ก็ย่อมมีบริบูรณ์หรือพอเปนยาวะชีวังเพื่อระงับทุกข์เวทนาได้ หรือบางทีกระทำให้อิ่มเอิบด้วยปีติปราโมชก็มี เช่นท่านที่ได้ฌานแลสมาธิสมาบัติฉนั้น ท่านก็ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตรแลกินเนื้อมนุษย์ให้ได้ความกระวนกระวายเล่า
ปิศาจสุกรเมื่อได้ฟังพระกวนอิมพูดแนะนำสั่งสอนโดยทางธรรมเช่นนั้น ดุจดังว่าเวลาตื่นขึ้นจากหลับอันประกอบไปด้วยสติแลความรู้สึก จึงยกมือขึ้นนมัศการแล้วว่า ข้าพเจ้ามีความเชื่ออยากจะปฏิบัติตามธรรมในทางพระพุทธสาศนา แต่ขัดอยู่ด้วยโทษที่ข้าพเจ้าทำผิดเท่าฟ้าไม่แลเห็นทางที่จะทำให้พ้นโทษได้
พระกวนอิมจึงพูดต่อไปว่าเรารับคำสั่งของพระพุทธเจ้าให้ไปทางทิศบูรพาประเทศจีน แสวงหาผู้มีความเชื่อในคุณแห่งพระรัตนไตรยให้ข้ามไปเชิญคำภีร์พระพุทธสาศนาคือพระไตรยปิฎกมาประดิษฐานในทิศบูรพาประเทศ เจ้าจงสามิภักดิ์เปนสานุศิษย์ติดตามท่านผู้นั้น เมื่อการสำเร็จดังประสงค์แล้ว จะได้อาไศรยคุณความชอบนั้น มาหักล้างลบโทษที่กระทำผิด เราจะช่วยขอให้ตัวเจ้าพ้นโทษจะไม่ดีกว่าประพฤติชั่วร้ายอยู่อย่างนั้นหรือ
ปิศาจสุกรจึงร้องขึ้นเต็มปากว่า ข้าพเจ้าจะขอติดตามท่านผู้นั้นไป ตามแต่ท่านจะเห็นชอบเถิด
พระกวนอิมจึงยกพระหัดถ์ลูบศีศะยักษ์สุกรนั้นแล้ว ก็ให้ยักษ์สมาทานศีลห้า จึงตั้งแซ่แลชื่อให้ตามที่ตัวเปนมนุษย์หน้าเปนสุกรว่าแซ่ตือ ๆ นั้นคือสุกร (หรือหมู) นามนั้นเรียกว่า (หงอเหนง) ครั้นให้แซ่แลชื่อแล้วจึงให้กินเครื่องกระยาบวชคือเครื่อง (แจ) ละเว้นซึ่งการทุจริตในกายวาจาใจ แล้วสั่งว่าเจ้าจงคอยอยู่ที่นี้ ถ้าผู้จะไปเชิญพระไตรยปิฎกคำภีร์พระพุทธสาศนามาถึงนี้แล้ว เจ้าจงเข้าสาพิภักดิ์เปนศิษย์ติดตามไปด้วย ตัวเจ้าก็จะพ้นทุกขได้ความสุขสืบต่อไปภายน่า
ตือหงอเหนงเมื่อได้รับศีลแลได้ฟังพระกวนอิมชี้แจงให้ฟังทุกประการดังนั้นแล้ว ก็ยกมือขึ้นนมัศการกำหนดไว้ในใจด้วยความยินดีเชื่อถือ พระกวนอิมก็ออกจากที่นั้นไป ตือหงอเหนงก็ตามไปส่งจนสิ้นเขตรแดนแล้ว ก็นมัศการลากลับไปยังสำนักนิ์ที่อยู่เดิมแห่งตน
ฝ่ายพระกวนอิมกับฮุยไง้พร้อมกันเหาะขึ้นกลางอากาศ ตรงมาทางทิศบูรพา ในเวลานั้นแลเห็นมังกรตัวหนึ่งแขวนอยู่กลางอากาศมีเสียงร้องเรียกว่าพระจงช่วยข้าพเจ้าด้วย
พระกวนอิมได้เห็นแล้ว เหาะเข้ามาใกล้จึงร้องถามว่าเจ้าเปนมังกรที่ไหนจึงมาต้องโทษอยู่ที่นี่
มังกรจึงบอกว่าข้าพเจ้าเปนบุตรของพระยาเล่งอ๋องชื่อว่า (หยุน) อยู่ในมหาสมุททิศปราจิณ ข้าพเจ้ามีความน้อยใจบิดาว่าไม่รักษ์บุตรเสมอกัน เมื่อข้าพเจ้าคิดผิดฉนี้แล้ว จึงได้เอาไฟจุดปราสาทของบิดา ครั้นเพลิงไหม้ปราสาทนั้นเสียแล้ว บิดาข้าพเจ้าจึงไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ทรงพระพิโรธให้จับข้าพเจ้ามาแขวนไว้ในกลางอากาศ พรุ่งนี้ก็จะเอาตัวข้าพเจ้าไปประหารชีวิตรเสีย ขอท่านได้กรุณาโปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด
พระกวนอิมได้ฟังมังกรบอกดังนั้นจึงพูดแก่มังกรว่าเจ้าจงคอยเราก่อน เราจะขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขอโทษให้ ว่าแล้วก็พยักหน้าฮุยไง้ก็เหาะตามขึ้นไปยังประตูนำทีหมึง ครั้นถึงก็ตรงเข้าไปยังปราสาทเหลงเซียวเต้ย พระกวนอิมจึงบอกแก่ดูเตียวเทียนซือทั้งสองให้นำเฝ้า เทียนซือจึงนำพระกวนอิมเข้าไปยังที่เฝ้า
ครั้นถึงกำลังเง็กเซียงฮ่องเต้ประทับอยู่พระกวนอิมจึงทูลว่า ขอถวายพระพร อาตมาภาพมาทั้งนี้โดยรับสั่งของสมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ ให้ไปยังทิศบูรพาประเทศจีน แสวงหาผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมไสยในคุณแห่งพระรัตนไตรย ข้ามไปมัชณิมะประเทศเชิญพระปริยัติธรรมทั้งสามปิฎกไปประดิษฐานในประเทศทิศตวันออก อาตมภาพเหาะมากลางอากาศ พบบุตรของพระยาเล่งอ๋องต้องโทษแขวนอยู่กลางอากาศ อาตมภาพขอถวายพระราชกุศลในมหาบพิตรจะขอบิณฑบาตรซึ่งชีวิตรมังกรผู้นั้นไว้ เพื่อจะได้ใช้ให้ตามไปเปนพาหนะแก่ผู้จะมาเชิญ พระพุทธสาศนาไปประดิษฐานในทิศตวันออก เพื่อโทษของมังกรตัวนั้นจะได้บันเทาเบาบางลงบ้าง แลทั้งจะได้กุศลแก่มหาบพิธด้วย ควรมิควรขอถวายพระพร
เง็กเซียงฮ่องเต้เมื่อได้ทรงฟังพระกวนอิมถวายพระพรขอโทษมังกร ทรงเห็นเปนการกุศลแลทั้งเปนประโยชน์ด้วย จึงรับสั่งแก่ (ทิเจียงกุน) เทพบุตรให้ไปแก้มัดมังกรมอบให้พระกวนอิมไปตามซึ่งพระกวนอิมขอ
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นก็ถวายพระพรลาเง็กเซียงฮ่องเต้ พร้อมด้วยทิเจียงกุนเหาะไปยังที่มัดมังกร ครั้นถึงเจียงกุนก็แก้มัดมังกรออก แล้วมอบตัวให้แก่พระกวนอิมเสร็จแล้ว ก็นมัศการลากลับไปยังดาวดึงษ์
ฝ่ายพระกวนอิมจึงสั่งมังกรนั้นว่าจงอยู่อาไศรยในลำแม่น้ำนี้ คอยกว่าคนที่จะมาเชิญพระไตรยปิฎกมาทางนี้จะได้เปนศิษย์ติดตามไปด้วย
ฝ่ายมังกรครั้นได้รอดชีวิตรแล้วก็มีความยินดี จึงถวายนมัศการขอบคุณพระ แล้วจึงพูดว่าข้าพเจ้าจะคอยอยู่ที่นี้กว่าท่านผู้นั้นจะมาแล้วก็นมัศการลาพระกวนอิมกลับไปยังที่อาไศรยสำนักเดิมนั้น
ฝ่ายพระกวนอิมครั้นมังกรลากลับไปแล้ว จึงชวนฮุยไง้เหาะตรงไปยังทิศบูรพาประมาณสักสองวัน แลไปข้างน่าเห็นศรีรัศมีฟุ้งขึ้นเปนศรีทองระยับงามปลาดต่าง ๆ ฮุยไง้จึงบอกแก่พระอาจาริย์ว่า ที่รัศมีพลุ่งขึ้นมานั้นเห็นจะเปนภูเขาเง้าเห้งซัว บนยอดเขานั้นมียันต์ปิดอยู่ ยันต์นั้นสมเด็จพระเซ๊กเกียมองนิฮุดโจ๊ให้พระออนันมาปิดไว้
พระกวนอิมจึงพูดว่าที่นี้คือเมื่อเกิดความวุ่นวายเดือดร้อนบนวิมานสวรรค์ คือซีเทียนใต้เซียต้องประจุอยู่ในเขานั้น พระกวนอิมกับฮุยไง้พูดกันแล้วจึงลอยลงที่ภูเขา แล้วจึงเดินมาที่ปิดยันต์นั้น ดูในแผ่นยันต์มีอักษรหกตัว คือ ง่าย มอ นิ ปั๊ด มิ ฮอง พระกวนอิมดูแล้วจึงทำโคลงเขียนที่แผ่นผาเปนโคลงสี่บท ๆ ที่หนึ่งว่า คำถางเกียวเก้าปุ๊ดฮ่องกง แปลว่าโอ้โอ๋วานรไม่รักทางดีอยู่ในบังคับ บทที่สองว่าตึ้งนี้กวงบ๋องซิ้นเองฮ้อง แปลว่าเมื่อปีเปนบ้าหลังทำอวดเก่ง บทที่สามว่า จื่อเช่าหงอฮุดอยู่ไล้ขุ่น แปลว่าต้องด้วยพระองค์เจ้าบังคับอยู่ บทที่สี่ว่า ท้อยิดซือซินจ้ายเหี้ยนกัง แปลว่าไม่รู้ว่าอันใดจะรอดพ้นกลับดีใหม่
ในเวลาที่พระกวนอิมกับฮุยไง้พูดกันอยู่นั้นก็ได้ยินถึงเกาซีเทียน ๆ ติดอยู่ในที่ถิ่นเขาได้ยินดังนั้นจึงร้องถามขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า ผู้ใดอยู่บนยอดเขานั้นนินทาข้าพเจ้าด้วยเหตุประการใด
พระกวนอิมได้ยินดังนั้นจึงเดินลงมาที่ตีนเขา เที่ยวค้นหาก็หาพบเห็นผู้ใดไม่
ฝ่ายพระภูมิเจ้าที่แลเทพารักษ์ทั้งหลายก็พร้อมกันมานมัศการพระกวนอิม พระกวนอิมจึงถามหมู่เทพยดาว่า เสียงอันใดร้องถามออกมาเมื่อตะกี้ พระภูมิเจ้าที่กับเทพารักษ์จึงบอกว่าเสียงซีเทียนใต้เซีย ซึ่งตกอยู่ในเขานี้พูดแล้วก็นำพระกวนอิมกับฮุยไง้ไปยังที่ซีเทียนติดอยู่นั้น
เดิมเมื่อแรกซีเทียนจะติดอยู่นั้นตัวมือท้าวติดอยู่ในหิน แต่ศีศะโผล่ออกมาได้เพียงฅอปากพูดได้ตัวกระดิกไม่ได้
พระกวนอิมจึงถามว่าแซ่ซึงเจ้าจำเราได้หรือไม่ เกาซีเทียนจึงเหลือบตาดูแล้วยกศีศะสับปะหงกเหมือนคำนับ แล้วพูดว่าทำไมข้าพเจ้าจะจำท่านไม่ได้ ท่านคือน่ำไฮ้โพ้ท้อซัวคือพระกวนอิม ขอบพระคุณท่านได้อุสาห์มาเยือนข้าพเจ้า ๆ ติดอยู่นานปีนานวันมาแล้วไม่มีผู้ใดมาเยือนสักครั้งหนึ่งเลย ท่านจะไปข้างไหนหรือจึงมาถึงที่นี่
พระกวนอิมจึงตอบว่าเรารับคำสั่งของพระจะไปยังทิศบูรพาประเทศจีน แสวงหาผู้ซึ่งมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธสาศนาจะได้ไปนำพระคำภีร์ไตรปิฎกมาประดิษฐานในฝ่ายทิศบูรพา เพราะฉนั้นเราจึงต้องเดินข้ามเขามาทางนี้จึงได้แวะมาเยือนเจ้า
เกาซีเทียนจึงว่าท่านยูไลมีความดูถูกข้าพเจ้าเหลือเกิน จับข้าพเจ้าครอบติดอยู่ที่นี่ประมาณกว่าห้าร้อยปีแล้ว ไม่กระดิกพลิกแพลงไหวติงได้เลย ขอท่านได้ช่วยข้าพเจ้าด้วยอุบายอันใดก็ตามโดยความกรุณาเมตาจิตรแห่งท่าน พอได้พ้นจากที่นี้พระคุณของท่านจะอยู่แก่ข้าพเจ้าชั่วฟ้าแลดิน
พระกวนอิมได้ฟังซีเทียนพูดอ้อนวอนดังนั้น จึงพูดว่าโทษของเจ้าเท่าฟ้าแลดิน ถ้าเราช่วยเจ้าออกได้เกรงว่าเจ้าจะไม่ละพยศร้าย จะทำให้เกิดความวุ่นวายมีเหตุขึ้นอีกเราก็จะพลอยตัวหมองเสียไปด้วย
เกาซีเทียนจึงพูดว่าข้าพเจ้ารู้สึกตัวกลับใจได้แล้ว แม้ท่านช่วยออกได้แล้ว ข้าพเจ้าจะอยู่ในถ้อยคำของท่านทุกอย่างทุกประการ ขอท่านได้กรุณา ทั้งข้าพเจ้าก็จะถือในทางชอบธรรมตามพระพุทธสาศนากว่าชีวิตรข้าพเจ้าจะหาไม่
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก จึงพูดแก่เกาซีเทียนว่า เจ้ามีความเห็นชอบคิดกลับใจได้ดังนั้นก็ควรแล้ว แต่เจ้าต้องรอคอยเราอยู่ที่นี่ก่อน ตัวเราจะไปยังประเทศจีน หาผู้ซึ่งมีศรัทธาในพระรัตนไตรยไปเชิญพระไตรยปิฎกในประเทศทิศตวันตก ถ้าคนผู้นั้นมาถึงที่นี่แล้วคงจะช่วยเจ้าให้ออกจากเขานี้ได้ เจ้าจงตามท่านผู้นั้นไปเปนสานุศิษย์ดังนี้จะดีหรือไม่
เกาซีเทียนได้ฟังพระกวนอิมพูดดังนั้นมีความยินดีเปนที่สุด จึงพูดว่าควรแล้วข้าพเจ้าจะขอตามไปปฏิบัติในพระพุทธสาศนาด้วย
พระกวนอิมจึงพูดว่าถ้ากระนั้นเจ้าก็ตั้งอยู่ในทางสัมมาทิฐิแล้ว เราจะตั้งนามเจ้าให้ ซีเทียนจึงตอบว่าข้าพเจ้ามีชื่ออยู่แล้ว เรียกว่า ซึงหงอคง
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดต่อไปว่าเมื่อเรามาตามทางนั้น มีคนสองคนเข้ารับรักษาศีล เราตั้งนามเรียกชื่อว่า หงอเจ๋งคนหนึ่ง หงอเหนงคนหนึ่งก็เปนอักษรเดียวกันแก่เจ้า ดีแล้วเจ้าจะได้ร่วมหนทางไปด้วยกัน ถ้ากระนั้นเราจะรีบไปก่อน
เกาซีเทียนในเวลานั้นก็เกิดปีติโสมนัศแจ่มแจ้งในสันดานเปนที่ยิ่ง ผงกศีศะคำนับพระกวนอิมโดยความชื่นชม